Love Story Ten & Champ
รักในสองนิยาม
ตอนที่ 14 นิยามที่ 2 Part Champ
“เฮ้ยหลบดิ๊” เสียงนั่นดังขึ้นพร้อมแรงกระชาก
ร่างของใครบางคนกระเด็นออกจากตู้โทรศัพท์สาธารณะตามแรงเหวี่ยง เด็กหนุ่มไม่สนใจว่าใครคนนั้นจะล้มไปทิศทางใดเพราะรีบพาตัวเองก้าวเข้าไปยืนแทนที่ตำแหน่งเดิมที่เจ้าตัวยืนอยู่ จัดการกดหมายเลขบนแป้นโทรศัพท์
“มิว มิว ฟังแชมป์ก่อน มิว มิว” แชมป์เอ่ยทักออกไปเป็นประโยคแรกเมื่อเจ้าของหมายเลขที่ตนติดต่อไปเอ่ยทักทายตามสายมาให้ได้ยิน ไม่มีเสียงทักทายตอบกลับหลังจบประโยคนอกจากเสียงสัญญาณถูกตัดขาด เด็กหนุ่มวางโทรศัพท์ลงที่แป้นดังเดิม หันหลังจะเดินออกจากตู้โทรศัพท์ซึ่งเป็นแบบไม่มีประตู แต่แล้วกลับได้เผชิญหน้ากับคนที่ยืนมองตนอยู่จึงตวาดขึ้นเสียงดัง
“มองเหี้ยอะไร”
“มองคนไม่มีมารยาทไง” ฝ่ายนั้นตอบกลับน้ำเสียงเรียบนิ่งพลางใช้สายตามองตนตั้งแต่หัวจรดเท้า อยากจะถามอยู่เหมือนกันว่ามองทำไมแต่คำต่อว่าก่อนหน้าที่ได้ยินทำให้นึกเคืองกว่า จึงถามออกไปว่า
“มึงว่าใครไม่มีมารยาท”
“ก็ว่ามึงน่ะแหละ” อีกฝ่ายตอบกลับ
“เป็นพ่อเหรอถึงมาด่ากู” เด็กหนุ่มโต้กลับเสียงดุจ้องหน้าคนพูดเขม็ง
“ก็มันจริงป่ะล่ะ กระชากคนที่ไม่รู้จักจนเกือบล้ม ใครที่ไหนเขาทำกัน” ฝ่ายนั้นสู้สายตาไม่ถอยก่อนเอ่ยเถียง
“ก็มึงเสือกมายืนอยู่ในตู้โทรศัพท์ทำไม”
“แล้วมึงสัมปทานเอาไว้หรือไงกูถึงจะยืนไม่ได้”
“กูไม่ได้สัมปทานไว้ แต่มันเป็นของสาธารณะ”
“สาธารณะแล้วไง ถ้ามึงเสนอหน้ามาให้เห็นว่าจะใช้ กูก็คงหลบให้ ไม่เห็นต้องมากระชากกันเลยนิ”
“แล้วไง กระชากแค่นี้มึงถึงตายมั้ย”
“ไม่ตายแต่มันก็ไม่ควรโว้ย”
“ทำไมจะไม่ควร มึงเป็นพ่อกูหรือไงกูถึงจะทำอะไรมึงไม่ได้”
“แม่งเอ้ย แถได้เรื่อยๆ”
“เฮ้ย ด่าถึงแม่เลยเหรอวะ ต่อยกะกูเลยมั้ยไอ้เชี่ย”
“ใครไปด่าแม่มึง”
“ก็มึงไง กำลังเครียดๆ กูขอระบายทีเถอะ”
สิ้นประโยค แชมป์ถลันออกมาจากตู้โทรศัพท์แล้วพุ่งเข้าชกคู่กรณีที่ยืนโต้เถียงตนเต็มๆ อารมณ์โกรธที่ยังครุกรุ่นอยู่จึงออกแรงผลักอกฝ่ายนั้นจนร่างกระเด็นตอนเจ้าตัวหันมาเผชิญหน้าตนก่อนยกมือชี้เอ่ยกำชับว่า
“จำไว้กูอย่ามาปากดีกะกู”
เสียงฟ้าร้องครืนๆ ตามด้วยสายลมแรงที่พัดเอาฝุ่นละอองมากระทบเต็มหน้า แชมป์มัวแต่ยกมือชี้กำชับคนตรงหน้าจึงไม่ทันได้ระวังว่าจะมีสิ่งใดปลิวมากับสายลมบ้างกระทั่งโดนสิ่งแปลกปลอมบางอย่างปลิวเข้านัยน์ตาข้างขวาถึงได้ชักมือกลับมาปิดตาร้องขึ้นด้วยความเจ็บตอน ฝนเม็ดเล็ก ค่อยๆ หล่นลงมาพร้อมแรงลมหายไป
“เฮ้ยเป็นไรวะ” หนึ่งเสียงร้องถามให้ได้ยิน
“อะไรไม่รู้เข้าตา” แชมป์ตอบพอดีกับที่ฝนห่าใหญ่เทลงมา ด้วยอาการเจ็บที่ตาจึงไม่ได้สนใจมองหาที่หลบแต่แล้วร่างทั้งร่างก็ต้องปลิวไปตามแรงฉุดของคนที่ตนชกหน้าเมื่อครู่ ฝ่ายนั้นฉุดพาร่างเข้าไปหลบที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะตู้เดิม
“เชี่ยเอ้ย ตกไม่มีปี่มีขลุ่ย” คนนั้นบ่นขึ้นในตอนที่ยืนอยู่แนบชิดกับตนในสภาพหันหน้าเข้ากัน
“บ่นทำเชี่ยไร ช่วยกูก่อนสิวะ” แชมป์ร้องบอกแข่งเสียงฝน เพราะเริ่มเจ็บจนจะทนไม่ไหว
“มึงจะให้ช่วยไงล่ะ”
“ดูให้หน่อยว่าอะไรมันเข้าตากู แม่งเจ็บโครต”
“ปิดตาอยู่แบบนั้นกูจะมองเห็นมั้ยล่ะ”
“ก็กูปล่อยไม่ได้มันเจ็บ”
“ค่อยๆ ปล่อยดิ ช้าๆ เดี๋ยวกูดูให้”
“โอ้ย เจ็บ” แชมป์ร้องลั่นเมื่อคนพูดพยามยามจะแกะมือตนออกจากตาข้างที่เจ็บ
“ทนหน่อยสิวะ” ฝ่ายนั้นเอยดุจึงยอมเงียบเสียง
“เห็นแล้วๆ แมลงว่ะ ตัวเป้งเชียวตาบอดแน่มึง” เสียงขู่ทีเล่นทีจริงดังขึ้นตอนนัยน์ถูกดปิดออกสำเร็จ
“เชี่ยมึงแช่งกูเหรอ” แชมป์ว่ากลับเมื่อนึกไม่ชอบที่โดนแช่ง
“ก็เออดิ มึงอยากต่อยกูทำไม” คนนั้นโต้กลับจึงเงียบเสียงสักพัก
“เออ กูขอโทษ” คำขอโทษหลุดออกมาแก้เก้อ น้ำเสียงจึงดูกระด้างคล้ายไม่เต็มใจ
“เออช่างมันเถอะ นิ่งๆ นะกูจะเขี่ยไอ้แมลงนี่ออกแล้ว” ฝ่ายนั้นพูดคล้ายไม่สนใจ เด็กหนุ่มมองเจ้าตัวหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็กออกมาจากกระเป๋าเสื้อนักศึกษาที่สวมอยู่
“ผ้ามึงสะอาดป่ะวะ” เอ่ยถามขึ้นอย่างไม่ไว้ใจ
“มันไม่ใช่ของกูหรอก” คนถือผ้าตอบเสียงเบาจึงร้องถามอย่างตกใจ
“อ้าวแล้วของใครวะ”
“ของใครก็ช่างเถอะ มันช่วยให้มึงหายเจ็บได้ละกัน” คนนั้นตัดบทพร้อมพับผ้าให้มุมเป็นเหลี่ยมเล็กๆ จัดการเขี่ยแมลงในตาตนออกจนสำเร็จ
“ไหนดูดิ” แชมป์เอ่ยขอดูแมลงตัวนั้น
“ทิ้งไปแล้ว” คนนั้นตอบพร้อมไปนอกตู้โทรศัพท์ แชมป์มองตามเห็นผ้าผืนนั้นเปียกแฉะอยู่ที่พื้น
“ทิ้งผ้าไปด้วยเหรอ” เด็กหนุ่มถามขึ้น
“อืม ก็บอกแล้วไงว่ามันไม่ใช่ของกู” อีกคนตอบ ช่วงเวลานี้เองที่ได้ประสานสายตากับเจ้าตัว รู้สึกผิดนิดๆ ที่เห็นมุมปากนั่นเริ่มมีรอยช้ำจึงยกมือขึ้นจับเอ่ยขึ้น
“ปากมึงเริ่มช้ำแล้วว่ะ”
“ช่างมันเถอะ” เจ้าของรอยช้ำพูดพลางปัดมือตนออก อารมณ์หมั่นไส้จึงแล่นเข้ามาแทนความรู้สึกผิดจึงเอ่ยออกไป
“เชี่ย ทำเป็นหวงตัว”
อีกคนมองตาขวางนิดๆ ก่อนจะหันหน้าออกไปมองเม็ดฝนข้างนอก แชมป์เห็นเจ้าตัวยกมือกอดกระชับอกจึงถามขึ้น
“หนาวเหรอ”
“เปล่า” คนนั้นปฏิเสธแบบไม่มองหน้า แชมป์จึงทักใหม่
“เห็นกอดอกกูก็นึกว่าหนาว”
“เบื่อว่ะ ตกทำไมนักหนาก็ไม่รู้” คนนั้นเปลี่ยนประเด็นคุยแสดงอาการเบื่อหน่ายต่อสภาพอากาศข้างนอกแชมป์จึงเปลี่ยนไปสนทนาเรื่องอื่นด้วยเช่นกัน จนได้รู้ว่าคู่สนทนาตนชื่ออะไร เรียนที่ไหนและที่สำคัญคือรู้ว่าเจ้าตัวเป็นเพศที่สามที่ใครๆ เรียกว่าเกย์
การพูดคุยดำเนินไปเรื่อยๆ ซึ่งแม้ตอนนั้นสายฝนจะตกกระหน่ำลงอย่างไม่ขาดสาย แต่ก็ไม่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกเบื่อหน่ายเลยสักนิด รู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าทำไมถูกได้พูดคุยกับคนๆ นี้ได้อย่างถูกคอจนกล้าที่จะเอ่ยล้อเล่นไปหลายประโยค ทั้งล้อเรื่องเสนอตัวเป็นแฟน ล้อถึงเรื่องเปิดบริสุทธิ์ตัวเอง ซึ่งคำพูดพวกนี้ไม่เคยแม้สักครั้งที่ตนจะกล้าเอ่ยกับใครๆ กระทั่งฝนหยุดตกที่ฝ่ายนั้นเอ่ยลา ด้วยความที่คุยติดพันจึงเอ่ยขอเบอร์โทรศัพท์ไว้ เผื่อไว้พูดคุยเวลานึกเบื่อแล้วไม่มีอะไรทำ นึกตลกหน่อยๆ ที่คนนั้นเล่นตัวด้วยการให้ตนบอกเบอร์โทรศัพท์ไปก่อนแล้วเจ้าตัวจะโทรหาเอง อยากจะบอกอยู่ว่าตนไม่ได้คิดจริงจังอะไรมากนัก ให้ก็เอาไม่ให้ก็ไม่คิดจะง้อ แต่เพราะกลัวว่าหากพูดไปจะเป็นการหักหน้าเจ้าตัวจึงยอมทำตามไปงั้นๆ ปั่นหัวเกย์เล่นซะหน่อยก็น่าจะสนุกดี เผื่อมันจะทำให้หายจากอาการเซ็งๆ ที่โดนหญิงบอกเลิก
“อย่าลืมยิงเบอร์มานะ เออแล้วหายาทาที่ปากด้วยล่ะ เดี๋ยวมันช้ำหนัก” เด็กหนุ่มเอ่ยบอกตอนคนนั้นจะลาไป นึกแล้วก็ตลกที่พูดจาทำนองห่วงใยผู้ชายด้วยกันออกไป
“อืมกูไปล่ะ มึงก็กลับบ้านดีๆ ล่ะ” ฝ่ายนั้นรับคำหนำซ้ำยังเอ่ยกำชับให้กลับบ้านดีๆ ด้วยความปากไวจึงตอบกลับไปว่า
“ครับที่รัก”
อีกคนได้พาร่างหายไปจนลับตา
“ครับที่รัก...กูพูดไปได้ไงเนี่ยเกิดมันคิดจริงจังขึ้นมากูไม่ซวยเหรอวะนั่น” แชมป์เอ่ยออกมาผ่อนลมหายใจหน่อยๆ ก่อนเดินหายไปจากที่ตรงนั้นบ้าง
เช้าวันใหม่แชมป์โทรศัพท์กลับไปง้อหญิงคนรักเช่นเคยแต่แล้วก็ไม่เป็นผลสำเร็จเมื่อฝ่ายนั้นไม่ยอมคืนดี เด็กหนุ่มนั่งเซ็งอยู่ในห้องใกล้เที่ยงจึงลงจัดการหาอะไรกินรองท้อง พลางคิดว่าวันสองวันนี้จะเตร็ดเตร่ที่ไหนเพราะว่าไม่มีเรียน สักพักโทรศัพท์ก็ดังขึ้นเห็นเบอร์แปลกๆ จึงกดรับ
“ฮัลโหล” มีเสียงดังทักทายมาก่อนจึงตอบรับแล้วถามกลับไป
“ครับ ใครครับ”
“กูเต็นเอง” ฝ่ายนั้นแนะนำตัว
“เต็นไหนวะ” ถามกลับเพราะนึกไม่ออก
“ก็เมื่อวานที่ตู้โทรศัพท์” คนนั้นรื้อฟื้นความจำให้จึงถึงบางอ้อ ด้วยอารมณ์เบื่อๆ จึงได้สนทนากับเจ้าตัวเป็นนานสองนานจนได้รู้ว่าเจ้าตัวก็เบื่อเหมือนกันจึงเอ่ยปากถาม
“พรุ่งนี้ว่างป่ะวะ”
“ทำไม”
“ดูหนังกัน”
“ห๊า”
“กูบอกว่าดูหนังกัน ชัดมั้ย”
“ชัดแต่กูงง”
“งงเชี่ยอะไร กูเบื่อกูเครียด ก็อยากผ่อนคลายบ้าง”
“แล้วเพื่อนมึงล่ะ”
“ก็กูจะดูกับมึง”
“ไม่กลัวกูปล้ำคาโรงหนังเหรอ”
“มึงอยากโดนต่อยก็เอา”
“จะดูเรื่องไร”
“ไม่รู้ไปถึงก็หาๆ เอาที่มีรอบฉายน่ะแหละ”
“ที่ไหน”
“มึงสะดวกที่ไหนล่ะ”
“ก็แถวบ้านกูดิ”
“เมเจอร์รัชฯ น่ะนะ”
“เออ”
“เสียใจกูขี้เกียจไป”
“แล้วถามกูหาป๊ามึงเรอะ”
“ถามไปงั้นแหละ มาแถวบ้านกูดิ”
“แถวนั้นมีที่ไหนให้ดูกันดานขนาดนั้น”
“ไอ้ห่ามึงว่าบ้านกูนอกเมืองขนาดนั้นเลยเหรอ”
“อ้าวแล้วมึงบอกได้มั้ยล่ะว่าตรงนั้นที่ไหนมันน่าดู”
“เออๆ เอางี้ไปแถวสยามล่ะกันง่ายดี”
“ง่ายไงวะ มึงจะไปไง”
“ออกจากกะลาบ้างนะมึง รถไฟฟ้าถึงบ้านกูแล้วเชี่ย”
“เออ กูลืมไป เออๆ สยามก็สยาม”
“สรุปคือมึงว่าง”
“อืม”
“ใจง่ายชิปเป๋ง”
“อ้าวไอ้นี่กูไม่ไปก็ได้นะเออ”
“กูล้อเล่น ทำเป็นงอนไปได้”
“งอนทำไมมึงไม่ใช่แฟน”
“อยากให้กูเป็นป่ะล่ะ”
“รอดูพฤติกรรมก่อน”
“เชิญตามสบาย ตกลงพรุ่งนี้เที่ยงนะ ไหวป่าว”
“คงไหว”
“เอองั้นแค่นี้นะ พรุ่งนี้เจอกัน”
“อืม หวัดดี”
“หวัดดีว่ะ”
การสนทนาจบไปแค่นั้น แชมป์ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมถึงเอ่ยปากชวนคนที่ตนเพิ่งรู้จัก เพราะปกติไม่เคยคิดเที่ยว หรือผ่อนคลายในลักษณะนี้กับใครอื่นนอกจากคนรัก หรือเพื่อนสนิท แต่ช่างเถอะ คิดอะไรมากไปก็เท่านั้น ถือซะว่าฝ่ายนั้นเป็นเพื่อนใหม่อีกคนก็แล้วกัน แม้มันจะเป็นเกย์ก็เถอะ
*************************
แชมป์ส่งข้อความให้เพื่อนใหม่ในตอนใกล้สายของวันรุ่งขึ้นเพียงสั้นๆ ว่า 12.00@MBK เด็กหนุ่มโยนโทรศัพท์ไว้ยังที่นอนตามเดิม หันไปสนใจเกมส์ในเครื่องเคอมพิวเตอร์ที่เล่นค้างไว้ ไม่ได้คิดใส่ใจการนัดครั้งนี้มากนักกระทั่งเผลอลืม มารู้ตัวอีกทีตอนที่ได้รับโทรศัพท์จากคนที่ตนนัดซึ่งโทรมาตามตัวในตอนใกล้เที่ยง
“ตื่นเต้นขนาดต้องโทรมาตามกูก่อนเที่ยงเลยหรือไงวะ” เด็กหนุ่มบ่นนิดๆ แล้วหันไปสนใจเกมส์ที่เล่นค้างอยู่ สักพักจึงลุกไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าง่ายๆ เพราะไม่ได้กะสร้างความประทับใจอะไรให้คนที่ตนนัด ก็นั่นมันเกย์นี่นาจะแต่งหล่อไปล่อมันทำไม ใส่แค่ไปก็เชื่อว่ามันคงหลงแล้วล่ะ
เด็กหนุ่มไปถึงที่นัดหมายในตอนเลยเที่ยงไปหน่อย มองดูการแต่งกายของคนที่ตนนัดซึ่งดูพิถีพิถันกว่าตนมากนัก ด้วยใบหน้าเกลี้ยงเกลากับผมเผ้าที่เข้าทรงมาอย่างพอดี บนร่างกายสวมเสื้อเชิ้ตพอดีตัวสีน้ำตาลพับแขน กับกางยีนส์ทรงเท่สีเข้มก่อนจะจบลงด้วยรองเท้าผ้าใบคู่สวย โดยที่มือได้ถือแจ็คเก็ตตัวหนึ่งมาด้วย องค์ประกอบโดยรวมมันส่งให้เจ้าตัวดูดีได้อย่างไม่คิดปฏิเสธ แต่ก็นะยังไงก็ผู้ชายเหมือนกันต่อให้ร่างนั้นดูดีแค่ไหนเขาก็คงไม่สามารถคิดอะไรด้วยได้
“รอนานป่ะวะ” เด็กหนุ่มถามขึ้นตอนที่เห็นฝ่ายนั้นมองสำรวจตัวเองเช่นกัน
“คิดว่าสายป่ะล่ะ” ฝ่ายนั้นตอบออกมากวนๆ จึงเอ่ยสวนกลับ
“ปากดีนะมึง”
“อ้าว ก็มันจริงป่ะล่ะ”
“เออ กูขอโทษ”
“ไอ้ห่ากูล้อเล่น ทำจริงจังไปได้”
“จะไปรู้เหรอ แคร์นะโว้ย”
แชมป์กะพูดออกไปอย่างขำๆ แต่อีกคนคล้ายจะอึ้งขึ้นมาซะอย่างนั้น ดีที่เจ้าตัวทำเป็นเรื่องตลกไปจึงได้เบาใจว่าไม่ได้เอ่ยสร้างความหวังให้คิดถลำกับตนไปไกล
“เมาอะไรมาอีกล่ะคราวนี้”
“เมารักมั้ง ไปเหอะดูรอบหนังกัน” เมื่อเห็นคนนั้นเอ่ยติดตลกจึงเอ่ยแบบตลกๆ ตามก่อนจะเดินไปดูรอบฉายที่ติดไว้ตรงหน้าช่องจำหน่ายตั๋ว
“ดูเรื่องอะไรดีอ่ะ” เด็กหนุ่มหันมาถามความเห็นเมื่ออีกคนเดินตามมาถึงตัว
“มึงชวนมึงก็เลือกเองละกันกูไงก็ได้” เจ้าตัวตอบออกมา
“ได้ไงล่ะ เอาที่มึงอยากดูดิ” แชมป์ตอบออกไปเพราะไม่อยากเลือกหนังให้ ไม่ใช่คนพิเศษจะให้มาเลือกหนังให้ดูมันใช่เรื่องซะที่ไหน
“ทรานฟอร์เมอร์” ฝ่ายนั้นเอ่ยบอกออกมา แชมป์ไม่แย้งเพราะไม่อยากยืนอยู่เป็นเป้าสายตาใครนานๆ ก็ยังรู้สึกอายๆ บ้างที่มายืนเลือกหนังกับผู้ชายด้วยกันแบบนี้ จริงอยู่ที่คนอื่นอาจจะคิดว่าแค่เพื่อนกันแต่ใจเขามันรู้นี่นาว่าไอ้คนที่ยืนข้างกายนี่เป็นเกย์เลยแอบอายอยู่ลึกๆ
“เร็วสุดรอบบ่ายโมง มึงรีบไปไหนหรือเปล่า” เด็กหนุ่มรีบดูรอบหนังแล้วบอก
“ทำไม” คนนั้นถาม
“ถ้ามึงรีบจะดูรอบนี้เลย ถ้าไม่รีบก็เลื่อนไปบ่ายโมงครึ่ง” ตอบเหมือนเอาใจแต่จริงๆ แล้วมีจุดประสงค์
“ก็ได้ ว่าแต่เลื่อนทำไมวะ”
“กูจะเล่นเกมส์” เด็กหนุ่มยิ้มหน่อยๆ เมื่อคิดถึงความสนุกในการเล่นเกมส์โปรดขึ้นมาก่อนจะเดินไปที่ช่องจำหน่ายตั๋วจัดการธุระเรื่องจองที่นั่งเสร็จสรรพ เดินมาชวนคนที่ยืนรออยู่ไปที่ตู้เกมส์หยอดเล่น ซึ่งอยู่ในมุมลึกพอที่จะบังสายตาใครๆ ได้
“อ่ะค่าตั๋ว” ฝ่ายนั้นยื่นเงินให้
“50 บาทพอ เดี๋ยวกูจะเอาไปแลกเหรียญเล่นเกมส์” เต็นหยิบเงินไปแค่ส่วนที่บอกก่อนจะวิ่งหายไปในทางบริการแลกเหรียญ
*******************************
“เฮ้ย ช่วยกูเล่นบ้างดิวะ นั่งดูอยู่ได้” แชมป์ต่อว่าคนที่นั่งชิดอยู่กับตนขณะเล่นเกมส์จับผิดภาพ
“ก็บอกแล้วไงว่ากูเล่นไม่เก่ง” ฝ่ายนั้นออกตัว
“นี่มันเกมส์ง่ายสุดแล้วนะมึง”
“แต่กูไม่ค่อยได้เล่น”
“แล้วปกติเล่นเกมส์ไร”
“ไม่เล่นเลย”
“กรรม”
“เออน่ะ มึงก็เล่นๆ ไปเถอะหนังจะฉายแล้ว”
“อืมอีกเกมส์ละกัน”
“เอาเหอะเดี๋ยวกูไปซื้อน้ำรอ”
เต็นแยกตัวไปยังเคาน์เตอร์ขายขนมและเครื่องดื่ม แชมป์มองตามส่ายหน้าอย่างนึกเบื่อหน่าย ตอนแรกๆ ก็รู้สึกว่าคนๆ นั้นเป็นเด็กผู้ชายคล้ายๆ กับตน เพราะพูดจาได้ถูกคอหลายเรื่อง แต่ทำไมพออยู่ใกล้ๆ แล้วนิสัยคล้ายๆ ผู้หญิงจึงแผ่ออกมาให้รู้สึกได้นะ ดูเอาเถอะเกมส์ก็เล่นไม่เป็น
“เฮ้ย มัวแต่มองห่าเอ้ย เกมส์โอเว่อร์ซะงั้น” เด็กหนุ่มตบตู้เกมส์อย่างไม่สบอารมณ์ตอนหันกลับมาจะเล่นต่อ แต่กลายเป็นว่าหมดเวลาเล่น นั่งแช่อยู่สักพักจึงเดินตามไปหาคนที่กำลังยืนซื้อน้ำอยู่
“กินไรปะ” คนนั้นหันมาถาม
“เอาชุดนั้นดิถูกดี” แชมป์แนะนำชุดที่ตัวเองซื้อประจำเวลาไปดูหนังกับแฟนที่เพิ่งเลิกรากัน จำได้ว่าชุดนั้นมีไส้กรอกที่ตนชอบกินแบบไม่ใส่ซอส
“ไม่ใส่ซอสเหรอวะ” คนข้างกายเอ่ยถามในตอนที่เด็กหนุ่มกินไส้กรอกเปล่าๆ จึงตอบกลับไปว่าไม่กินเผ็ด ฝ่ายนั้นพยักหน้าคล้ายเข้าใจแล้วเดินนำไปยังโรงหนังจึงทักขึ้น
“เดินนำหน้ากูดุ่มๆ รู้เหรอว่านั่งไหน”
“แถวไหนวะ” คนนั้นหันมาถาม จึงตอบไปแล้วเดินไปยังที่นั่ง เห็นคนที่มาด้วยยืนคิดอะไรอยู่จึงทักขึ้นอย่างนึกรำคาญ
“อ้าวจะยืนรออะไรครับพี่นั่งได้แล้ว”
************************************
“หนาวว่ะ” แชมป์เอ่ยขึ้นเบาๆ ตอนหนังเริ่มฉายไปได้สักพักเพราะเป็นคนแพ้อากาศเย็น นึกถึงตอนที่ได้นั่งดูหนังกับคนรักที่ได้กุมมือกับคนนั้นทุกทีที่เอ่ยแบบนี้ขึ้นมา ด้วยอารมณ์เหงาและความหนาวเย็นที่แผ่ซ่านให้ได้สัมผัส จึงหันไปมองคนข้างกายที่หันมามองตนก่อนแล้ว เด็กหนุ่มยิ้มขึ้นนิดๆ อย่างที่เคยยิ้มให้กับคนรักยามต้องการไออุ่น ข้างในนี้ค่อนข้างสลัวประกอบกับที่นั่งอยู่ไม่ได้ชิดกับใครคนอื่นจึงเลื่อนมือไปกุมมือฝ่ายนั้นเอาไว้
“เฮ้ย ทำไรวะ” เจ้าตัวร้องถาม
“ก็บอกว่าหนาวไง ขอจับหน่อย” แชมป์ตอบหน้าเฉยสักพักฝ่ายนั้นได้ดึงเสื้อแจ็คเก็ตที่ถือติดมือมาด้วยปกปิดมือที่กำลังถูกกุมไว้อยู่ ไอ้นี่มันแคร์สายตาคนอื่นเหมือนกันแฮะ ใช้ได้นี่หว่า เด็กหหนุ่มแอบคิด เอ่ยแซวเมื่ออคติก่อนหน้านั้นเริ่มจางๆ ลง
“อายเหรอวะ”
คนนั้นไม่ตอบอะไรนอกจากหันไปสนใจเรื่องราวบนจอภาพยนต์ จึงแกล้งออกแรงบีบกระชับมือหวังยั่วเล่นๆ ทำขนาดนี้ดูหนังรู้เรื่องก็ให้รู้กันไปสิ เออนะ ได้แกล้งเกย์เล่นนี่มันก็สนุกดีเหมือนกัน
************************************
“ไงหนุกป่ะ” แชมป์เอ่ยถามคนข้างกายหลังเดินออกมาจากโรงหนังแล้ว
“ก็ดี”
“แต่อาการมึงเหมือนไม่หนุกเลยว่ะ” เด็กหนุ่มแกล้งว่า รู้อยู่แล้วล่ะน่าว่าคงมัวแต่คิดดีใจที่ตนได้กุมมือดูหนังตลอดทั้งเรื่อง นึกแล้วก็ตลกนี่ถ้าอากาศไม่หนาวและบรรยากาศไม่มืดเขาก็กล้าที่จะทำอย่างนั้นหรอก แล้วที่ตลกยิ่งกว่าคือคนที่ตนจับมีท่าทีตกใจในทีแรกแต่กลับปล่อยให้ตนจับซะหนังฉายจบ เฮ้อ นายนี่คงหลงเสน่ห์เขาแล้วมั้ง
“แล้วนี่จะกลับเลยป่ะ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามขึ้น เมื่อเดินมาได้สักพัก
“คงต้องกลับเลย” คนนั้นตอบ
“กลับไงอ่ะ”
“รถไฟฟ้าไปลงหมอชิต”
“อืมงั้นไปด้วยกันดิ กูก็กลับรถไฟฟ้าเหมือนกัน”
**********************************
“ปกติดูหนังบ่อยป่ะวะ” แชมป์เอ่ยถามขณะที่กำลังเดินคู่ไปกับคนที่ตนนึกตลกท่าทีในโรงหนัง รวมถึงตอนนี้ทีกลายเป็นคนพูดน้อยขึ้นมาซะงั้น
“ก็บ่อย”
“เหรอ แล้วดูกะใครอ่ะ”
“กับแฟน”
แชมป์ชะงักหน่อยๆ เมื่อได้ยินคำตอบนั่น นายนี่มีแฟนแล้วงั้นเหรอ แล้วไหงถึงได้แสดงท่าทีคิดอะไรกับตนแบบนี้ล่ะ นี่ที่เขาเคยได้ยินว่ารักแท้ไม่มีในหมู่เกย์มันจะเป็นเรื่องจริงเหรอนี่ อย่างนี้ต้องพิสูจน์
“เฮ้ย มึงมีแฟนแล้วเหรอ”
“อืม”
“มิน่าล่ะเห็นใส่แหวนที่นิ้วแฟนให้อ่ะดิ”
“อืม”
“อิจฉาจริงว่ะ คบกันนานยังวะ”
“4 ปี”
“อืมก็นนานพอดู”
“แต่ไม่รู้จะนานไปกว่านี้หรอเปล่า”
“ทำไมวะ ทะเลาะกันเหรอ”
“ก็ไม่เชิง”
“กรรม”
“ทำไมวะ”
“เปล่า ก็กูเข้าใจอารมณ์ที่ต้องทะเลาะกับแฟน”
“แล้วตกลงมึงเลิกกับแฟนเลยเหรอ”
“อืม ก็ง้อแล้วไม่สำเร็จนี่หว่า”
“คบกันนานป่ะ”
“3 เดือน”
“3 เดือน!”
“เออ ทำไมวะ”
“เปล่า”
“มึงอย่ามาเปล่า กูรู้ว่ามันน้อยแต่คนเราจะรักกันเวลามันไม่เกี่ยวหรอก”
“แล้วนี่ผ่านมากี่คนแล้วล่ะ”
“2 คน”
“โชกโชนเลยสิ”
“โชกโชนไงวะ ผ่านมา 2 แต่ก็ยังซิงนะโว้ย ไม่เหมือนมึงหรอก ท่าทางจะเยินหมดแล้ว”
“ปากหมาอีกแล้วนะมึง”
“55 กูพูดจริงอ่ะดิ”
“จริงกะผีอ่ะดิ เลิกพูดเรื่องนี้เหอะ”
“อายอ่ะดี๊ 555”
“มึงอย่ามาล้อกูเชี่ย”
“เออรีบด่ากูเข้าไป เดี๋ยวจะไม่มีโอกาส”
“หมายความว่าไง”
“เออน่ะเดี๋ยวมึงได้รู้ ถึงสถานีแล้ว มึงต้องไปหมอชิตใช่ป่ะ”
“อืม ต้องขึ้นข้างบน”
“เอองั้นแยกกันตรงนี้ละกัน มีไรโทรมา”
“อืม กลับบ้านดีๆ ล่ะ”
“ครับที่รัก” ประโยคที่เคยพูดดังออกไปอีกครั้งตอนที่คนนั้นจะแยกตัวไป แชมป์มองตามร่างนั้นจนเจ้าตัวลับสายตาไป เด็กหนุ่มนึกคิดถึงทฤษฏีที่เคยได้ยินว่ารักแท้ไม่มีในหมู่เกย์อีกครั้งจึงนึกอยากจะทดสอบว่ามันจะจริงแค่ไหนกัน ระหว่างนี้กำลังนึกเซ็งเรื่องความรักที่พังลง ลดตัวลงมาเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีนี้มันก็น่าจะฆ่าเวลาเบื่อๆ ไปได้ล่ะน่า แน่นอนที่สุดว่าการพิสูจน์ทฤษฎีครั้งนี้ เกย์ที่ชื่อเต็นคือหนูทดลอง!
โปรดติดตามตอนต่อไป
อย่าเพิ่งงงกันนะครับ ว่าทำไมตอนนี้คล้ายๆ ตอนแรกๆ เข้าใจถูกแล้วครับ เนื้อเรื่องเดียวกัน แต่คราวนี้เป็นความรักในนิยามที่ 2 นั่นก็คือความรู้สึกของแชมป์ทั้งหมดที่คิดกับเต็น ที่ผ่านมาทั้งหมด 13 ตอน ผมพาทุกคนสัมผัสกับมุมมองความรักของเต็นไปเรียบร้อยแล้ว คราวนี้ลองมาสัมผัสมุมมองความรักของแชมป์ในนิยามที่ 2 ของเรื่องราวความรักเรื่องนี้กันครับ
ขอบคุณครับ
Boy