วงล้อที่ยี่สิบเอ็ด
“เลขห้ามาจากเงินห้าร้อยแล้วรวมคำว่าสิบสองที่มาจากอายุของเด็กคนหนึ่ง”
“อ่อ..ครับ” ภาสกรพยักหน้าหงึกหงัก หากถามว่าชายหนุ่มเข้าใจไหมตอบได้เลยว่าไม่ ซ้ำยังคิดว่าบอสใหญ่ต้องกินยาไม่ได้เขย่าขวดแน่นอนเพราะอธิบายมากกว่าปกติ
“จำได้บ้างไหมพาย”
“ทำไมบอสถามอะไรแปลก ๆ เรื่องที่บอสพูดถึงเป็นเรื่องของใครเหรอครับ” เจ้าของชื่อตอบ ไม่ได้สะดุดหูเลยว่าอีกฝ่ายไม่ได้เรียกชื่อเขาด้วยชื่อจริงเหมือนที่เคย
“...”
“เงินห้าร้อยกับอายุสิบสอง คืออะไรครับ” อรรควัสมองใบหน้าของภาสกรนิ่งจนเขาเริ่มกังวล แต่ในที่สุดบอสใหญ่ก็ถอนหายใจออกมาราวกับคิดว่าไม่มีประโยชน์ที่จะอธิบายเพิ่มเติม
“เธอไม่จำเป็นต้องรู้แล้ว บอกไปก็ไม่มีวันเข้าใจ”
ภาสกรอ้าปากค้างก่อนจะหุบฉับ บทอยากจะพูดก็พูด พอไม่อยากพูดก็ตัดบททิ้งเสียเฉย ๆ แล้วเขาซึ่งเป็นลูกจ้างจะไปท้วงอะไรนายจ้างได้อีก
“ครับ”
เจ้าของผับมองคนผิดหวังก่อนจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาใหม่ “ไปอาบน้ำสิ จะได้เข้านอนกันสักที”
“ขอโทษครับ ผมจะรีบกลับไปอาบน้ำที่ห้องเดี๋ยวนี้” ภาสกรละล่ำละลักบอก ปกติเขาจะกลับไปอาบน้ำที่ห้องให้เรียบร้อยเสร็จแล้วจึงจะมาห้องห้าสิบสอง ทว่าคืนนี้เขามัวแต่จะเอาแฟ้มมาให้อีกฝ่ายประกอบกับเลิกเรียนช้าทำให้ลืมไปอาบน้ำก่อนเสียสนิท
“ไม่ต้องหรอกเสียเวลาไปมา อาบที่ห้องนี้ก็แล้วกัน”
“ห้องนี้?”
“ใช่”
“แต่ที่นี่ไม่มีห้องน้ำนี่ครับ” ภาสกรถามด้วยความแปลกใจ นอนค้างที่ห้องนี้มาหลายคืนเขายังไม่เคยเห็นห้องน้ำเลย กวาดสายตามองไปรอบ ๆ ห้อง ไม่ว่าจะชั้นล่างหรือชั้นบนก็ไม่เห็นประตูอื่นนอกจากประตูหน้าห้องเลย
“คิดอย่างนั้นหรือ” บอสหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งก่อนจะเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง ขายาวได้รูปภายใต้กางเกงแสล็กสีดำหยุดยืนอีกครั้งที่ผนังด้านหนึ่งที่ชั้นนั้น “ขึ้นมาสิ”
ภาสกรเดินขึ้นไปตามคำสั่งของอีกฝ่ายโดยไม่อิดออด เขาหยุดตรงด้านข้างของอรรควัสก่อนที่มือเรียวสวยของคนสูงวัยกว่าจะผลักผนังด้านหน้าไม่แรงนัก ภาสกรตกใจที่เห็นผนังขยับเขยื้อนกลายเป็นบานประตูบานหนึ่ง เขามองเห็นเพียงความมืดด้านใน
“บอส..ห้องนี้..” ชายหนุ่มถามอีกฝ่ายกล้า ๆ กลัว ๆ
“ตามฉันมา” เมื่อคนออกคำสั่งเดินเข้าไปข้างใน ไฟก็สว่างขึ้นอัตโนมัติทำให้ภาสกรมองเห็นด้านในได้ชัดเจน เขาเห็นตู้เอกสาร โต๊ะทำงาน เมื่อเดินลึกเข้าไปเรื่อย ๆ จึงเห็นว่ามีตู้เสื้อผ้าแบบเปิดโล่งไม่มีบานประตูปิดและสุดท้ายคือห้องน้ำขนาดใหญ่พอสมควร ในนั้นมีอ่างอาบน้ำตั้งอยู่ภายในห้องนั้นด้วย
“ผมไม่คิดว่าจะมีห้องอะไรแบบนี้ด้วย” ภาสกรพูดด้วยความตื่นตาตื่นใจ เขาไม่ได้ทึ่งกับข้างของในห้องแต่ตื่นเต้นกับห้องเร้นลับใต้ผนังนั้นต่างหาก
“อืม”
“ผมเคยจับผนังนี้นะครับ แต่ไม่เห็นผนังนี้จะเปิดได้เลย” ภาสกรเล่า เขาจำได้ว่าคืนแรกที่พยุงอรรควัสขึ้นมานอน เขาก็อาศัยผนังตรงนี้ช่วยค้ำยันตัวเองไม่ให้ล้มจากการเซเล็กน้อยอันเนื่องมาจากน้ำหนักตัวของอรรควัสที่ถ่ายน้ำหนักมาที่เขาพอดี
“ขอบใจที่ช่วยทดสอบระบบให้ฉัน”
“เอ๊ะ? ครับ?”
“ถ้าเธอเปิดประตูบานนี้ได้ ฉันคงต้องฟ้องร้องบริษัทที่ติดตั้งประตูนี้” ภาสกรพยักหน้า เริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้าง ความหมายของบอสใหญ่คงจะหมายถึงปกติประตูนี้คงไม่มีใครเปิดได้นอกจากเจ้าตัวเพียงเท่านั้น ดังนั้นภาสกรเปิดไม่ได้จึงไม่ได้ผิดปกติแต่อย่างใด
“เข้าใจแล้วครับ”
“เธออาบน้ำในนี้ได้ ฉันจะออกไปเคลียร์เอกสารในแฟ้มที่จิณณ์ฝากเธอมา”
“ครับ แต่..เดี๋ยวครับบอส” ราวกับว่าภาสกรนึกอะไรขึ้นมาได้จึงเรียกอีกฝ่ายเสียงดังพอประมาณ
“มีอะไร”
“คือถ้าบอสต้องติดตั้งระบบป้องกันแบบนี้ ให้ผมเข้าไปอาบน้ำจะไม่เป็นไรเหรอครับ” ชายหนุ่มรู้ดีว่าเจ้าของห้องอนุญาตแล้วก็จริง แต่เขาก็กังวลกลัวว่าจะไปทำอะไรในห้องเสียหายเข้า
“ไม่เป็นไร เดินระวัง ๆ ก็พออย่าไปเดินชนอะไรเข้าล่ะ”
อรรควัสพูดจบก็เดินออกไปจากห้องลับไม่รีรอ ภาสกรยืนหันรีหันขวางอยู่ในห้องครู่หนึ่งก็เริ่มลำดับสิ่งที่ตนเองต้องทำต่อจากนี้
อันดับแรกเขาต้องไปอาบน้ำเสียที
ชุดนอน? ผ้าเช็ดตัว? ยังไงดี?
ชายหนุ่มจึงกลับออกไปเพื่อไปขออนุญาตเจ้าของห้องด้วยความเกรงใจ “บอสครับ”
“ยังไม่เข้าไปอาบน้ำอีก” บอสใหญ่มีสีหน้าระอาเล็กน้อยเมื่อถูกเรียกอีกเป็นครั้งที่สอง
“คือ..ผ้าเช็ดตัวกับชุดนอน”
“อยู่ในห้องนั้น เธอเลือกเองได้เลย”
“ขอบคุณครับ” ภาสกรไม่กล้าถามต่อเพิ่มเติม เขารีบขอบคุณแล้วกลับเข้าไปในห้องดังเดิม
ชายหนุ่มเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าไร้ประตูปิด เขาเห็นผ้าขนหนูผืนใหญ่ถูกพับเป็นระเบียบเรียบร้อยวางอยู่บนชั้นในตู้ดังนั้นจึงหยิบผืนที่อยู่บนสุดขึ้นมาหนึ่งผืนแล้วเข้าไปอาบน้ำอย่างสบายใจ
เมื่ออาบเสร็จเรียบร้อยเจ้าตัวเดินนุ่งผ้าขนหนูกลับมาที่ตู้เสื้อผ้าอีกครั้งเพื่อหาชุดนอนสำหรับนิทรายามเช้านี้ ภาสกรพินิจมองเสื้อผ้าที่แขวนอยู่พักหนึ่ง ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าหยิบตัวไหนก็ได้ใช่หรือไม่ แต่ในเมื่อเจ้าของห้องอนุญาตแล้วก็น่าจะได้
คิดเองเสร็จสรรพแล้วภาสกรจึงมุ่งไปด้านซ้ายของตู้และเลือกหยิบเสื้อขึ้นมาตัวหนึ่ง มีเสื้อแล้วก็ต้องมีกางเกงสบาย ๆ สักตัว เขากวาดสายตาบนราวแล้วไม่เจอกางเกงเลยสักตัวจึงตัดสินใจเปิดลิ้นชักในตู้นั้นออกดู
แค่ชั้นแรกก็แปลกใจเสียแล้ว
เขาเห็นเสื้อตัวหนึ่งถูกพับอย่างเรียบร้อยอยู่ในนั้น ชายหนุ่มเพ่งมองเสื้อตัวนั้น หัวคิ้วมุ่นแทบจะขมวดเป็นปมใหญ่
เสื้อตัวนี้...
ภาสกร เจริญชัย นี่มันชื่อของเขาไม่ใช่หรือ มันเป็นเสื้อของใคร เสื้อของเขางั้นหรือ แต่จะเป็นไปได้อย่างไร ทำไมเขาถึงไม่คุ้นเลยว่าครั้งหนึ่งเคยมีเสื้อตัวนี้ด้วย และถ้าไม่ใช่เสื้อของเขา ทำไมถึงมีชื่อเขาอยู่บนเสื้อตัวนี้ ภาสกรมองเสื้อคลุมพลางใช้ความคิดที่กำลังตีกันวุ่นวายอยู่ในหัว
ภาสกรเปิดลิ้นชักชั้นอื่นออกเพื่อหากางเกงมาใส่ เมื่อแต่งตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาจึงเดินออกจากห้องลับนั้นทั้งที่เต็มไปด้วยคำถามในวิ่งวนอยู่ในหัวไม่หยุด
เสื้อของใคร
ทำไมถึงมีชื่อเขา
และทำไมบอสถึงมีเสื้อตัวนี้
ความคิดสะดุดในจังหวะที่เขากำลังจะก้าวลงบันได ภาสกรมองเห็นด้านหลังเจ้าของห้องที่ก้มหน้าอ่านอะไรในแฟ้ม ทำให้เกิดภาพหนึ่งซ้อนทับขึ้นมา เสื้อเชิ้ตสีขาวนักศึกษาในตอนนั้นกับเสื้อเชิ้ตสีขาวของอรรควัสในตอนนี้
ภาพความทรงจำหนึ่งที่เขาเคยลืมไปแล้วกลับผุดขึ้นมา
เป็นไปไม่ได้...
พี่ชายคนนั้น “ยืนทำอะไรตรงนั้น” เสียงจากคนที่นั่งอยู่ที่ชั้นล่างทักขึ้นทำลายภวังค์ของภาสกร
“บอสครับ!” ภาสกรวิ่งตึงลงมาจากชั้นสองอย่างรวดเร็ว อรรควัสมองการกระทำของอีกคนด้วยความแปลกใจ เกิดอะไรขึ้นกับอีกฝ่าย
“เป็นอะไรของเธอ”
“ผมขอดูแขนของบอสหน่อยได้ไหม” ภาสกรเข้ามาถึงตัวอรรควัสเพียงอึดใจ เขามองแขนอีกฝ่ายที่บัดนี้พับแขนเสื้อขึ้นมาถึงข้อศอก ไม่เพียงไม่รอคำตอบซ้ำยังถือวิสาสะดึงแขนข้างขวาของอรรควัสมาตามอำเภอใจด้วยความลืมตัว
“ทำอะไรของเธอ” อรรควัสดุแต่นาทีนี้มีหรือที่ภาสกรจะสนใจ
“จริงด้วย” ภาสกรพึมพำ อรรควัสดึงแขนของตนกลับมาทว่าอีกฝ่ายยังจับจ้องที่แขนของบอสหนุ่มอย่างไม่วางตา
“เป็นอะไรภาสกร”
“บอส..คือพี่ชายคนนั้น..เหรอครับ” คำถามจากปากแดงเอ่ยถามออกมาแผ่วเบาด้วยความไม่เชื่อว่าสิ่งที่ตนเองกำลังเผชิญอยู่นั้นคือเรื่องจริง
“ไม่ใช่”
“ไม่จริง บอสมีเสื้อของผม”
“กล้าค้นข้าวของของฉันงั้นหรือ” อรรควัสดุเสียงห้วน แต่คราวนี้ภาสกรกลับไม่กลัว เขามั่นใจว่าบอสต้องการทำให้เขากลัวเท่านั้น
“บอสคือพี่ชายคนนั้น”
“ไม่ใช่”
“ถ้าไม่ใช่แล้วนี่คืออะไรครับ” ภาสกรยื่นแขนของตัวเองออกไปเทียบแขนของอีกฝ่าย เผยให้เห็นรอยแผลเป็นสีขาวจาง ๆ เส้นหนึ่งที่พาดผ่านแขนตนเองต่อไปยังแขนของอรรควัส
“...”
“ขนาดนี้แล้วยังปฏิเสธอีกเหรอครับ”
“จะใช่หรือไม่ใช่ แล้วมันสำคัญยังไงกับเธอ”
“บอสรู้ไหมว่าหลังจากนั้นผมเป็นห่วงพี่ชายคนนั้นมากแค่ไหน ไม่รู้ว่าเขาจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง”
“ก็แค่ผู้ชายคนหนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเด็กคนหนึ่งในตอนนั้น เธอจะคิดอะไรมากมาย ในเมื่อสุดท้ายแล้วเธอก็ลืมอยู่ดี”
“งั้นบอกผมหน่อยได้ไหม ถ้าในเมื่อเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น ทำไมบอสถึงต้องเอามาตั้งเป็นเลขห้องด้วย”
“เธอกำลังคิดอะไรเพ้อเจ้อ ไร้สาระแล้วภาสกร”
“ใครกันที่บอกผมว่าเลขห้าสิบสองมาจากอะไร ถ้าไม่ใช่เงินห้าร้อยและเด็กอายุสิบสองซึ่งสองอย่างนี้บอสจะปฏิเสธอีกเหรอว่าไม่ได้เกี่ยวกับผม”
“มันไม่ได้มีอะไรสำคัญ”
“ยอมรับแล้วใช่ไหมครับว่าบอสคือพี่ชายคนนั้น”
“...”
“หลังจากนั้นบอสเป็นไงบ้างครับ สบายดีไหม ลำบากหรือเปล่า” ภาสกรไม่คาดหวังว่าจะได้คำตอบจากอรรควัสว่าอีกฝ่ายคือพี่ชายในความทรงจำวัยเด็กหรือไม่ เขาจึงเลือกคำถามใหม่ดีกว่าอาจจะได้คำตอบง่ายกว่านี้
“ฉันจำไม่ได้”
“จำไม่ได้? เป็นไปไม่ได้ ทำไมบอสจะจำไม่ได้” ภาสกรทำเสียงไม่เชื่อ เขามั่นใจว่าอรรควัสต้องจำได้ไม่ลืมอยู่แล้ว แต่แล้วก็นึกได้ว่าตนเองกำลังเสียมารยาทอีกแล้ว “บอสคงไม่อยากเล่า ขอโทษครับที่ผมถามมากไป”
“เรื่องในอดีตไม่มีอะไรน่าจดจำ”
“อย่างนั้นหรือครับ ผมว่าไม่จริงหรอกครับ” ภาสกรคนมองโลกในแง่ดีไม่คิดว่าจะไม่มีความทรงจำดีเกิดขึ้นบ้างเลยเหรอ
“ก็อาจจะมีเพียงเรื่องหนึ่ง..”
“อะไรครับ” สายตาแวววาวเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ฉันไม่จำเป็นต้องบอกเธอ ภาสกร” นอกจากบอสใหญ่จะไม่บอกแม้เพียงนิดซ้ำยังส่งสายตาดุกลับมาแทน ทำให้ภาสกรสำนึกได้ว่าแท้จริงแล้วคนตรงหน้าเป็นคนยังไง
“ขอโทษครับ”
“รู้ตัวก็ดี” คนพูดเสียงดุเห็นอีกฝ่ายทำหน้าสลดลงจึงปิดแฟ้มลงแล้วจึงลุกขึ้นยืน “ขึ้นไปนอน”
ภาสกรพยักหน้าทำตามเจ้าของห้องพูดไร้การโต้แย้ง เรื่องในวัยเด็กเขาเองก็จำรายละเอียดไม่ได้มากเท่าไหร่ จะทู่ซี้ยืนกรานถามไปก็คงไม่มีประโยชน์และต่อให้รู้มากกว่านี้ ยังไงก็ไม่มีผลกับตอนนี้อยู่ดี เขาล้มตัวลงนอนอย่างเงียบเชียบ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เวลานี้ก็จวนเจ็ดโมงควรจะเข้านอนเสียที
อรรควัสที่เดินตามหลังอีกฝ่ายมาก็ไม่พูดอะไรเช่นกันนอกจากปลีกตัวหายเข้าไปในประตูลับเพื่ออาบน้ำให้ผ่อนคลายลงบ้าง ยอมรับว่าเขาไม่ใช่คนที่ชอบเล่าเรื่องของตัวเองให้ใครฟังพร่ำเพรื่อ แต่ดูสีหน้าของคนถูกดุนั่นสิ ทำไมต้องทำหน้าเสียใจและผิดหวังกับเรื่องแค่นี้ด้วย เจ้าของผับส่ายหน้าเล็กน้อยด้วยความระอาในใจ
เมื่อกลับออกมาอีกครั้ง ภาสกรนอนนิ่งเฉยอย่างเรียบร้อย อรรควัสจึงปิดไฟแล้วนอนลงที่ประจำอีกฝั่งของตนเอง อันที่จริงคิดว่าคนอ่อนวัยกว่าจะหลับไปแล้วเสียอีกถ้าหากไม่ได้สัมผัสถึงร่างกายที่เกร็งขึ้นอัตโนมัติ
เด็กเอ๋ย เด็กน้อยแกล้งหลับก็ได้อย่างงั้นหรือ อรรควัสยิ้มเพียงนิดเดียวแล้วพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบสงัด
“ตอนนั้นที่เธอเจอฉัน เธอคงเห็นแล้วว่าฉันกำลังถูกคนตามล่า...”
“...”
“พ่อของฉันติดหนี้ที่บ่อนพนันนั่น พวกเขาเลยตั้งใจมาจับฉันหวังว่าถ้าจับฉันได้พ่อจะหาเงินมาคืนเพื่อช่วยฉัน แต่หารู้ไม่ว่าพ่อฉันหนีไปแล้ว แม้แต่ตัวฉันเองก็ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหนเลยด้วยซ้ำ ฉันมาหาพ่อที่บ่อนเพราะก็คิดว่าเขาอยู่ที่นั่นเหมือนกัน”
“บอสมาจากที่ไหนครับ” ภาสกรอยากจะรอฟังเงียบ ๆ แต่ก็อดรนทนไม่ไหวจึงถามออกไป
“กรุงเทพฯ...ตอนนั้นฉันเรียนอยู่ที่กรุงเทพฯ ฉันติดต่อพ่อไม่ได้ก็เลยเสี่ยงดวงไปหาพ่อที่บ่อน”
“แต่ก็ไม่เจอใช่ไหมครับ” คนฟังถามต่ออย่างรวดเร็ว
“อืม ไม่เจอแถมยังซวยอีก” ภาสกรได้ยินเสียงหัวเราะดูแคลนของคนข้างกาย
“แล้วตอนนี้พ่อของบอสอยู่ที่ไหนครับ”
“ตายไปแล้ว”
“ขอโทษครับ ผมเสียใจด้วย” ภาสกรไม่กล้าถามต่อถึงสาเหตุการตายกลัวจะเป็นการเสียมารยาทมากเกินไป
“ไม่เป็นไร เรื่องก็ผ่านไปนานแล้ว วันที่เธอเจอฉันที่ห้องนี้คือวันตายของเขา” คำตอบสั้น ๆ ของบอสหนุ่ม ทำให้ภาสกรกลั้นหายใจครู่หนึ่งก่อนจะค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจออกมา ขนแขนลุกชันขึ้นมาเล็กน้อย สาบานว่าไม่ได้กลัวเลย
“ทะ..ที่ห้องนี้เหรอครับ”
“คิดอะไรของเธอน่ะ กลัวหรือไง เขาไม่ได้ตายที่นี่หรอก”
“งั้นเหรอครับ” ได้ยินดังนั้นภาสกรค่อยโล่งใจขึ้นมา
“พ่อฉันติดเหล้าอย่างหนักสุดท้ายก็ตายเพราะเหล้า ทำให้ฉันเกลียดเหล้ามากที่สุด”
“แล้วอย่างนั้นทำไมบอสถึงดื่มมันล่ะครับ” ภาสกรจำได้ว่าคืนแรกเขาเห็นบอสหนุ่มเมามายอย่างหนักเลยด้วยซ้ำ
“ฉันดื่มเป็นเพื่อนเขา” อรรควัสแค่นเสียงตอบ
ภาสกรจึงเข้าใจว่าทำไมตอนนั้นอรรควัสถึงขอแก้วเหล้าสองใบ ที่แท้ก็เผื่อสำหรับพ่อด้วย แต่ทั้งนี้ชายหนุ่มก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายดื่มให้พ่อบังเกิดเกล้าเพียงอย่างเดียว เพราะเขารู้สึกถึงความอ้างว้างและความเสียใจที่เกิดขึ้นอรรควัสได้
“บอสคงคิดถึงท่านมาก” ภาสกรวัดจากตัวเอง เพราะเขาต้องคิดถึงคนที่จากไปแน่ ๆ
“เขาเป็นญาติเพียงคนเดียวของฉัน และไม่เคยรู้สึกดีกับการจากไปของเขาเลยสักครั้ง เธอคิดว่ายังไงล่ะ”
ภาสกรทำใจกล้าพลิกตัวกลับไปทางอีกฝ่าย “ทุกอย่างจะดีขึ้นครับ”
เขาถือวิสาสะวางมือบนแขนบอสหนุ่มก่อนจะตบเบา ๆ สองสามทีเป็นการปลอบใจ ซึ่งเป็นจุดเดียวกับรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นระหว่างที่หนีคนตอนนั้น อรรควัสดึงแขนออกมาทำให้ภาสกรใจเสียเล็กน้อยที่ทำตัวจาบจ้วงอีกฝ่าย เขาจึงเตรียมชักมือกลับทว่ากลับถูกยึดมือเอาไว้
“แผลเป็นนี่ ฉันเองต้องขอโทษด้วย” คนพูดลูบรอยจาง ๆ นี้ไปพร้อม ๆ กัน คนถูกลูบกำลังรู้สึกแปลก ๆ กับความใกล้ชิดในลักษณะนี้
“เอ่อ..ไม่เป็นไรครับ” พอถูกขอโทษตรง ๆ ภาสกรเลยอดเขินไม่ได้
“เพราะฉัน..เธอเลยโดนลูกหลงไปด้วย”
“ไม่ใช่สักหน่อย ผมต่างหากที่เข้าไปยุ่งเรื่องของบอสเอง บอสไม่ต้องโทษตัวเองหรอกนะครับ แผลเป็นนี่ก็ไม่ได้ทำให้ผมลำบากอะไรด้วย ดูเท่เสียอีกจะได้ดูเหมือนผ่านวีรกรรมอะไรมาสักอย่าง บอสเองก็มีเหมือนกันนี่ครับ ก็ไม่เห็นเป็นอะไร หรือว่าบอสไม่ชอบครับ” ภาสกรเล่าด้วยน้ำเสียงติดตลก
“เท่ยังไง รอยพวกนี้ไม่น่ามีอยู่บนตัวเธอเลยด้วยซ้ำ” คนถูกถามกลับไม่ตอบเรื่องที่อีกฝ่ายแกล้งเย้าถามเลือกพูดเรื่องของภาสกรแทน
“ผมเป็นผู้ชายไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้อยู่แล้วครับ” ภาสกรพยายามย้ำให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าเขาไม่ได้ติดใจเรื่องแผลเป็นนี้จริง ๆ “อีกอย่างหนึ่ง ถ้าการที่ผมช่วยบอสในวันนั้นแล้วทำให้บอสมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขเหมือนในเวลานี้ ผมก็คิดว่ามันคุ้มที่สุดแล้ว”
“ภาสกร เธอ..” คำพูดจากเด็กใจดีในสายตาอรรควัสทำให้เขาอุ่นวาบในใจพลางดึงร่างของอีกฝ่ายให้เข้ามาใกล้กันมากขึ้น กระทั่งภาสกรเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขา “ฉันเดาว่า แม่กับพี่สาวเธอคงปวดหัวกับการกระทำและคำพูดของเธอน่าดู เอาแต่ช่วยคนอื่นไปทั่ว”
ถึงแม้ภาสกรจะตกใจที่ถูกดึงเข้าไปใกล้อีกฝ่ายอย่างกะทันหัน อย่างนั้นแล้วก็ไม่วายอมยิ้มเมื่อนึกถึงแม่กับพี่สาว “พี่พรีมบ่นประจำเลย ผมก็แค่ช่วยเท่าที่ช่วยได้เท่านั้นเอง ไม่ได้มากมายอะไร ว่าแต่บอสรู้ได้ไงครับ”
“ฉันเองก็อยากบ่นเธอเหมือนกัน คำพูดของเธอนี่นะ”
“คำพูดของผมมันทำไมครับ”
“มันทำให้คนฟังรู้สึกแบบนี้น่ะสิ”
บอสหนุ่มพูดจบก็บดริมฝีปากลงบนหน้าผากอีกคนทันที ภาสกรตกใจอีกครั้งกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันหากเขาก็ไม่กล้าห้ามหรือส่งเสียงบอกอีกฝ่ายให้หยุด เพราะถึงแม้เขาอยากบอกให้อีกฝ่ายหยุดแต่ริมฝีปากของภาสกรก็ไม่ว่างพอที่จะให้พูดเสียแล้ว
========================================
มาสายหนึ่งวัน งานเยอะมากจริงๆ ค่ะ โต้รุ่งกันยาวไป ขอโทษด้วยค่ะ
แล้วเจอกันสัปดาห์หน้าค่ะ (พฤหัส ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด)
HASHTAG #พนันท้ารัก ค่ะ