ตอนที่ ๓
“เฮ้ออออ” อโณชาถอนหายใจเฮือกใหญ่พร้อมกับทรุดนั่งลงบนม้าหินใต้เรือน แดดยามบ่ายทอแสงและร้อนระอุอยู่ไม่น้อยหากแต่มีร่มไม้เขียวครึ้มในตัวบ้านช่วยบรรเทาทำให้ไม่เลวร้ายเท่าไหร่นัก บ่าวทองหยิบน้ำลอยดอกมะลิมาวางบนโต๊ะก่อนจะนั่งลงข้างด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรไปหรือจ๊ะ คุณโน ถอนหายใจซะหมดท่าเลย”
“เหนื่อยๆนิดหน่อยน่ะครับ เข้าไปในตัวเมืองมา”
“อ้อไปทำธุระมาหรอ”
“ครับ ว่าจะไปติดต่อหาพวกพันธ์ข้าว ปุ๋ย แล้วก็ค่าจ้างรถดำนาน่ะครับ”
“เอ๋.... ไอ้รถดำนานี่มันเป็นยังไงจ๊ะเนี่ย”
“เอ่อ... จะพูดยังไงดี มันก็เป็นเครื่องจักรที่ช่วยทุ่นแรงคนจะได้ไม่ต้องปวดหลังดำนาเองไงครับ แล้วต้นข้าวก็ตั้งตรงและเป็นระเบียบด้วย”
“โอ้โห.... สุดยอดขนาดนั้นเลยหรอจ๊ะคุณโน คงจะแพงมากสิท่า”
“แพงอยู่แล้วล่ะครับ แต่ส่วนใหญ่คนที่ไม่ได้จะทำนาเป็นเรื่องเป็นราวทีละร้อยๆไร่เค้าก็ไม่ซื้อกันหรอก จะเช่าเอา แต่ที่ผมถอนหายใจก็เพราะว่าค่าเช่ามันแพงเหลือเกิน”
“เค้าคิดเท่าไหร่ล่ะคะ”
“ไร่ละพันครับ”
“คุณพระช่วย!”
“ไม่รู้ว่าถ้าขอเงินเพิ่ม ลุงวันแกจะโอเคมั้ย”
“ลุงคิดว่ามันไม่จำเป็นหรอกโน” เสียงของลุงวันดังขึ้นแทรกการสนทนาระหว่างอโณชากับนางทอง “นาแค่ไม่กี่ไร่ ตั้งใจทำไม่กี่วันก็เสร็จแล้ว”
“โธ่ลุงวัน .... แต่ผมเคยดำนากับเค้าที่ไหนล่ะ”
“เป็นเจ้าของนาทำอะไรไม่เป็นเลยใช้ได้ที่ไหน แถมลงทุนขนาดนั้น ไม่กลัวขาดทุนหรอ อย่าลืมสิเงื่อนไขของย่าเราน่ะ”
“เรื่องย่าน่ะผมรู้ดี แต่สมัยนี้ใครๆเค้าก็จ้างเอาทั้งนั้นแหละ”
“ที่ไม่กี่ไร่จะไปจ้างให้เสียสตุ้งสตังค์ทำไม ลุงก็อยู่ทั้งคน ไหนจะแม่ทอง นังทิ้ง ชาวบ้านที่นี่เวลาดำนากรือเกี่ยวข้าวเค้าก็ไปขอแรงมาช่วยกัน ไม่กี่วันก็เสร็จแล้ว”
“แต่ผมรู้จักใครที่ไหนล่ะครับ ลุงวัน”
“อ้าวแล้วข้านี่เป็นคนอื่นรึไงวะ ไหนจะไอ้เมฆอีก มันเก่งจริงๆนะเรื่องทำนาเนี่ย ไปขอให้มันช่วยสิ ชาวบ้านก็รักก็ชอบมันเยอะถ้ามันออกปากเดี๋ยวก็มาช่วยกันเยอะแยะ”
“ผมไม่อยากไปยุ่งกับไอ้บ้านั่นเท่าไหร่น่ะลุง ... ไม่ค่อยถูกชะตา”
“อะไรกัน สมัยก่อนยังวิ่งเล่นด้วยกันอยู่เลย ไม่เจอกันไม่กี่ปีเขม่นกันซะแล้วหรอ”
“เอ๋...ผมน่ะหรอครับ เคยวิ่งเล่นกับไอ้มืด เอ๊ย ไอ้เมฆน่ะ”
“จริง! สมัยเด็กๆน่ะ ลุงเห็นวิ่งเล่นกันได้ทุกวี่ทุกวันกับไอ้เมฆมัน จนสี่ขวบน่ะ แม่เราก็พาเข้ากรุงเทพ โนจำไม่ได้เลยหรอ”
อโณชาเลิกตาขึ้นนึกย้อนไป ความทรงจำเกี่ยวกับชีวิตที่เดิมบางเลือนลางจนเหมือนลืมเลือนไปแล้วว่าครั้งหนึ่งเขาเคยมาอยู่ที่นี่ แม่กรอกหูให้เขาฟังอยู่เสมอว่า บ้านของย่านั้นมีแต่คนใจร้ายและแม่เกลียดที่นี่ ทำให้เด็กที่ยังหัวอ่อนอย่างเขาคล้อยตามพอสมควร ... ประกอบกับการกลับมาเจอกันอีกครั้งของชายหนุ่มทั้งสองคน ที่สร้างความรู้สึกเกลียดหน้ากันในครั้งแรกยิ่งทำให้อโณชารู้สึกไม่อยากรู้จักผู้ชายคนนี้สักเท่าไหร่
“สมัยก่อนน่ะ....บ้านผู้ใหญ่มั่นเค้ายังไม่มีเหมือนเดี๋ยวนี้หรอก พ่อของผู้ใหญ่มั่นแกป่วย เสียนาเป็นไร่ๆจนแทบจะหมดเนื้อหมดตัว ย่าเราเค้าสงสารเจ้าเมฆมันมั้ง เลยส่งเสียให้ได้เล่าเรียน ไอ้เมฆมันเลยรักย่าของโนเหมือนย่าแท้ๆของมันเลย”
“แล้ว...ที่แม่บอกว่าย่าเป็นคนงกล่ะครับ”
“ลุงก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าเป็นเพราะอะไรย่าถึงเปลี่ยนใจยอมเสียเงินส่งไอ้เมฆมันเรียนน่ะ แต่ถ้าให้ลุงเดา ก็อาจจะเป็นเพราะว่าย่าเราเค้าคิดถึงโนล่ะมั้ง”
“คิดถึงผมน่ะหรอครับ?”
“ใช่ .... แม่ไพน่ะ เค้าแอบหอบเราหนีไม่บอกใครสักคำนะ มีแค่เสื้อผ้าติดตัวกับตะกร้าผ้าอ้อม ก็อย่างที่รู้แม่เราน่ะเป็นหญิงใจเด็ดขนาดไหน ย่าเราเค้าเสียใจนะ ลุงคิดว่าอย่างนั้น ที่ทำให้แม่ไพต้องหอบโนหนีไป และเหมือนเค้าจะคิดถึงโนมาก ย่าของเราเค้าเลยสงสารไอ้เมฆเหมือนเป็นหลานแท้ๆคนหนึ่งของแก”
อโณชาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะเอนหลังพิงม้าหินและครุ่นคิดตาม บางทีเขาอาจจะต้องมองเมฆินทร์เสียใหม่อีกครั้ง อย่างไรเสียขึ้นชื่อว่าเพื่อนเก่า ก็ไม่ควรจะต้องไปตั้งแง่สักเท่าไหร่
“ว่าแต่ ผมจะทำยังไงกับที่นานี้ดีครับเนี่ย ... ลุงจะไม่ให้ผมเบิกเงินเพิ่มจริงๆหรอ”
“แน่นอน ลุงว่าโนน่าจะลองไปปรึกษาไอ้เมฆมันดูนะ ถ้าอะไรๆก็จ้าง ลุงว่าโนไม่มีทางทำได้ตามที่พินัยกรรมระบุแน่ๆ”
“ไม่มีทางอื่นแล้วหรอครับ ผมยังคิดว่า....”
“ลุงว่าลองไปปรึกษาไอ้เมฆมันก่อนน่ะดีแล้ว ชาวบ้านที่นี่ส่วนใหญ่ก็ไปขอคำปรึกษาจากไอ้เมฆกันทั้งนั้นแหละ”
“เฮ้อ.... ผมจะลองดูแล้วกันครับ”
.
.
.
อโณชาปั่นจักรยานลัดเลาะไปบนคันนาในตอนสายๆฝ่าเปลวแดดไปจนถึงกระท่อมเล็กๆที่ปลูกไว้รินคันนา เบื้องหน้าไกลๆชายหนุ่มเห็นชายผิวคล้ำกำลังนั่งทำอะไรสักอย่างพร้อมกับควายแคระที่ผูกไว้กับร่มไม้ใหญ่
“โอ้ ... พ่อหนุ่มกรุงเทพ ลมอะไรหอบคุณมาหาผมถึงนี่ล่ะครับ” เสียงเหน่อๆทักขึ้นพร้อมด้วยรอยยิ้มมุมปาก
“ผู้ใหญ่บอกว่านายอยู่ที่นี่ ผมเลยตามมา”
“ดูเหมือนคุณจะมีธุระกับผม ไม่อย่างนั้นคงไม่มาหาถึงที่นี่”
“ก็...นิดหน่อยน่ะ”
“ผมก็คิดอย่างนั้นแหละ ดูคุณโนไม่อยากเสวนากับไอ้บ้านนอกอย่างผมเท่าไหร่หรอก”
“นี่คุณ ผมพูดดีๆด้วยก็อย่ากระแนะกระแหนนักสิ”
“โอเคๆ อย่าถือสาผมนักเลย มีอะไรจะให้ผมรับใช้ล่ะคร้าบบ”
“เห็นลุงวันบอกว่าให้ลองมาปรึกษาคุณ ว่าควรจะเริ่มต้นทำนายังไง”
“อ้อ คุณมาหาถูกคนแล้วล่ะ”
“งั้นบอกมาสิ ผมควรจะเริ่มยังไง”
“แล้วถ้าผมบอกไป ผมจะได้อะไรล่ะ”
“....คุณคิดค่าปรึกษาด้วยหรอ” อโณชาย่นคิ้ว พลางครุ่นคิดคำนวนต้นทุนที่เขาต้องเสียเพิ่มเติม“แล้วมัน....เท่าไหร่ล่ะ”
“คนกรุงเทพนี่เอะอะอะไรก็เงินไปทุกอย่างสิน่า .... เอาเป็นว่า มาช่วยผมทำนาที่นี่สักอาทิตย์หนึ่งก็พอ โอเคมั้ย”
คิ้วที่ขมวดกันของอโณชาคลายลง ก่อนจะคลี่ยิ้มเล็กน้อย “อ่า ... ก็ได้ เริ่มเมื่อไหร่ล่ะ”
“พรุ่งนี้”
“ตกลง ว่าแต่วันนี้คุณจะทำอะไรบ้างล่ะ ผมอยากจะศึกษาก่อนสักหน่อย”
เมฆินทร์ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะใช้ผ้าขาวม้าที่พาดบ่าอยู่ขึ้นมาซับเหงื่อช้าๆ “เป็นนักเรียนที่ดีนะคุณน่ะ แต่จะไปได้สักกี่น้ำกันนะ”
ชายหนุ่มก้าวขาลงจากจักรยาน ก่อนจะเดินไปนั่งในกระท่อม พร้อมทั้งส่งสายตาท้าทายว่าที่อาจารย์ “อย่าดูถูกกันนักสิ ถึงผมจะโตที่กรุงเทพ แต่ผมก็มีเลือดสุพรรณนะ”
“นึกว่าจะลืมบ้านเกิดไปแล้วนะคุณโน”
อโณชาหันมายิ้มเล็กน้อย ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆตัว กระท่อมของเมฆินทร์เป็นกระท่อมไม้ไผ่มุงจากโล่งๆ ไกลออกไปเป็นที่นาของเขาที่เริ่มตั้งท้องเขียวขจีเต็มแปลง สายลมพัดมาเบาๆทำให้ใบข้าวไหวช้าๆ ชายหนุ่มลุกจากแคร่ไม้ไผ่เดินมาที่ริมคันนา ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ
“ผมไม่ได้หายใจลึกๆแบบนี้นานแล้วนะเนี่ย”
“เริ่มจะสำนึกรักบ้านเกิดแล้วหรอคุณ”
“ก็ไม่เชิงหรอก ... หรืออาจจะนิดหน่อย ยังไงซะก็ต้องอยู่ที่นี่อีกตั้งนานนี่นา” ชายหนุ่มหันมายิ้มให้เจ้าของที่นา ก่อนจะพูดต่อ “เห็นลุงวันบอกว่า คุณเคยเป็นเพื่อนเล่นสมัยเด็กกับผมหรอ .... ทำไมผมจำไม่ได้เลยล่ะ”
“ไม่แปลกหรอก ก็คุณไปจากเดิมบางตั้งแต่สี่ขวบนี่นา”
“แล้วทำไมคุณถึงจำได้ล่ะ”
“เอ่อ....” ชายหนุ่มอึกอัก ก่อนจะตอบ “ผมแก่กว่าคุณสองปี ตอนนั้นก็ห้าหกขวบ พอจะรู้ความบ้างแล้วล่ะ”
“อ้อ ... ถ้าอย่างนั้นผมก็ต้องเรียกคุณว่าพี่เมฆสิ ... ขอโทษนะครับที่ล่วงเกินพี่เมฆไปซะเยอะเลย”
เมฆินทร์หัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบ “ไม่เป็นไรหรอกโน ...นี่โนรู้มั้ย ตอนนั้นน่ะ โนยังเรียกพี่ว่าพี่เม่ พี่เม่อยู่เลย”
“จริงสิครับ “
“จริงจริ๊ง .... โนเห็นต้นมะม่วงข้างศาลพระภูมิบ้านเรามั้ย มะม่วงต้นนั้นน่ะ โตได้เพราะโนฉี่รดนะนั่น”
“เอ๊ย ไม่จริงน่าครับ”
“แหม .... น่าเสียดายที่พี่ไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้ จะได้เถียงไม่ออก”
สายลมพัดมาเป็นระลอกๆ ....เหมือนพัดพาความทรงจำและวันเวลาสมัยเด็กๆของคนทั้งคู่ให้หวลระลึกถึงอีกครั้ง ชายหนุ่มทั้งสองคนนั่งคุยกันอย่างออกรสจนตะวันเลยหัว หนุ่มผิวเข้มเป็นคนเอ่ยถึงเวลาขึ้นก่อน
“คุยเพลินจนลืมเวลาเลยโน บ่ายแล้วนะ หิวหรือเปล่า”
“จริงหรอครับ ผมก็ไม่ได้เอานาฬิกามา ไม่รู้เวลาเลย สงสัยจะคุยเพลินจริงๆ”
“พี่ไม่ได้เอาข้าวมาเผื่อ กลับไปกินข้าวที่บ้านพี่กันมั้ย”
“ยินดีครับ”
.
.
.
อีแฉะก้าวขาช้าๆไปตามคนนาคู่กับล้อจักรยายที่ขี่คู่กันไปพร้อมกับชายหนุ่มทั้งสองคนที่ยังพูดคุยกันไปตามทางอย่างไม่กลัวแสงแดด ไม่นานนัก ทั้งคนทั้งควายก็มาถึงที่หมาย
“เอ๊า พ่อโน ....ไปยังไงมายังไงจ๊ะเนี่ย” นางชื่นภรรยาผู้ใหญ่บ้านเดิมบางเอ่ยทัก
“พี่เมฆชวนผมมากินข้าวกลางวันที่นี่น่ะครับ”
“แหม พอดีเลย แม่ต้มส้มปลาดุกกับทำต้มน้ำปลาร้าเอาไว้เยอะแยะเลยล่ะ”
“เอ๋ ...ปลาร้า” ชายหนุ่มหน้าเสียเมื่อได้ยินเมนูอาหาร ปลาร้าในความคิดของคนกรุงอย่างอโณชาหน้าตาดูไม่น่ากินเท่าไหร่นัก
“อย่าเพิ่งทำหน้าอย่างนั้นสิ ลองชิมก่อน ไม่ใช่ปลาร้าอย่างที่โนคิดหรอกน่า”
.
.
.
บนโต๊ะกินข้าวใต้ถุนบ้านมีเพียงอโณชากับเมฆินทร์นั่งอยู่ หลังจากที่นางชื่นนำกับข้าวมาวางไว่ให้ก็ขอตัวไปธุระทิ้งไว้แต่ชายหนุ่มสองคน
อโณชามองชามอาหารบนโต๊ะอย่างหวาดๆ มีปลาย่างตากแห้งกลิ่นไม่คุ้นจมูกกับชามต้มส้มปลาดุกและชามต้มปลาดุกกับน้ำปลาร้า ชายหนุ่มตักแต่เนื้อปลาดุกจากชามต้มส้ม พลางมองไปที่ชามต้มน้ำปลาร้าสีน้ำตาลอ่อนที่ดูข้นคลั่ก
“กินไม่เป็นหรอ”
“อ่า ... ผมกลัวอ้วกออกมาแล้วเดี๋ยวพี่เมฆจะพาลกินไม่ลงกับผมน่ะ แต่ต้มส้มนี่อร่อยดีนะครับ”
“ต้มน้ำปลาร้าก็อร่อยนะ ลองชิมสิ ไม่เหม็นอย่างที่คิดหรอก”
“เอ่อ....”
อโณชายังคงหวาดๆ จนเจ้าบ้านถือวิสาสะตักน้ำปลาร้าใส่ในข้าวของแขกเสียเอง
“อ่ะลองก่อนน่า “
อโณชาฝืนตักข้าวราดน้ำปลาร้าเข้าปากก่อนจะค่อยๆฉีกยิ้มช้าๆ
“เห็นมั้ยล่ะบอกแล้วว่าอร่อย”
.
.
.
อากาศยามเย็นที่บ้านเดิมบางเย็นสบายตามแบบอากาศของท้องทุ่ง หนุ่มบ้านนอกอย่างอโณชานั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ข้างกองไฟที่จุดไล่ยุง พลางนึกถึงข้าวกลางวันมือที่ผ่านมา ปลาดุกในชามต้มส้มและต้มน้ำปลาร้าเหลือแต่โครงจากฝีมือของเพื่อนเล่นในวัยเด็กอย่างอโณชาหลังจากที่ได้รู้รสชาติที่แท้จริงว่าเอร็ดอร่อยเพียงใด แม่ของเขาคงจะทำอร่อยเป็นพิเศษจนผู้มาชิมกินเสียจนข้าวติดริมฝีปาก.... ชายหนุ่มนั่งยิ้มกับภาพของคนคนนั้น ... ที่ยังเหมือนเดิม พอเจอของอร่อยทีไร ก็กินจนลืมที่จะสังเกตุตัวเอง
หน้าแดงๆอย่างขวยเขินตอนที่เมฆินทร์เอื้อมมือไปหยิบข้าวที่ติดอยู่ที่ปากของอโณชาทำให้เขาอมยิ้ม ความมูมมามของคนๆนั้นยังสร้างรอยยิ้มให้กับหนุ่มบ้านนา และรอยยิ้มนั้นยังระบายอยู่บนใบหน้าของเมฆินทร์จนถึงยามเย็นเช่นนี้
“อีแฉะ เอ็งคิดเหมือนข้ามั้ยวะ ว่าเจ้าโนมันยังน่ารักเหมือนตอนเด็กไม่มีผิดเลยว่ะ”
ควายตัวเมียเจ้าของชื่อแฉะขยับหูไล่ยุงอย่างไม่รับรู้เท่าไหร่ หากแต่มันส่งเสียงรับเบาๆเหมือนพยายามเข้าใจว่าผู้เป็นเจ้าของต้องการจะบอกอะไร
“แกนี่ ... เลี้ยงมาตั้งแต่เป็นควายตัวกะเปี้ยก ป่านนี้ก็ยังไม่เข้าใจข้าอีก อะไรวะ .... ข้าบอกว่า เจ้าโนมัน ....น่ารักเนาะ”
ดวงตาซื่อๆของอีแฉะมองผู้เป็นเจ้าของเหมือนจะรับรู้ หากแต่มันคงสื่อสารกับเมฆินทร์ไม่ได้ไปมากกว่านี้ รอยยิ้มจากภาพของชายผู้มาเยือนในตอนบ่ายเผื่อแผ่มาถึงควายอย่างอีแฉะด้วย ก่อนที่ชายหนุ่มจะดำเนินบทสนทนาข้างเดียวกับควายคู่ใจต่อไป
“ช่างเถอะ .... ว่าแต่ว่าวันนี้แกอยากฟังเพลงอะไรล่ะฮึ อีแฉะ .... เอาเพลงนี้ก็แล้วกัน แกไม่ได้ฟังนานแล้วนะ”
อโณชาหยิบขลุ่ยไม้ไผ่ออกมา ก่อนจะเป่ามันออกมาพร้อมกับเสียงแว่วหวานที่ดังขึ้นมากเครื่องดนตรีชายทุ่งสอดรับกับเสียงดังเปรี๊ยะปร๊ะของไม้ฟืนที่ประทุในกองไฟ
“เสียงขลุ่ยครวญหวนมากับลม
พี่สะอื้นฝืนระทม....กล้ำกลืนฝื่นข่มใจเหงา
ขลุ่ยครางครวญพี่หวนคะนึงถึงเจ้า
พังเสียงหริ่งหรีดเร้า ....พี่ยิ่งเศร้า...ไม่วาย
น้องจากนาหายหน้าจากจร....สู่กรุงเทพมหานคร
ตัดรอนมิตอบจดหมาย
ได้ข่าวดีเจ้าคว้าเทพีชาวไร่
ลืมรักเก่า....เราไว้สิ้นเยื่อใย..ลืมลง
โอ้....เจ้ากลอยดาวน้อยบ้านนา
จากดอกหญ้าไปเป็นดารา...สูงส่ง
พี่พลอยปลื้มถึงน้องจะลืมพี่ลง
อย่าเริงหลง....น้องเอ๋ยเจ้าจงระวัง
หวิว....ไผ่ครางเคล้าลมอ่อนโอน
ต้นตาลเดี่ยวสุดฝืนยืนต้น....ดั่งคนสูญสิ้นความหวัง
ขลุ่ยบรรเลงเจ้ารับฟังเพลงพี่บ้าง
กลอยเอ๋ยอย่าราล้าง....หนุ่มเดิมบางสุพรรณหลงคอย”
ท้องฟ้ายามราตรีที่บ้านเดิมบางในคืนข้างแรมคืนนี้มีดาวใหญ่น้อยมากมายแข่งกันส่งแสงสว่างไสวเต็มฟ้า บทเพลงที่จบลงแม้จะเป็นเพลงเศร้าแต่ก็เหมือนกับเป็นเพลงที่จบไปแล้ว ... ชายหนุ่มยิ้มให้กับท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวพร่างพราว หากเพลงนี้จะสื่อถึงความรู้สึกในใจของเมฆินทร์แล้วล่ะก็ คงมีเพียงวรรคสุดท้ายสั้นๆที่สะท้อนความรู้สึกภายในใจได้อย่างตรงไปตรงมาที่สุด
“....หนุ่มเดิมบางสุพรรณ....หลงคอย”นิยายเรื่องนี้มันผู้ใหญ่ลีกับนางมาเวอร์ชั่น ชาย-ชาย จริงนั่นแหละครับ
แต่เรื่องราวจะดำเนินไปแบบไหนต้องติดตามกันนะครับ
มาต่อช้ากว่าเรื่องที่แล้วทีอัพทุกวันไม่ได้ อย่างที่บอกว่าที่ทำงานใหม่ไม่สะดวกในหลายๆอย่าง
ขอบคุณหลายๆคนที่ติดตามกันนะครับ
เรื่องนี้อาจจะไม่หวือหวาเหมือนนิยายเรื่องที่ผ่านๆมา แต่ยังไงก็ฝากด้วยนะครับ