┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดที่ 2
ปกติเขาไม่พกเงินเยอะ ครั้งก่อนที่มีพอจ่ายเจ้าหนุ่มนั่นก็เพราะเพิ่งกดตู้เอทีเอ็มออกมาพอดี แต่ดูตอนนี้เข้าเถอะ เงินหมื่นกว่าบาทที่นอนแอ้งแม้งอยู่ในกระเป๋าสตางค์ ทำให้ภูเมศต้องมานั่งคิดว่าตัวเองกำลังทำบ้าอะไรอยู่
ไม่ว่าจะใจลอยถึงไหน แต่คิดไปคิดมา สุดท้ายก็เหม่อไปถึงเจ้าเด็กเซเว่นธุระเยอะคนนั้นอีกแล้ว ขนาดโทรศัพท์มือถือดัง ใครโทรมาและเขาหยิบมารับสายตอนไหนยังไม่ค่อยรู้ตัวเลย
“พ่อครับ”
เสียงลูกชายที่ได้ยินผ่านโทรศัพท์ ดึงสติภูเมศกลับสู่สถานการณ์ปัจจุบันในทันที
“อะ..!”
แต่ท่าทางจะตะกุกตะกักจนลูกชายแปลกใจ ถึงกับต้องถามมาอีกครั้ง
“คุณพ่อ? ฮาโหล ได้ยินผมไหม”
“อื้ม?” เขายกมือนวดขมับ “ว่าไงลูก”
“วันนี้กลับบ้านกี่โมงครับ? มืดไหมอะ”
มืดไหม?
คืนนี้ผมเลิกงานสี่ทุ่มครึ่งจากนวดขมับ..ก็กลายเป็นกุมขมับ
“เอ้อ..พ่อว่าคงจะ—”
“มีอะไรจะให้ดูด้วยละ” เด็กชายพร้อมภูมิร้องอวดด้วยน้ำเสียงเริงร่าผ่านสัญญาณโทรศัพท์
ภูเมศพอเดาออกว่าลูกชายวัยเก้าขวบอยากอวดอะไร เมื่อวานเจ้าตัวเพิ่งออกปากเองว่าวันนี้ประกาศคะแนนสอบกลางภาค สัญญากันไว้เป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าหากทำคะแนนได้ดี วันหยุดคราวหน้าจะพาไปเที่ยวกับน้องสาวที่ตอนนี้แยกไปอยู่กับภรรยาได้ครึ่งปีแล้ว
ถึงพ่อแม่มีปัญหากันอย่างไร แต่เด็ก ๆ ที่เคยอยู่ด้วยกันมาทั้งชีวิตก็ยังรักใคร่กันอยู่เสมอ นึกถึงตรงนี้ให้รู้สึกว่าตัวเองทำตัวเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่องเสียแล้ว อย่างไรก็ไม่อยากให้ลูกชายโตมากลายเป็นเด็กขาดความอบอุ่น
“เอางี้ เดี๋ยวพ่อทำงานก่อน ใกล้เสร็จแล้ว เสร็จปุ๊บจะรีบกลับเลยโอเคไหม”
“กี่โมงเหรอครับ”
ชายหนุ่มเหลือบมองนาฬิกา ตอนนี้หกโมงครึ่งแล้ว
“ไม่เกินทุ่มครึ่ง” เขาว่า พรมนิ้วลงบนโต๊ะเบา ๆ อย่างที่มักเผลอทำเวลาครุ่นคิดในเรื่องที่ลำบากใจ “..น่าจะราว ๆ นั้น แล้วนี่เรากินข้าวหรือยัง อยู่ในตู้เย็น เห็นแล้วใช่ไหม เอาไปเวฟอย่างที่พ่อเคยทำให้ดู ทำได้เนอะ”
“ผมยังไม่หิวอะ” เด็กน้อยทำเสียงหงุงหงิง “ถ้าแค่ทุ่มครึ่ง ผมรอพ่อก่อนได้”
“เป็นเด็กเป็นเล็ก กินข้าวผิดเวลาไม่ดีรู้ไหม”
เจ้าตัวเล็กหัวเราะร่า “งั้นพ่อก็รีบกลับบ้านสิครับ”
ภูเมศถอนใจเฮือก หรือเขาควรหาพี่เลี้ยงให้ลูกชายสักคน ไว้คอยดูแลระหว่างที่ตัวเองต้องทำงาน ถึงอีกฝ่ายจะไม่ดื้อไม่งอแงอย่างไร แต่เอาเข้าจริงก็เป็นเด็กอายุแค่เก้าขวบ ปล่อยอยู่บ้านคนเดียว แม้จะเป็นช่วงสั้น ๆ ระหว่างรอเขาเลิกงานออกจะน่าเป็นห่วงไม่น้อย
“นะ?” พอเห็นเขาเงียบไป เสียงออดอ้อนก็ดังมาตามสาย “พ่อต้องรีบกลับมาดูนะ อยากอวดมากเลย”
“โอเคครับ ๆ” ชายหนุ่มโคลงศีรษะ “งานเสร็จจะรีบกลับเลย”
“รอนะครับ”
หลังวางสาย ชายหนุ่มยังพรมนิ้วลงบนโต๊ะต่อเนื่อง นั่งเหม่ออยู่อีกพักใหญ่
มันก็แน่อยู่แล้วที่เรื่องลูกชายต้องมาก่อน แต่จะเอาอย่างไรกับเจ้าเด็กเซเว่นคนนั้นดี หนึ่งทุ่มครึ่งกับสี่ทุ่มครึ่ง เวลาห่างกันเกินไป และต่อให้เขาพาเจ้าเด็กนั่นกลับไปได้จริง แล้วอย่างไรต่อ? ให้พาเข้าบ้านหรือ ตลกแล้ว ลูกชายเขาอยู่บ้านทั้งคน จะบอกลูกอย่างไร เขาเองก็ทำอะไรไม่คิด ตอนนั้นมัวแต่หน้ามืดอยากเอาชนะเด็กกวนประสาท แล้วต้องมาวุ่นวายใจทีหลังแบบนี้ช่างไม่เป็นผู้ใหญ่เอาเสียเลย
สุดท้ายก็ตัดสินใจรีบทำงานของตัวเองจนเสร็จ ราวหนึ่งทุ่มตรงออกจากออฟฟิศ แต่ยังไม่ลืมเดินผ่านร้านสะดวกซื้อที่ไปมาแล้วรอบหนึ่งเมื่อตอนเย็น คิดไม่ออกว่าเจอหน้าคนที่นัดกันไว้แล้วจะบอกว่าอย่างไรดี จึงมัวยืนยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่หน้าร้านเป็นนานสองนาน ระหว่างนั้นคอยชะเง้อผ่านกระตูกระจกเข้าไปด้วย แต่ยืนส่องจนเมื่อยไม่ยักเห็นเจ้าเด็กหวงชื่อคนนั้น หรือจะไปทำงานส่วนอื่นที่ไม่ใช่เคาน์เตอร์แคชเชียร์
เมื่อมองจากข้างนอกไม่เห็น จึงได้ลองเข้าไปเดินวน ๆ อยู่ในร้าน เสียงพนักงานร้องต้อนรับดังลั่นเหมือนเคย แต่ไม่มีเสียงของคนที่มองหาสักแอะ
เขาทำทีเป็นเดินเลือกของ แต่กวาดตามองไปทั่ว ขนาดเปิดตู้แช่เย็นทำท่าเหมือนเลือกเครื่องดื่ม ยังแอบจ้องเข้าไปด้านหลังตู้นั่น ว่าจะมีตัวแสบจอมไถเงินอยู่ข้างหลังหรือเปล่า
แต่ที่ไหนก็ไม่มี..
เดินวนเวียนจนคิดไปเองว่าพนักงานเริ่มมองมาด้วยสายตาแปลก ๆ จึงตัดสินใจหยิบเครื่องดื่มโง่ ๆ ขึ้นมาสักขวดแก้เก้อ ระหว่างจ่ายเงินยังคิดอยู่ว่าจะถามพนักงานคนอื่นดีไหม ว่าไอ้หนูหน้ามึนคนนั้นไปไหนเสียแล้ว แต่กลับยั้งปากไว้เสียก่อน
ขืนถามออกไป ต้องถูกเอาไปนินทาแหง ดีไม่ดีถึงหูเจ้าเด็กนั่น คราวหน้าได้เอามายั่วโมโหเขาด้วยมาดนิ่ง ๆ อีกเป็นแน่
เขามองไปรอบตัวอีกครั้ง จนแน่ใจว่าไม่เห็นตัวต้นเรื่องที่ทำให้เขามาเดินงั่งที่นี่อยู่ในลานสายตา ได้แต่ถอนใจออกมาหนึ่งเฮือกยาวเหยียด หิ้วถุงเดินออกจากร้าน ใจหนึ่งก็โล่ง อีกฝ่ายอาจเลิกงานกลับไปแล้วก็ได้ ใครจะรู้ว่าที่บอกเลิกสี่ทุ่มครึ่งนั่นแค่อำเขาหรือเปล่า จะไปเอาแน่เอานอนอะไรกับคนที่ไม่รู้จักกระทั่งชื่อ
...แต่อีกใจหนึ่งนี่สิ...
คิดถึง?
...ไม่สิ...แค่นึกถึง...ระคนรู้สึกผิดมากกว่า อาจเป็นอะไรราว ๆ นั้น
ช่วยไม่ได้ ภูเมศเถียงกับตัวเองวุ่นวายอยู่ในหัว รู้สึกกำลังจะประสาท เขามาหาก่อนแล้วนี่ แม้ก่อนเวลานัด แต่เด็กนั่นหายหัวไปเอง ไม่อยู่รอเขา งั้นถือว่าที่นัดกันไว้เป็นโมฆะแล้วกัน อย่างนี้ถูกแล้ว ต่อให้มีเรื่องคาใจอีกหลายอย่าง อีกไม่นานก็คงลืมไปเอง
เขาขับรถกลับบ้านไปหาลูกชาย บอกตัวเองว่าทำอย่างนี้แหละ ถูกต้องที่สุด
แล้วปกติ...คนเราจะคิดมากจนนอนไม่หลับ...หลังจากทำเรื่องถูกต้องลงไปหรือเปล่า?
หน้าปัดนาฬิกาเรืองแสงข้างหัวเตียงบอกเวลาห้าทุ่มเศษ ทั้งบ้านเงียบสนิท หลังกลับมากินข้าวกันสองคนพ่อลูก ตกลงเรื่องสัญญารางวัลของคะแนนสอบ สอนการบ้าน เล่นเกมต่อสู้อะไรสักอย่างในคอมพิวเตอร์เท่าที่ผู้ชายวัยสามสิบกว่าจะพอเล่นได้กับลูกชาย แล้วส่งเด็กน้อยเข้านอน ป่านนี้พร้อมภูมิที่อยู่ห้องอีกฝั่งคงหลับไปแล้ว ทว่าเขาเองปิดไฟเข้านอนมาได้เกือบชั่วโมง กลับยังพลิกตัวไปมาอยู่ไม่สุข
...จะรออยู่หรือเปล่า..
ไม่รอแล้วมั้ง น่าจะกลับไปตั้งแต่ก่อนเขาไปดูตอนหัวค่ำแล้ว ไม่ก็อาจทำธุระอย่างว่ากับคนอื่นไปเรียบร้อย...
ว่าแต่เด็กนั่นชื่ออะไรนะ...
ไม่รู้จักชื่อ...ไม่มีชื่อให้เรียกนี่มันน่าหงุดหงิดใจเหลือเกิน ถ้าไม่ได้เจอกันอีกแล้วเขาจะคาใจเรื่องนี้ไปทั้งชาติหรือเปล่า
เงินหมื่นกว่าบาทเรียงกันอยู่ในกระเป๋า ถุงยางก็ยังอยู่ พอนึกถึงเด็กคนนั้นขึ้นมายิ่งนอนไม่หลับ ไหนจะเวลาพูดจากวนประสาทด้วยสีหน้านิ่ง ๆ หรือตอนมีลักยิ้มเป็นรอยบุ๋มบนแก้มซ้าย สีหน้าทรมานตอนมีอะไรกันคืนนั้น ที่ทำให้เขาต้องลุกมานั่งขยี้ผมตัวเองอยู่บนเตียง สุดท้ายมาจบที่สีหน้าเศร้าสร้อยที่ไม่รู้ผุดขึ้นมาจากไหน แต่ถ้ากำลังรออยู่จริง..กำลังทำหน้าแบบนั้นอยู่จริง ๆ ละก็
บ้าไปแล้ว!
ห้าทุ่มครึ่ง เขาขับรถออกจากบ้าน ตรงกลับไปยังที่ทำงาน
หรือจะกล่าวให้ชัดเจนกว่านั้นคือ ตรงกลับไปยังร้านสะดวกซื้อใกล้ที่ทำงาน ทิ้งโน้ตไว้บนโต๊ะกลางห้องโถง เผื่อลูกชายบังเอิญตื่นขึ้นมากลางดึก ว่าตัวเองลืมของไว้ที่ออฟฟิศ ขับรถออกไปเอาแล้วจะรีบกลับ
การจราจรไม่คับคั่งแล้ว ใช้เวลาเพียงไม่นานก็ถึง แต่ยังไม่ทันใจภูเมศอยู่ดี เขาจอดรถไกลจากจุดหมายนิดหน่อยเพราะใจร้อน เห็นที่ว่างก็รีบเอารถไปเทียบ
รู้ตัวอยู่หรอกว่าดูรีบผิดปกติ แต่ตอนลงจากรถแล้วเดินไปตามเส้นทางคุ้นเคยกลับพบว่าตัวเองร้อนรนกว่าที่คิดเสียอีก ขนาดเดินชนคนยังไม่หยุดมองหน้าสักนิด ทำเพียงแต่ขอโทษส่ง ๆ สาวเท้าต่อจนมาหยุดอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ หายใจแรงพร้อมกับที่หัวใจก็เต้นแรงขึ้นเรื่อย
แม้อยากปฏิเสธ แต่ลึก ๆ แล้ว ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เขาอาจยังหวังจะเจอเจ้าเด็กนั่นอีกสักครั้ง
ผู้คนไม่พลุกพล่านนัก ด้านในมีลูกค้ายืนรอคิดเงินอยู่สามสี่คน พนักงานประจำครบทุกเคาน์เตอร์ แต่ไม่มีคนที่เขามองหาอยู่ในจำนวนนั้น
ภูเมศเดินเข้าไปในร้าน รอฟังเสียงต้อนรับจากพนักงาน
เป็นดังคาด ไม่มีเสียงที่อยากฟังเช่นกัน วนไปวนมาสองสามรอบแบบโง่ ๆ เหมือนเดิม ได้เครื่องดื่มที่ไม่ทันดูฉลากมาอีกหนึ่งขวด กระทั่งเดินเหม่อมาหยุดอยู่หน้าเคาน์เตอร์
ไม่อยู่แล้วจริง ๆ
ครั้นยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก็พอเข้าใจได้ เที่ยงคืนแล้ว หนึ่งชั่วโมงครึ่งเลยจากเวลานัด ต่อให้เด็กนั่นกลับมาที่ร้าน หลังจากหายตัวไปไหนไม่รู้เมื่อค่ำ ผิดเวลาไปขนาดนี้คงไม่มีใครบ้ารออยู่ดี
“สิบแปดบาทค่ะ”
“อา”
เขาล้วงหากระเป๋าสตางค์ แต่แล้วกลับพบเพียงความว่างเปล่าในกระเป๋ากางเกง..
“เอ้อ เท่าไหร่นะครับ” ขณะพยายามพูดถ่วงเวลา มือก็ควานหาในกระเป๋าอีกข้าง
ไม่มี...ไม่มีจริง ๆ แต่มั่นใจมากว่าก่อนออกจากบ้านก็หยิบกระเป๋าสตางค์ติดมือมาด้วยแท้ ๆ เขายังมีสติพอจะเขียนโน้ตทิ้งไว้เผื่อลูกชายตื่นกลางดึก ประสาอะไรกับเรื่องจะลืมกระเป๋า..เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
“สิบแปดบาทค่ะ” พนักงานสาวทวนให้อีกรอบ มองมาด้วยสายตากึ่งขำกึ่งสงสาร
บ้าฉิบ! กระเป๋าสตางค์หาย(อีกแล้ว)
“เอ้อ...คือผมว่า..” เขาอ้ำอึ้ง ขณะเตรียมบอกคืนสินค้า เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นจากข้างหลัง
“ของคุณหรือเปล่าครับ?”
เสียงเดียวกับที่ดังซ้ำไปซ้ำมาในความฝันเขามาหลายคืน
“เหมือนคุณจะทำหล่น”
นี่มันเดจาวู!
ภูเมศหันกลับไปมอง หน้านิ่ง ๆ ของเจ้าเด็กเซ่เว่นในชุดไปรเวทชัดแก่สายตา บอกไม่ถูกว่าดีใจหรือตกใจมากกว่ากัน แต่หัวใจงี้เต้นเร็วอย่างกับอะไรดี
“เธอ!?”
“อ้าว!?” สาวเซเว่นอีกฝั่งก็ร้องทักเช่นกัน ด้วยจำเพื่อนร่วมงานตัวเองได้ ทั้งยังนึกสงสัยว่าจนป่านนี้แล้วทำไมอีกฝ่ายยังไม่กลับบ้าน “ธะ..”
“ชู่ววว”
ภูเมศเลิกคิ้ว มองเด็กหนุ่มเอานิ้วชี้แตะปากตัวเอง พร้อมส่งเสียงเป็นเชิงบอกพนักงานสาวที่ทำท่าเหมือนจะเอ่ยชื่อเจ้าตัวออกมาให้เงียบลงเสียก่อน
“เป็นอะไรถึงเรียกชื่อไม่ได้?” ณ จุดนี้ ชายหนุ่มข้องใจหนัก “ถ้าอยากได้เงิน จะจ่ายให้ตรงนี้เลยก็ได้”
เด็กหนุ่มชูกระเป๋าหนังสีดำของเขาขึ้นมาตรงหน้า
“พูดแบบนั้นทั้งที่กระเป๋าสตางค์อยู่กับผม..จะดีหรือครับ”
รู้สึกโดนถอนหงอกเป็นอย่างยิ่ง!
ทว่าตอนที่คว้ากระเป๋ากลับคืนมา อีกฝ่ายกลับไม่ได้แสดงท่าทีขัดขืนแต่อย่างใด เพียงแต่กวนประสาทด้วยลมปากและสีหน้าที่ดูขัดแย้งกับคำพูดเท่านั้น เมื่อเปิดกระเป๋าออกดู ทั้งเงินทั้งบัตรก็ยังอยู่ครบเช่นเดิม ไม่เสียกระทั่งค่าเครื่องดื่มสิบแปดบาทด้วยซ้ำ เพราะเด็กหนุ่มชิงจ่ายไปแล้วเรียบร้อย จ่ายเสร็จก็เปิดขวดยกขึ้นกระดกอย่างกับเป็นคนเลือกซื้อมาเอง
“หวาน” เจ้าตัวพึมพำ “คุณชอบดื่มแบบนี้หรอกหรือ”
ไม่ได้ชอบสักนิด หยิบมั่ว ๆ มาก็เพราะเธอนั่นละ
เขาเพียงแต่บ่นอยู่ในใจ ปากไม่ได้พูดอะไรมากกว่านั้น แต่กลับจูงข้อมืออีกฝ่ายเดินออกจากร้านเรียบร้อย ไม่มีคำพูดใดหลุดมาสักคำจนถึงรถที่จอดอยู่ ตอนที่กึ่งเชิญกึ่งดันให้เด็กหนุ่มเข้าไปนั่งข้างคนขับ เจ้าตัวก็ไม่ได้ขัดขืน ไม่ถามเลยด้วยซ้ำว่าจะพาไปไหน
กระทั่งตอนรถออกตัวแล้วนั่นเอง อีกฝ่ายจึงได้เอ่ยปากในที่สุด
“คุณเป็นพวกชอบผิดนัดหรือ?”
น้ำเสียงไม่มีร่องรอยตัดพ้อหรือแม้แต่ต่อว่าต่อขานเลยสักนิด ทว่าคนฟังกลับรู้สึกอยู่ไม่สุขอย่างประหลาด คงเป็นเพราะมันราบเรียบเกินไปจนไม่สามารถเดาอารมณ์ได้เลย ทั้งเขาเองก็รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองผิดนัดจริง ต่อให้จะคิดหาข้ออ้างให้ฟังดูดีอย่างไรก็เถอะ
“นึกว่าเธอจะกลับไปแล้ว” เขาเลือกตอบอ้อม ๆ
เด็กหนุ่มมองไกลออกไปนอกหน้าต่าง “ถ้าคิดว่าผมจะกลับแล้วจริง ทำไมคุณยังมาล่ะ”
...นั่นสินะ...
เห็นเขาเงียบหรืออย่างไรไม่ทราบ เจ้าตัวจึงได้ตอบให้แทน “ลึก ๆ คุณรู้ว่าผมรออยู่...หรืออย่างน้อยก็หวังว่าผมยังรออยู่”
“ก็รออยู่จริงนี่” ภูเมศงึมงำ ไม่รู้ถึงหูอีกฝ่ายหรือเปล่า
“เพื่อนที่ทำงานบอกเห็นคุณมาเดินวน ๆ ตอนทุ่มกว่า”
เอาแล้วไง...แต่ก็เปล่าประโยชน์จะปฏิเสธ
“อืม”
เด็กหนุ่มเหลือบมองช่องวางขวดน้ำในรถ เห็นขวดเครื่องดื่มรสหวานแบบเดียวกันกับที่ภูเมศเพิ่งหยิบมาจ่ายเงินเมื่อสักครู่ก็เอ่ยปากถาม
“คุณชอบดื่มไอ้นี่จริง ๆ หรือ?”
“เปล่า”
“แต่หยิบแบบเดิมมาตั้งสองรอบ”
“เผลอน่ะ”
“แล้วคุณชอบเวลามีอะไรกับผมหรือ?”
ภูเมศสะดุ้ง จะเหลือบมองคนข้าง ๆ ก็ทำหน้าไม่ถูก ทิ้งระยะไปอึดใจจึงเค้นเสียงพึมพำออกมาโดยทำทีเป็นสนใจกับถนนตรงหน้า
“...เปล่า...”
“แต่ก็มาหาเพราะจะทำอีกเป็นครั้งที่สอง”
ลำคอเขาแห้งผากขึ้นมาทันที
“นี่ก็เผลอหรือครับ?” อีกฝ่ายเอนหลังพิงเบาะด้วยท่วงท่าสบาย ๆ น้ำเสียงราบเรียบเดาอารมณ์ยากเช่นเดิม “คุณเผลอบ่อยนะ แต่วันนี้ไม่ได้เมาสักหน่อย”
พอเขาเงียบ เด็กหนุ่มก็เงียบ ไม่มีใครพูดอะไรต่อจนถึงบ้าน...ใช่...ถึงบ้าน คราวนี้พากลับบ้านมาด้วย พามาทำไมก็ไม่รู้ จะให้ไปทำอะไรที่โรงแรมเหมือนครั้งก่อน ก็ปล่อยลูกชายอยู่คนเดียวไม่ได้ แต่ครั้นจะให้ทิ้งเจ้าเด็กนี่ไว้ที่ร้านสะดวกซื้อเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ก็ทำไม่ได้อีก ระหว่างทางมีเวลาให้คิดเหลือเฟือ มีจังหวะให้ปล่อยอีกฝ่ายกลับไปตั้งเยอะแยะ แต่กลับไม่ยอมทำเช่นกัน
นี่มันอะไรนักหนา? เด็กคนนี้น่าสนใจ พอ ๆ กับน่าโมโห
รถจอดเรียบร้อย ตัวบ้านเงียบสงบดี กระดาษโน้ตของเขายังวางอยู่ตำแหน่งเดิม บอกให้รู้ว่าระหว่างที่เขาออกไปข้างนอก พร้อมภูมิผู้เป็นลูกชายไม่ได้ตื่นขึ้นมากลางดึกแต่อย่างใด
ชายหนุ่มหันไปเผชิญหน้ากับแขกซึ่งเดินตามมาเงียบ ๆ ข้างหลัง
“พูดถึง...มีอย่างหนึ่งที่นึกขึ้นได้ เรื่องกระเป๋าสตางค์ฉัน”
คนฟังไม่แสดงสีหน้าใด เพียงแต่เงียบ รอให้เขาพูดต่อ แต่แววตาคล้ายคาดการณ์ไว้อยู่แล้วถึงสิ่งที่กำลังจะได้ยิน
“เธอบอกฉันทำหล่น เธอเป็นคนเจอทั้งสองรอบ ไม่คิดว่ามันแปลกหรือ”
ใบหน้าได้รูปสวย บัดนี้มีลักยิ้มน้อย ๆ ปรากฏขึ้นบนแก้มซ้าย
วินาทีนั้นเอง ที่ภูเมศรู้ตัวว่าท่าทางจะโดนเจ้าเด็กนี่ตุ๋นจนเปื่อยเข้าแล้ว
“อย่าบอกนะว่า—”
“ไม่บอกครับ” อีกฝ่ายรีบตัดประโยคเขาทันที
“บอกมาสิ”
“คุณบอกไม่ให้บอกนี่ครับ”
เขาแทบถลาไปคว้าไหล่เด็กหนุ่มไว้ “ไอ้ ‘อย่าบอกนะ’ นั่น ฉันไม่ได้หมายความว่าไม่ให้บอก...แต่หมายถึง—”
“อุ๊บ!”
หัวเราะ?
ชายหนุ่มเบิกตากว้าง แล้วยังไม่รู้ตัวสักนิดว่าอ้าปากค้างอยู่ มือนิ่งอยู่ในท่าเดิม จับไหล่และแขนทั้งสองข้างอีกฝ่ายเอาไว้...ใกล้จนเกือบจะกลายเป็นกอด...ตอนที่มองเด็กประหลาดตรงหน้ากำลังหัวเราะออกมาเสียงใส
“ฮะ ๆ ๆ”
“ขำอะไร”
“คุณเอาแต่ถามอย่างเดียว”
“แล้วมันขำตรงไหนกัน”
“ผมไม่ขำแล้วก็ได้”
“เธอก็เอาแต่ทำตามแบบทื่อ ๆ”
“แน่นอน” อีกฝ่ายพยักหน้า ใช้เวลาครู่หนึ่งจึงกลับมาสงบนิ่งเหมือนเก่าในที่สุด ราวกับว่าเมื่อครู่นี้เป็นไอ้หนูอีกคนที่หน้าตาเหมือนกัน “ผมทำตามเพราะผมรับเงินคุณ”
“ถ้างั้นทำไมไม่ตอบเรื่องที่ฉันถามสักอย่าง”
เด็กคนนี้ทำเหมือนไม่ดื้อ แต่เอาจริง ๆ แล้วท่าทางจะดื้อหนักไม่ใช่หรือไง!? ตั้งใจกวนประสาทตลอดเวลาชัด ๆ
อีกฝ่ายช้อนตามอง เมื่อเห็นภาพนั้นจากระดับสายตาที่สูงกว่าด้วยขนาดร่างกาย ทั้งยังยืนใกล้กันไม่กี่คืบ พบว่าเป็นมุมที่ชวนให้ใจสั่นอย่างประหลาด
“คุณจ่าย ผมตอบ”
“แล้วเธอก็ตอบด้วยเรื่องโกหก” เขาเหมือนจะทันเกมขึ้นนิดหน่อย
“เรื่องนั้นเคยพูดแล้ว” เด็กหนุ่มว่าเสียงนุ่ม ไม่ทันไรวงแขนก็ยกขึ้นคล้องรอบต้นคอเขา แม้ท่วงท่าดูอ่อนหวาน แต่การแสดงออกกับถ้อยคำกลับไปคนละทาง “บังคับผมไม่ได้หรอกครับ”
“เธอนี่นะ”
“เราทำธุระของเราดีกว่าไหม?”
นัยน์ตาเชื่อม ริมฝีปากซึ่งแม้ไม่ได้คลี่ยิ้มก็ยังชวนมองเมื่อเอื้อนเอ่ย เขาไม่ปฏิเสธว่าเด็กคนนี้รู้จักใช้ต้นทุนจากใบหน้าสวย ๆ ของตัวเองให้เกิดประโยชน์
มือคู่นั้นเกี่ยวกันไว้หลังท้ายทอยเขา ขณะที่มือชายหนุ่มเองเลื่อนลงมาโอบรอบเอวอีกฝ่ายแน่นยิ่งกว่า ด้วยส่วนสูง ตำแหน่งยืน และความใกล้ชิดนั้น ไม่ยากเย็นที่จะยกร่างคนตรงหน้าขึ้นจนตัวลอย
ทันทีที่ปลายเท้าพ้นจากพื้น สองขาของเด็กหนุ่มก็เกี่ยวรอบสะโพกเขาอย่างรู้งาน ภูเมศถึงกับเซไปนิดหน่อยตอนแรก น้ำหนักผู้ชายทั้งคนไม่ใช่น้อยอยู่เหมือนกัน แต่พอโดนลมหายใจร้อน ๆ เป่าที่ต้นคอ บวกเพิ่มลูกฮึดไปอีกหน่อยก็พาอุ้มเดินไปถึงห้องนอนได้ไม่ยากเย็น กึ่งวางกึ่งโยนอีกฝ่ายลงบนเตียงแล้วยังไม่ยอมปล่อยมือที่กอดอยู่
..ตัวอุ่น..
เพราะวันนี้เหนื่อยเกินไป หรืออาจเพราะตอนนี้รู้สึกสบายเกินไป...จึงทิ้งน้ำหนักใส่อีกฝ่ายจนคนข้างล่างเริ่มหยุกหยิก เรียกสติภูเมศที่เกือบเคลิ้มหลับทั้งอย่างนั้นไปแล้วขึ้นมา
“ไม่ทำหรือครับ?”
“ชื่ออะไร” เขาเสไปถามเรื่องอื่นแทน “บอกได้ไหม?”
“อืม..ชื่ออะไรดีนะ”
“โกหกก็ได้” ยอมแพ้แล้ว “บอกมา จะได้เรียกถูก ชอบให้เรียกเธอ ๆ อย่างนั้นหรือ”
หลังจากหยุดคิดนิดหนึ่งก็..
“งั้นเรียกว่าที่รัก”
ชายหนุ่มอึ้งไป...หรี่ตามองใบหน้าคนเบื้องล่างที่ช่างเอ่ยข้อเสนอนั้นออกมาด้วยสีหน้านิ่งสนิท
“โอเค..ที่รัก”
ก็ลองดูว่าใครมันจะหน้าด้านกว่าใคร เพราะคิดอย่างนั้นจึงได้สักแต่พูดตามน้ำ ตั้งใจจะย้อนศรเหมือนเวลาเด็กนี่เล่นคำกับเขา แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับทำชายหนุ่มประหลาดใจจนพูดไม่ออกไปครู่หนึ่ง ด้วยคาดไม่ถึงกับปฏิกิริยาตอบรับเช่นนี้
แม้หน้าจะนิ่ง แต่กลับสังเกตเห็นว่าผิวขึ้นสีแดงระเรื่อตั้งแต่พวงแก้มสองข้างไปจนถึงใบหู
นั่นเขินหรือ? เริ่มเองเขินเองแบบนี้มันใช่เรื่องไหม
ครู่ใหญ่ผ่านไป เด็กหนุ่มก็ส่งเสียงแผ่วผ่านริมฝีปาก
“ชื่อธัญญ์”
“หือ?”
“เรียกธัญญ์”
ภูเมศพยักหน้าพึงใจ ยกมือปลดกระดุมเสื้อเด็กหนุ่ม เผลอยิ้มกริ่มออกมาไม่รู้ตัว
“ได้ ธัญญ์”
ผ่านโลกมาสามสิบหกปี เลี้ยงลูกชายมาเก้าปี ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าต่อกรกับเด็กคนนี้อาจไม่ยากอย่างที่คิด
To be continued
มาต่องวดที่สองแล้วค่ะ นายเอกมีชื่อซะที (ฮา)
ขอบคุณงาม ๆ หลายท่านที่ยังไม่ลืมกันนะคะ รวมทั้งผู้อ่านท่านใหม่ด้วย ขอบคุณมาก ๆ ด้วยค่ะที่เข้ามาเยี่ยมเยียน ดีใจมากเลยค่ะ ฮือ *รวบกอด*
แล้วพบกันงวดหน้านะคะ
ปล. มีของแถมเป็นดูเดิ้ลรีพลายถัดไปค่ะ ,,>3<,,