การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: การเดินทางของศิลากับฟ้าคราม : เส้นทางสุดท้าย (.....สู่บทสรุป)  (อ่าน 243266 ครั้ง)

sun

  • บุคคลทั่วไป
 :m3:    "อยากดูคลิปประกอบการอ่านได้ป่ะ คิคิ"   :m3:

 :a3:  ...................   :a3:

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
โอ้ว...รอลุ้นต่อปาย
 :a3:

tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป


เหนื่อย . . . .  มาก

คิดถูกมั้ยหว่าตรู . . .  . อยากกินฟูจิ

ปล.ที่เซ็นลาดพร้าวนะ

KevinKung

  • บุคคลทั่วไป
โห ไม่ตามแปบเดียว ไปไกลขนาดนั้นเลย  :a6:

ขอตอนพิเศษด้วยก็จะขอบคุณนะค้าบ  :m5:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
หุหุ ขนาดเขียนไม่เก่งนะเนี่ย   :o8:  :o8:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
โห ไม่ตามแปบเดียว ไปไกลขนาดนั้นเลย  :a6:

ขอตอนพิเศษด้วยก็จะขอบคุณนะค้าบ  :m5:

ส่งให้แล้วนะคับ (^..^)


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 15


ผมกับไคล์วิ่งแย่งลูกบาสและแข่งกันกระโดดชู๊ตทำแต้มอยู่ในสนามบาสที่สวนสาธารณะใกล้ๆนี้กันอยู่สองคน วันนี้อากาศกำลังดีทีเดียว แดดไม่แรงมากเพราะท้องฟ้ามีเมฆปกคลุมเยอะ แต่ก็ไม่ถึงกับอึมครึม อากาศเย็นๆที่เริ่มจะอุ่นขึ้นเรื่อยๆเมื่อพระอาทิตย์เริ่มเคลื่อนสูงขึ้นๆ ผู้คนในสวนที่ไม่พลุกพล่าน และการได้ออกกำลังในกีฬาที่ผมชอบก็ทำให้ผมสนุกจนลืมเรื่องต่างๆไปได้บ้างเช่นกัน.......... แต่ก็ยกเว้นอยู่เพียงเรื่องเดียว

“พลาดอีกแล้ว” ไคล์ร้องและสบถออกมาเป็นภาษาอังกฤษด้วยความเสียดาย แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจกับมันมากนัก ผมรีบวิ่งไปคว้าลูกบาสเอาไว้และตั้งท่าชู๊ตจากระยะสามแต้ม.......................

ลูกบาสที่กำลังเลื่อนหลุดจากมือของผมไป ทำให้ผมนึกเหตุการณ์หนึ่งเมื่อสามปีก่อน

วันนั้นอากาศก็แจ่มใสอย่างเช่นวันนี้.................


.
.
.



“เป็นอะไรของมึงวะไอ้เมฆ” เสียงของไอ้วิทเพื่อนของผมดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง

“อ้าว ไอ้วิท” ผมละสายตาจากสิ่งที่มองอยู่เบื้องหน้าแล้วเงยหน้าขึ้นไปยังที่มาของเสียง “เออ...... กูไม่ได้เป็นอะไรหรอก ปกติดีทุกอย่าง” ผมปฏิเสธไปอย่างไม่แนบเนียนเลย ผมเองก็รู้ว่ามันไม่แนบเนียน เพียงแต่ว่าตอนนี้ผมยังไม่อยากจะเล่า ไม่อยากพูดอะไรให้ใครฟังก็เท่านั้น ไอ้วิทถอนหายใจแล้วทิ้งตัวลงนั่งข้างๆผม ก่อนที่มันจะเดินมาหา ผมกำลังนั่งมองดูพวกนักกีฬาฟุตบอลของโรงเรียนกำลังฝึกซ้อมแข่งกันสำหรับงานกีฬาที่กำลังจะมาถึงเร็วๆนี้อยู่บนเนินหญ้าข้างๆสนาม หนึ่งในคนที่กำลังเล่นอยู่นั้นก็มีไอ้ซันอยู่ด้วย ผมมองมันที่กำลังวิ่งแย่งบอลจากผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามอย่างเอาเป็นเอาตาย และผมก็สามารถมองเห็นได้เช่นกันว่ามันกำลังสนุกสนานมากถึงแม้ผมจะอยู่ไกลเกินกว่าจะเห็นสีหน้าของมันได้อย่างชัดเจนก็เถอะ

“แล้วมึงไม่มีซ้อมหรือไง” ไอ้วิทถามขึ้น

“ก็มีว่ะ แต่กูขี้เกียจ” ผมตอบ นอกจากทีมฟุตบอลที่กำลังซ้อมกันอยู่นั้น ทีมบาสเก็ตบอลของผมก็ต้องซ้อมแข่งเช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากวันนี้ผมไม่อยู่ในอารมณ์ที่อยากจะทำอะไรแบบนั้นเลย ผมอยากที่จะอยู่เงียบๆแบบนี้มากกว่าจึงตัดสินใจโดดซ้อมและบอกคนอื่นไปว่าไม่สบายถึงแม้ว่าจะรู้ว่าเดี๋ยวเพื่อนๆของผมก็คงตามมาด่าผมอีกเป็นชุดทีหลังก็ตาม

“เฮ้อ เอาเหอะ อุตส่าห์ถ่อมาโรงเรียนทั้งๆที่เป็นวันเสาร์แท้ๆ มึงจะมานั่งอยู่แบบนี้ทำไมวะ” ถึงจะมีน้ำเสียงตำหนิอยู่ในคำพูดของมัน แต่ผมก็รู้สึกได้ว่ามันก็กำลังเป็นห่วงผมอยู่ไม่น้อยเช่นกัน

“กูไม่ได้เป็นอะไรหรอก แค่อยากอยู่เฉยๆเงียบๆคนเดียวบ้างเท่านั้นแหละ” ผมตอบ

ไอ้วิทถอนหายใจแรงๆอีกเฮือกหนึ่ง “เพราะนัทใช่มะ” มันถาม หันมามองหน้าผมที่กำลังมองลงไปยังสนามฟุตบอลอยู่ แต่คราวนี้ไม่มีคำตอบออกจากปากของผมและผมก็คิดว่านั่นก็เป็นคำตอบที่ไอ้วิทกำลังต้องการอยู่แล้วพอดี “กูนึกแล้วเชียว เมื่อวานยังดีๆอยู่ เมื่อเช้ายังก็ดูไม่เป็นอะไร แต่พอตกสายหน่อยก็มานั่งซึมอยู่คนเดียว”

ผมก้มหน้าแล้วหัวเราะเบาๆ “มึงนี่เก่งนะ” ผมหันไปยิ้มให้กับมัน ถึงจะเป็นรอยยิ้มแต่ก็ไม่ใช่รอยยิ้มของความสุขเลยแม้แต่น้อย

“กูไปที่สนามบาสมา........” ไอ้วิทเล่า “แล้วพวกมันบอกว่าเห็นมึงรับโทรศัพท์ คุยอยู่แป๊บนึง จากนั้นมึงก็ขอตัวออกมาเพราะบอกว่าไม่สบาย” มันถอนหญ้าใกล้ๆตัวขึ้นมากระจุกหนึ่งแล้วปาออกไปเบาๆ “กูว่ามันก็ชัดเจนนะ”

ผมยิ้มแล้วส่ายหน้าเบาๆ “มีอยู่แพทเทิร์นเดียวเนอะ”

“มีอยู่แพทเทิร์นเดียว” ไอ้วิทพยักหน้า

เราสองคนเงียบกันไปอยู่ครู่หนึ่ง แม้ผมจะต้องการอยู่คนเดียวเงียบๆถึงได้หนีมานั่งในที่แบบนี้ แต่การที่มีเพื่อนอย่างไอ้วิทที่คอยเป็นห่วงและออกตามหาผมจนเจอแถมยังมานั่งอยู่ข้างๆผมโดยปราศจากคำถามถึงเหตุผลและเรื่องราวเกี่ยวกับนัทว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่แบบนี้ ผมว่ามันก็ไม่เลวเหมือนกันนะ

เราสองคนนั่งเงียบกันอยู่ครู่ใหญ่ๆ ผมจึงเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน “มึงไม่ไปซ้อมเหรอ” ไอ้วิทเองก็เป็นนักกีฬาเช่นเดียวกัน โดยกีฬาที่มันเล่นก็คือปิงปอง

“ซ้อมดิ่ เดี๋ยวอีกสักพักก็ไปแล้ว กูเล่นในร่มอยู่แล้ว สบายๆว่ะ” ผมเอนหลังแล้วแหงนหน้าขึ้นท้องฟ้า ไอ้วิทเองก็แหงนหน้ามองตามขึ้นไป

“อากาศดีนะ” มันว่า

“อืม” ผมพยักหน้าเห็นด้วย

“มึงว่าถ้ากูขอเค้ายกเอาโต๊ะปิงปองมาวางกลางสนามเค้าจะให้ป่าววะ” มันถาม และยังไม่ทันที่ผมจะตอบ มันก็ลุกขึ้นยืนแล้ว “ลองไปขอดูดีกว่าว่ะ อากาศดีๆแบบนี้ ไปตีอยู่แต่ในร่ม เซ็งจะแย่” พูดจบมันก็วิ่งเหยาะๆออกไปทิ้งให้ผมอยู่ตัวคนเดียวอีกครั้ง ผมหัวเราะเบาๆและนึกขอบใจมันอยู่ในใจ

โทรศัพท์ที่ผมได้รับก็เป็นอีกหนึ่งความโลเลและความเข้าใจยากของผู้หญิง.......  แฟนของผมเธอโทรมาบอกผมว่าเธอไม่แน่ใจว่าตกลงระหว่างผมกับเธอนั้นควรจะเป็นอย่างไรกันแน่ ทั้งๆที่ผมก็คบกับเธอแบบจริงๆจังๆมาจะปีนึงแล้ว แต่หลายๆครั้งที่เราก็จะต้องมีเรื่องทะเลาะกันเพราะเรื่องไร้สาระแบบนี้อยู่บ้าง ทว่าครั้งนี้มันชัดเจนมาก มากกว่าทุกๆครั้งและผมก็ยังคงไม่เข้าใจว่าทำไม ทำไมเธอถึงได้เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคนแบบนี้มาสักพักแล้ว ทำไมทั้งๆที่ผมก็ทำตัวปกติทุกอย่างแต่เธอก็กลับทำตัวเหินห่าง จนในที่สุดวันนี้เธอก็เป็นฝ่ายพูดออกมาเองว่า “เราอยู่ห่างกันสักพักเถอะ”

ถึงผมจะไม่เข้าใจว่าเธอต้องการจะสื่ออะไรออกมาจริงๆกันแน่ และถึงผมจะชินกับอาการโลเลของเธออยู่บ้างแล้ว แต่ครั้งนี้ผมก็รู้สึกว่ามันมีอะไรบางอย่างต่างออกไป ในยามปกติเราสองคนก็รักกันมากอยู่หรอก แต่เมื่อเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ผมก็มักจะรู้สึกว่าผมเป็นคนผิดอยู่เสมอๆ แม้ว่าผมจะไม่รู้และไม่เคยเข้าใจเลยว่าผมได้ทำอะไรผิดๆออกไป

ครั้งนี้ผมรู้สึกแย่กว่าในทุกๆครั้ง มันไม่ใช่ความเสียใจ มันไม่ใช่ความโกรธ แต่มันเป็นความเหนื่อย และผมก็รู้สึกไม่ดีเลยว่าการที่ผมต้องมารู้สึกเหนื่อยแบบนี้มันหมายความว่าอะไรๆมันกำลังจะแย่เกินจุดไปแล้วจริงๆ

ผมถอนหายใจและชันตัวขึ้นนั่งอีกครั้ง ผมเหม่อมองออกไปยังกลุ่มนักกีฬาฟุตบอลที่กำลังจะเลิกแข่งกันอยู่พอดี ผมมองหาไอ้ซันที่กำลังเดินมานั่งอยู่ที่ริมสนามกับเพื่อนๆ และในขณะเดียวกันนั้นเองมันก็สังเกตเห็นผมเช่นเดียวกัน ผมเห็นมันลุกขึ้นยืนแล้วพูดอะไรบางอย่างกับเพื่อนๆจากนั้นก็เดินตรงมายังที่ที่ผมนั่งอยู่ ผมมองมันเดินตรงเข้ามาด้วยความรู้สึกแปลกๆ ความรู้สึกที่ผมเองรู้ตัวมานานแล้วแต่ก็ไม่อยากจะคิดไปไกลกว่านั้น ความรู้สึกที่ผมรู้ว่าผมกำลังหลงรักมันอยู่มากมายขนาดไหน

ผมล้มตัวลงนอนบนพื้นหญ้าแล้วแสร้งทำเป็นเหม่อมองเหล่าหมู่เมฆที่กำลังลอยอย่างอ้อยอิ่งอยู่บนท้องฟ้าสีคราม..... และบัดนี้ฟ้าครามก็ทิ้งตัวลงนั่งอยู่ข้างๆผมแล้ว

“ไง” มันทักสั้นๆพร้อมเสียงหอบเบาๆ “ไม่ไปซ้อมเหรอวะ”

“อืมม เหนื่อยน่ะ” ผมตอบไปตามความจริง ถึงแม้มันจะเป็นความเหนื่อยคนละแบบก็ตาม

“หืมมม” ไอ้ซันทำเสียงในลำคอเบาๆแล้วเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งแต่มันก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ ผมชันตัวขึ้นนั่งแล้วมองออกไปยังสนามฟุตบอลเบื้องหน้า

“พักเหรอ” ผมชี้ลงไปยังสนามที่ว่างเปล่า ผู้คนกำลังทยอยเดินออกจากสนามไปยังทิศของโรงอาหาร

“จะเที่ยงแล้วนะ มันก็พักกันทุกสนามนั่นแหละ” ไอ้ซันตอบ

“จริงสินะ......” ผมพูดลอยๆแต่ก็แปลกใจอยู่เหมือนกันว่านี่คือเวลาเที่ยงแล้วอย่างนั้นรึ นี่ผมนั่งอยู่ตรงนี้มานานถึงสองชั่วโมงแล้วเชียวหรือ

“มึงเป็นอะไร” ไอ้ซันถามขึ้น

ผมส่ายหน้าเบาๆแล้วก้มหน้าลงบนสนามหญ้าจากนั้นก็หยิบหินก้อนเล็กๆก้อนหนึ่งออกมาขว้างออกไปแรงๆ

“เรื่องนัทสินะ” มันพูด ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจว่านี่ผมมีเพื่อนดีๆที่รู้ใจหลายคนขนาดนั้นเชียวหรือ หรือเป็นเพราะผมมันคนแพทเทิร์นเดียว มีอยู่สไตล์เดียวจนใครๆก็มองออกกันแน่นะ

“มีอยู่แพทเทิร์นเดียวเลยใช่มะ” ผมหัวเราะเบาๆ

“มีอยู่แพทเทิร์นเดียว” มันพยักหน้าตอบกลับยืนยันความคิดของผมจนผมอดหัวเราะออกมาไม่ได้

“ขำอะไรวะ” มันถามแล้วหัวเราะเบาๆไปกับผมด้วย

“เปล่าๆ” ผมหัวเราะให้กับความน่าทุเรศของตัวเองจนใครๆเขาก็ดูผมออกกันจนหมดแล้ว

ไอ้ซันกระดกกระบอกน้ำที่ถืออยู่ในมือเข้าปากจากนั้นก็ส่งขวดน้ำนั้นมาให้ผมบ้าง ผมส่ายหน้าปฏิเสธมันจึงกระดกดื่มน้ำจากในขวดอีกครั้ง ผมมองหน้าของมันที่กำลังมีเหงื่อไหลออกมาจนชุ่มตามบริเวณหน้าผากและจอนผม ไอ้ซันเป็นคนเดียวที่ผมนึกถึงเป็นคนแรกๆเวลาผมมีปัญหาเรื่องของนัท ถึงแม้ผมจะรู้ตัวว่าผมเองก็ชอบมันแต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะต้องปรึกษามันในเรื่องนี้ อาจจะเป็นเพราะความไว้วางใจที่ผมมีให้กับมันและเป็นเพราะความรู้สึกที่คิดว่ามันเข้าใจผมไปเสียหมดในเกือบทุกๆเรื่องล่ะมั๊ง

ถึงผมจะไม่อยากปรึกษามันในเรื่องของหัวใจเท่าไหร่เพราะผมรู้ตัวว่าผมน่ะชอบมัน ผมไม่อยากให้มันคิดว่าผมรักคนอื่นจนคิดกับมันแค่เพื่อนธรมมดาๆ แต่บางทีก็อาจจะเป็นเพราะที่ว่าผมชอบมันนี่แหละมั๊ง ที่ทำให้ผมยังคอยปรึกษามันอยู่เรื่อยไปเพราะอาจจะแอบหวังเล็กๆอยู่ในใจสักวันหนึ่งว่ามันจะเกิดอาการหึงหวงผมขึ้นมาบ้างอะไรแบบนั้น

ความคิดตื้นๆของเด็กๆ ซึ่งก็ดูจะไม่ได้ผลเลยสักนิดเดียว

“นัทโทรมาหากูเมื่อเช้าน่ะ” ผมพูดขึ้นและเริ่มต้นเล่าเรื่องทั้งหมดของผมให้มันฟัง ผมเล่าทุกเรื่องทั้งเรื่องที่ผมทำและไม่ได้ทำ เรื่องที่นัททำตัวแปลกไปในช่วงสัปดาห์หนึ่งที่ผ่านมานี้ เรื่องที่ผมคิดว่าเขาไปมีคนอื่น เรื่องที่ว่าผมควรจะเลิกดีมั๊ย ผมควรจะทำยังไงดี และเรื่องที่ว่าผมเหนื่อยเหลือเกินแล้ว “มันเหมือนมึงโดนบังคับให้หายใจด้วยจมูกข้างเดียวน่ะ มึงยังหายใจต่อได้ มึงยังไม่ตาย แต่มันทรมาน มึงเข้าใจมั๊ย มันเหนื่อย มันทรมาน กูไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆว่ะ” ผมจบประโยคด้วยการก้มหน้าลงกับพื้น

ไอ้ซันนั่งเงียบตลอดเวลาที่ผมเล่าเรื่องทั้งหมดให้มันฟัง ในขณะที่ผมเล่าอยู่นั้นมันก็จะพยักหน้าบ้าง ทำเสียง “อือฮึ” ในลำคอตอบรับบ้าง แต่เมื่อผมเล่าจบ มันกลับไม่พูดอะไรต่อเลย

เราสองคนนั่งเงียบกันอยู่พักหนึ่งไอ้ซันจึงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น “มากับกู” มันลุกขึ้นยืนแล้วออกเดินไปสองสามก้าว เมื่อมันรู้สึกว่าผมไม่ได้เดินตามมันไปมันจึงหันกลับมาเร่งผมอีกครั้ง “กูบอกให้ตามกูมาไง”

ผมลุกขึ้นยืนแล้วเดินตามมันไปเงียบๆจนมาถึงที่สนามบาสที่ว่างเปล่าเพราะทุกคนคงไปทานข้าวกันหมด ไอ้ซันเดินนำผมไปยังตะกร้าใส่ลูกบาสจากนั้นก็โยนมาให้ผมหนึ่งลูก “เอ้า”

ผมรับเอาไว้ด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจสิ่งที่มันกำลังพยายามจะทำอยู่ ผมยืนถือลูกบาสแล้วมองตามไอ้ซันที่เดินมาหยุดอยู่ข้างๆแป้นบาส

“เอ้า ชู๊ตสิ ยืนทำอะไรอยู่เล่า” มันชี้ขึ้นไปที่ห่วง

“ซัน กู ไม่......” ผมพยายามจะพูดแต่ก็ถูกขัดขึ้นมาเสียก่อน

“เอ้า เร็วๆ เป็นนักบาสไม่ใช่เหรอ แค่นี้ก็ทำไม่ได้รึไง” มันเร่ง มีแววท้าทายอยู่ในสีหน้าและน้ำเสียงของมัน ผมจึงเลี้ยงลูกบาสลงกับพื้นสองสามทีจากนั้นก็ออกวิ่งตรงไปยังแป้นบาสแล้วก็กระโดดขึ้นชู๊ต ลูกบาสลอดลงห่วงไปอย่างเรียบร้อย ไอ้ซันรีบคว้าลูกบาสเอาไว้แล้วก็ส่งมาให้ผมอีกครั้ง “เอ้า เอาอีกสักลูกซิ”

ผมรับลูกบาสมาแล้วก็กระโดดจั๊มพ์ชู๊ตจากจุดที่ผมยืนอยู่ อีกครั้งที่ลูกบาสเข้าห่วงไปอย่างสวยงาม แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจสิ่งที่มันกำลังทำหรือกำลังจะให้ผมทำอยู่ดี

“ดี” ไอ้ซันรับลูกเอาไว้ “คราวนี้ กูโยน แล้วมึงรับจากนั้นก็ชู๊ตเลยนะ เลย์อัพก็ได้”

“เดี๋ยว ไอ้ซัน กู.....”

ยังไม่ทันที่ผมจะพูดจบประโยค ไอ้ซันก็ร้องขึ้น “เอ้า เอาล่ะนะ” มันโยนลูกบาสขึ้นไปในอากาศ สูงเลยแป้นบาสขึ้นไปเล็กน้อย ผมรีบออกตัววิ่งเพื่อจะจับลูกให้ทัน ผมกระโดดขึ้นรับลูกกลางอากาศจากนั้นก็โยนส่งลูกลงห่วงไปทันทีขณะที่ยังลอยตัวอยู่ เมื่อขาแตะถึงพื้น ไอ้ซันที่รับลูกบาสนั้นไว้ก็โยนมันส่งกลับมาให้กับผมอีกครั้ง “ดีมาก” มันพูดพร้อมรอยยิ้ม

“นี่มึงทำอะไรเนี่ย” ผมถามออกไปในที่สุด

“กูก็วอร์มให้มึงไง” ไอ้ซันพูดพร้อมถกแขนเสื้อของตัวเองขึ้น “นั่งตั้งนาน เส้นยึดหมดพอดี”

“กูไม่เข้าใจว่ะ” ผมนิ่วหน้า

“มึงกับกู มาแข่งกัน ห้าลูก โอเคมั๊ย” ไอ้ซันย่อตัวลงเล็กน้อยในท่าเตรียมพร้อม

“เดี๋ยว ทำไมกูถึงต้อง.......”

“มึงไม่ต้องพูดมาก มาเร็วๆ ห้ามปฏิเสธ” ไอ้ซันเร่ง แต่ผมยังยืนเฉยอยู่ “กูอุตส่าห์ให้มึงเริ่มก่อนนะ ถ้ามึงไม่เข้ามา...... งั้นกูเข้าไปเอง” ไอ้ซันรีบพุ่งตัวออกมาแย่งลูกบาสออกไปจากมือผมจากนั้นก็หันหลังวิ่งไปยังใต้แป้น “ใครแพ้ เลี้ยงข้าว!” มันทำท่าจะกระโดดชู๊ตผมจึงวิ่งออกไปขวางเพื่อจะแย่งลูกโดยอัตโนมัติ ไอ้ซันรีบเอี้ยวตัวหลบแต่ก็ยังช้ากว่าผมผมจึงคว้าลูกที่ปัดออกมาจากมือของมันได้แล้วกระโดดขึ้นชู๊ตทันที

“อะไรวะ แม่ง” ไอ้ซันสบถทั้งๆที่มีรอยยิ้มอยู่บนปาก เกมเริ่มต้นขึ้นอีกครั้งด้วยความรวดเร็ว ผมเองเมื่อไอ้ซันมันเริ่มเล่นขนาดนี้ผมก็เลยต้องเริ่มเล่นเอาจริงตามไปด้วย เราทั้งวิ่ง ทั้งแย่งลูก และทั้งชู๊ตกันอย่างดุเดือด ผมไม่เคยเล่นบาสกับไอ้ซันมาก่อนเลย ถึงแม้มันจะเป็นรองผมเพราะบาสเก็ตบอลไม่ใช่กีฬาที่มันถนัด แถมมันยังเหนื่อยจากการเล่นบอลมาอยู่ก่อนแล้ว ผมจึงเป็นฝ่ายได้เปรียบเห็นๆ แต่ว่าด้วยทักษะทางกีฬาของมันกับการเล่นที่เอาจริงเอาจังก็พลอยทำให้ผมต้องเล่นแบบทุ่มเทมากขึ้นตามไปด้วย

เวลาผ่านไปประมาณสิบนาที คะแนนของผมนำอยู่สี่ต่อสองแต้มและถ้าผมทำแต้มนี้ได้ เกมก็จะจบลงทันทีโดยที่ไอ้ซันเป็นฝ่ายแพ้ ผมกำลังเลี้ยงลูกบาสพร้อมกับหอบหายใจอยู่ที่หน้าเส้นเขตโทษ ไอ้ซันเองก็ยืนหอบหนักยิ่งกว่าผมเสียอีกอยู่เบื้องหน้าในท่าที่พร้อมจะเข้ามาแย่งและบล็อกลูกจากผมได้เสมอ ณ ตอนนี้ผมลืมไปแล้วว่าทำไมเราถึงมาเล่นกันอยู่แบบนี้ ทำไมผมถึงต้องมาแย่งลูกบาสอยู่กับมัน และทำไมผมถึงต้องการที่จะเอาชนะมัน แต่เมื่อลูกบาสกำลังอยู่ในมือของผม ผมก็ไม่ต้องการที่จะแพ้ ผมย่อตัวลงต่ำด้วยความรวดเร็วและยืดตัวขึ้นตั้งท่าที่จะชู๊ต เมื่อไอ้ซันเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้ามากระโดดบล็อคทางผมทันที แต่นั่นเป็นการหลอก ผมก้มลงต่ำอีกครั้งและเดินถอยหลังออกมาเล็กน้อยเพื่อหยุดอยู่ตรงขอบเส้นสามคะแนนพอดีจากนั้นก็กระโดดชู๊ตทันที ลูกบาสถูกปล่อยออกจากมือของผมไปยังห่วงและลอดลงไปโดยมีเสียง  ฟวั่บ  ดังออกมาเบาๆ

“เยี่ยม!” ผมทำท่าดีใจและหัวเราะออกมาดังๆ “เสร็จลูกไม้ตื้นๆนะมึง”

“หนวกหู ก็กูไม่ใช่นักบาสนี่หว่า” ไอ้ซันทิ้งตัวลงนั่งข้างๆสนามพร้อมกับเสียงหอบที่ดังยิ่งกว่าตอนผมได้ยินครั้งแรกที่เนินหน้าสนามฟุตบอลเสียอีก ผมเดินตามไปนั่งกับมันด้วยโดยผมนั่งหันหน้าออกพิงหลังของมันเอาไว้

“มึงก็เก่งนะ กูเองเพิ่งเคยเล่นบาสกับมึงเป็นครั้งแรกนะเนี่ย”

“ก็เงี๊ยแหละ เก่งไปหมดทุกด้าน” มันยักไหล่

“กูจะอ้วก” ผมหัวเราะ “ว่าแต่ มึงไม่เหนื่อยแย่เหรอวะเนี่ย” ผมคิดได้ว่านี่มันเล่นทั้งบอลและบาสติดๆกันแบบนี้ มันจะไม่โทรมแย่เหรอในเมื่อช่วงนี้มันสูบ..........

จริงสิ นานแค่ไหนแล้วนะ ที่ผมไม่เห็นมันสูบบุหรี่
นี่มันเลิกสูบบุหรี่แล้วหรือนี่ แล้วตั้งแต่เมื่อไหร่กันล่ะ

“ก็เหนื่อยว่ะ แต่ก็สดชื่นดี” มันตอบพลางถอนหายใจแรงๆพร้อมรอยยิ้มกว้างบนหน้า “แล้วไง เป็นไงมั่งล่ะ” ไอ้ซันเว้นช่วงและกระดกขวดน้ำขึ้นดื่ม “ยิ้มได้แล้วนี่” มันเอาขวดน้ำขวดนั้นมาโขกหัวผมเบาๆ

“อืมม ก็คงงั้น” ผมหยุดหัวเราะลง เหลือเพียงรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าเท่านั้น

“ดีแล้ว มึงชอบเล่นบาสไม่ใช่เหรอ มึงเคยบอกกูว่าเวลาเล่นบาสแล้วทำให้มึงมีความสุข ทำให้มึงสบายใจนี่” ไอ้ซันขยับตัวออก แล้วเปลี่ยนเป็นมานั่งข้างๆผมแทน “แล้วทำไมไม่เล่นซะล่ะ”

ผมเพิ่งได้คำตอบว่าสิ่งที่มันทำไปทั้งหมดนี่ก็เพียงเพื่อให้ผมได้มีรอยยิ้มได้มีเสียงหัวเราะจริงๆอีกครั้ง และการกระทำของมันแบบนี้ก็ช่วยผมได้มากกว่าคำพูดปลอบใจใดๆเลยด้วย

“เอ่ออ กู......” ผมไม่รู้จะพูดอย่างไรดี ที่มันพูดมามันก็ถูก ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมผมถึงหนีซ้อมไปนั่งอยู่คนเดียวแบบนั้นแทนที่จะทำสิ่งที่ผมชอบเพื่อให้รู้สึกสบายใจขึ้น......... และมันก็อุตส่าห์ทำสิ่งนี้เพื่อผม “ซัน กู.......” ผมตั้งใจจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ถูกมันขัดขึ้นเสียก่อน

“รู้สึกดีขึ้นแล้วใช่มั๊ย สบายใจขึ้นนิดนึงรึยัง ออกกำลังซะ หัวมันจะได้สดใส จะได้คิดอะไรได้ดีๆถี่ถ้วนๆ แล้วที่สำคัญ..........” มันเว้นช่วงเหมือนกับกำลังนึกคำพูดบางอย่างออกมาเพื่ออธิบาย “เอ่ออ...... รู้สึกหายใจคล่องขึ้นมั่งรึยังล่ะคราวนี้ ได้วิ่งเล่น ได้ออกแรง ได้หอบ รู้สึกดีขึ้นมั๊ย”

ผมก้มหน้าแล้วยิ้มให้กับตัวเอง “อื้ม กูขอบใจมึงนะ” ผมพูด รู้สึกว่าตัวเองหน้าแดงโดยที่ไม่จำเป็น รู้สึกขอบคุณมันจากใจจริงๆที่มันทำสิ่งนี้ให้ผมทั้งๆที่มันเองก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว และผมก็คิดว่าผมเองได้คำตอบแล้วว่าทำไมก่อนหน้านี้หลังจากผมได้รับโทรศัพท์ผมถึงไม่รู้สึกอยากจะเล่นบาสเลยในขณะที่มันน่าจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นได้

“นี่ ไอ้เมฆ” ไอ้ซันเรียกผมอีกครั้ง คราวนี้มันเว้นช่วงนานกว่าทุกครั้ง ท่าทางจะหาคำมาพูดได้ยากกว่าที่ผ่านมา “ก่อนนี้มึงพูดใช่มั๊ย ว่า มึงรู้สึกเหมือนหายใจด้วยจมูกรูเดียวน่ะ” มันหยุดแล้วรอคำตอบจากผม แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไร มันจึงเริ่มพูดต่อแบบตะกุกตะกัก “คือ กูจะบอกมึงว่า ถ้ามึงหายใจด้วยจมูกรูเดียวไม่ถนัดน่ะ....... เอ่ออ กูว่า กู” มันหยุดลงอีกครั้งหนึ่ง “กูก็จะเป็นรูจมูกอีกข้างให้มึงเอง”

เมื่อผมได้ยินดังนั้นผมก็อดไม่ได้ที่จะร้อง “เย้ยยยยยยยย” ออกมาพร้อมเสียงหัวเราะเบาๆ ถึงเสียงที่ผมเปล่งออกไปจะไม่มีความหมายและผมเองก็ไม่รู้เช่นกันว่ามันสื่อออกไปในความหมายใด แต่ที่แน่ๆผมรู้ตัวเลยว่าผมกำลังเขินและอายจนหน้าแดงมากๆและไม่กล้าที่จะสบตาของมันเลยแม้แต่นิดเดียว ไอ้ซันเองก็คงกำลังเขินและไม่รู้จะพูดอะไรต่อขึ้นมาเหมือนกัน คราวนี้ผมไม่ยอมให้ช่วงเวลาดีๆนี้ถูกทำลายลงไปเสียก่อนอีกแน่นอน

“คือ กูก็อยากจะบอกมึงเหมือนกันไอ้ซัน ว่า คือ ที่กูหนีซ้อมไปทั้งๆที่มันน่าจะทำให้กูรู้สึกดีขึ้นได้จริงๆอย่างที่มึงบอกน่ะนะ” ผมเองก็พูดตะกุกตะกักเช่นเดียวกัน “คือ กูก็อยากจะบอกมึงเหมือนกัน ว่า กูว่ามันคงเป็นเพราะ กูไม่มีคนที่กูรัก คนที่รู้ใจกู อย่างมึง มาเล่นกับกู ล่ะมั๊ง”

ผมรู้สึกว่าหน้าของผมกำลังร้อนราวกับถูกเผาด้วยไฟ คราวนี้ไอ้ซันเป็นฝ่ายทำเสียง “ฮื๊ยยยยยยยยย” ขึ้นมาบ้าง เราสองคนนั่งเงียบก้มหน้าก้มตาไม่คุยกันอยู่พักหนึ่งด้วยความเขินอายไม่รู้จะหาคำพูดอะไรมาคุยกันต่อจนพวกนักกีฬาบาสเริ่มเดินกลับเข้ามาในสนามแล้วก็พากันล้งเล้งใส่ผมกันใหญ่ว่าหายไปไหนมา ผมกับไอ้ซันจึงขอตัวหลบออกไปกินข้าวกันก่อนที่ต่างคนจะต่างกลับไปซ้อมต่อ

มานึกๆดูแล้วนี่ก็คงเป็นครั้งแรกที่ผมกับมันได้บอกรักกันอย่างอ้อมๆล่ะมั้ง........................


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2007 16:22:25 โดย ExecutioneR »

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
เหอ เหอ บอกรักกันแบบอ้อม ๆ  :o8:  :o8:  :o8:

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
นึกถึงวันเก่าๆ จัง
มันจี๊ดดดด....
 :m3:

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
สิ่งที่ทำอยู่ก็เหมือนกับการหลอกตัวเอง
แต่สุดท้ายมันก็มีแต่เราหล่ะที่เสียเวลา และเจ็บเอง
 :m21: :m21: :m21:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






sun

  • บุคคลทั่วไป
เจ้ยยยยยย..... :o

   “กูก็จะเป็นรูจมูกอีกข้างให้มึงเอง”     :m30:  พรื่ดดด...!~

กรี๊ดดดดดดด.... เขาบอกรักกันทางอ้อมแบบนี้ นี่เอง คิคิ    :m3:  :m3:  :m3:

ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
Re: การเดินทางของŪ
«ตอบ #161 เมื่อ15-08-2007 06:29:15 »

เจ้ยยยยยย..... :o

   “กูก็จะเป็นรูจมูกอีกข้างให้มึงเอง”     :m30:  พรื่ดดด...!~

กรี๊ดดดดดดด.... เขาบอกรักกันทางอ้อมแบบนี้ นี่เอง คิคิ    :m3:  :m3:  :m3:


อ้าว คำนี้นี่คุณซันบอกเองไม่ใช่เหรอ ... ทำจำไม่ได้ อิอิ  o17

... ว่าแต่ วี๊ซซซซซซซซ ได้ใจมากๆๆๆ เลย ... บอกรักทางอ้อมมมม  :m3:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 15-08-2007 19:44:20 โดย BlueWizard »

kissazazel

  • บุคคลทั่วไป
งุงิ ไม่ได้มาอ่านแค่สัปดาห์เดียว ไปไกลมากเลยอ่า  :m18:

เอ่อ แบบว่า ตอนพิเศษที่บอกผมก็อยากได้เหมือนกันคร้าบบบบ :m3:

ขอบคุณล่วงหน้าคร้าบผม  เอิ๊กๆๆๆๆ

บอกรักแบบอ้อมๆ อืมม น่าสนแฮะ

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

...........อย่าปล่อยหั้ยบางอย่างผ่านไป........เหมือนไม่รู้อะไรเลย...... :give2: :give2:

ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 16


ลูกบาสที่ไคล์ชู๊ตพลาดกระเด็นจากขอบห่วงลอยสูงขึ้นไป ไคล์กับผมกระโดดขึ้นพร้อมๆกันเพื่อแย่งลูก ไคล์เป็นฝ่ายจับลูกได้ก่อนแต่ก่อนที่ขาจะแตะพื้นผมก็คว้ามันออกมาจากมือของเขาได้ทัน ผมจับลูกไว้ด้วยมือข้างขวาจากนั้นก็ทำท่าจะกระโดดอีกทีเพื่อจะชู๊ต ไคล์รีบกระโดดขึ้นเพื่อบล็อกทันทีแต่แน่นอนว่านั่นเป็นแค่การหลอก ผมออกวิ่งหลบผ่านด้านข้างของไคล์ไปด้วยความรวดเร็วแล้วกระโดดขึ้นทำจั๊มพ์ชู๊ตอีกครั้ง ลูกบาสกระแทกกับขอบห่วงเล็กน้อยแต่ก็ไหลลงห่วงไปได้อย่างสวยงาม จบเกมคะแนนอยู่ที่ห้าต่อสี่ ผมเป็นฝ่ายชนะ

“ให้ตายสิ” ไคล์ร้องออกมาเบาๆแล้วเดินมานั่งลงข้างสนาม

“หึๆ สนุกดีนะ” ผมนั่งลงข้างๆกับเขา มือควานหาขวดน้ำในกระเป๋าแล้วส่งให้เขาไปขวดหนึ่ง จากนั้นผมก็หยิบอีกขวดขึ้นมาดื่ม

“รู้อะไรมั๊ย พี่เล่นเก่งมากๆเลย ผมสู้ไม่ได้เลยนะเนี่ย” ไคล์พูดขึ้น

“ไม่ขนาดนั้นหรอก พี่ก็เกือบแพ้ไปแล้วเหมือนกันนี่นา เห็นมั๊ยล่ะ”

“แต่ศิลาชู๊ตลูกแทบไม่พลาดเลยนะ ผมพลาดเยอะกว่าเยอะเลย ให้ตายสิ” ไคล์สบถออกมาเบาๆต่อท้ายประโยคอีกครั้ง ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงต่อก็เลยได้แต่นั่งหัวเราะ

เราสองคนเงียบกันไปอีกครั้งหนึ่งซึ่งผมไม่ชอบเลยเพราะมันทำให้ผมคิดถึงเรื่องที่ไคล์เห็นรอยจูบเมื่อเช้าขึ้นมาอีกครั้ง และด้วยความที่กลัวว่าเขาจะเป็นฝ่ายเริ่มพูดเรื่องนั้นออกมาก่อนผมจึงลุกขึ้นยืนแล้วหยิบลูกบาสออกไปวิ่งแล้วชู๊ตเล่นอยู่คนเดียว ไคล์เองก็เอาแต่นั่งมองผมกระโดดชู๊ตอยู่อย่างนั้นลูกแล้วลูกเล่าจนผมเริ่มรู้สึกเขิน

“มาสิ มาเล่นด้วยกัน เอาแต่มองอย่างนี้ก็เขินแย่” ผมหัวเราะแก้เก้อ

“ได้เลย” ไคล์ลุกขึ้นแล้วเดินตรงมาที่ผม “คราวนี้เรามาพนันกันหน่อยดีมั๊ย” เขาถาม

“พนันอะไร” ผมสงสัย

“ก็มาแข่งกันห้าลูกเหมือนเดิม แต่คราวนี้ใครแพ้จะต้องเป็นฝ่าย..........” เขาหยุดแล้วทำท่านึก “คนแพ้จะต้องทำอะไรดีล่ะ..... ไม่สิ เอาอย่างนี้ดีกว่า” ไคล์ดีดนิ้ว “คนชนะสามารถออกคำสั่งให้คนแพ้ได้หนึ่งอย่างแล้วคนที่แพ้ก็ต้องทำตาม ดีมั๊ย” เขาเสนอความเห็น

“โห เดิมพันสูงนะนั่น” ผมร้องเมื่อได้ยินสิ่งที่ไคล์เสนอ

“นิดหน่อยเองน่า คราวนี้จะได้เล่นจริงๆสักทีไง ผมไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆหรอกนะ ถึงยังไงผมเองก็เคยเป็นนักกีฬามาก่อนเหมือนกัน” ไคล์หยิบลูกบาสออกไปจากมือของผมแล้วก็กระโดดชู๊ต ลูกบาสไหลลอดลงห่วงไปโดยไม่สะกิดขอบห่วงเลยแม้แต่น้อยจากนั้นก็กระดอนอยู่บนพื้นสามสี่ทีค่อยกลิ้งไหลออกไปไกล “ว่าไง สนใจมั๊ย” ไคล์วิ่งเหยาะๆไปหยิบลูกบาสขึ้นมาถือ

“อืมม ก็ได้ ก็น่าสนุกดีเหมือนกัน” ผมรับคำ เพราะเมื่อสักครู่ผมก็ยังไม่ได้เอาจริงเท่าไหร่เลย เป็นเหมือนแค่การวอร์มเครื่องเล่นๆกันมากกว่าและผมเชื่อว่าไคล์เองก็ยังไม่ได้จริงจังกับเกมเมื่อครู่เท่าไหร่นักเช่นกัน “แต่พี่เองยังไม่รู้เลย ว่าถ้าพี่ชนะจะสั่งให้ไคล์ทำอะไรดีนะ”

ไคล์โยนลูกมาให้ผมรับ “เอาไว้ชนะก่อน แล้วค่อยพูด” เขายิ้มด้วยสีหน้ามั่นใจ

“โอเค แต่ว่า ไม่มีการสั่งอะไรทะลึ่งๆหรือไม่ดีๆนะ” ผมเริ่มต้นเลี้ยงลูกบาสและอยู่ในท่อย่อตัวเตรียมพร้อม ไคล์เองก็เริ่มย่อตัวแล้วเหมือนกัน

“แน่นอน” เขายักคิ้วหนึ่งข้าง “ถ้างั้นก็...... เริ่มเลยนะ” ทันทีที่เขาพูดจบเขาก็พุ่งตรงเข้ามาประชิดตัวของผมทันที ผมรู้สึกถึงแรงกดดันและความเอาจริงที่มากกว่าเดิมของไคล์ได้อย่างชัดเจน

แต่ผมก็ไม่ชอบที่จะแพ้เช่นกัน

ผมเบียดหนีไคล์ออกไปโดยพยายามที่จะวิ่งให้หลุดจากการประกบ แต่ไคล์มีเทคนิคการตั้งรับที่ดีมาก ผมพยายามจะเลี้ยงลูกหลอกและอาศัยความไวแต่ไคล์ก็สามารถตามมาดักผมได้ทันก่อนที่ผมจะวิ่งไปไกลหรือตั้งท่าชู๊ตทุกครั้ง ผมพยายามรักษาลูกเอาไว้ แต่ในขณะที่ผมกำลังจะเปลี่ยนมือที่เลี้ยงลูกจากมือขวาเป็นมือซ้ายอยู่นั้น ไคล์ก็ชิงพุ่งเข้ามาตัดลูกไปได้เสียก่อน เขารีบคว้าลูกแล้วชู๊ตไกลออกไปทันที

“คะแนนที่หนึ่ง!” ไคล์ร้องทำท่าดีใจ ผมเองก็หัวเราะไปด้วย แต่ไคล์กลับเดินเข้ามาแล้วยิ้มให้ผมพร้อมกับพูดว่า “อย่าเพิ่งยิ้ม ระวังจะกลายเป็นห้าต่อศูนย์นะ” เขายักคิ้วหนึ่งข้างทำให้ผมรู้สึกเหมือนโดนสบประมาทเล็กๆ “เอ้า ตาพี่แล้ว” เขาส่งลูกให้ผมอีกครั้ง

ถ้าเป็นเรื่องอื่นล่ะก็ไม่เท่าไหร่หรอก แต่ถ้าเป็นเรื่องบาสเก็ตบอลนี้ล่ะก็ ผมไม่ยอมแพ้ง่ายๆแน่

เมื่อผมเห็นไคล์เอาจริงผมก็เริ่มจะเอาจริงขึ้นมาบ้าง ผมใช้การเลี้ยงลูกหลอกและความเร็วที่ผมถนัดเลี้ยงลูกหนีหลบไคล์ไปได้และทำแต้มแรกได้จากการเลย์อัพ เท่านี้ผมก็เสมอกับไคล์หนึ่งต่อหนึ่ง แต่ว่าถ้าผมจะเอาชนะเขาให้ได้ผมต้องหยุดเขาให้ได้อย่างน้อยหนึ่งลูกและต้องชู๊ตไม่ให้พลาดหรือไม่ให้ถูกแย่งลูกได้ในขณะที่ผมครองบอลเลย

เราผลัดกันทำแต้มไปเรื่อยๆจนถึงคะแนนที่สามต่อสาม เกมเริ่มจะแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะการเล่นที่รุนแรง เรายังไม่ได้เล่นกันแรงเหมือนในสนามแข่งจริงๆขนาดนั้น แต่มาจากความเอาจริงเอาจังของเราทั้งคู่ และอีกครั้งที่ผมลืมไปเสียสนิทว่าผู้แพ้จะต้องทำตามคำสั่งของผู้ชนะหนึ่งอย่าง ในหัวของผมตอนนี้ผมคิดแต่ว่าจะเอาชนะอย่างเดียวเท่านั้น ผมไม่อยากที่จะแพ้แน่นอน

“หลบไวดีนี่” ไคล์พูดขึ้นขณะที่เขากำลังพยายามจะแย่งลูกจากมือของผมไป

“ยังไม่เท่าไหร่หรอก” ผมยิ้ม แล้วตั้งท่าหลอกจะชู๊ตอีกครั้งแต่คราวนี้ไคล์ไม่หลงกล เขารีบปัดบอลออกจากมือของผมออกทันก่อนที่ผมจะได้ตั้งหลัก ลูกบาสกลิ้งไปที่เส้นสามคะแนนและไคล์ก็เป็นฝ่ายเก็บได้ทัน เขาออกแรงชู๊ตไกลทันที ผมเห็นสีหน้าที่ไม่ได้มั่นใจนักของไคล์หลังจากโยนลูกออกไปแล้วจึงหันมองไปตามลูกที่กำลังลอยไปยังแป้น หลังจากที่ลูกบาสกระแทกห่วงอย่างน่าหวาดเสียวอยู่สองสามทีมันก็ลอดลงห่วงไปในที่สุด

ไคล์ทำท่าดีใจที่ทำคะแนนหนีห่างผมออกไปได้เป็นสี่ต่อสาม เกมเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ถ้าลูกนี้ผมชู๊ตลงผมก็จะต้องสกัดการบุกของไคล์ครั้งหน้าให้ได้เพื่อที่จะชนะ ผมหลอกล่อไคล์ว่าจะวิ่งไปชู๊ตที่ใต้แป้นแต่กลับฉากหนีออกมาที่ด้านนอก แทนที่จะทำเลย์อัพหวังผลที่ชัวร์ในระยะใกล้แต่ถ้าไคล์ปัดบอลได้อีกผมก็จบ ผมต้องการที่จะเสี่ยงปิดเกมนี้ให้ได้ไวๆมากกว่าเลยทำจั๊มพ์ชู๊ตจากระยะที่ไคล์บล็อคไม่ถึง ถ้าผมชู๊ตไม่ลงไคล์ต้องเป็นฝ่ายรีบาวนด์ลูกได้และชู๊ตลงห่วงชนะไปอย่างแน่นอนเพราะผมคงวิ่งไปแย่งเขามาไม่ทัน แต่ผมก็พร้อมที่จะเสี่ยง ผมกระโดดแล้วขว้างลูกออกไป ลูกบาสหลุดออกจากมือของผมไปยังห่วงอย่างพอดิบพอดีจากนั้นก็มีเสียง ฝุ่บ ดังตามมา

“เยี่ยม” ผมร้องด้วยความดีใจ

เมื่อเกมสุดท้ายที่ไคล์จะได้เป็นฝ่ายครองบอลเริ่มขึ้น ผมคิดว่าเขาจะวิ่งเข้ามาชู๊ตจากใต้แป้นแบบที่เขาถนัด แต่ผมคิดผิด หลังจากหลอกล่อและพยายามจะเข้าผ่านผมไปใต้แป้นอยู่นาน ไคล์ก็วิ่งออกไปที่เส้นสามแต้มแล้วชู๊ตทันที ผมไม่สามารถเข้าไปบล็อกเขาไว้ได้ทัน จากนั้นลูกบาสที่กระเด้งและหมุนอยู่บนขอบห่วงอยู่สามสี่รอบก็เลื่อนหลุดลงไปในห่วง

ไคล์เป็นฝ่ายชนะไปด้วยคะแนน ห้าต่อสี่

“มันต้องอย่างนี้!” ไคล์ร้องแล้วเหวี่ยงกำปั้นขึ้นในอากาศ ผมหัวเราะแล้วก็เดินไปจับมือกับเขา

“ชู๊ตไกลได้สุดยอดไปเลยนี่” ผมพูด

“ไม่หรอก ผมว่าฟลุ๊คทั้งสองครั้งเลย” ไคล์หัวเราะ “ปกติผมชู๊ตสามแต้มได้เรื่องที่ไหนกันล่ะ” เขาว่า เราสองคนทิ้งตัวลงนั่งที่เดิมพร้อมๆกัน คราวนี้สิ่งที่เราคุย ที่เราพนันกันเอาไว้ก่อนหน้านี้ก็เริ่มจะกลับมาวนเวียนอยู่ในใจของเราทั้งคู่แบบเงียบๆอีกครั้ง

“งั้น.....” ไคล์พูดขึ้น “เรื่องที่พนันกันไว้” เขาหันมายิ้มกับผม

“โอเคๆ” ผมแบมือทำท่ายอมแพ้ “คำไหนคำนั้น อยากจะให้ทำอะไรล่ะครับ”

“นั่นสินะ.........” ไคล์ทำท่านึก ผมหยิบขวดน้ำขวดเดิมที่วางอยู่ข้างๆมากระดกขึ้นดื่ม ไคล์เองก็ทำเช่นเดียวกันกับขวดน้ำของเขา และหลังจากที่ดื่มน้ำเสร็จเขาก็เอาหลังมือปาดที่ริมฝีปากเบาๆ “เอาเป็นว่าแค่ตอบคำถามผมมาก็แล้วกัน ขอแค่ตอบมาตามความจริง” ไคล์พูดและเหม่อมองออกไปยังสนามหญ้าเบื้องหน้าขณะที่ผมยังคงดื่มน้ำอยู่

“ซันกับศิลา............. มีอะไรกันแล้วใช่มั๊ย”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2007 16:22:43 โดย ExecutioneR »

aumzaa

  • บุคคลทั่วไป



ขอบคุณมากครับ....


สำหรับตอนพิเศษ.......


อิอิถูกใจมั๊กๆๆเลยครับผม........


ขอบคุณอีกครั้งครับ

 o14 o14 o15 o15

[attachment deleted by admin]

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ตอบยากจังคำถามนี้
ศิลาจะตอบยังไงดีละเนี่ย...

gobgab

  • บุคคลทั่วไป

...........ถามตรงจริงๆ.........

...........จะตอบยังไงดีหว่า........... :m17: :m17:

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
ค้างมากๆ เลยอ่ะคับคุณต้น
 :a6: :a6: :a6:

ออฟไลน์ THIP

  • Global Moderator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7674
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +986/-10
รอว่าศิลาจะตอบว่ายังไง  :a1:  :a1:  :a1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






sun

  • บุคคลทั่วไป
เหอๆ ค้างคา   :a3:
แย้วไคล์รู้ได้งัยหว่า หุหุ  :m28:

tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป


วันก่อน . . . หมอดูไพ่ยิปซีแกมาดู  เลยสนองดูซะ

เป็นเวลาเดียวกับที่ไอ้น้องเนฯ  มันเดินมายืนใกล้ ๆ  หมอบอกว่า

"ตอนนี้  มีคนเข้ามาในชีวิตสองคน  หญิงหนึ่งชายหนึ่ง  แต่เนื้อคู่จะเป็นผู้ชาย"  ได้แต่นั่งแล้วมองหน้าแม่หมอ  แกทายแม่นหรือ?

"เนื้อคู่เป้นชายแน่ ๆ  แกยิ้ม  เป็นคนรูปร่างเล็ก ๆ  ขาว ๆ  หน้าตาดี"  เลยหันไปมองหน้าน้องเนน  แล้วยิ้มให้ มัน  เหอะ ๆ ๆ ๆ ๆ  มึงตกอันดับไปเลยเพราะมรึงมันดำ  ได้ ใจ  เหอะ ๆ ๆ ๆ ๆ 


ปล.  แค่อยากเล่าให้ฟังเฉย ๆ  นะ

ปล2.  ไม่อยากเดาว่าไคลน์กับสิลา  จะมีไรกันมาก่อนแล้ว  รักสามเศร้าเหรอ?

ออฟไลน์ ที่ปรึกษาไอทีขั้นต้น

  • Administrator
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6853
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1320/-22
ความใกล้ชิดก็คือความผูกพัน
 :a4: :a4:

ninaprake

  • บุคคลทั่วไป
Re: การเดินทางของŪ
«ตอบ #173 เมื่อ19-08-2007 01:55:27 »

พรวด!  :m30: เมฆน้ำพุงแน่ กะลังดื่มน้ำอยู่เลย ... จบได้ค้างคาจริงๆแหละ ไม่รู้ว่าเมฆจะตอบไงนะเนี่ย



วันก่อน . . . หมอดูไพ่ยิปซีแกมาดู  เลยสนองดูซะ

เป็นเวลาเดียวกับที่ไอ้น้องเนฯ  มันเดินมายืนใกล้ ๆ  หมอบอกว่า

"ตอนนี้  มีคนเข้ามาในชีวิตสองคน  หญิงหนึ่งชายหนึ่ง  แต่เนื้อคู่จะเป็นผู้ชาย"  ได้แต่นั่งแล้วมองหน้าแม่หมอ  แกทายแม่นหรือ?

"เนื้อคู่เป้นชายแน่ ๆ  แกยิ้ม  เป็นคนรูปร่างเล็ก ๆ  ขาว ๆ  หน้าตาดี"  เลยหันไปมองหน้าน้องเนน  แล้วยิ้มให้ มัน  เหอะ ๆ ๆ ๆ ๆ  มึงตกอันดับไปเลยเพราะมรึงมันดำ  ได้ ใจ  เหอะ ๆ ๆ ๆ ๆ 

ปล.  แค่อยากเล่าให้ฟังเฉย ๆ  นะ

ดูที่ไหนคับ? ท่าทางแม่นดีจัง อิอิ  :m4: อยากไปดูมั่งจังเลย  :impress: อยากรู้ว่ามีชะตาจะมีคู่มั๊ย หรือว่าต้องอยู่คนเดียวไปตลอดชีวิต  o7

kissazazel

  • บุคคลทั่วไป
ได้รับตอนพิเศษแล้ว ขอบคุณคร้าบบบบบ :m4:

โห เล่นถามกันตรงๆ อย่างนี้เลยเหรอ 


ออฟไลน์ ExecutioneR

  • จุ๊บ จู๊บบบบบ ~~ ♥
  • เป็ดนักเขียน
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4243
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1722/-40
    • FB Page
ตอนที่ 17


หลังจากแข่งเกมเล็กๆของเราเสร็จผมกับไคล์ก็นั่งลงพักและดื่มน้ำด้วยกัน ไคล์กำลังคิดอยู่ว่าหลังจากนี้เขาจะให้ผมทำอะไรดีเพราะผมเป็นฝ่ายแพ้ ขณะที่ผมกำลังยกขวดน้ำขึ้นดื่มและเหม่อมองออกไปยังสนามหญ้าเบื้องหน้าที่มีคนสามสี่คนกำลังนั่งเล่นพูดคุยกันอยู่ ไคล์ก็พูดสิ่งที่เขาต้องการออกมา

“ตอบผมมาตามความเป็นจริงนะ ซันกับศิลามีอะไรกันแล้วใช่มั๊ย” ไคล์ถาม มีความลังเลเจืออยู่ในน้ำเสียงเล็กน้อยแต่ก็ประกอบไปด้วยความหนักแน่นจนผมถึงกับสำลักน้ำที่กำลังดื่มอยู่ ผมยกมือขึ้นปิดปากแล้วไอโขลกอยู่สามสี่ครั้ง

“ว่ายังไงนะ” ผมวางขวดน้ำลงข้างๆตัว ยกมือขึ้นปาดน้ำที่ไหลอยู่ที่ปลายคาง ไคล์ไม่ตอบอะไรแต่ยังนั่งมองไปยังสนามหญ้าเบื้องหน้าต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ผมรอ อยากที่จะให้เขาพูดอะไรออกมาอีกสักคำ อะไรก็ได้ แต่เขาก็ไม่ยอมพูดอะไรต่อ สุดท้ายผมก็เลยเป็นฝ่ายต้องยอมเริ่มต้นขึ้นก่อน “คือ แบบว่า......” ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก ทั้งๆที่เพิ่งดื่มน้ำไปอึกใหญ่ๆแต่ผมกลับรู้สึกลำคอของตัวเองแห้งผากและตีบตันเสียเหลือเกิน การที่จะพูดความจริงออกไปตอนนี้มันยากยิ่งกว่าการที่ผมบอกรักไอ้ซันในคืนนั้นเสียอีก

ผมไม่รู้จะหาคำพูดอะไรมาพูดออกไปได้ ผมไม่รู้ว่าไคล์คิดแบบนี้มานานเท่าไหร่แล้ว เป็นเพราะรอยจูบที่เขาเห็นเมื่อเช้า หรือเขาสงสัยมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นแล้ว แล้วทำไมเขาถึงถามในเรื่องนี้ ทำไมไม่ถามว่าผมกับซันกำลังคบกันอยู่หรือ ทำไมไม่ถามว่าผมชอบซันเหรอ ทำไมไม่ถามว่าผมกับซันเป็นมากกว่าเพื่อนหรือเปล่า ทำไมไม่ถามอะไรก็ได้ ถามแบบไหนก็ได้ที่ไม่ใช่คำถามแบบนี้

ไคล์ก็ยังคงนิ่งเงียบอีกอยู่ดี วันนี้เป็นวันแรกที่ผมรู้สึกว่าทำไมไคล์ช่างเป็นคนมีความอดทนสูงได้ขนาดนี้นะ เขารับมือกับความกดดันและเป็นคนที่คุมเกมได้ดีมากๆ ผมรู้สึกว่าผมกำลังจะกลายเป็นผู้แพ้ไปอย่างสมบูรณ์ ผมขยับตัวเล็กน้อยและหยิบก้อนหินก้อนเล็กๆที่อยู่ข้างๆตัวผมมาถือและกำเอาไว้ในมือ

“ทำไมถามอย่างนั้นล่ะ” ผมตอบกลับไปด้วยคำถามงี่เง่าๆที่ผมก็รู้ตัวว่าไม่น่าจะถามออกไปเลย ไคล์หันมามองหน้าผมเป็นครั้งแรกหลังจากที่เขาถามประโยคนั้นกับผมออกมา สีหน้าของไคล์ช่างราบเรียบและเย็นชาจนผมรู้สึกผิด รู้สึกผิดที่พูดอะไรงี่เง่าๆออกไปจริงๆและรู้สึกผิดที่ไม่ตอบคำถามของเขาให้ชัดเจนอย่างที่สัญญากันเอาไว้

“ใช่” ผมตอบ กลั้นหายใจเฮือกหนึ่งแล้วเริ่มพูดต่อ “ซันกับผม เรากำลังคบกันอยู่” ผมเกือบจะพูดอะไรมากไปกว่านั้นแล้ว ผมเกือบจะพยายามอธิบายสิ่งต่างๆให้เขาเข้าใจมากขึ้น อย่างน้อยๆก็ที่ว่าเรามีอะไรกันแล้วน่ะมันก็ไม่ใช่มีไปไกลอย่างที่เขาคิด มันแค่เพียงภายนอกเท่านั้น แต่สุดท้ายการปิดปากเงียบเอาไว้ก็คงจะดีกว่า เพราะไคล์เองก็ไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านั้น เขาอาจจะไม่อยากรู้มากไปกว่านี้แล้ว หรือถ้าเขาต้องการจะรู้เขาก็คงถามเองในไม่ช้านี่แหละ และที่สำคัญถ้าผมพูดมากเกินไป อะไรๆมันอาจจะแย่ลงไปกว่านี้ก็ได้

ผมนั่งก้มหน้ารอฟังคำพูดและปฏิกิริยาของไคล์ว่าจะเป็นอย่างไร ผมไม่เคยคิดเลยว่าผมจะต้องมาพูดกับคนอื่นเรื่องแบบนี้นอกจากเพื่อนที่ผมไว้ใจได้จริงๆ และที่สำคัญเป็นญาติของไอ้ซันเองด้วย แล้วตัวไอ้ซันจะคิดยังไงกันถ้ามันรู้ว่าผมบอกไคล์เรื่องนี้ไปแล้ว ความกังวลใจของผมมันเริ่มก่อตัวมากขึ้นเรื่อยๆๆ

“ไม่ต้องกังวลหรอก” ไคล์พูดทำลายความเงียบขึ้น “ผมไม่เอาไปบอกใครหรอก แม้แต่กับซัน” เขาพูดออกมาราวกับอ่านใจของผมออก “ไม่สิ ต้องพูดว่าโดยเฉพาะกับซันต่างหาก” ไคล์ลุกขึ้นยืนแล้วหยิบลูกบาสที่วางอยู่ตรงหน้าออกไป นับตั้งแต่เขาถามผมคำถามนั้นผมก็ยังไม่เห็นรอยยิ้มของเขาอีกเลย จนถึง ณ เวลานี้ ไคล์คว้าลูกบาสแล้วก็ออกเดินไปยังเส้นแบ่งครึ่งของสนามบาส เขาเลี้ยงลูกอยู่กับพื้นสองสามทีขณะที่จ้องมองไปยังแป้นบาส ไคล์เริ่มออกวิ่งจากวิ่งเหยาะๆแล้วก็เปลี่ยนเป็นเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนเมื่อเกือบถึงแป้นบาสเขาก็กระโดดขึ้นลอยตัวไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว เขาถือลูกบาสด้วยมือข้างเดียวจากนั้นเงื้อแขนไปทางด้านหลังจนเกือบสุดแล้วก็ดั๊งค์กระแทกลูกบาสลงห่วงไปอย่างรุนแรง ผมที่นั่งมองอยู่ถึงกับตะลึงด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าเขาจะทำได้ขนาดนี้

เมื่อขาของไคล์แตะพื้นเขาก็ยืนก้มหน้าแล้วหอบออกมาเล็กน้อย ถึงแม้ผมจะนั่งห่างออกมาขนาดนี้ก็ยังรู้สึกได้ถึงอะดรีนาลีนและพลังงานอันเอ่อล้นของเขาที่แผ่พุ่งออกมารอบตัว

“ใช้ได้มั๊ย” ไคล์เอียงคอมายิ้มให้กับผม “ถึงจะดูธรรมดาๆ แต่นี่แหละ คือสุดยอดของผมแล้ว”

ไม่เลย นี่ไม่ใช่ธรรมดาๆเลย ทั้งการกะจังหวะกระโดด การสปริงตัว การที่เขาถือลูกบาสมือเดียวแล้วเหยียดแขนออกไปจนเกือบสุด จากนั้นก็กระแทกลงห่วงไปอย่างรุนแรง รวมถึงบอดี้บาลานซ์ทั้งขณะที่ชู๊ตและค้างตัวจนถึงเมื่อขาแตะพื้นล้วนแล้วแต่สุดยอด ถึงจะดูธรรมดาแต่ก็มีพลัง ต่อให้ใครไม่เคยสนใจกีฬาบาสเก็ตบอลมาก่อนก็ต้องทึ่งไปกับท่าดั๊งค์เมื่อครู่ของเขาเป็นแน่ ผมไม่รู้จะพูดหรือรู้สึกอย่างไรดีก็เลยพยักหน้าแล้วก็ยิ้มให้กับเขา ไคล์หันหลังให้ผมแล้วเดินไปเก็บลูกบาสที่กลิ้งอยู่บนพื้นขึ้นมา จากนั้นก็โยนส่งมาให้ผมที่ยังคงนั่งอยู่บนพื้น ผมรับลูกบาสมาแล้วก็วางมันลงไว้กับพื้นข้างๆตัว

“วางทำไมเล่า” ไคล์ร้อง “หยิบแล้วลุกขึ้นมาซี่” เขาชี้มาที่ผม “ผมแสดงแบบสุดยอดของไปแล้วนะ ตาพี่มั่งล่ะทีนี้” เขาถอยห่างออกมาจากแป้นบาสเป็นการเว้นที่ให้กับผม ผมยืนขึ้นถือลูกบาสอยู่ในมือทำท่าลังเล ไคล์จึงร้องออกมาอีก “เร็วๆสิ นี่เป็นคำสั่งนะ ยังถือว่าอยู่ในสัญญาการพนันของเรานะครับ”

ผมอยากจะอ้าปากเถียงหรือแย้งอะไรบางอย่างออกไปแต่อะไรบางอย่างมันก็มาจุกอยู่ที่ลำคอของผมทำให้ผมได้แต่นิ่งเงียบไปเหมือนเดิม ผมเดินไปยังเส้นชู๊ตสามแต้มตรงหน้าของแป้นบาสจากนั้นก็ผ่อนลมหายใจออกเบาๆ ผมเลี้ยงลูกอยู่สามสี่ครั้งสายตาก็จับจ้องไปที่แป้นบาสและพื้นที่ว่างด้านหน้า จากนั้นผมก็โยนลูกบาสลงให้กระดอนลงกับพื้นในตำแหน่งที่ผมเล็งเอาไว้พร้อมๆกับออกวิ่งทันที ผมกระโดดไปข้างหน้าคว้าลูกบาสที่กำลังลอยอยู่จุดสูงสุดด้วยมือข้างขวาแล้วก็ยืดแขนออกไปทำท่าจะเลย์อัพแต่กลับเปลี่ยนมือถือลูกจากมือขวาเป็นมือซ้ายทันที เป็นการทำครัชด้วยความรวดเร็วขณะที่ยังลอยตัวอยู่ พร้อมๆกับหันหลังให้กับแป้นจากนั้นก็ปล่อยลูกบาสออกไปด้วยมือซ้าย ลูกบาสกระแทกแป้นและขอบห่วงเล็กน้อยจากนั้นจึงไหลลงห่วงไป

เมื่อขาผมแตะพื้น ไคล์ก็ร้องขึ้นมาพร้อมๆกับ “ว้าววว” เขาเดินตรงมาหาผม “ถ้าทำดับเบิ้ลครัชแบบนี้ตอนแข่งกับผมก็คงชนะสบายๆไปแล้วนะเนี่ย” เขาพูด

“มันทำไม่ได้ง่ายๆน่ะสิ ยังต้องฝึกอีกเยอะ” ผมบอกเขา

“แต่ก็สุดยอดเลยจริงๆนะ ไม่นึกเลยว่าจะทำได้ขนาดนี้” เขาเดินมาจับไหล่ของผมเอาไว้ อีกมือก็ตีมือกับผม

“ไคล์เองก็เหมือนกัน” ผมพูด “ถ้าดั๊งค์ได้แบบนี้ แล้วดั๊งค์ไปตั้งแต่ตอนแข่งกันล่ะก็คงชนะสบายๆไปแล้ว”

“ไม่ไหวหรอกครับ” ไคล์ส่ายหัว “อันนี้มันเล่นตัวต่อตัวแล้วโดนประกบขนาดนั้น ไม่มีช่องว่างให้ชู๊ตได้หรอก ถ้าอยู่ในเกมจริงๆก็พอใช้ข่มคู่แข่งได้อยู่หรอก แต่เล่นกับสองต่อสองแบบนี้อย่าว่าแต่จะดั๊งค์เลย หาช่องเข้าไปชู๊ตยังยาก โดยเฉพาะโดนประกบเหนียวๆแบบที่พี่ประกบผมน่ะ” เขายักไหล่แล้วเดินไปนั่งลงที่เดิม

ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิมขณะที่ไคล์ทิ้งตัวลงนั่ง ผมยืนอยู่ด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน ในที่สุดจึงเป็นฝ่ายตัดสินใจเริ่มพูดขึ้นมาก่อน

“เอ่ออ ไคล์ ไอ้เรื่องเมื่อกี๊น่ะ”

“อืมมม” ไคล์พยักหน้า “ผมรู้”

“หมายความว่ายังไง ‘ผมรู้’” ผมถามด้วยความประหลาดใจ

“ผมหมายถึง ผมเข้าใจว่าพี่ศิลาคิดยังไงน่ะ” ไคล์มองหน้าของผมโดยที่ยังปราศจากรอยยิ้ม “เพราะผมก็เคยบอกพี่ไปแล้วนี่นา........” เขาเว้นช่วงเหมือนคิดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง

“บอกว่าอะไรเหรอ” ผมถาม

“ก็..... นั่นสินะ” ไคล์เบือนหน้าหนีไปทางอื่นแล้วจึงหันกลับมามองผมอีกครั้ง “ผมบอกไปแล้วนี่ ว่าผมรักและเชื่อใจซัน ถ้าซันรักและเชื่อใจศิลา ผมก็รักศิลาด้วย” เขาพูด “และที่สำคัญผมก็เคยบอกไปแล้วว่าพี่ศิลาน่ะ เป็นคนดีนะ ผมชอบพี่ เพราะอย่างนั้นถ้าคนที่ผมชอบทั้งสองคนจะคบกัน มันก็ไม่เห็นมีอะไรเสียหายนี่ ผมควรจะยินดีกับทั้งคู่ต่างหากถึงจะถูก” ไคล์ยิ้มกวางให้ผมอีกครั้งแบบที่เขาชอบทำประจำ

ผมรู้สึกตัวเองจมหายไปกับคำพูดและความรู้สึกทั้งหลายแหล่เมื่อได้ยินสิ่งที่ไคล์พูดออกมาแบบนั้น ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดจะหาคำมาอธิบาย มาบรรยายให้ไคล์เข้าใจถึงความสัมพันธ์ของเราสองคนว่ามันเป็นยังไงและทำไมมันถึงมาได้ถึงจุดนี้รวมถึงข้ออ้างร้อยแปดเพื่อให้เขาเข้าใจ แต่เมื่อได้ยินดังนั้น ผมกลับไม่มีคำพูดใดๆที่จะหลุดออกมาจากปากได้เลยนอกจากเพียงคำว่า

“ขอบคุณนะครับ”

ผมยิ้มและเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าของไคล์แล้วยื่นมือออกไปให้แก่เขา ไคล์ตีมือผมเบาๆหนึ่งทีแล้วก็จับมันไว้จากนั้นก็ดึงตัวเองเพื่อลุกขึ้นยืน เราสองคนยืนมองหน้ากันอยู่พักหนึ่งไคล์ก็เป็นฝ่ายโน้มตัวเข้ามากอดผมเอาไว้ แล้วตบหลังผมแรงๆสองสามทีแล้วจึงปล่อย “ไม่ต้องคิดมากนะครับ” เขาบอก จากนั้นเราก็เล่นกันอยู่อีกครู่หนึ่งจึงตัดสินใจกลับบ้าน

เราสองคนเดินออกจากสวนแห่งนั้นตอนเวลาประมาณเกือบๆสิบเอ็ดโมง และแวะทานอาหารกลางวันกันก่อนที่จะเข้าบ้าน เมื่อกลับมาถึงบ้านก็เป็นเวลาประมาณเที่ยงครึ่งแล้ว ในขณะที่ผมและไคล์เดินเข้าไปในบ้าน นอกจากริต้าที่กำลังทำความสะอาดบ้านอยู่ก็มีคนอีกคนหนึ่งกำลังนั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟาตัวใหญ่ เมื่อผมเดินเข้าไปเขาก็หันมามองด้วยสายตาตำหนิ

“มึงไปไหนกันมา” ซันหันมาถามผมด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย

“กูไปเล่นบาสกับไคล์มา แล้วนี่ทำไมมึงกลับเร็ววะ” ผมถามกลับ แต่ไอ้ซันกลับหันหน้ากลับไปดูทีวีต่อ ไคล์ที่เดินตามผมเข้ามาพอเห็นไอ้ซันกำลังนั่งอยู่ในห้องรับแขกก็แปลกใจไม่แพ้ผมเช่นกัน

“อ้าว ซัน ทำไมกลับเร็วล่ะ” ไคล์ถาม

“ขี้เกียจเรียนคาบสุดท้ายน่ะ มันไม่มีอะไรสำคัญ ก็เลยกลับ” ไอ้ซันหันมาพูดกับไคล์

ไคล์พยักหน้า “งั้นผมขอตัวขึ้นไปอาบน้ำก่อนดีกว่านะ” เขาตบไหล่ผมเบาๆเหมือนเป็นสัญญาว่ารู้กัน จากนั้นก็เดินผ่านผมขึ้นบันไดไป

ผมเดินเข้าไปหาไอ้ซันที่ยังคงไม่ยอมมองหน้าผม “มึงเป็นอะไรรึเปล่า”

“เปล่า” มันส่ายหัวเบาๆ แต่ผมไม่เชื่อหรอก ท่าทางมันไม่เหมือนคนมีเรื่องไม่สบายใจแต่ดูเหมือนกับว่ามันกำลังโกรธผมอยู่มากกว่า

“โกรธกูเหรอวะ” ผมเบียดตัวนั่งลงข้างๆมัน มันทำท่าขยับตัวหนีเล็กน้อย

“เปล่าหรอก” มันยังคงไม่ยอมสบตากับผม

“งั้นทำไมมึงไม่มองหน้ากูล่ะ” ผมถาม แต่ไอ้ซันกลับนิ่งเงียบ ผมเลยถอนหายใจเบาๆแล้วถอดเสื้อยืดที่ชื้นไปด้วยเหงื่อออก ดูไอ้ซันจะแปลกใจกับการกระทำของผมเหมือนกันมันจึงเหลือบมามองผมอยู่แว่บหนึ่ง “มึงเห็นรอยนี่ตั้งแต่เช้าแล้วใช่มะ” ผมชี้ไปที่หน้าอก ไอ้ซันยังคงไม่ยอมมองผม แต่ผมแอบเห็นว่ามันมีรอยยิ้มที่มุมปากขึ้นมาแปบหนึ่ง “เออ มึงไม่คุยกับกู กูก็ไม่ว่าอะไร แต่กูมีเรื่องจะบอกมึง” ผมวางเสื้อยืดลงข้างๆโซฟารับแขก “ไคล์เขาเห็นรอยนี้เมื่อเช้า” ผมเริ่มต้นเล่า ไอ้ซันมีท่าทีเริ่มสนใจเล็กน้อย แต่ก็ยังคงมองไปยังทีวีอยู่อย่างเดิม “แล้วเมื่อเช้าที่กูออกไปเล่นบาสกับเขา เขาถามกูเรื่องของเราสองคน......” ผมเว้นช่วงรอดูปฏิกิริยาของมันจากนั้นก็เล่าต่อ “เขาถามกูอะไรมาอย่างนึงว่ะ มึงอยากรู้มั๊ย ว่าเขาถามกูว่าอะไร” ผมถอนหายใจ

ไอ้ซันเงียบไปพักหนึ่งจากนั้นมันก็กดรีโมทเพื่อปิดทีวีจากนั้นก็หันมาหาผม “ถามว่าอะไร มันถามอะไรมึง”

ผมยิ้ม “เขาถามกูว่า........ กูกับมึงมีอะไรกันแล้วเหรอ”

ไอ้ซันมีสีหน้าตกใจเหมือนไม่อยากจะเชื่อ แต่แล้วมันก็รีบเก็บอาการทันที

“แล้วมึงบอกเขาไปว่ายังไง”

“ก็.........” ผมยักไหล่ “กูยังเล่าให้มึงฟังไม่หมดหรอก จริงๆแล้วมันมีมากกว่านั้นนิดหน่อย”

“งั้นมึงก็เล่ามาสิ”

“ไม่จนกว่ามึงจะบอกกูก่อนว่ามึงโกรธกูเรื่องอะไร” ผมมองหน้ามันแล้วแสร้งทำสีหน้าเป็นกังวลเพื่อให้มันอ่อนใจ

ไอ้ซันเงียบไปพักหนึ่งแล้วพูดต่อขึ้นมาทำเป็นเหมือนไม่ได้ยินที่ผมพูดเมื่อสักครู่ “มันถามมึงแบบนั้นเลยเหรอ ‘ซันกับศิลามีอะไรกันแล้วเหรอ’ น่ะนะ”

ผมถอนหายใจเบาๆแล้วส่ายหน้า “ก็ประมาณนั้นแหละ”

“แล้วมึงตอบว่าอะไรไป”

 “ไม่อาว บอกกูก่อน ว่าทำไมมึงโกรธกู” เมื่อเห็นว่าเรียกร้องความเห็นใจด้วยความเศร้าไม่ได้ผล คราวนี้ผมก็เริ่มใช้แผนทำตัวน่ารักทำตัวอ้อนเข้าว่าบ้างแล้ว

ไอ้ซันหันหนีไปทางทีวีแล้วก็กดปุ่มเปิดเครื่องขึ้นอีกครั้ง เมื่อผมเห็นดังนั้นผมจึงเดินไปขวางทางมันเอาไว้ แล้วชะโงกหน้าเข้ามาหามัน

“มึงชอบใจที่เห็นกูไม่สบายใจงั้นเหรอ” ผมถาม “แล้วมึงคิดว่ากูชอบใจที่กูเห็นมึงโกรธกูเหรอ ซัน มึงชอบที่เห็นกูไม่สบายใจจริงๆอย่างนั้นรึไง”’

คราวนี้ได้ผล ไอ้ซันเริ่มทำสีหน้าลำบากใจแล้วก็ชันตัวขึ้นนั่งหลังตรง “เออ กูไม่ได้เป็นอะไรหรอก” มันพูด

“มึงโกหก”

“จริงๆ” มันทำหน้ายุ่ง “กูก็แค่กลับมาบ้านแล้วไม่เจอมึงก็เลยเซ็งๆแค่นั้นเอง” มันดันผมให้ออกห่างจากหน้าของมัน “อย่าบังทีวีกูดิ่”

ผมเขยิบหนีออกมาให้มันนิดหน่อยแล้วก็หันไปมองหาริต้าว่ายังอยู่แถวนี้หรือเปล่า ผมได้ยินเสียงก๊อกแก๊กๆดังมาจากในครัวจึงรู้ว่าในห้องนั่งเล่นและในละแวกนี้มีแค่ผมกับไอ้ซันแค่สองคน ผมเบียดตัวขึ้นไปนั่งติดกับมันบนโซฟาแล้วก็โอบบ่ามัน “แล้วทำไมมึงไม่โทรหากูล่ะ”

“ไม่รู้เหมือนกัน ไม่อยากโทร”

“ทำไมวะ”

“ก็บอกว่าไม่รู้เหมือนกันไง เป็นเพราะมึงไปกับไคล์ด้วยมั๊ง กูก็เลยไม่โทร”

“เกี่ยวอะไรกับที่กูไปกับไคล์วะ” ผมถาม

“ไม่รู้ ช่างเหอะ ตกลงมึงกับไคล์คุยอะไรกัน บอกกูได้รึยัง” ไอ้ซันถามจ้องหน้าของผมเขม็ง

“เออ ก็ เรื่องของเรื่องมันก็มาจากเมื่อเช้าที่กูไม่ได้ใส่เสื้อตอนกำลังจะเดินไปอาบน้ำนั่นแหละ........” ผมเริ่มต้นเล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่แรกให้มันฟังจนไปถึงตอนที่เราแข่งบาสกันรอบแรกและรอบที่สองที่มีการพนันเล็กๆมาเพิ่มด้วย ไอ้ซันนั่งฟังอย่างเงียบๆ โดยบางทีมันก็มีพูดเสริมขึ้นมาบ้าง เช่น “มันออมมือให้มึงน่ะสิ” หรือ “มึงรับพนันเนี่ยนะ” ไม่ก็ “มึงไม่รู้รึไง ว่าไคล์มันเล่นเก่งขนาดไหน”  หรือแม้แต่ “ไอ้เซ่อ”

มันไม่คิดว่าผมพอจะมีความสามารถกับเขาบ้างเลยแม้แต่นิดเดียว

เมื่อผมเล่าจบซันมันก็พยักหน้าเงียบๆ ผมเริ่มรู้สึกกังวลว่ามันคิดอย่างไร เลยเอ่ยปากถาม “มึงไม่ชอบใจรึเปล่าที่กูพูดแบบนั้นไปกับไคล์น่ะ กูขอโทษนะ”

“ไม่หรอก” มันส่ายหน้า “เป็นแฟนมึง ไม่เห็นจะมีอะไรน่าอายตรงไหน” ไอ้ซันพูดยิ้มๆ ผมเองก็อดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

“มึงคิดงั้นจริงอ่ะ”

“เปล่า กูล้อเล่น” ไอ้ซันส่ายหน้า และพูดต่อด้วยสีหน้าซีเรียส “จริงๆคือกูก็ไม่ค่อยสบายใจหรอกที่มีคนรู้น่ะ โดยเฉพาะไคล์” ผมแปลกใจกับคำพูดของมัน แต่ยังไม่ทันที่จะได้ถามว่าทำไม ไอ้ซันก็พูดต่อขึ้นมาด้วยความรวดเร็ว “แต่ก็ไม่มั๊ง บางทีไคล์รู้ๆจากปากมึงไปเลยอาจจะดีกว่าก็ได้ ถ้าเป็นมันรู้นี่ก็ปลอดภัยที่สุดแหละ เพราะมันไม่เอาไปบอกพ่อแม่ทั้งของกูหรือของมันแน่นอน”

“อ้าว” ผมร้อง “แล้วทำไมตอนแรกมึงถึงบอกว่าไม่ชอบใจที่เป็นไคล์รู้ล่ะ”

“ก็ไม่เชิง กูหมายถึงว่า มันยังเด็กน่ะ แล้วที่มึงบอกว่ามันรักกูเหมือนกับพี่ชาย กูก็เลยไม่อยากให้มันรู้สึกแย่ๆ”

“แต่ไคล์ก็ไม่ได้รู้สึกแย่นะ ก็อย่างที่กูเล่าให้มึงฟังไปไง”

ไอ้ซันยักไหล่ “คงงั้นมั๊ง”

“งั้นถ้าไม่พูดถึงความรู้สึกของไคล์ มึงรู้สึกยังไงบ้างล่ะ”

“ก็เฉยๆว่ะ กูก็ไม่ค่อยได้สนใจอะไรอยู่แล้ว อีกอย่างมันก็ไม่ใช่สังคมเพื่อนๆกูที่นี่ที่รู้ และมึงเองก็ยังไม่ได้รู้จักใครอะไรมากมายให้ต้องเสียหน้า หรือพูดให้ถูกมึงก็ไม่จำเป็นต้องปกปิดไปเลยก็ได้ถ้ามึงต้องการ และกูเองต่อให้เพื่อนๆกูรู้ กูก็ไม่แคร์ว่ะ มึงเองก็คงไม่ได้แคร์สายตาความคิดอะไรของใครนักเหมือนกันใช่มั๊ยล่ะ”

ผมรู้สึกทึ่งเล็กๆในคำตอบของมัน แต่ก็จริงอย่างที่มันว่าทุกอย่าง ผมเองก็ไม่มีอะไรไม่มีใครจำเป็นต้องแคร์ เพราะเพื่อนของผมที่ไทยบางคนก็รู้และยอมรับได้โดยเฉพาะพ่อของผม พ่อของผมรับได้และรักผมมาก เรื่องอะไรที่ผมจะต้องไปแคร์คนอื่นล่ะ แต่ถ้าเป็นที่นี่จะมีคนอยู่เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นที่ผมยังแคร์อยู่มากๆนั่นก็คือ.......

“ยกเว้นครอบครัวของมึงทุกคน”

“ก็คงประมาณนั้นมั๊ง” ไอ้ซันพยักหน้า “แต่ถ้ากูพร้อมเมื่อไหร่ และถ้ามึงพร้อมด้วย ถ้าทุกอย่างมันลงตัวแล้ว กูจะเป็นคนบอกพ่อกับแม่ของกูเอง” ไอ้ซันพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

“เฮ้ย ไอ้ซัน มึงไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นหรอก” ผมรู้สึกเป็นกังวล เพราะการที่พ่อแม่จะรู้เรื่องแบบนี้ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวและจะมีพ่อแม่สักกี่คนในโลกที่เข้าใจและยอมรับลูกได้ง่ายๆ ยิ่งเป็นลูกชายคนเดียวแบบนี้ด้วยแล้ว ในกรณีของพ่อของผมนั้นพูดได้เลยว่าผมโชคดีจริงๆที่พ่อยอมรับได้ แต่ผมก็คิดในบางครั้งนะว่ามันเป็นเพราะตอนนั้นผมกำลังเกือบจะตายไปแล้วจริงๆและไอ้ซันก็ออกหน้ามาดูแลผมอย่างดีจนพ่อผมเขาเข้าใจอะไรหลายๆอย่างและได้เวลาในช่วงที่ผมหลับไปนานหลายวันเอาไว้คิด “กูไม่อยากเป็นภาระให้ครอบครัวของมึงนะ”

“กูบอกมึงกี่หนแล้วว่ากูไม่อยากให้มึงคิดแบบนั้น” ไอ้ซันขยี้ผมของผมเบาๆ “กูบอกมึงแล้วว่ากูอยากจะอยู่กับมึงไปนานๆ กูบอกมึงแล้วว่าหลังจากนี้เราก็คงจะมีปัญหาให้ต้องเผชิญกันอีกบ้าง แต่กูก็อยากจะให้มีก้อนเมฆมาลอยเคียงข้างกูอยู่ตลอดไป มึงเข้าใจมั๊ย และที่สำคัญ กูไม่อยากจะคบกับมึงแบบหลบๆซ่อนๆ โดยเฉพาะในบ้านของกูเอง”

ผมพยักหน้าช้าๆ รู้สึกดีใจอย่างที่สุดที่ได้ยินคำพูดพวกนั้นออกมาจากปากของมัน ถึงแม้จะมีความไม่มั่นใจและความไม่สบายใจบางอย่างที่ยังคงหลงเหลืออยู่ภายในใจของผมบ้าง แต่ยังหรอก มันยังไม่จำเป็นที่เราต้องมาคุยเรื่องทั้งหมดกันภายในวันนี้ เรายังต้องอยู่เคียงคู่และคอยแก้ปัญหาไปด้วยกันอีกนาน เพราะฉะนั้นเมื่อถึงเวลา เราสองคนก็จะฝ่าฟันมันไปด้วยกันเอง

“พูดดีๆอย่างนี้ ขอกูหอมแก้มทีนึง” ผมชะโงกหน้าเข้าไปจะหอมแก้มมันแต่ไอ้ซันกลับเบี่ยงหน้าหนีแล้วทำจมูกย่น

“เหี้ย เหม็น ไม่เอาหรอก เหงื่อออกเต็มตัว สกปรกจะตาย” มันผลักผมออกไป

“เออ ตามใจมึง” ผมลุกขึ้นยืนและกำลังจะก้มหยิบเสื้อที่ผมถอดออกมากองไว้บนพื้น ไอ้ซันก็ดึงตัวผมลงไปนั่งกับมันอีกรอบ

“กูโกหก” มันไซร้เข้ามาที่ซอกคอของผมจนผมรู้สึกจั๊กจี๊ “นานๆทีได้กลิ่นแบบนี้ของมึงบ้างก็น่ากอดน่าจูบดีจะตาย” ไอ้ซันลากเสียงและเริ่มเอามือซ้ายที่กอดผมอยู่มาป้วนเปี้ยนๆที่หัวนมของผมและเอามือขวาล้วงเข้าไปในกางเกงขาสั้น ผมเองก็รู้สึกถึงอะไรแข็งๆที่ดุนอยู่ที่ต้นขาของผมเช่นกัน

“พอๆ ทะลึ่ง เดี๋ยวใครมาเห็น” ผมรีบกระโดดลุกจากตัวของมันแล้วหยิบเสื้อขึ้นพาดบ่า “กูไปอาบน้ำแล้วนะ” ผมหันหลังแล้วเดินออกไปแต่ไอ้ซันกลับมาฉุดตัวผมเอาไว้แล้วกอดจากทางด้านหลัง

“ถ้าอย่างนั้น........ กูอาบด้วยคน” มันกระซิบเข้าที่ซอกหูของผม

“มึงจะบ้าเหรอ” ผมร้องและดันตัวมันออกพลางมองหาริต้าว่าอยู่แถวนี้หรือเปล่า “มึงจะทำอะไรก็ไปทำเหอะไป ขอกูอาบน้ำเดี๋ยวเดียว” ผมเดินขึ้นบันไดไปส่วนไอ้ซันก็เดินตามขึ้นมาติดๆ

“งั้นกูนั่งรออยู่ในห้องนะ” ไอ้ซันพูด

“ตามใจมึง” ผมเดินผ่านหน้าห้องน้ำที่ประตูเปิดแง้มอยู่ก็คิดว่าไคล์คงจะอาบน้ำเสร็จแล้ว เมื่อเดินผ่านหน้าห้องของเขาก็ได้ยินเสียงเพลงดังออกมาแว่วๆเลยรู้ว่าเขาอาบน้ำเสร็จแล้วจริงๆ

ไอ้ซันเดินตามหลังผมเข้ามาในห้องจากนั้นก็ล็อคประตูแล้วรีบเดินมาประกบตัวผมทันที “กูเปลี่ยนใจแล้ว กูไม่ให้มึงอาบหรอก”

“ทำไมเล่า ไหนบอกกูตัวเหม็นไง” ผมหัวเราะในลำคอเมื่อมันไซร้เข้ามาที่ต้นคอของผม

มันสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วบีบที่หน้าอกของผมแน่น “หอมดีออก”

ดูจากปฏิกิริยาของมันและความแข็งแกร่งของท่อนลำของมันที่ดุนสะโพกของผมอยู่ ทำให้ผมรู้ได้ทันทีเลยว่ามันชอบกลิ่นเหงื่อของผมนั่นเอง

“ชอบกลิ่นแบบนี้ล่ะสิ ใช่มั๊ย” ผมถามเบาๆ

“เปล่าสักหน่อย” แต่ผมรู้ว่ามันโกหก เพราะขณะที่มันพูดมันก็สูดหายใจเข้าไปด้วยแล้วยังตัวสั่นเล็กๆเพราะความอยากอีกต่างหาก

“งั้นกูไปอาบน้ำนะ”

แทนคำตอบ ไอ้ซันรีบหมุนตัวผมมาเผชิญหน้ากับมันแล้วซุกหน้าลงที่หน้าอกและใช้ลิ้นเลียไล่ไปจนถึงรักแร้ทันที...............

อีกหนึ่งชั่วโมงถัดมาผมถึงได้มีโอกาสไปอาบน้ำอีกรอบ และคราวนี้ ผมเข้าไปอาบพร้อมๆกับมันนั่นเอง


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-10-2007 16:23:33 โดย ExecutioneR »

tonsai_2520

  • บุคคลทั่วไป


อิจฉาวุ้ย


พวกรักคับหัวอก

ปล. ร้อนดีมั้ยเดินชายหาดยามบ่ายแก่ ๆๆ

Jingjoh

  • บุคคลทั่วไป
โอ้ว ภาคนี้ติดเรทนิดนึงนะเนี่ย เหอๆๆ
 :m25:

ออฟไลน์ pongsj

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +213/-9
เพิ่งมาอ่านภาคนี้ ชอบอีกแล้วค้าบบบบบบบบบบบบบบ

อยากอ่านตอนพิเศษหลังไมค์ด้วยอ่ะ อิอิ

น้ำค้าง

  • บุคคลทั่วไป
ทำอย่างนี้อีกแล้วคุณต้น ไอ้หนึ่งชั่วโมงก่อนไปอาบน้ำกันน่ะ ทำอะไรเหรอ
ทำไมไม่บอก :m28:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด