สาปรัก…ทัณฑ์เทวา
Writer : Tan-Yung 0209
File : 21
‘นางอัปสรย่างเยื้องตามคำร้องปี่พาทย์กลองกึกก้องสวนพฤกษา ศุกราผู้เป็นเลิศด้านคีตาร่วมเข้ามาดีดพิณเป็นทำนอง เหล่ารัมภาเปลี่ยนท่าร่ายรำช่างงามล้ำเป็นหนึ่งไม่มีสอง ทั้งยกกรยกบาทตามครรลองใครได้มองล้วนหลงใหลใคร่ดูชม’
หลายวันก่อนหน้านี้
‘พระศุกร์’ องค์ปัจจุบันนี้ผู้ชำนาญด้านคีตศิลป์ แต่อุปนิสัยส่วนตัวนั้นก็เจ้าสำราญมิต่างจากพระศุกร์องค์ก่อน บ่อยครั้งเมื่อว่างจากภารกิจพระศุกร์ก็มักจะหาความสุขจากการเล่นเครื่องดนตรีเสมอมาโดยเฉพาะเมื่อมีสหายคนสนิทอย่างพระอังคารมาเยี่ยมเยือนด้วยแล้ว เทวากายทรงเลื่อมประภัทสรก็เลือกเล่นพิณทองต้อนรับ ปลายดัชนีดีดสายพิณพร้อมเปล่งเสียงขับขานสร้างความสุขให้กับพระอังคารได้อย่างดี
“ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนับร้อยนับพันปีพระศุกร์สหายข้า…ยังคงเล่นดนตรีและขับร้องได้ไพเราะจับใจ” พระอังคารสหายคนสนิทของพระศุกร์กล่าวชม
“ข้าเห็นว่าท่านมาหาข้าถึงวิมานทองนี้ ข้าจึงเล่นเต็มที่สุดความสามารถหากเล่นไม่ดีข้าเกรงว่าสหายรักจะไปพูดติฉินนินทาลับหลังว่าข้านี้ฝีมือตกไปมาโข ฮ่า ฮ่า ฮ่า” พระศุกร์สรวลลั่นพลอยให้พระอังคารนั้นแย้มสรวลตามไปด้วย
“ต่อให้ท่านหลับตาบรรเลง ข้านี้ก็เชื่อเหลือเกินว่ายังไพเราะไม่เปลี่ยนแปลง” พระอังคารเอ่ยชมก่อนจะยกจอกน้ำจันขึ้นมาดื่ม
“พระศุกร์ข้ามีเรื่องจะกราบเรียนท่าน...” ในขณะที่หาความสุขสำราญในยามว่างท่ามกลางสวนบุปผชาติ ทหารผู้เฝ้าบันไดหน้าวิมานก็วิ่งเข้ามานั่งหมอบอยู่ตรงหน้าเทพผู้เป็นใหญ่แล้วกล่าวรายงาน
“มีเรื่องอันใดข้าบอกไว้ก่อนหากเรื่องที่เจ้านำมาบอกข้าหาได้สลักสำคัญข้าจะลงโทษเจ้าที่เจ้านั้นบังอาจขัดความสุขของข้า” พระศุกร์เอ่ยสุรเสียงบ่งบอกว่าไม่พอใจยิ่งนัก
“หาไม่ได้ คือว่าบัดนี้…พระสมุทรกนธีมาขอเข้าพบท่าน แล้วเพลานี้พระสมุทรกนธีนั้นก็กำลังรออยู่ที่หน้าวิมาน...”
“ท่านกนธีมาที่นี่อย่างนั้นหรือ...จักรอช้าอยู่ไยเล่า พระอังคารเราต้องรีบไปเชิญท่านกนธีให้เข้ามาเสียบัดนี้...” แม้เทพทั้งสองจะแปลกใจกับการมาเยือนของพระสมุทร แต่พระศุกร์ก็รีบวางเครื่องดนตรีแล้วก็ชักชวนพระอังคารให้ออกจากพลับพลากลางสวน ให้ไปเข้าเฝ้าตอนรับเทพผู้เป็นใหญ่กว่าตนมาเยี่ยมเยือนถึงวิมาน
“ท่านกนธีเชิญประทับก่อนเถิด...” วรกายใหญ่ของเทพแห่งท้องสมุทรก็เข้ามาที่พลับพลากลางสวน พระศุกร์ก็รีบเชิญกนธีให้มาประทับที่แท่นศิลา แล้วรินน้ำจันให้ตามธรรมเนียม
“ขอบน้ำใจท่านมาก...จักเป็นการช้าหากมิพูดให้ตรงเรื่อง อันที่จริงแล้วที่ข้ามาหาท่านในวันนี้นั้นมิใช่จะมาหาความสนุกสุขสำราญดอก แต่ข้านี้มีเรื่องจักรบกวนให้ท่านช่วยเหลือเสียหน่อย...” ทันทีที่ประทับแท่น กนธีก็ไม่รีรอบอกจุดประสงค์ที่มาหาพระศุกร์ในทันที
“เรียนพระสมุทร หากท่านกนธีมีธุระด้วยเจรจากับพระศุกร์ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ขอตัวออกไปก่อนจะดีกว่า...” พระอังคารที่เห็นว่ากนธีมีเรื่องจะหารือกับสหายเก่าก็เอ่ยลา
“ช้าก่อนพระอังคารไหนๆ ท่านก็อยู่แล้ว ก็ขอให้ท่านร่วมช่วยสดับฟังสิ่งที่ข้าจะเอ่ยต่อไปนี้ด้วยเถิด” พระอังคารจึงจำต้องนั่งลงเช่นเดิม พระศุกร์เองเมื่อเห็นท่าทีของกนธีก็รู้โดยทันทีว่าเรื่องที่อีกฝ่ายจะปรึกษานั้นสำคัญมากเพียงใดมิเช่นนั้นคงไม่ออกจากวิมานสีครามขึ้นมาหาตน ณ วิมานทองนี้ได้ด้วยเหตุนี้พระศุกร์จึงได้ไล่ให้นางอัปสรรวมถึงเทวาดาที่มาร่วมวงปี่พาทย์ให้ออกไปนอกสวนบุปผาชาติจนหมด ก็จะเหลือเพียงพระสมุทร ตนและพระอังคารเท่านั้น
“ณ ที่แห่งนี้หามีผู้ใดแล้ว เชิญท่านกนธีเอ่ยมาเถิดว่าจะให้ข้านั้นช่วยเหลือการอันใด” พระศุกร์กล่าวนำถามการสำคัญที่กนธีหมายไหว้วาน
“ท่านยังจำชลันธรหลานชายของข้าได้หรือไม่...” กนธีเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการกล่าวถึงอดีตพระสมุทรชลันธรผู้มีศักดิ์เป็นหลานทันที พระศุกร์ได้ยินนามที่ตรึงใจนี้ก็กระตือรือร้นจนผิดวิสัย ใครๆ ต่างก็รู้ดีว่าพระศุกร์นี้มีใจให้กับอดีตเทพแห่งมหาสมุทร
“ชลันธรหลานท่านน่ะหรือ...ข้าจำได้ดีทั้งยังได้ดี...ซ้ำยังได้พบเจอกันเมื่อไม่นานมานี้ที่ป่ากันติทัตอีกด้วย...”
“ถ้าเยี่ยงนั้นท่านก็คงจะรู้แล้วว่าบัดนี้เทพนภนต์นั้น...คอยดูแลชลันธรอยู่...”
“ใช่ข้ารู้...ว่าแต่มีเหตุอันใดหรือท่านกนธี จึงได้ถามข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้...”
“ข้าขอพูดตามตรง...ข้านั้นมิวางใจเทพนภนต์เลยแม้แต่น้อย ด้วยเป็นผู้จับหลานข้าเป็นนักโทษจนต้องทัณฑ์เทวาถูกสาปให้ตายด้วยพิษสารพัดเวียนว่ายตายเกิดอย่างทรมานยังโลกมนุษย์ หากแต่ข้ากลับไม่เข้าใจไยพระผู้สร้างกลับให้เทพนภนต์ดูแลชลันธร…ปล่อยให้อยู่กับนภนต์แบบนั้น...ข้าเป็นห่วงชลันธรยิ่งนัก” กนธีแสร้งเอ่ยเสียงเศร้า พักตราดูอิดโรยเมื่อพูดถึงหลาน เทพพระศุกร์พอได้ฟังเรื่องราวก็เข้าใจหัวอกผู้เป็นพระปิตุลา และตนเองก็ได้เห็นเทพนภนต์แสดงพฤติกรรมไม่ดีกับชลันธรมาแล้วเมื่อคราก่อน ด้วยก็นึกเป็นห่วงชลันธรอยู่ไม่น้อย...จิตใจพระศุกร์เริ่มร้อนรุ่มขึ้นมาในทันที
“เยี่ยงนี้แล้ว...ข้าจึงได้มาพบท่านเพื่อให้ท่านนั้นเป็นผู้ชิงตัวชลันธรและเป็นผู้ดูแลแทน” กนธีพูดจบแล้วยิ้มให้พระศุกร์
“เหตุใดท่านกนธีจึงมิชิงตัวอดีตพระสมุทรมาเสียเองเล่า ยิ่งท่านมีศักดิ์เป็นพระปิตุลาด้วยแล้ว ไหนเลยชลันธรคงเลือกมาอยู่กับท่านเป็นแน่แท้...” พระอังคารที่นั่งเงียบฟังอยู่นานเอ่ยขึ้น
“ข้าเองก็อยากทำเช่นนั้น...หากแต่พระผู้สร้างมิยอมให้ข้าช่วย ทั้งยังเพ่งเล็งข้า...ข้าจึงต้องมาขอร้องพระศุกร์ให้เป็นผู้ช่วยในการนี้ ด้วยข้านั้นรู้ดีว่าพระศุกร์เอ็นดูชลันธรหลานข้ามากว่าใครในจักรวาล...หากเป็นพระศุกร์แล้วข้าก็วางใจ...” กนธีตอบพระอังคารจึงพยักหน้ารับผิดกับพระศุกร์ที่ยิ้มออกมาที่กนธีนั้นให้ความสำคัญ
“แล้วท่านมีอันใดตอบแทนข้าเล่า”
“สิ่งที่จะตอบแทนนั้นน่ะหรือก็คือ...สิ่งที่ท่านนั้นคิดอยู่ในใจ...” กนธีเอ่ยคำตอบที่แฝงความนัยน์แต่เพียงเท่านี้ก็สร้างความพึงพอใจให้พระศุกร์เป็นอย่างยิ่ง และดูเหมือนว่าเทพพระสมุทรผู้นี้จะล่วงรู้ว่าตนต้องการสิ่งล้ำค่าอย่างชลันธร
“เพียงแค่ชิงตัวชลันธรที่ตอนนี้กายก็เป็นเพียงแค่มนุษย์ ข้าว่าพระศุกร์เพียงผู้เดียวก็สามารถทำการนี้สำเร็จได้ แม้ว่าเทพนภนต์จักเป็นแม่ทัพแห่งสรวงสวรรค์แต่พระศุกร์นั้นก็มิด้อยทั้งกำลังและปัญญาไปกว่ากัน สหายข้าเป็นถึงครูแห่งอสุราทั้งหลาย ข้าไม่จำเป็นต้องออกโรงช่วยดอก” พระอังคารเอ่ยจริงหรือไม่
“ใครว่าข้ามาเพื่อจะมาไหว้วานให้พระศุกร์ชิงตัวชลันธรแต่เพียงผู้เดียว...”
“ท่านหมายความว่าเยี่ยงไร…ยังมีการอันใดอีกหรือ...” พระอังคารเอ่ยถาม
“คราแรกตัวข้านั้นจักให้พระศุกร์ชิงตัวชลันธรพร้อมกับนาคนาคินทร์ซึ่งเป็นสนมในข้า แต่พอมาถึงวิมานพระศุกร์ก็พบว่าท่านก็อยู่ที่นี่ด้วย ข้าจึงคิดจะไหว้วานท่านสักหน่อย...จะได้ช่วยเบาแรงพระศุกร์สหายท่านไม่ดีหรือ...” กนธีเริ่มเล่าเรื่องปดให้กับสองเทวาได้รับฟัง
“แล้วตอนนี้สนมนาคินทร์ของท่านอยู่ที่ใด...”
“นาคินทร์ถูกรพีพงศ์บุตรแห่งพระสุริยเทพจับตัวไป และดูเหมือนจะมุ่งหน้าไปยังป่ากันติทัต เช่นกัน คาดว่าคงจะไปหาชลันธร ซ้ำนาคินทร์นั้นยังต้องมนต์เสน่หาให้ลุ่มหลงเพียงบุตรแห่งพระสุริยเทพ ข้ากลุ้มใจยิ่งนักที่สนมรักถูกแย่งชิงไป...” กนธีปั้นน้ำให้เป็นตัวพระอังคารกำหมัดแน่นเนื่องจากพระอังคารนี้รักความยุติธรรมเป็นอย่างมากยิ่งรพีพงศ์เป็นบุตรของสุริยเทพซึ่งตนเป็นอริด้วยแล้วนั้นก็ยิ่งโมโหโกรธาเป็นทวีคูณ
“ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ข้าก็มิได้รบพุ่งจริงจังกับใคร หรือมีการสงครามเสียนาน...ได้ยืดเส้นยืดสายเสียบ้างคงจะเป็นการดีมิใช่น้อย...ข้าจะช่วยท่านเอง…ท่านกนธี...” พรอังคารกล่าวตกลง
กนธีนั้นแย้มสรวลอยู่ในใจ…เมื่อสองเทพผู้ชาญการยุทธ์ตกลงช่วยเหลือ แผนการที่ตนจะครองท้องสมุทรอย่างสมบูรณ์นั้นก็เริ่มเห็นภาพแห่งความสำเร็จ จะเหลือก็แต่เพียงรอคอยเวลาที่เหมาะสมเท่านั้น และวันนั้นก็จักเป็นวันที่ตนจะได้ตัวชลันธรและดวงใจพระสมุทรเสียที
“เอาเป็นว่าการครั้งนี้พวกข้าทั้งสองจะช่วยท่าน มิทราบว่าจักให้ข้าลงมือเพลาใด” พระศุกร์ถามรู้สึกคันไม้คันมือเพราะตั้งแต่สงครามเทวอสุราตนนั้นก็มิได้ต่อสู้จริงจังมานานมากโขพระอังคารเองก็เช่นกันที่อยากจะประดาบสู้กับรพีพงศ์ให้ไวที่สุด
“ข้าจะให้คนสนิทของข้า มาบอกพวกท่านอีกครั้ง และที่สำคัญท่านอย่าได้บอกการครั้งนี้ใครได้ล่วงรู้ รวมถึงตอนชิงตัวก็อย่าได้เอ่ยถึงข้าหรือแสดงออกว่าข้านั้นขอความช่วยเหลือจากพวกท่าน...”
“ข้าทราบแล้ว...ตกลง”
. . .
ปัจจุบัน
ลมพายุที่เกิดขึ้นอย่างผิดปกติ หอบร่างบางล่องลอยไปไกล ชลันธรร้องลั่นเรียกหาให้นภนต์เข้าช่วยยามมีภัย แต่แล้วกายบางกลับตกลงบนผืนแพรพรรณแสนนุ่ม จนเจ้าตัวเองยังรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย เมื่อเงยใบหน้าขึ้นมาก็บนมันสิ่งที่ได้เห็นนั้นคือ เขางามคู่หนึ่งของโคที่มีลำตัวล่ำสัน
“ศุภราช!!!” พระศุกร์เรียกพระโคพาหนะ ที่ซ่อนตัวอยู่ไม่ไกลซึ่งบนหลังนั้นมีร่างอรชรของชลันธรนอนอยู่ด้วยความงุนงง..
“จงนำตัวชลันธรแล้วมุ่งหน้าไปกลับไปที่วิมานของข้า... !!! ” พระโคศุภราช ได้รับคำสั่งผู้เป็นนายก็พาตัวชลันธรไปอีกทาง นภนต์เองก็ไล่ตามไปแต่ไม่ทันจะได้ย่างก้าว พระศุกร์ก็เข้าขัดขวางเสียก่อน คมปลายแหลมของพระขรรค์ตรงจ่อไว้ห่างลำคอแกร่งเพียงแค่คืบมือ
“ท่านทำการอันใดของท่าน...อย่ามาขวางทางข้าเสียดีกว่า…พระศุกร์...!!!”
“หากข้าปฏิเสธเล่า” พระศุกร์หาได้สะทกสะท้านแม้แม่ทัพหลวงตรงหน้าจะแผ่รัศมีความโกรธกริ้วออกมาก็ตามที
“ถ้าไม่หลีกข้า...แสดงว่าท่าจงใจจะขัดต่อเทวราชโองการ อย่างนั้น...ก็จงตายด้วยน้ำมือข้าเสีย...!!!” ไม่ใช่เพียงเอ่ยขู่หากเทวาเจ้าเวหานั้นยกบาทถีบไปกลางพระโสภีเสียเต็มแรงเป็นการเปิดฉาก
ศุกราจารย์ล้มลงโดยพลันถึงกระนั้นก็หาได้เจ็บปวด ไม่ทั้งยังลุกเดินเร็วไว หัตถาใหญ่กุมพระขรรค์คมเข้าโรมรันยังเทพนภนต์มิได้เกรงกลัวต่อเทวราชโองการ เทพหนุ่มมิรอช้าเสกพระขรรค์คู่กายตั้งมั่นรับทันท่วงที ต่างฝ่ายต่างแสดงฝีมือกันเต็มที่ไม่มีใครยอมใคร
…‘ฝ่ายหนึ่งสู้เพื่อนำคนรักกลับมาสู้อ้อมแขน’… …‘ฝ่ายหนึ่งสู้เพื่อจะช่วงชิงคนที่หมายปองให้เป็นของตน’…
ดังนั้นนี่ไม่ใช่เป็นเพียงการสู้รบเพื่อศักดิ์แต่เป็นการสู้รบเพื่อแสดงว่าใครกันเหมาะสมที่จะได้ดูแลอดีตเทพแห่งมหาสมุทรชลันธร
“ชลันธรจักต้องเป็นของข้า!!” พระศุกร์ผู้มิเคยแพ้ใครประพระขรรค์เข้าฟันปลายพระขรรค์สีเงินของนภนต์จนเต็มแรง แลเกิดเสียงดังสนั่นด้วยพระขรรค์เงินของเทพเวหานั้นหักออกเป็นสองท่อน
“ตื่นจากฝันเสียเถิด!!!” แม้พระขรรค์จะหักร่วงปักดินนภนต์ก็มิหวั่น มือหนารีบกุมแน่นเป็นกำปั้น ฝากหมัดรุ่นๆ เข้าชกไปที่พักตรางามของพระศุกร์อย่างเต็มแรงจนผู้ถูกกระทำหน้าหันอีกทางทั้งถลาเซล้มลงไป นภนต์จึงใช้โอกาสนี้เข้าคร่อมตัวแล้วกระหน่ำหมัดชกไม่หยุดมือ หมายให้พระศุกร์ได้ตื่นอย่างที่ตนกล่าว…ตื่นมาพบความจริงที่ว่าชลันธรไม่มีทางเป็นของเทวากายฟ้าได้
เป็นถึงอาจารย์ของเหล่ายักษ์และอสุราผ่านการรบมาแล้วหลายครั้งหลายคราจึงหาได้ยอมให้ตนเสียเปรียบได้นานรีบรวมกำลัง ดันนภนต์ให้นอนราบแทนก่อนจะเป็นฝ่ายประเคนกำปั้นเข้าใส่บ้าง
“ช่วยด้วย...!!! ท่านพี่ช่วยข้าด้วย…!!!”
นภนต์และพระศุกร์ชะงักไปชัวครู่เสียงหวานแสนคุ้นเคยร้องออกมาราวกับพบเจออันตรายที่เหนือกว่าการถูกพาตัวไปทั้งสองหยุดการต่อสู้ในทันทีและรีบวิ่งไปตามเสียงนั้น ไม่นานก็พบกับชลันธรที่ยังอยู่บนหลังพระโคเผือกศุภราช ที่ยามนี้กำลังใช้เขาไล่ขวิดอสูรร้ายที่มุ่งเข้าหาชลันธร
“ชลันธร!!!” นภนต์ร้องเรียกร่างบางที่ก้มกอดลำคอร่างพระโคขนสีน้ำนมไว้แน่น
“ท่านพี่…ฮึก…ท่านพี่นภนต์ช่วยข้าด้วย...” ชลันธรหลั่งน้ำตาออกมาทั้งกลัวทั้งดีใจที่คนรักได้มาช่วยตนผิดกับพระศุกร์ที่เจ็บหน่วงในดวงใจที่ชลันธรมองนภนต์เพียงผู้เดียว
“เหล่าอสูรจงฟังข้า...!!! ข้าศุกราจารย์ขอสั่งพวกเจ้าให้หยุดการกระทำต่ำช้าที่มีต่อชลันธรบัดเดี๋ยวนี้” ด้วยอาจารย์แห่งอสุราและอสูรทั้งลั่นวาจาปราม แต่ก็หามีอสูรตนไหนฟังไม่ นอกจากนี้ยังมีบางตนตรงเข้ามาทำร้ายพระศุกร์และนภนต์แทน
“เหตุใดพวกอสูรถึงไม่ฟังข้า…” พระศุกร์พึมพำออกมาด้วยความแปลกใจโดยหารู้ไม่ว่ากำลังถูกซ้อนแผน อสูรเหล่านี้เป็นทหารสมุทรของกนธีที่แปลงกายมาเพื่อจะจับตัวชลันธรไปหาเทพมหาสมุทรกนธีโดยตรง
“หยุดตั้งคำถามเสียก่อนเพลานี้ต้องช่วยชลันธรให้ปลอดภัย” นภนต์เอ่ยเตือนสติให้คิดสู้ก่อนจะคิดถาม
เทพนภนต์พระศุกร์และคาวีศุภราชต่างก็ปกป้องชลันธรสุดความสามารถ เทพเวหาไร้อาวุธจึงใช้พระเวทเข้าสู้ บังเกิดพายุขนนกสีทองพุ่งเข้าปักยังร่างกายเหล่าอสูร ส่วนพระศุกร์นั้นใช้ศาสตราสังหารอสุราล้มตายจนกลิ่นคาวโลหิตสีทมิฬคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ …แต่อสูรเหล่านั้นล้มตายเพียงแค่ช่วงแรกเท่านั้น แล้วกายเหล่านั้นกลับลุกยืนขึ้นมาอีกครา บางตนฟื้นร่างกายได้ บางตนที่ร่างกายขาดเป็นสองก็งอกกายใหม่เป็นสองร่าง บางตนขาดเป็นสามก็งอกใหม่เป็นสามร่างกาย เพิ่มพูนมากมายเป็นพันกว่าตน... ‘อสูรนับร้อยนับพันขนาดนี้ เพียงเราและพระศุกร์รวมถึงคาวีศุภราช คงจะหมดแรงเสียก่อนช่วยชลันธรได้ถ้าเรามีธนูประจำกายก็คงดี’…
กระแสจิตของนภนต์ส่งถึงธนูทองคำศาสตร์ประจำกายที่วางอยู่บนแท่นหิน ณ ถ้ำของยักษ์ชวคิรินทร์ที่คราก่อนได้ขออาวุธคู่กายของเทพนภาแลกเปลี่ยนกับผลทับทิมสุบรรณ ซึ่งเมื่อได้รับมาเก็บไว้ที่แท่น ชวคิรินทร์ก็ไม่มีบุญพอจะได้ใช้หรือยกคันธนูเนื้อเหมนี้อีกเลยเพราะคันธนูนี้หนักเสียจนมิอาจจะขยับเขยื้อน ได้จึงได้เก็บรักษาไว้รวมกับของวิเศษอื่นๆ ที่เหล่าเทพเทวดานำมาแลกเปลี่ยนกับผลไม้ทิพย์นี้ ถึงยามว่างก็จะคอยลับคมศรตามคำแนะนำของพระฤาษีวิทูเพื่อรอคอยวันที่นภนต์ต้องการ
‘กึก…กึกๆ’
เสียงคันธนูสั่นคลอน และเกิดประกายแสงสีทองเจิดจ้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ยักษ์ชวคิรินทร์คิดว่าบัดนี้ท่านเทพนภนต์คงมีความจำเป็นต้องการใช้ธนูทองนี่เสียแล้ว ด้วยจิตนั้นสื่อถึงศาสตราวุธประจำกาย แต่ด้วยยังติดพันธสัญญาที่ผู้เป็นเจ้าของได้มอบให้ยักษ์ชวคิรินทร์จึงมิอาจกลับคืนสู่เทพนภนต์ได้ในทันที ครั้นจะรั้งไว้ก็คงมิใช่เรื่องดีเทพนภนต์ยามนี้คงลำบาก
“ถึงเวลาที่เทพนภนต์ต้องการเจ้าแล้ว...จงกลับคืนสู่หัตถาผู้เป็นเจ้าของเสียเถิด...” ชวคิรินทร์เดินเข้ามาที่พระแท่นวางคันธนูทอง ปลายนิ้วสากลูบสัมผัสแล้วเอ่ยวาจาปลดพันธนาการ...สิ้นคำพูดคันธนูรวมถึงศรคมก็หายวับไปกับตา
‘ขอให้ชัยชนะอยู่เคียงข้างท่าน…เทพนภนต์...’
กลับมาสู่ป่ากันติทัตที่เพลานี้ทุกอย่างตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด… ทุกอย่างเป็นไปตามที่เทพนภนต์ได้คาดการณ์ไว้แม้นจะเป็นเทพชั้นสูงหากต่อสู่กับอสูรนับร้อยโดยไม่หยุดพักเรี่ยวแรงก็เริ่มหายไป ครั้นจะใช้ขนนกทองคำพุ่งเข้าใส่ แต่อสูรร้ายไม่แบ่งกายก็หวนพื้นคืนชีพ แต่เหมือนโชคกลับมาเข้าข้างเทพนภาในยามคับขันเช่นกัน ด้วยบังเกิดแสงเจิดจ้าตรงหน้าให้หยุดนิ่ง ดวงเนตรคมมองสิ่งที่กำลังค่อยๆ ปรากฏขึ้นนั้นเรียกรอยยิ้มให้ปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา พระศุกร์เองที่ได้เห็นก็ตกตะลึงมิใช่น้อยเป็นกัน มือหนาคว้าจับสิ่งของวิเศษที่เป็นของตนอยู่ตรงหน้า....คันธนูและศรทองคำ ศาตราวุธประจำกาย... ‘เหล่าอสูรเอ๋ย…จะถึงคราวที่พวกเจ้าจะปราชัยให้กับข้าแล้ว…’
“ชลันธรหมอบลงกอดพระโคศุภราชไว้...ส่วนท่านพระศุกร์จงเข้ามาหลบอยู่ที่หลังข้า ถ้าท่านมิอยากตายด้วยคมศร...” นภนต์เอ่ยลั่น ทั้งชลันธรและพระศุกร์ก็ทำตาม เพราะมิใคร่อยากโดนธนูวิเศษของเทพเวหาที่มีแสนยานุภาพร้ายเหลือ
เมื่อทุกอย่างเป็นไปตามใจคิดพระกรแกร่งยกขึ้นมาพร้อมด้วยหัตถาจับคันธนูมั่นมืออีกข้างหยิบศรทองมาขึ้นสายแล้วดึงศอกมาด้านหลังเตรียมพร้อมยิงใส่เหล่าศัตรู จากนั้นเนตรสีนิลดุจพญาอินทรีเล็งไปยังเป้าหมายแล้วปล่อยสายยิงให้ศรวิเศษแหวกอากาศพิฆาตมารอสูรร้าย
‘ฟึบ…ฟึบ..ฟึบ’
“อ๊าก!!!!..”
ศรเพียงหนึ่งดอกในคราแรกแปรเปลี่ยนเป็นร้อยเป็นพันดอกราวกับห่าฝนกรดที่ตกลงมาสร้างความเจ็บปวดให้กับผู้ที่ได้สัมผัสพร้อมกับเสียงร้องโหยหวนที่ดังลั่นด้วยมนต์จากศรวิเศษนี้เหล่าอสูรร้ายไม่สามารถจะแบ่งกายฟื้นคืนได้อีก จึงพากันล้มตายมอดไหม้จนเสียหมดสิ้น
“ชลันธรเจ้าปลอดภัยแล้ว…” นภนต์เอ่ย ร่างสูงรีบเดินเข้าหาคนรักแม้บาทาจะเปื้อนเถ้าถ่านโสมมของซากศพก็ตามที ชลันธรเองก็มองหานภนต์แววตานั้นแสดงออกว่าพร้อมจะรับไออุ่นจากอ้อมกอดของเทพนภาแต่กลับต้องร้องออกมาเสียงหลง
“ท่านพี่ระวัง…!!!”
“อั่ก..”
นภนต์ล้มลงไปยามที่พระขรรค์ฟาดฟันยังแผ่นหลังกว้างจนโลหิตทองไหลออกมาตามรอยแผล…พระศุกร์ยิ้มเยาะที่นภนต์หาได้ระวังตัวไม่ หรืออาจจะลืมไปว่ายังคงมีศัตรูอีกหนึ่งรออยู่นั่นก็คือตน นอกจากนี้ยังถีบนภนต์ให้นอนคว่ำลงกับพื้นธรณี นภนต์เองก็ทำได้เพียงส่งสายตาเคียดแค้นมองไปยังพระศุกร์ที่กำลังเดินไปหาชลันธร…‘นี่สินะที่เขาเรียกว่าทำคุณบูชาโทษโปรดสัตว์ได้บาป’…
“เสียดายนัก...ข้ายังไม่ได้ใช่วิชาหมอกพิษของข้าให้เจ้าได้ดูเลยนะเทพนภนต์ ข้าก็ไม่อยากจะเสียเวลามากแล้ว ฮึ...ในที่สุดเจ้าก็ตกเป็นของข้า…ชลันธร” พระศุกร์ที่เดินเข้าถึงกายบางก็เอ่ยก่อนจะใช้มือลูบเข้าไปยังปรางค์นิ่ม ชลันธรเบือนหน้าหนี หากแต่ไม่ทันจะได้สัมผัสจับต้องใดๆ มือนั้นต้องหยุดชะงักด้วยสิ่งหนึ่งเสียก่อน สายตาคมสบมองก็พบว่าเป็นเชือกสีเพลิงเส้นหนึ่งที่หยุดมือของพระศุกร์ไว้ เทพกายฟ้ากัดฟันกรอดเพราะรู้ดีว่าเจ้าของเชือกที่ยังไม่ปรากฏกายนี้เป็นใคร
“คิดว่าเชือกกระจอกงอกง่อยของท่านจะหยุดข้าได้อย่างนั้นหรือ…พระพฤหัสบดี!!” พระศุกร์เอ่ยถามผู้มาใหม่ก่อนจะขยับริมฝีปากร่ายมนต์แก้เชือกมนต์ตรา แต่ยิ่งร่ายคาถาเชือกสีเพลิงกลับยิ่งรัดข้อมือแน่นกว่าเดิม... ‘หนอยแน่ !!! พระพฤหัสเอาเชือกบ้านี่มารัดข้า’...
“ท่านคิดว่าข้ามาสู้กับท่านข้าจะเอาของเด็กเล่นมาหรือ…เสียใจด้วยที่มันมิได้เป็นดั่งที่ท่านหวังไว้…พระศุกร์” สิ้นเสียงเอ่ยแสนสุขุม เทพผู้ทรงอาภรณ์คล้ายฤาษีรัศมีสีส้มเฉิดฉายแย้มสรวลเล็กน้อยทรงอยู่บนหลังมฤคาเขางามที่ได้เห็นท่าทางกระวนกระวายของเทพเจ้าสำราญซึ่งน้อยครั้งจักได้เห็น เมื่อเทพบนหลังกวางกวาดสายตามองทั่วบริเวณ ก็พบทั้งกองเถ้าศพของอสูร รวมทั้งร่างของเทพนภนต์ที่กำลังบาดเจ็บ ไหนจะอดีตเทพท้องสมุทรที่นั่งโศกาบนหลังพระโคศุภราชอีก พระพฤหัสบดีก็พอจะเดาเหตุการณ์ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น นี่ตนคงไม่ได้มาช้าจนเกินไปนักที่จะยับยั้งเหตุอาเพศครั้งนี้
“ถึงว่าเหตุใดระฆังแก้วของข้าถึงได้ลั่นดัง ก็เพราะท่านมาสร้างความเดือดร้อนให้กับเทวาจริงเสียด้วย...” พระพฤหัสบดีกล่าวพลางกระตุกเชือกอาคมให้พระศุกร์ได้ออกห่างจากร่างบางบนหลังพระโคเผือก
“เรื่องนี้หาใช่ธุระกงการอันใดของท่านไม่ ข้ามีเรื่องต้องสะสางกับเทพนภนต์หาใช่ท่านไม่…พระพฤหัส” พระศุกร์เอ่ยออกมาด้วยความไม่พอใจที่ถูกขัดขวางด้วยศัตรูคู่แค้น ทั้งสองนั้นก็คล้ายกับน้ำและน้ำมันแม้รูปลักษณ์จะเหมือนกันแต่มิอาจจะมาบรรจบพบกันได้
…‘พระศุกร์เป็นอาจารย์ของอสุราและยักษา’…
…‘พระพฤหัสบดีเป็นอาจารย์ของเทวาทั้งหลาย’…
“จะเอ่ยว่ามิใช่ธุระของข้าก็คงมิได้ เพราะท่านนั้นได้ทำร้ายเทพนภนต์ซึ่งตัวข้านี้เป็นอาจารย์ของเหล่าทวยเทพ หากเทพเดือดร้อนเพราะท่านก็เท่ากับเป็นธุระของข้าที่ต้องมาช่วยลูกศิษย์” แม้เทวาสูรสงครามจะผ่านมาหลายร้อยปีพระพฤหัสบดีก็หาได้วางใจพระศุกร์ไม่ จึงได้เนรมิตระฆังแก้วไว้ใช้ในยามใดที่พระศุกร์ได้ทำร้ายเทพาขึ้นมาระฆังแก้วสั่นไหวจนเกิดเสียง เมื่อนั้นพระพฤหัสบดีจะออกจากวิมานมากำราบพระศุกร์ด้วยตนเองครั้งนี้ก็เช่นกัน หากเหาะมายังป่ากันติทัตนั้นลำบากจึงต้องดำดินมาช่วยเหลือนั่นนับว่าเป็นผลดีให้กับนภนต์แม้พระพฤหัสบดีจะมาช่วยล้าช้าไปเสียหน่อย
ชลันธรเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงลงจากหลังของพระโครีบก้าวย่างตรงหานภนต์ที่บาดเจ็บพระพฤหัสบดีนั้นก็ส่งสายตาให้ทั้งสองหนีไปในระหว่างที่ตนเองนั้นจับพระศุกร์เอาไว้ ชลันธรพยักหน้ารับแล้วประคองนภนต์ขึ้นหลังพระโคศุภราช เดินแยกออกไปอีกทางสร้างความโกรธเคืองให้กับพระศุกร์มากยิ่งขึ้นไปอีก
“ศุภราชนี่เจ้าเชื่อฟังชลันธรหรือนี่ พระพฤหัส...ท่าน!!!...อีกนิดเดียวชลันธรก็จักเป็นของข้าแล้ว ท่านหาใช่เทวาสำหรับข้าแต่ท่านมันเป็นมารขัดขวางความสุขของข้า...” พระศุกร์ก่นด่าตั้งแต่ไหนแต่ไรพระพฤหัสบดีก็มักจะเป็นฝ่ายชนะตนเสมอยิ่งคิดก็ยิ่งแค้น
“สำหรับเทพผู้สร้างแต่บาปอย่างท่านข้าก็ไม่ต่างจากมารความสุขของผู้อื่นหรอก แต่จงรับรู้ไว้ว่าผู้ที่ท่านเรียกว่ามารตนนี้จะพิพากษาท่านเอง...” พระพฤหัสบดีเอ่ยเสียงกร้าวพร้อมมองนักโทษที่จะไปอยู่ในคุกของตนที่ร้างรามานาน
“คิดว่าใหญ่มากนักหรือ ถึงได้มีอำนาจมาตัดสินข้าได้” พระศุกร์ผู้แสนหยิ่งกล่าวเย้ยหยัน
“ใหญ่ไม่ใหญ่ท่านก็น่าจะรู้ดีมิใช่หรือ แต่จะมาให้ท่านคิดตอนนี้เห็นทีจะไม่ควร ด้วยว่านับจากนี้ท่านคงมีเรื่องใหม่ให้ขบคิดเสียแล้ว.... เพราะจะต้องคิดว่าจะเอาตัวรอดจากอาญาโทษฐานทำร้ายแม่ทัพหลวงอย่างไรเล่า จงหุบปากหยุดพร่ามเสียพระศุกร์ขืนท่านยังพูดมากข้าจะจับตัวท่านไปให้พระผู้สร้างตัดสินโทษแล้วลงทัณฑ์เทวาแทน !!!”
“ข้าไม่ยอมหรอก...” พระศุกร์ก็ยังคงเป็นพระศุกร์ผู้ไม่มีทางยอมแพ้อะไรง่ายๆ
พระพฤหัสบดีไม่พูดพร่ามอะไรต่อเพียงปล่อยเชือกสีเพลิงอีกเส้นเข้ารัดพันธนาการกายพระศุกร์ไม่ให้ขยับเยื้อน พระศุกร์พยายามเร่งพลังในกายหมายจะให้เชือกมารนี้ขาดวิ่นแต่ก็หาทำอะไรให้เชือกสีเพลิงขาดไม่....
“ไร้ประโยชน์...” พระพฤหัสบดีกล่าวกับพระศุกร์ที่ยังคงพยายามทั้งที่รู้ว่าเสียเวลาเปล่า
“ถึงอย่างไรก็ก็จะไม่ยอมแพ้ท่าน...อ๊าก....” เสียงร้องก้องดังสนั่น เทพกายสีฟ้าเร่งพลังจนถึงขีดสุดแต่ก็หาทำอะไรได้ไม่ ครั้นจะใช้วิชาหมอกพิษก็หาทำได้ไม่
“เราไปจากที่นี้กันได้แล้ว พระศุกร์...“ พระพฤหัสบดีกล่าวจบ ก็เกิดแผ่นดินไหวไปทั่ว พระศุกร์อยู่ในท่าทีที่ตกใจเพราะไม่รู้ว่าพระพฤหัสบดีจะมีลูกเล่นอะไรอีก แต่แล้วแผ่นดินที่พระศุกร์ยืนอยู่นั้นก็ยกตัวสูงกัน เมื่อก้อนดินและหินร่วงหลนลงไปหมดแลปรากฏกระดานชนวนขนาดใหญ่ขึ้น ดั่งแม่เหล็กที่ทรงอานุภาพทรงดึงดูดอย่างมหาศาล พระศุกร์จำต้องนั่งลงให้กายนั้นแนบชิดกับผืนกระดาน
“อ๊าก...หยุดเดี๋ยวนี้พระพฤหัสบดี...!!!”
พระพฤหัสบดีไม่ฟังความอันใดอีก แล้วกระดานนั้นก็ย่อขนาดลงเหลือเล็กเพียงเท่าฝ่ามือลอยเด่นเหนืออยู่บนฝ่ามือของพระพฤหัสบดี
“ตอนนี้ก็อยู่ในนี้ไปก่อนนะ...เอาไว้ท่านสำนึกเมื่อไหร่...ข้าจะปล่อยท่าน...พระศุกร์...”
.................................
มาแล้วเน้อ...มาแล้ว
ท่านยุ่งมาแล้วพร้อมสงคราม...อาจจะไม่สนุกเน้อเพราะไม่มีอะไรตื่นเต้นเลย
แต่ท่านยุ่งประทับใจแล้วภูมิใจนะเพราะเป็นครั้งแรกที่คิดพล็อตสงครามร่างว่าเออจะเอาอะไรยังไงดีก็ได้ปรึกษากับรุ่นพี่และสุดท้ายก็ออกมาอย่างนี้แหละ
//ป๋ากนธีไม่มาแต่นางส่งคนของนางมาซ้อนแผน ป๋าน่ารักที่สุด
//อย่าคิดจิ้นคู่เพิ่มนะ 55555
//เอาใจช่วยท่านพี่นภนต์ของน้องลันด้วย โดนฟาดกลางหลังขนาดนั้น ToT
//กลอนเปิดตอน...ท่านยุ่งแต่งเองใช้สกิลทางภาษาอันน้อยนิดของตน 555555 อย่าปารองเท้า
//คิดถึงทุกคนนะ
.....สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มาเม้น บางคนชื่นชมบ่นผ่านในทวิต มีรีวิวให้ด้วย(ท่านยุ่งเขิน) ขอบคุณกำลังใจ ขอโทษที่ให้รอและบังคับให้ติดตามกันต่อนะคะ 5555 *โดนคนอ่านรุมเผากระท่อม ตบตี กระทืบ