HEARTBREAKER
37
เสียงเอะอะโวยวายดังอยู่หน้าคฤหาสน์ตระกูลพัฒนวัฒน์ ชายฉกรรจ์2คนพยายามจับกุมตัวบุตรชายของเจ้านาย หากแต่เรี่ยวแรงของชายหนุ่มร่างสูงกลับมีมากจนคนที่ได้รับตำแหน่งบอดี้การ์ดแทบคุมตัวไว้ไม่อยู่ ยิ่งพยายามกักตัวไว้ อีกฝ่ายก็ยิ่งออกแรงสู้ ต่อต้านทั้งหมัดทั้งฝ่าเท้า ประมุขบ้านได้ยินเสียงเอะอะก่อนที่ลูกน้องจะวิ่งเข้ามารายงานให้ทราบว่าลูกชายคนโตกำลังอาละวาดอย่างหนัก ร่างสูงที่ถึงแม้อายุจะย่างเข้าเลข4ปลายๆแต่ยังคงความหล่อคมสันของมาดนักธุรกิจรีบเดินออกจากห้องอาหารไปยังหน้าเทอร์เรส หยุดดูอาการคล้ายคนคลั่งยาของลูกชายอย่างไม่เชื่อสายตา ยิ่งพอลูกเห็นหน้าพ่อ นัยน์ตาสีเฮเซลคมกล้าก็ทอแววแข็งกร้าววาวโรจขึ้นอย่างน่ากลัว
“ควิน เป็นอะไร ทำไมถึงอาละวาดแบบนี้”
คนเป็นพ่อเอ่ยถามลูกชาย
“ไปลากไอ้เหี้ยฮาร์ฟมา ไปลากมันออกมา!”
ควินตะโกนสั่งพลางซัดกำปั้นใส่หน้าบอดี้การ์ดไปอีกหนึ่งหมัด
“มีเรื่องอะไร ค่อยพูดค่อยจากันก็ได้”
ได้เห็นลูกชายอาละวาดทำร้ายร่างกายลูกน้องต่อหน้าต่อตา คนเป็นพ่อจึงเอ่ยถามกึ่งปรามให้ลูกชายใจเย็น
“ไอ้สัดฮาร์ฟ! ไอ้ลูกเมียน้อย!!”
ควินตะโกนด่าดังลั่น รู้ว่าศัตรูมุดหัวอยู่ในบ้าน ไม่กล้าออกมาสู้กันซึ่งๆหน้า
“ควิน พ่อขอร้อง หยุดอาละวาดได้แล้ว”
“บอกไอ้ลูกรักคุณลงมา บอกให้มันลงมา!”
“ฮาร์ฟไปทำให้เราไม่พอใจ บอกพ่อ พ่อจะจัดการให้”
คนเลือดร้อนอารมณ์เดือดแสยะยิ้มร้ายที่ได้ยินอีกฝ่ายบอกว่าจะจัดการให้ นัยน์ตาดุคมมองคนตรงหน้าอย่างเย้ยหยันก่อนเอ่ยเน้นคำ
“ฆ่ามันสิ”
คนฟังเบิกตากว้างอย่างตกใจกับคำพูดของลูกชาย
“ทำไม่ได้ก็อย่าพูด!”
ควินตะคอกใส่ หันไปมองบอดี้การ์ดข้างตัว สั่งเสียงเข้ม
“ปล่อยกู”
“ไม่ได้ครับ”
“มึงคิดว่ากูอยากเข้าไปเหยียบในบ้านนี้นักเหรอ”
พอได้ยินอย่างนั้น บอดี้การ์ดก็มองหน้ากันก่อนค่อยๆผ่อนแรงยึดแขนบุตรชายของเจ้านายเมื่อเห็นท่าทีอีกฝ่ายสงบลง
ควินสะบัดแขน มองเจ้าของบ้านด้วยสายตาเฉยชาก่อนสั่งบอดี้การ์ด
“ขึ้นไปลากไอ้ฮาร์ฟลงมา กูมีเรื่องต้องเคลียร์กับมัน”
“เอ่อ…”
หนึ่งในบอดี้การ์ดอึกอัก หันไปมองหน้าเจ้านายที่ยืนนิ่งอยู่อย่างรอฟังคำสั่ง
“พ่อจะขึ้นไปตามให้”
ด้วยไม่อยากให้ลูกชายอาละวาดอีกรอบ คนเป็นพ่อจึงยอมทำตามคำสั่ง
ควินมองตามคนหันหลังเดินกลับเข้าบ้าน แสยะยิ้มเหยียดแล้วเดินไปเอนหลังพิงรถสปอร์ตคันหรูของตัวเองฆ่าเวลารอ โทรศัพท์แผดเสียงดังอยู่ในกระเป๋ากางเกง ชายหนุ่มหยิบออกมาดู คิ้วเข้มขมวดมุ่นเงยหน้าขึ้นมองไปยังชั้นสองของคฤหาสน์แล้วจึงรับสาย
“ไอ้ขี้ขลาด”
ควินทักปลายสายด้วยน้ำเสียงเยาะ
“พรุ่งนี้ 5 โมงเย็น เจอกันที่ร้านกาแฟ”
“อย่าพล่ามมาก มึงลงมาเดี๋ยวนี้”
เค้นเสียงสั่งอย่างไม่สนใจว่าปลายสายจะนัดแนะอะไร
“กูลงไป มึงก็ทำได้แค่ระบายอารมณ์ แต่ถ้ามึงไปตามนัดกูพรุ่งนี้ กูรับปาก กูจะเลิกยุ่งกับคนของมึง”
ควินนิ่งคิดตามคำพูดอีกฝ่ายไปครู่นึง ก่อนเอ่ยยั่วโทสะ เพราะไม่เชื่อว่ามันจะพูดจริง
“กลัวกูกระทืบมึงมากเหรอ ไม่แน่จริงนี่หว่า ไอ้ลูกหมา เก่งแต่เห่าลับหลัง”
“จะคิดอย่างนั้นก็ตามใจมึง แต่อย่าลืมไปตามนัด กูเคลียร์กับมึงแน่ ไม่ต้องห่วง”
บอกเสร็จก็ตัดสาย ควินมองหน้าจอโทรศัพท์ ไม่เข้าใจจุดประสงค์อีกฝ่ายว่าต้องการอะไรกันแน่ แต่ถึงไม่ได้กระทืบมันวันนี้ พรุ่งนี้มันก็ไม่รอดอยู่ดี!
“มึงมานี่ดิ”
หันไปเรียกบอดี้การ์ดอีกชุดนึงที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าบ้าน พอคนถูกเรียกเดินเข้ามาหา แขนแกร่งก็วางพาดบนบ่า น้ำเสียงเข้มเอ่ยสั่ง
“ไอ้ฮาร์ฟออกจากบ้านเมื่อไหร่ มึงสะกดรอยตามมันไป แล้วโทรมาบอกกู”
คนได้รับคำสั่งพยักหน้ารับรู้ ควินแสยะยิ้มตบบ่ากว้างไปทีนึง ผละออกมาเปิดประตูรถขึ้นนั่งตำแหน่งคนขับ สตาร์ทเครื่องยนต์แล้วมองเข้าไปในบ้านพอดีกับผู้เป็นเจ้าของรีบเดินออกมา ชายหนุ่มเหยียดยิ้มแล้วขับรถออกไปอย่างเร็ว ทิ้งให้คนเป็นพ่อมองตามด้วยความเป็นห่วงจนรถหรูขับออกไปไกลสายตา
บรรยากาศเงียบสงบภายในร้านอาหารอิตาเลี่ยนของภัตตาคารหรูในโรงแรมระดับ5ดาวสร้างความเบื่อหน่ายให้แก่ชายหนุ่มซึ่งนั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อยู่ จนเมื่อบริกรเดินเข้ามาเสิร์ฟอาหารตามด้วยไวน์แดง ชายหนุ่มก็เบ้ปากแสดงอาการไม่ชอบใจให้คนร่วมโต๊ะเห็นอย่างไม่คิดจะรักษาภาพพจน์แต่อย่างใด พอบริกรเดินกลับไปเสียงเรียบก็เอ่ยขึ้น
“น่าเบื่อ”
คนนั่งร่วมโต๊ะอีกสองคนทำหน้าไม่ถูกที่ได้ยินชายหนุ่มพูดอย่างนั้น
“แซท”
“พอเหอะ เลิกสร้างภาพสักที หย่ากันไปแล้วก็ให้มันจบสิ จะมาทนนั่งกินข้าวโต๊ะเดียวกันอีกทำไม”
แซทว่าสวนมารดาอย่างไม่ไว้หน้า แม้ว่าผู้ชายที่นั่งตรงข้ามจะเป็นบิดาบังเกิดเกล้าของตัวเอง แต่ทั้งคู่ก็หย่าร้างกันไปนานแล้ว
“ไม่ชอบอาหารที่สั่งเหรอ”
เสียงทุ้มนุ่มของบิดาเอ่ยถาม
แซทแสยะยิ้ม มองคนตรงข้ามนิ่ง
“ขอให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่พวกคุณสองคนจะต้องมาทนปั้นหน้ายิ้มให้กัน แล้วไม่ต้องพูดว่าทำเพื่อผม ไม่ต้องกลัวว่าผมจะขาดความอบอุ่น เพราะผมขาดมันมานานแล้ว ตั้งแต่วันที่พวกคุณตัดสินใจหย่ากัน”
ได้ฟังที่ลูกพูดคนเป็นพ่อแม่ก็ได้แต่นั่งนิ่งมองจานอาหารบนโต๊ะอย่างไร้ความหมาย
“ผมพูดตรงๆนะ แม่แต่งงานใหม่แล้ว อัลแบร์โตก็ย้ายมาอยู่ไทยถาวรแล้ว แม่ไม่ควรทำอย่างนี้”
“แซท ทำไมพูดกับแม่แบบนี้ ที่แม่ทำ ทุกอย่างก็เพื่อลูก”
คนเป็นแม่บอกตัดพ้อลูกชายด้วยใบหน้าเศร้า แม้เธอจะหย่าขาดกับอดีตสามีและได้สิทธิ์เลี้ยงลูกเพียงผู้เดียว แต่เธอก็ยังเป็นห่วงกลัวว่าลูกจะขาดความรัก ขาดความอบอุ่นจากพ่อแท้ๆ เธอเลยพยายามหาเวลาว่างนัดอดีตสามีออกมาทานข้าวด้วยกัน ให้พร้อมหน้าพร้อมตาสามคนพ่อแม่ลูก อย่างน้อยเธอก็อยากให้ลูกได้เห็นว่าทั้งเธอและอดีตสามียังรักลูกเสมอ ถึงแม้ว่าจะหย่าร้างกันไปแล้วก็ตาม
“บอกแล้วไง ไม่ต้องพูดว่าทำเพื่อผม ผมโตแล้ว ดูแลตัวเองได้ แม่มีครอบครัวใหม่ ส่วนพ่อเองก็กำลังจะมีครอบครัวใหม่ ทุกอย่างก็ลงตัวดีแล้วนี่ คิดซะว่าผมเป็นลูกที่พวกคุณไม่ต้องการ ไหนๆพวกคุณก็ใช้เงินเลี้ยงผมมาตลอดอยู่แล้ว ก็ช่วยใช้เงินที่มีอยู่เลี้ยงผมต่อไปเถอะ ผมไม่ต้องการความรัก ความสงสาร ความห่วงใย ผมขอแค่มีเงินให้ใช้อย่างเดียวก็พอ”
แซทบอกไปตามความรู้สึก นัยน์ตาคมมองหน้าบุพการีทั้งสองนิ่ง ได้เห็นดวงตาคู่สวยของมารดามีน้ำตาเอ่อคลอ และบิดาก็คลี่ยิ้มเนือยๆคล้ายจะปลงตกกับคำพูดของลูกชาย
“ถ้าแซทต้องการอย่างนั้น พ่อก็ตามใจแซท ขาดเหลืออะไรก็โทรบอกพ่อ”
คนเป็นพ่อบอกลูกชายด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มก่อนลุกขึ้น หันมองอดีตภรรยา
“ขอโทษนะคุณ ผมขอตัวก่อน”
บอกเสร็จก็เดินออกไป
แซทแสยะยิ้มหยันให้กับครอบครัวตัวเอง ครั้งนึงครอบครัวเขาเคยมีความสุข เคยเป็นครอบครัวตัวอย่างที่น่าอิจฉาในแวดวงสังคมไฮโซ แต่สุดท้ายมันก็กลายเป็นเพียงอดีต
“ร้องไห้ทำไม”
ชายหนุ่มถามมารดาที่ร้องไห้เงียบๆ ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายแล้วหยิบทิชชู่ยื่นให้
“ทำไมแซททำแบบนี้”
คนเป็นแม่เอ่ยถามกลับ ปฏิเสธไม่รับทิชชู่จากลูกชาย
“ผมทำอะไร” บอกเสียงสูงแล้วว่าต่อ “ผมก็แค่พูดความจริง แม่ต่างหาก ทำไมทำแบบนี้ แม่แต่งงานใหม่แล้วนะ ลืมไปแล้วเหรอ”
“แม่ไม่ได้ลืม แต่ที่แม่ทำก็เพื่อลูก แม่อยากให้แซทเข้าใจ ถึงแม่กับพ่อจะเลิกกัน แต่เราก็ยังรักลูกเหมือนเดิม”
“เอาเป็นว่าผมเข้าใจว่าแม่หวังดีกับผม แต่พอแค่นี้เถอะ ผมไม่ต้องการ”
แซทบอกตัดบทก่อนลุกขึ้น ไม่สนใจว่ามารดาจะร้องไห้เพราะคำพูดของตัวเอง
“ผมกลับนะ”
บอกลาเสียงเรียบ หันหลังเดินออกจากห้องอาหาร ทิ้งให้มารดามองตามหลังด้วยใบหน้าอาบน้ำตา
ร่างสูงเดินมาถึงรถพอร์ชของตัวเองแล้วหยุดล้วงเอาเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋ากางเกงออกมาโทรหาเพื่อนซี้ รอฟังสัญญาณจากปลายสายด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง พอสัญญาณบอกว่าปลายสายรับแล้วก็กรอกเสียงถามทันที
“อยู่ไหนวะ”
“บนรถ กำลังขับกลับคอนโด”
“กูว่าจะไปหาต้าร์ที่บ้าน”
“โปรเจคเสร็จแล้ว”
“เออ มึงออกไปได้สักพักกูกับไอ้เนสก็ทำเสร็จพอดี”
“เออ งั้นก็เจอกันที่บ้านต้าร์”
“ตามนั้น”
จบบทสนทนาก็ตัดสายหันไปเปิดประตูรถก้าวขึ้นไปนั่งก่อนปิดประตูทันได้เห็นร่างบอบบางของมารดาเดินออกมาจากโรงแรม ดวงตาคู่สวยนั้นแดงก่ำบอกให้รู้ว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก แซทถอนหายใจเฮือกใหญ่ มองตามหลังมารดาก้าวขึ้นรถเบนซ์โดยมีบอดี้การ์ดของพ่อเลี้ยงเป็นคนขับรถให้
“ขอโทษครับแม่”
บอกกับตัวเองเบาๆแล้วสตาร์ทรถขับออกไป รู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปในวันนี้ทำให้ผู้ให้กำเนิดทั้งสองคนเสียใจมากแค่ไหน แต่ก็ดีกว่าดันทุรังปล่อยให้เรื่องมันยังคาราคาซังอยู่แบบนี้ ในเมื่อครอบครัวมันแตกแยกไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรให้ต้องเหนี่ยวรั้งไว้อีก
ต่อให้บาปก็ไม่สนใจ เพราะตายไปคนอย่างเขาก็ตกนรกอยู่ดี
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
เด็กหนุ่มหน้าหวานในชุดนักเรียนม.ปลายเดินฮัมเพลงเข้าบ้านอย่างอารมณ์ดี ในมือถือถุงขนมที่ได้มาจากการไปเยี่ยมคุณยาย ด้วยก่อนจะไปนั้นรู้สึกเบื่อและยังไม่อยากกลับบ้าน หลังจากแยกกับเพื่อนสนิทที่ต้องไปทำงานพิเศษก็คิดขึ้นมาได้ว่าอยากไปหาท่าน เพราะเวลาได้คุยกับท่านแล้วรู้สึกผ่อนคลาย พอได้ไปเยี่ยมอีกครั้ง ท่านก็ต้อนรับอย่างดี นั่งคุยกันจนเพลินทำให้ลืมเรื่องกังวลใจก่อนหน้าไปหมดสิ้น แถมตอนลากลับท่านยังใจดีให้ขนมมาทานที่บ้านเหมือนเคย
“ไปไหนมา”
ยังไม่ทันได้เดินเข้าบ้าน เด็กหนุ่มก็ต้องชะงักขาอยู่ตรงขั้นบันไดเพราะเสียงเข้มของพี่ชาย
“เอ่อ…ผม…ผมไปซื้อขนมมาฮะ”
พูดปดพี่ชายไปน้ำขุ่นๆด้วยกลัวว่าจะถูกดุ
“ซื้อขนม?”
เนสย้อนคำเสียงสูงคล้ายไม่เชื่อคำพูดน้องชาย แต่พอเจ้าตัวเล็กชูถุงขนมขึ้นมาให้ดูแถมยังยิ้มหวานเอาใจ ความสงสัยก็มลายหายไป
“เข้าบ้าน เฟียซมารอติวหนังสือให้อยู่ในห้องนั่งเล่น จะสอบแล้ว ตั้งใจหน่อย”
“เฟียซมาเหรอฮะ”
ต้าร์ร้องก่อนรีบวิ่งเข้าบ้าน ทิ้งให้พี่ชายมองตามด้วยความขบขัน
“เฟียซ!”
เจ้าของบ้านร้องเรียกเพื่อนเสียงดังลั่นห้อง
“มึงหายหัวไปไหนมา”
เฟียซยิงคำถามใส่เพื่อนทันที
“ไปซื้อขนม นี่ไง อร่อยนะจะบอกให้ กินแล้วจะติดใจ”
ชูถุงขนมให้เพื่อนดูแล้วเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าลงข้างๆ ยื่นถุงขนมให้
“ขอบคุณนะที่มาช่วยติว เฟียซน่ารักที่สุดเลย รักว่ะ”
ยิ้มบอกพลางบิดแก้มเพื่อนอย่างหยอกล้อ
เฟียซทำหน้ามุ่ยปัดมือบางออกแล้วล้วงเอาขนมในถุงออกมากิน
“ไปเปลี่ยนชุดไป จะได้ติวสักที”
บอกไล่เจ้าของบ้านหน้าหวาน
“อืม คืนนี้นอนค้างด้วยกันมั้ย”
“เออ”
ต้ารร์ยิ้มกว้างดีใจที่เพื่อนจะนอนค้างด้วย
“แล้วไม่ได้ทำงานพิเศษเหรอ”
“เจ้านายไปเที่ยวต่างประเทศ เลยได้หยุด”
คนถามพยักหน้ารับรู้ก่อนลุกขึ้นเดินออกจากห้องนั่งเล่นขึ้นไปเปลี่ยนชุดบนห้อง
“พวกมึงมาทำไม”
“มึงก็รู้ว่าพวกกูมาทำไม”
“อย่ามากวนตีนกู”
“มึงรู้ว่าพวกกูมาทำไม แล้วจะถามทำเหี้ยไร”
“ไอ้สัด! หุบปากแล้วกลับบ้านมึงไปเลย”
ต้าร์ที่เดินลงบันไดมาขมวดคิ้วมุ่นกับเสียงตะคอกดังของพี่ชาย พอเดินไปหน้าบ้าน ก็เห็นพี่ชายกำลังยืนจ้องหน้าเพื่อนทั้งสองคนอยู่ด้วยท่าทางหงุดหงิด
“มีอะไรกันฮะ”
เอ่ยถามพลางเดินเข้าไปหยุดอยู่ข้างๆพี่ชาย ส่งยิ้มให้คนมาเยือนแล้วเอ่ยทักทาย
“สวัสดีครับพี่ควินพี่แซท”
เนสหันไปขึงตาดุใส่น้องก่อนจับมือเล็กจูงเข้าบ้าน ควินกับแซทมองหน้ากันอย่างเบื่อหน่ายกับนิสัยขี้หวงของเพื่อนแล้วเดินตามไป
“ไปติวหนังสือ เฟียซรออยู่”
เนสบอกน้องเสียงเข้ม แต่ตาจ้องหน้าเพื่อนเขม็ง
“ครับ”
ต้าร์รับคำเสียงอ่อน หันไปยิ้มให้เพื่อนพี่ชาย
“ผมขอตัวไปติวหนังสือก่อนนะฮะ”
เอ่ยบอกแล้วเดินตรงไปที่ห้องนั่งเล่น
สองหนุ่มมองตามหลังด้วยความไม่พอใจที่ได้ยินว่าเด็กหนุ่มจะติวหนังสือกับไอ้คนที่ไม่ชอบหน้า
“ได้ยินชัดแล้วนะ น้องกูต้องติวหนังสือ พวกมึงกลับไปได้แล้ว”
เนสยกข้ออ้างที่น้องต้องติวหนังสือมาไล่เพื่อนกลับไป
“แล้วไง กูไม่สน”
ควินที่หงุดหงิดเป็นทุนเดิมอยู่บอกเสียงเรียบ
“มึงไม่สนแต่กูสน”
เนสสวนกลับอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้
“น้องมึงติวหนังสือ ก็ติวไปดิ พวกกูไม่ได้มากวน”
แซทบอกแล้วเดินผ่านเพื่อนตรงไปยังห้องนั่งเล่น เนสขบกรามแน่นกำลังจะเดินไปขวาง แต่ควินจับแขนดึงไว้
“เลือกเอา มึงจะให้พวกกูอยู่ หรือจะให้พวกกูเอาน้องมึงไป”
ควินขู่ นัยน์ตาสีเฮเซลมองสบนัยน์ตาแข็งกร้าวของเพื่อนอย่างจะบอกแทนคำพูดว่าทำจริงแน่ถ้าขืนยังดื้อดึงขัดขวาง เนสผ่อนลมหายใจอย่างช้าๆ ข่มกลั้นโทสะไว้สุดกำลังแล้วสะบัดแขนจนหลุดจากการจับกุม
“บอกเองนะว่าไม่ได้มากวน งั้นพวกมึงก็หุบปาก อย่าเสือกพูดตอนที่น้องกูติวอยู่”
เนสบอกเสียงแข็งแล้วเดินไปห้องนั่งเล่นอย่างต้องการเข้าไปคุมไม่ให้เพื่อนเข้าใกล้น้องชาย ควินส่ายหน้าอย่างปลงกับนิสัยหวงน้องจนเกินเหตุก่อนเดินตามไป
บรรยากาศในห้องนั่งเล่นที่ตอนแรกดูสดใสร่าเริงกลับกลายเป็นอึมครึมเพราะพวกรุ่นพี่ที่เดินเข้ามานั่งในห้องอย่างเงียบๆ ต้าร์กับเฟียซมองหน้ากันอย่างงุนงง
“เอ่อ…ถ้าพวกพี่จะใช้ห้องนี้ เดี๋ยวผมย้ายไปติวบนห้องก็ได้ฮะ”
ต้าร์พูดขึ้นซึ่งเฟียซเองก็เห็นด้วย
“ขึ้นไปสิ”
“ไม่ต้อง”
ต้าร์มองหน้าพี่ชายแล้วหันไปมองหน้าแซทอย่างสับสน อีกคนบอกให้ไป แต่อีกคนบอกไม่ต้อง จะเอายังไง?
“ติวในห้องนี้แระ ไม่ต้องย้ายหรอก”
ควินบอก จ้องตาเพื่อนที่มองมาคล้ายจะถามว่า ‘ลืมคำขู่ที่เพิ่งบอกไปแล้วเหรอ’
เนสจำต้องกัดฟัน นั่งเงียบ แต่สายตายังจ้องไปที่เพื่อนอย่างไม่พอใจ
“งั้นเราก็ติวกันเถอะเฟียซ”
ต้าร์บอกเพื่อน จัดการเปิดหนังสือ แต่คนตั้งใจจะช่วยเพื่อนกลับไม่มีอารมณ์จะติวให้ด้วยเพราะบรรยากาศและคนที่ไม่น่ามานั่งอยู่ในห้องนี้
“ติวให้มั้ย”
แซทที่เห็นท่าทางไอ้คนที่เกลียดขี้หน้ายังไม่เปิดหนังสือตามเด็กหนุ่มเลยเอ่ยเสนอตัว
เนสถลึงตาดุใส่อย่างจะปรามให้เพื่อนหยุดคิด แต่ควินเอ่ยสำทับต่อ
“เดี๋ยวติวให้”
บอกแล้วก็ลุกจากโซฟาเข้าไปนั่งบนพื้นพรมข้างๆเด็กหนุ่ม แซทเองก็ลุกตาม
ต้าร์ที่นั่งนิ่งอย่างมึนงงอยู่ก็ได้แต่อ้าปากค้าง พูดไม่ออก หันไปมองเพื่อนสนิท ฝ่ายนั้นก็ปลีกตัวออกห่างทำท่าจะไม่อยู่ติว
“เฟียซ”
เนสเรียกเพื่อนน้องชายเสียงอ่อน ขอร้องอีกฝ่ายทางสายตาว่าให้นั่งอยู่เป็นเพื่อนต้าร์หน่อย แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจจะติวหนังสือต่อแล้วก็ตาม
เจ้าของชื่อทำได้เพียงพยักหน้ารับรู้หันไปมองหน้าเพื่อนแล้วส่งปากกาไฮไลท์ให้
“ขอบคุณนะครับพี่ควินพี่แซท ที่ช่วยติวให้พวกผม”
ต้าร์รับปากกาจากเพื่อนมา เปิดสมุดช็อตโน้ตไว้รอ
“ไม่เข้าใจตรงไหน”
ควินถาม มองตัวเลขสถิติในหนังสือแล้วมองใบหน้าหวานที่ยังยิ้มอยู่
“หลายตรงเลยฮะ ฮ่าๆๆ”
บอกกลั้วหัวเราะแล้วจับหนังสือมาเปิดไปหน้าที่ตัวเองไม่เข้าใจ
“บทนี้เลยฮะ”
ต้าร์ยิ้มบอก เฟียซลอบถอนหายใจแต่ก็เปิดหนังสือตาม
“เดี๋ยวสรุปให้เข้าใจง่ายๆ”
แซทบอก แล้วเริ่มต้นอธิบายเรื่องสถิติ ฝ่ายควินก็ฉวยเอาสมุดช็อตโน้ตของต้าร์มาจดใจความสำคัญพร้อมคำอธิบายรายละเอียดลงไป
เนสมองเพื่อนที่ตั้งใจติวให้น้องชาย ส่ายหน้าให้กับความขี้ขลาดของตัวเองที่กลัวคำขู่ ยอมรับว่าพวกมันเรียนเก่ง หัวดีในเรื่องเกี่ยวกับตัวเลข สถิติ ฟิสิกส์ แต่ให้พวกมันมานั่งติวใกล้ๆน้องแบบนี้ ก็ไม่ชอบใจอยู่ดี
ต้าร์นั่งฟังเพื่อนพี่ชายอธิบายเรื่องสถิติ พยักหน้ารับเป็นพักๆ รู้สึกทึ่งที่พวกเขาเก่งจนสามารถไขความไม่เข้าใจของตัวเองได้
“ถ้าไม่รู้มาก่อนว่าพวกพี่เรียนสถาปัตย์ ผมคงนึกว่าพวกพี่เป็นนักสถิติ”
ต้าร์พูดขึ้นหลังจากที่ฟังสองหนุ่มอธิบายจบ
“ไม่เข้าใจเรื่องไหนอีก”
ควินถามพลางไล่ดูตำราหนังสือของเด็กม.6
“เรื่องเลขนิดหน่อยฮะ”
บอกพลางหยิบหนังสือเตรียมสอบวิชาเฉพาะออกมาเปิด
“อนุกรม ไม่ยากหรอก”
แซทว่าแล้วเริ่มต้นอธิบายอีกรอบ
“ตรงไหนสำคัญ จดไว้ให้แล้ว อ่านทำความเข้าใจ”
ควินบอกพลางยื่นสมุดคืนให้เจ้าของ
ต้าร์ยิ้มกว้าง รับมาดูผ่านๆแล้วปิดวางไว้
“ขอบคุณพวกพี่มากนะครับ ขอบคุณมากจริงๆ”
เสียงใสบอกอย่างซึ้งในน้ำใจที่เพื่อนที่ชายใจดีช่วยติวให้
“ไม่เป็นไร”
ควินบอก กระตุกยิ้มมุมปาก แซทยักไหล่ สายตาคมสองคู่มองสบนัยน์ตากลมใสอย่างจะสื่อให้เจ้าของดวงตาคู่สวยรู้ถึงความในใจที่แฝงไว้กับทุกๆการกระทำตั้งแต่วันแรกที่เจอกันจนถึงวันนี้
“จะทุ่มนึงแล้ว ขึ้นไปอาบน้ำไป”
เนสบอกน้องชายแล้วหันไปบอกเฟียซต่อ
“อยู่กินข้าวด้วยกันนะเฟียซ”
“เฟียซต้องอยู่แน่นอนอยู่แล้วฮะ เพราะวันนี้เฟียซจะนอนค้างกับผม”
ต้าร์ยิ้มบอกพี่ชายพลางกอดคอเพื่อนสนิทไว้
ท่าทีสนิทสนมที่เด็กหนุ่มแสดงออกทำให้ควินกับแซทมองใบหน้าหวานอย่างไม่พอใจ ยิ่งได้ยินว่าไอ้คนที่ไม่ชอบหน้าจะนอนค้างด้วย จากความไม่พอใจก็กลายเป็นความโกรธ สองหนุ่มพร้อมใจกันตวัดสายตาคมมองไปที่เป้าหมายอย่างข่มขู่
“ดีสิ จะได้ช่วยต้าร์ติวหนังสือต่อ ตามสบายนะเฟียซ เดี๋ยวพี่เข้าครัวไปบอกป้าแม่บ้านให้เตรียมกับข้าว เตรียมขนมไว้เยอะๆ”
เนสยิ้มบอกอย่างดีใจ ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปโดยไม่คิดจะเอ่ยชวนเพื่อนสองคนอยู่ทานข้าวด้วย
“พวกพี่อยู่ทานข้าวด้วยกันนะฮะ”
ต้าร์เอ่ยชวน หวังให้เพื่อนพี่ชายตอบตกลง แต่ผิดคาดเพราะทั้งคู่ลุกขึ้นด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“กินไปเถอะ”
ควินบอกอย่างข่มกลั้นความโกรธไว้ไม่ให้พุ่งเข้าไปกระทืบเพื่อนของเด็กหนุ่ม เขาเดินออกจากห้องไปด้วยความรู้สึกทั้งโกรธทั้งน้อยใจ
“อ้าว พี่ควิน อย่าเพิ่งไปสิฮะ”
ต้าร์ร้องเรียกทำท่าจะเดินตามแต่เฟียซจับแขนดึงไว้
แซทมองมือไอ้คนที่จับเนื้อต้องตัวคนของเขาอย่างโมโห นัยน์ตาคมกล้าจ้องหน้าอีกฝ่ายอย่างจะจับฉีกออกเป็นชิ้นๆ
“พี่แซท อยู่ทานข้าวด้วยกันนะฮะ”
“ตามสบาย”
แซทบอกเสียงแข็งแล้วเดินออกจากห้องตามเพื่อนซี้ไปด้วยอารมณ์ไม่ต่างกัน
“อ้าว พี่แซท เดี๋ยวสิฮะ”
ต้าร์ร้องเรียกอีกรอบ
“เฟียซปล่อยสิ ต้าร์จะไปตามพี่เขา”
หันมาสั่งเพื่อนให้ปล่อยมือออกจากแขน
“เขาไม่อยากอยู่กินก็ปล่อยไปสิ มึงจะไปตามทำไม”
เฟียซบอกอย่างไม่เข้าใจเพื่อน
“ทำไมพูดแบบนี้ พวกเขาอุตส่าห์ติวให้เรานะ”
ต้าร์ติงเสียงห้วน
เฟียซทนไม่ไหวอีกต่อไป จับไหล่เพื่อนให้หันมามองกันตรงๆ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“กูถามมึงจริงๆนะต้าร์ มึงไม่รู้จริงๆเหรอว่าพวกเขาคิดอะไรกับมึง”
คนฟังย่นคิ้ว มองหน้าเพื่อนอย่างไม่เข้าใจ
“คิดอะไร? หมายความว่าไง?”
เฟียซระบายลมหายใจยาว นึกอยากจับหัวเพื่อนโขกกำแพงบ้าน เพื่อไอ้เด็กเอ๋อมันจะเข้าใจอะไรมากขึ้น
“พวกมันไปรับมึงถึงโรงเรียน พามาส่งบ้าน เลี้ยงหนังมึง แถมเหมาทั้งโรง อย่างนี้เหรอที่บอกว่าไม่คิดอะไร”
เฟียซบอกให้เพื่อนคิดตามเหตุการณ์ที่ผ่านมา สิ่งที่สองคนนั้นทำมันไม่ใช่แค่ในฐานะเพื่อนพี่ชายธรรมดา แต่มันมากกว่านั้น!
“พี่เขาบังเอิญขับรถผ่านมาแล้วเห็น ก็เลยอาสาไปส่ง ส่วนเรื่องเลี้ยงหนัง ต้าร์เป็นคนขอให้พวกเขาเลี้ยงเอง”
บอกอย่างไม่ติดใจสงสัยอะไร ไม่เข้าใจก็แต่เพื่อนสนิทนี้แหละ ต้องการพูดอะไรกันแน่?
“ต้าร์ นี่มึง โอ้ย! กูเพลียกับมึงมาก มึงแกล้งโง่หรือมึงโง่จริงๆวะ”
เฟียซร้อง ส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจกับคำพูดและท่าทางของเพื่อนซี้
“เออ ฉันมันโง่ ไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้นแหละ”
บอกอย่างไม่พอใจที่ถูกเพื่อนว่า ตั้งท่าจะเดินหนี แต่เฟียซเดินมาดักหน้าขวางไว้
“โอเค กูจะบอกให้มึงฟังชัดๆ เอาตรงๆเลยนะ พวกมันเป็นไบ แล้วพวกมันก็ชอบมึง เข้าใจหรือยัง!”
คนฟังเบิกตากว้างอย่างตกใจกับคำพูดของเพื่อนสนิท ไบที่ว่า หมายถึง Bisexual พวกรักร่วมเพศ ที่ชอบคนทั้ง 2 เพศ ทั้งชายและหญิงน่ะเหรอ!
“พวกเขาเนี่ยนะจะเป็นไบ ไม่ใช่หรอก เฟียซพูดมั่ว”
ต้าร์ส่ายหัวปฏิเสธ ไม่เชื่อคำพูดเพื่อน
“กูไม่ได้พูดมั่ว กูพูดความจริง แต่มึงมันโง่ โง่จริงๆ!”
เฟียซว่าอย่างหัวเสีย บอกขนาดนี้แล้ว ไอ้เพื่อนเอ๋อมันยังไม่เชื่ออีก โว้ย! จะให้กูทำยังไงวะ มึงถึงจะเชื่อ!
“โอเคๆ ถึงพวกเขาจะเป็นไบจริงๆ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ชอบต้าร์หรอก ไม่มีทาง”
บอกเสียงอ่อนด้วยเห็นว่าเพื่อนทำท่าหมดแรง
“มึงดูไม่ออกจริงๆเหรอวะ พวกมันเป็นไบแน่ๆ แล้วพวกมันก็ชอบมึงชัวร์ๆ เอาหัวฉลาดๆของกูเป็นประกัน”
“บ้าน่า พวกเขาเป็นเพื่อนพี่เนสนะ จะมาคิดกับต้าร์แบบนั้นได้ยังไง ที่พวกเขาใจดีด้วย ก็เพราะเอ็นดูที่ต้าร์เป็นน้องพี่เนส เฟียซอย่าคิดมากสิ”
“โอเค กูยอมมึงแระ เหนื่อยจะพูด เอาเป็นว่า กูขอเตือนมึง ให้ระวังพวกมันให้ดี อย่าไว้ใจพวกมันมาก กูรู้ว่ามึงชอบคนใจดี แต่คนที่ใจดีกับมึงอาจไม่ใช่คนดีทุกคน กูเตือนมึงแล้วนะ”
เฟียซบอกรวดเดียวแล้วเดินหนีเพื่อนออกนอกห้อง
“คนที่ใจดี อาจไม่ใช่คนดีทุกคน”
ต้าร์พูดทวนคำที่เฟียซบอก นึกถึงใบหน้าของเพื่อนพี่ชายทั้งสองคน คิดถึงสิ่งที่พวกเขาทำให้
“พวกเขาอาจจะไม่ใช่คนดีอะไรมากมาย แต่พวกเขาก็ใจดี ทำดีกับเราหลายอย่าง ทำไมต้องไประแวง ไม่ไว้ใจพวกเขาด้วยล่ะ ยังไงซะเขาสองคนก็เป็นเพื่อนพี่เนส”
ต้าร์บ่นกับตัวเองก่อนส่ายหน้าไล่ความคิดไม่ดีออกจากหัวแล้วรีบเดินออกจากห้องนั่งเล่นตรงไปหน้าบ้าน ทันได้เห็นท้ายรถสปอร์ตเฟอร์รารี่สีแดงเพลิงของควินขับพ้นรั้วบ้านออกไป ใบหน้าหวานหม่นลงอย่างเป็นกังวลว่าที่เพื่อนพี่ชายทั้งสองคนรีบกลับไปเพราะไม่พอใจอะไรตนหรือเปล่า
“เอาไว้ค่อยถามตอนเจอกันครั้งหน้าก็ได้ ยังไงก็ต้องได้เจอกันอยู่แล้ว”
ต้าร์ยิ้มบอกกับตัวเองแล้วหันหลังเดินกลับเข้าบ้าน โดยไม่รู้ตัวเลยว่าการเจอกันครั้งหน้า ทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิม
---------------------------------------------------------------------
3 เดือนต่อจากนี้ คนแต่งอาจจะหายหัวเป็นพักๆนะคะ
เพราะเริ่มทำงานประจำตั้งแต่วันจันทร์ที่แล้ว
ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
ไม่ได้หายไปเลย แต่จะมาอัพช้า
จึงเรียนมาเพื่อทราบ
ขอบคุณสำหรับคอมเมนท์และการติดตาม
ปล. ตอนหน้าแซ่บมาก มาม่าหม้อหย่ายยยย