เล่ห์ร้ายจอมราชันย์ (จีนโบราณ)
บทที่39เหยียนเหวินตัวแทนแห่งรัก (P.9วันที่ 12/7/59)
ช่วงสายของวันใหม่หลิ่วเหวินอี้ตื่นขึ้นมาจากความเคยชิน แม้จะเหนื่อยหรือบาดเจ็บแค่ไหนเขาไม่เคยนอนทั้งวัน ใบหน้างดงามนิ่วน้อยๆ เมื่อรู้สึกเจ็บทางด้านหลังจนแทบขยับไม่ได้ ร่างกายปวดร้าวระทมไปทั้งร่างคล้ายกับเพิ่งออกกำลังกายเป็นครั้งแรก เหตุการณ์เมื่อคืนฉายชัดในความทรงจำ พลันใดนั้นใบหน้าร้อนผ่าวด้วยความอับอายความรู้สึกวูบวาบตามร่างยังไม่ได้จางหาย ช่วงไหล่ยังมีรอยกัดจากเมื่อคืนน่าแปลกเขาไม่ได้รู้สึกเจ็บปวกมากนัก หรือว่าเขาจะเดินเส้นทางมาโซคิสม์ไปซะแล้ว หลิ่วเหวินอี้ส่ายหน้ากับตัวเองพร้อมดวงตาเรียวมองรอบห้องซึ่งเป็นกระโจมใหญ่ ซึ่งจำไม่ได้ว่ากลับมาตั้งแต่เมื่อไร
หลิ่วเหวินอี้ก้มมองร่างตัวเองที่ถูกทำความสะอาดพร้อมสวมใส่อาภรณ์ให้อย่างเรียบร้อยแม้จะบางไปหน่อยแต่ก็ดีกว่าไม่สวมใส่อะไรเลย เวลานี้ลั่วเหยียนเจิ้งไม่ได้อยู่ที่นี่ พลันนั้นหัวใจเขากลับรู้สึกผิดหวัง ก่อนจะสลัดความรู้สึกไร้สาระออกจากความคิด เขาไม่ใช่สาวน้อยที่ต้องตื่นมาเจอคนรัก
“นายน้อยท่านตื่นแล้ว” หลวนซานเปิดกระโจมเข้ามาพร้อมอาหารในมือ หลิ่วเหวินอี้พยักหน้ารับ แม้จะผ่านค่ำคืนที่เร่าร้อน ทว่าใบหน้างดงามกลับนิ่งเฉยเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เขาแสร้งเมินสายตาล้อเลียนของคนสนิท ริมฝีปากเม้มแน่นขณะก้าวลงจากเตียงความเจ็บแสบจากผลงานเมื่อคืนทำให้นิ่วหน้าน้อยๆ ก่อนจะเดินไปยังโต๊ะเล็ก รับน้ำมาล้างหน้าและลงมือทานอาหารอย่างเงียบๆ
“ฝ่าบาทเสด็จออกประพาสป่าตั้งแต่เช้าตรู่ขอรับ” หลิ่วเหวินอี้เหลือบตามองคนเอ่ยบอกเล็กน้อยก่อนจะทานข้าวต่อ หลวนซานก็หลบไปยืนอยู่ไม่ห่างโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดให้เขาได้อับอาย คิ้วขมวดเป็นปมเล็กน้อยเมื่อนึกได้สององครักษ์นั่นไม่มีที่นอน ที่สำคัญพวกเขาเล่นบทรักกันอย่างดุเดือด แล้วสองคนนั่นไปนอนที่ไหนกัน
“หลวนซานเมื่อคืนสองคนนั่นไปนอนที่ใดกัน”
“กระโจมข้าน้อยขอรับ” หลิ่วเหวินอี้มองหลวนซานอย่างพิจารณา สายตาสำรวจเหมือนหาร่องรอยบางอย่างทำให้หลวนซานเบิกตากว้างก่อนจะร้องประท้วงด้วยสีหน้าแดงก่ำ
“ไม่ใช่อย่างนายน้อยคิดนะขอรับ”
“ข้าคิดอะไร” หลวนซานท่าทางอึกอักอย่างไร้คำพูด ดวงตาเรียวเล็กมองมาอย่างเหี่ยวเฉาเหมือนไม่ได้รับความยุติธรรม หลิ่วเหวินอี้หัวเราะในลำคอก่อนจะทานต่ออย่างไม่สนใจ การได้แกล้งคนก็สนุกดีไม่น้อย อ่า...เริ่มจะติดนิสัยจิ้งจอกเจ้าเล่ห์มาแล้วสิ
หลิ่วเหวินอี้ยกน้ำดื่มและลุกขึ้นบิดกายเล็กน้อยความปวดร้าวตามร่างทำให้อยากได้ยาแก้ปวดสักสองเม็ด ว่าไปเขาก็อึดไม่ใช่เล่น เพราะไม่ได้มีไข้อย่างที่หวาดกลัว การเดินยังติดขัดแต่เขาก็ข่มความเจ็บและเดินเหินเหมือนปกติทุกวัน หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่เรียบร้อยแล้วจึงออกมาข้างนอก
พระอาทิตย์ตั้งฉากกลางศรีษะ แต่ลั่วเหยียนเจิ้งยังไม่กลับมาทหารเดินเวณยามเป็นจุดๆ เพราะขบวนเสด็จของฮ่องเต้อย่างเป็นทางการทำให้มีทหารและการตั้งกระโจมหลายหลัง หลิ่วเหวินอี้ส่ายหน้ากับความเอิกเกริกของอีกฝ่าย ดวงตาเรียวคมตวัดมองไปยังเงาร่างสีดำที่อยู่ห่างพร้อมคำพูดที่ส่งผ่านลมปราณมา
“นายน้อยเผ่ามูซอมีการเคลื่อนไหว องค์ชายหลิงเซียวออกจากหุบเขาและพรรคพวกจำนวนหนึ่งคาดว่าคืนนี้จะมีการลอบสังหารที่นี่ขอรับ”
หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้าก่อนจะพยักหน้ารับ เรื่องนี้เป็นเรื่องของภายในวังหลวงเขาไม่อยากให้อีกาดำเปิดตัวมากเกินไป ทว่ากลับมีกลุ่มอสรพิษแดงเข้ามาเกี่ยวพันด้วย
"เตรียมคนของเราให้พร้อม หากอสรพิษแดงไม่ถอนตัว สังหารให้หมด”
“ขอรับ” เงาร่างนั้นตอบรับและมองมาอย่างลังเล ก่อนจะถอนใจและผละจากไปอย่างรวดเร็ว หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ามองตามเงาร่างสีดำที่หายไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด อะไรทำให้มู่ฉีนักฆ่าหมายเลขหนึ่งถอนตัวโดยไม่กล่าวอย่างอื่น เสียงเหยียบใบไม้จากด้านหลังทำให้หันศีรษะกลับไปมอง
“นายน้อย ข้าว่ามู่ฉีแปลกไปขอรับ” หลวนซานกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หลิ่วเหวินอี้มองตามแล้วระบายลมหายใจ เขามั่นใจว่ามู่ฉีไม่ได้ทรยศเพียงแค่คิดว่าเจ้าตัวไปก่อเรื่องให้ละอายจนไม่กล้าสู้หน้าเขา สองเท้าหยุดเดินหันกลับไปยังเงาดำที่เคยอยู่ ใบหน้างดงามนิ่วน้อยๆ
“หลวนซานเจ้าได้ยินข่าวอะไรกับจั่วเหรินหรือไม่”
“ไม่มีอะไรแปลกใหม่นี่ขอรับจั่วเหรินปลอมเป็นนายน้อยและพักอยู่เรือนตะวันออก ส่วนเรื่องคุณหนูเหม่ยฮวาทางนิกายมารฟ้าไม่เกี่ยวข้องแล้วขอรับเพราะคนของเราไปเจอนางอยู่กับคนที่นางเลือก”
“สิบเอ็ดมาเล่าให้เจ้าฟัง”
“ขอรับ” หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้าก่อนจะเลิกสนใจเพราะเขายังมีเรื่องต้องจัดการในคืนนี้ หลังจากจบเรื่องของลั่วเหยียนเจิ้งค่อยกลับนิกายมารฟ้า เขาหมุนกายกลับไปภายในกระโจมและเริ่มเดินลมปราณอีกครั้งเพื่อเตรียมพร้อมการรับมือในคืนนี้
ลั่วเหยียนเจิ้งดึงสายธนูจนสุดแขนก่อนจะปล่อยลูกธนูพุ่งไปยังเหยื่อด้วยความเร็ว ความแม่นยำของลูกธนูแหลมคมปักเขาลำคอของกวางป่าเป็นตัวที่สามของวัน ร่างสูงนั่งนิ่งอยู่บนหลังม้าปล่อยให้องครักษ์ไปเก็บซากมันกลับมาเหมือนทุกครั้ง
“เสด็จพี่กระหม่อมว่าสัตว์ป่ามันน้อยผิดปกตินะพ่ะย่ะค่ะ เมื่อปีที่ผ่านมายังไม่เงียบอย่างนี้เลย” เพ่ยอวี้ควบม้าเข้ามาใกล้มองสำรวจรอบกายแล้วเอ่ยบอกฮ่องเต้พ่วงด้วยตำแหน่งพี่ชายอย่างระวัง
ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มอ่อนโยน เอ่ยบอกเอ่ยเพ่ยอวี้ด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก ทั้งๆ ที่เรื่องที่พูดไปนั้นเกี่ยววพันถึงชีวิตตน
“มันต้องเงียบเป็นธรรมดา ในเมื่อพี่สิบของเจ้ากำลังมาเยี่ยมเยียนป่าแห่งนี้” เพ่ยอวี้นิ่งอึ้งไปใคร่ควรถึงคำพูดของพี่ชายแล้วขมวดคิ้วลึกลงไปเวลานี้อายุได้เพียงสิบห้าปีแต่ไม่ได้โง่เขลา แม้วรยุทธเขาจะยังห่างชั่นกว่าพี่น้องคนอื่นๆ แต่ก็พอปกป้องตัวเองได้ และคำสั่งของเสด็จพี่ฮ่องเต้จะบอกให้เขาเอาตัวรอดให้ได้เสมอ
“ฉีเห้อปกป้องเพ่ยอวี้ด้วยชีวิต” ลั่วเหยียนเจิ้งหันไปบอกบุรุษร่างสูงโปร่งที่มีใบหน้าแสนธรรมดาแต่วรยุทธไม่ธรรมดา เพ่ยอวี้เป็นคนสำคัญของเขาหากเป็นอะไรไปคนที่ทุกข์ทรมานก็คือตัวเอง
“พ่ะย่ะค่ะ” ฉีเห้อรับคำหนักแน่นเหลือบมององค์ชายน้อยที่มีสีหน้ายุ่งเหยิงเล็กน้อยแล้วถอนใจยาว คาดว่าคงจะรู้แล้วว่าเหตุใดถึงได้รับความเอ็นดูและปกป้องจากองค์จักรพรรดิมากมายเช่นนี้
ลั่วเหยียนเจิ้งพยักหน้าอย่างพอใจ ดวงตามกริบเหลือบมองไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ไม่ไกลนัก ใบหน้าคมคายเลิกคิ้วมองสิ่งตรงหน้าอย่างไม่แน่ใจ ริมฝีปากยกยิ้มบางเมื่อเจ้าเหมียวเงยหน้ามาเห็นแต่ไม่ได้หวาดกลัวมันกลับเชิดหน้าขึ้นด้วยความเย่อหยิ่ง เขากลั่นขำไว้แทบไม่อยู่เจ้าเหมียวนี่คิดว่าตัวเองเป็นลูกเสือหรืออย่างไร
“นั่นแมวป่า” เพ่ยยอวี้พูดขึ้นเมื่อเห็นสายตาของพี่ชายมองไปยังจุดหนึ่ง ก่อนจะมองอย่างแปลกใจเมื่อร่างสูงสง่างามพุ่งทะยานด้วยความเร็วคว้าเจ้าแมวสีทองงดงามมาไว้ในกำมือ มันเป็นแมวป่าที่หาได้ยาก
เมี้ยวววว
ลั่วเหยียนเจิ้งจับมันอย่างระวังไม่ได้สนใจเสียงขู่ฟ่อของมันแม้แต่น้อยจับตัวมันผลิกไปมาจึงได้รู้ว่ามันเป็นตัวผู้ ช่างเหมือนหลิ่วเหวินอี้ยิ่งนัก ดวงตาสีเขียวอ่อนดูเย่อหยิ่งและท่าเชิดหน้าของมันทำให้ไม่อาจปล่อยไปได้
“เสด็จพี่จะเอามันไปทำไมพ่ะย่ะค่ะ” เพ่ยอวี้มองตามอย่างไม่เข้าใจ ร่างสูงเดินกลับมาและกระโดดขึ้นอาชาสีดำอย่างคล่องแคล่ว ใบหน้าคมคายยกยิ้มอ่อนโยนซึ่งครั้งนี้แววตาก็อ่อนลงหลายส่วนจนน่าแปลกใจ
“ไปให้พี่สะใภ้เจ้า” คำตอบและรอยยิ้มของคนตรงหน้าทำให้เพ่ยอวี้นิ่งอึ้งไป หวนคิดไปถึงพี่สะใภ้ซึ่งก็คือเหล่านางสนมแต่เมื่อนึกใคร่ควรคงจะมีคนเดียวที่ทำให้คลั่งไคล้อยู่ตอนนี้ แต่เมื่อนึกไปถึงพระสนมหวงกุ้ยเฟยหลิ่วเหวินอี้ซึ่งงดงามราวกับรูปปั้นน้ำแข็งกับแมวจอมหยิ่งตัวนี้ได้แต่ส่ายหน้า หวังว่ามันไม่ได้ตายด้วยน้ำมือของพระสนมหรอกนะ
“กลับเถอะ”
ลั่วเหยียนเจิ้งหันไปบอกน้องชายก่อนจะกระตุกม้ากลับไปยังที่พัก มือขวาจับเจ้าเหมียวที่ดิ้นขลุกขลักไว้มั่นดวงตาสีเขียวของมันมองมาอย่างไม่พอใจ แมวป่าแสนประหลาดที่ให้ความรู้สึกคล้ายคนที่รักมุมปากยกยิ้มบาง ก่อนจะเร่งม้าให้เดินทางเร็วขึ้นผ่านไปสองเค่อก็มาถึงกระโจม ร่างสูงกระโดดลงจากม้าก่อนจะเดินเร็วขึ้นไปยังกระโจมใหญ่
ดวงตาคมกริบมองคนที่นั่งเดินลมปราณอยู่บนเตียงแล้วยกยิ้มบาง ใบหน้างดงามที่แสนเย็นชาแต่บทรักเมื่อคืนนี้เร่าร้อนวาบหวามมิรู้ลืม เรือนร่างโปร่งในอาภรณ์สีขาวดูสูงส่งเหมาะที่จะเคียงข้างคู่กับมังกรเช่นเขา หากจบเรื่องนี้เขาจะจัดการแต่งตั้งหลิ่วเหวินอี้เป็นฮองเฮาคู่บัลลังก์พร้อมการแต่งตั้งเพ่ยอวี้เป็นองค์รัชทายาท ความรักและความเห็นแก่ตัวภายในใจเขาไม่อาจมีคนอื่นได้นอกจากคนตรงหน้า
ดวงตาเรียวคมลืมตาขึ้นมามองเขาอย่างนิ่งงันทว่าใบหูกับแดงระเรื่อ ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มบางก่อนจะเดินเข้าไปหาร่างโปร่งที่หลุดจากสมาธิ แม้ใบหน้าจะเรียบเฉยแต่คนตรงหน้ากลับอายจนใบหูแดง
“เหตุใดไม่นอนพักเยอะๆ นั่งแบบนั้นไม่เจ็บหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งเอ่ยถามอย่างหวงใย ดวงตาเรียวคมตวัดมองอย่างไม่พอใจ
“ข้าไม่ได้อ่อนแอถึงเพียงนั้น” ลั่วเหยียนเจิ้งส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ความเข้มแข็งของหลิ่วเหวินอี้เขาย่อมรู้ดีและก็พึงใจที่อีกฝ่ายเป็นเช่นนี้ ภายในวังหลวงนั้นแสนอันตรายหากอ่อนแอจะโดนเหยียบย้ำ หากผิดพลาดแม้แต่ก้าวมีกี่ชีวิตก็ไม่เหลือ แต่ไม่ว่าอย่างไรจะปกป้องคนรักให้ได้! มือหนาลูบเรือนผมสีหมึกงดงามอย่างแผ่วเบาก่อนจะยื่นเจ้าเหมียวที่ซ่อนอยู่ข้างหลังมายื่นให้
“ของฝาก” หลิ่วเหวินอี้นิ่วหน้ามองเจ้าแมวสีทองตาสีเขียวน่ารักที่ตอนนี้ยังขู่ฟ่อด้วยสีหน้ายุ่งเหยิง ดวงตาเรียวคมตวัดมองมาที่เขาเหมือนต้องการคำอธิบาย ลั่วเหยียนเจิ้งรู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นคนอ่อนโยนและไม่ใช่สตรีที่จะได้ชื่นชอบสิ่งมีชีวิตน่ารักอย่างนี้ ทว่าแมวสีทองตัวนี้มันเหมือนคนตรงหน้าจนไม่อาจปล่อยไปได้
“เจ้าไม่ชอบหรือ” ลั่วเหยียนเจิ้งแสร้งตีหน้าเศร้าพร้อมลดมือที่จับเจ้าเหมียวออกมา คนตรงหน้าถอนหายใจคล้ายปลงตกก่อนจะรับเจ้าเหมียวสีทองไป ทว่าแมวป่าที่ยังไม่เชื่องกลับหันไปขู่ฟ่อคนตรงหน้า ดวงตาสีเขียวของมันมองอย่างไม่พอใจ หลิ่วเหวินอี้เพียงแค่จ้องกลับเจ้าตัวเล็กในมือก็หดตัวลงและเลียมืออีกฝ่ายอย่างออดอ้อน นี่มันสองมาตรฐานชัดๆ ลมปราณจิ้งจอกนี่มันดีจริงๆ
“เจ้านี่ชื่อเหยียนเหวิน มันจะเป็นเพื่อนเจ้ายามที่เจิ้นงานเยอะ” ลั่วเหยียนเจิ้งบอกอย่างอ่อนโยน ใบหน้าคมยกยิ้มเจ้าเล่ห์เพียงครู่ก่อนจะนั่งลงข้างกายรวบร่างโปร่งมานั่งบนตัก
“ปล่อย” เสียงเย็นนิ่งของตรงหน้าไม่ได้ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งหวาดกลัวแต่กดริมฝีปากจูบแก้มคนตรงหน้าอย่างออดอ้อน
“คิดถึง” ร่างโปร่งตัวแข็งไปชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจมองเขาอย่างระอา
“กินน้ำตาลมาหรือไง” น้ำเสียงประชดประชันทว่าใบหน้ากลับแดงระเรื่อทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ ใบหน้าคมกดจูบอีกฝ่ายอีกครั้งก่อนจะกระซิบเสียงพร่า
“ขอรักอีกครั้งได้ไหม เจ้าหอมไปทั้งตัวเลย” คนในอ้อมกอดตัวแข็งทื่อ ก่อนที่จะได้ตั้งตัวร่างโปร่งก็พลิกกายออกจากอ้อมกอดเหวี่ยงร่างเขาออกจากกระโจมด้วยความเร็วที่ทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อสายตา ร่างสูงยืนอยู่นอกกระโจมมองคนอยู่ด้านในตาปริบๆ
“วันนี้นอนด้านนอกไม่ต้องเข้ามา”
“เมียจ๋าผัวขอโทษ ให้เจิ้นเข้าไปนะ” ลั่วเหยียนเจิ้งอ้อนวอนคนในกระโจมเสียงอ่อน ใบหน้าคมคายยกยิ้มบางอย่างอารมณ์ดี เขาไม่เคยเจอใครที่ใช้แรงกับเขาอย่างนี้มาก่อน เมื่อวานก็โดนถีบจนตกรถม้าวันนี้ก็โดนเหวี่ยงออกนอกกระโจม ทำไมคนรักเขาเขินแรงอย่างนี้
ทว่าทำให้เหล่าทหารองครักษ์ที่อยู่รอบบริเวณขนกายลุกชัน ต่างก้มหน้าหลบตากันอย่างกลัวตาย หยางซือหมิงมองภาพตรงหน้าอย่างปลงตกเห็นทีคืนนี้ไม่ได้นอนกระโจมตัวเองอีกแล้ว!
หลิ่วหวินอี้ใบหน้าแดงก่ำอย่างอับอาย คนบ้าอะไรหื่นไม่เลือกเวลา ร่างสูงยังตั้งหลักอยู่นอกกระโจมยิ่งทำให้หัวใจสั่นระรัว จากคนที่เฉยเมยต่อทุกสิ่งเวลานี้กลับหวั่นไหวกับคำหวาน เวลาผ่านไปสองเค่อทว่าลั่วเหยียนเจิ้งยังปักหลักไม่ไปไหน คำหวานหูที่ฟังแล้วหัวใจสั่นดังมาเรื่อยๆ อยู่นอกกระโจม หากเรื่องนี้รู้ไปถึงไหนคงอับอายไปถึงที่นั่น ดวงตาคมกริบมองเจ้าแมวเหมียวนามว่าเหยียนเหวินด้วยใบหน้าร้อนผ่าว คนบ้าอะไรเอาชื่อเขากับตัวเองมาตั้งให้แมว แต่ท่าทางเชิดๆ ที่เห็นทำให้อดที่จะยิ้มไม่ได้
“เมียจ๋า” เสียงเรียกจากหน้ากระโจมยิ่งทำให้นั่งไม่ติด ร่างโปร่งเดินไปเปิดกระโจมมองคนที่ฉีกยิ้มหวานอยู่เบื้องหน้าอย่างหมั่นไส้
“เข้ามา” ร่างสูงรีบพาร่างตัวเองเข้ามาภายในกระโจมอย่างรวดเร็วพร้อมคว้าร่างโปร่งเข้ามากอดอย่างออดอ้อน หลิ่วเหวินอี้เลิกคิ้วมองคนกระล่อนอย่างอ่อนใจ นี่เขาเรียกว่าอาการคนหลงเมียหรือเปล่า? เฮ้อ
“เป็นบ้าอะไร ปล่อยได้แล้วข้ามีเรื่องจะพูดด้วย”
“ไว้คุยทีหลัง กินก่อนได้ไหม” หลิ่วเหวินอี้เลิกคิ้ว แล้วพยักหน้ารับเมื่อคิดว่าไปล่าสัตว์มาคงจะหิว ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อลั่วเหยียนเจิ้งจูบลงมาพร้อมสอดลิ้นเข้ามาดูดกลืนความหวานอย่างไม่ทันตั้งตัวเขายกมือหยิกเอวคนตรงหน้าอย่างโมโห เมื่อคืนนี้ก็ทั้งคืนยังมาทำเป็นอดอยากมาหลายวัน
“เจ็บ”
“หยุดเลยไม่ใช่เวลาหื่น คืนนี้พวกเผ่ามูซอจะบุกเข้ามาและงานนี้จะมีอสรพิษแดงร่วมมาด้วย” หลิ่วเหวินอี้บอกคนตรงหน้าอย่างเป็นการเป็นงาน ร่างสูงหยุดชะงักใบหน้ารื่นเริงหายไปกลับแปรเปลี่ยนเป็นจริงจัง ดวงตาคมกริบกลับมาเย็นชามืดมิดอีกครั้ง ไอสังหารแผ่ออกมาเย็นเยือกทำให้เขามองตามอย่างระวัง นี่สินะตัวตนที่จริงของฮ่องเต้ ดวงตาคู่นั้นมองมาที่เขาด้วยแววตาอ่อนลงจนทำให้ใจสั่น
“เจ้าห้ามเข้าร่วม” หลิ่วเหวินอี้เลิกคิ้วมองคนสั่งอย่างแปลกใจ แต่เขาไม่ใช่คนอ่อนแอจะได้แต่คอยหลบเป็นเต่าหดหัว
“เจิ้นเป็นห่วง อี้เอ๋อร์เข้าใจหรือไม่” น้ำเสียงจริงจังแววตามั่นคงที่มองมาทำให้หลิ่วเหวินอี้ถอนหายใจยาวอีกครั้ง เขาเข้าใจว่าลั่วเยียนเจิ้งกำลังหวาดกลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย แต่อีกฝ่ายไม่คิดบ้างหรือว่าเขาเองก็เป็นห่วงเจ้าตัวเหมือนกัน
“ท่านพี่ไม่คิดบ้างหรือว่าข้าก็ห่วงใยท่านไม่น้อยกว่าที่ท่านห่วงข้า หากจะสู้ก็ต้องสู้ด้วยกันหากจะตายก็ตายด้วยกัน” ร่างสูงชะงักไปครู่แววตาประกายความสับสนก่อนจะเลือนหายไป มือหนาลูบไล้เรือนผมอย่างอ่อนโยนและรักใคร่ ดวงตาคู่นี้อ่อนลงมากจากที่เคยพบกันครั้งแรกแต่เขาก็มองตอบอย่างไม่ยอมแพ้
“อี้เอ๋อร์เจิ้นไม่เคยมีความรัก แต่เจิ้นก็รักเจ้ายิ่งกว่าตัวเอง เจิ้นไม่อยากให้เจ้าเจ็บและไม่อยากห่วงหน้าพะวงหลังเช่นนี้”
“แต่ข้ามีพลังมากกว่าท่านรับรองไม่เป็นอันตราย” หลิ่วเหวินอี้บอกอย่างแน่วแน่ไม่ได้หลบสายตาเขาไม่อาจหนีเอาตัวรอดไปคนเดียวได้ ยิ่งตอนนี้ความรักของเขามันลึกซึ้งจนถอนตัวไม่ได้อีกแล้ว
“แต่ตอนนี้เจ้ายังอ่อนเพลีย” ดวงตาที่สื่อความหมายมาทำให้ใบหน้าแดงระเรื่ออย่างเก้อเขิน เขาหลบสายตาแล้วตอบเสียงเบา
“แค่เดินติดขัดเล็กน้อยเอง ข้าไม่ได้เป็นไรมากกว่านั้นเสียหน่อย” ลั่วเหยียนเจิ้งยกยิ้มบางกอดร่างโปร่งเข้ามาชิดยิ่งกว่าเดิม คนตรงหน้าจะทำตัวน่ารักไปถึงไหน แค่นี้เขาก็หลงรักจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้วใบหน้าคมคายขบคิดอย่างหนัก ออกรบสู้กับกบฏไม่เคยมีครั้งไหนที่ทำให้ไตร่ตรองและระวังเท่านี้มาก่อน แต่ไม่ว่าอย่างไรจะไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเป็นอันเด็ดขาด
“อยู่ข้างกายเจิ้น หากเกิดเรื่องเหนือความคาดหมาย เจ้าต้องมีชีวิตรอดให้ได้เข้าใจหรือไม่” น้ำเสียงจริงจังกว่าครั้งไหนๆ เพราะลั่วเหยียนเจิ้งก็ไม่แน่ใจว่าศึกนี้จะชนะ หากไม่มีพวกมารหรือภูตผีมาเกี่ยวข้องเรื่องมันคงง่ายกว่านี้ แม้ตอนนี้จะมีเงาอสูรที่เขาฝึกฝนเองมาร่วมตัวกันเขาก็ยังไม่อาจวางใจได้
“เข้าใจแล้ว อย่าห่วงมากเลย นี่ไม่ใช่นิสัยของท่านเสียหน่อย”
น้ำเสียงราบเรียบและใบหน้างดงามยกยิ้มบางทำให้ลั่วเหยียนเจิ้งนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้ายอมรับ เพราะมันไม่ใช่นิสัยเขาจริงๆ นั่นแหละ แต่ทำอย่างไรได้ในเมื่อคนตรงหน้าคือดวงใจของเขาไปแล้ว ใบหน้าคมคายยกยิ้มบางเมื่อหลิ่วเหวินอี้กดจูบเบาๆ ที่ริมฝีปาก ใบหน้างดงามแดงระเรื่อด้วยความอาย เขายกยิ้มอย่างพอใจ นี่สินะที่เรียกว่ามีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน แล้วแบบนี้เขาจะมีใจให้ใครได้อีก...
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์นะคะ ปลื้มใจมากเลยค่ะ อ่านทุกคอมคอมเม้นท์ ดีใจที่ทุกคนชอบ ขอให้มีความสุขกับการอ่านจ้าแล้วพบกันใหม่ค่าาา จุ๊บๆๆ