(ต่อจากด้านบนค่ะ)
ชีวิตมันไม่ได้ง่ายอย่างที่เราหวังอยากให้เป็น ผมไม่ได้ร้องไห้เหมือนโลกจะแตกสลายเท่าวันแรกๆ แต่ความเจ็บและความรักมันคงไม่ได้เจือจางไปไหน รักเท่าไหร่ก็ยังเจ็บเท่านั้น แม้ว่าผมกับพี่ฉลามจะยุติความสัมพันธ์ในฐานะคนรักลง แต่เราไม่สามารถยุติการเป็นพี่น้องร่วมสถาบันลงได้ อีกเดือนหนึ่งกว่าที่พี่ฉลามจะไปเรียนต่อ เรายังคงเจอกันในมหาวิทยาลัยบ่อยๆ ผมก็ส่งยิ้มให้พี่เขา เขาเองก็ทักทายผม แต่เราไม่ได้ไปไหนด้วยกันเหมือนเดิม ไม่ได้มามหาวิทยาลัยพร้อมกันหรือกลับด้วยกัน น่าแปลกที่บุ้งมันไม่ได้ถามผม กลับเป็นเพื่อนคนอื่นถามว่าผมโกรธอะไรกับพี่ฉลามรึเปล่า ผมเลี่ยงได้ก็เลี่ยงที่จะตอบ ส่วนใหญ่บุ้งจะเป็นคนเข้ามาช่วยแทรกเรื่องอื่นจนผมไม่ต้องตอบแทบจะทุกที ส่วนพี่แพรก็ยังคงตามติดพี่ฉลาม แต่ผมเห็นว่าพี่ฉลามไม่มีอาการอะไรตอบกลับ ผมก็ได้แต่แอบมองแบบนี้แหละครับ มันก็อดไม่ได้ที่จะยังมองในเมื่อพี่เขายังอยู่ตรงนี้
“กลอนรู้เปล่า วันนั้นพี่ไปที่บ้านไอ้หลามมันมา แม่ไอ้หลามมาแอบถามพี่ว่ากลอนสบายดีรึเปล่า แม่บอกถามไอ้หลามมันไม่ยอมตอบ แล้วพอก่อนจะกลับ พ่อมันก็มาถามพี่อีกว่ากลอนย้ายคอนโดเหรอ ท่านให้หลามโทรตามกลอนมาเล่นหมากรุกด้วยกันแต่มันไม่ยอมโทร” พี่แหบบอกผมในวันหนึ่ง ตอนที่ผมเดินไปขึ้นรถเมล์ พี่แหบเองก็กำลังจะกลับบ้าน พี่เขาเห็นผมเลยชวนผมไปนั่งกินบะหมี่ด้วยกัน
“เหรอครับ” ผมรู้สึกว่าหัวใจของผมมันแจ่มใสขึ้นเมื่อได้ยิน ผมดีใจที่ท่านทั้งสองคนไม่ได้เกลียดผม
“พี่รู้เรื่องกลอนกับไอ้หลามแล้วนะ คือไงดีละ บางทีพ่อแม่มันอาจจะแค่ตกใจ ไม่ลองไปหาท่านกันอีกรอบเหรอ ดูท่านรักกลอนนะ บางที.."
“ไม่ดีกว่าครับ แบบนี้ดีแล้ว” ผมบอกแล้วนั่งกินบะหมี่ต่อ พี่แหบเลยไม่กล้าพูดอะไรอีก
ผมรู้ว่าพ่อกับแม่พี่ฉลามเมตตาผม ท่านอาจจะแค่รู้สึกผิด ไม่ได้หมายความว่าท่านยอมรับได้ การที่ท่านดีขึ้น ผมมั่นใจว่าเพราะพี่ฉลามไม่ได้ติดต่อกับผมอีก ท่านคงมีความหวังว่าลูกชายตัวเองจะกลับไปรักผู้หญิงได้อีกก็ได้ ถ้าท่านรับได้จริง ผมมั่นใจว่าพี่ฉลามคงรีบมาหาผมแล้ว แต่เพราะพี่ฉลามรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ พี่เขาถึงไม่อยากพาผมไปเจ็บปวด ผมว่าผมรู้จักผู้ชายคนนี้ดี ผมโชคดีนะที่ครั้งหนึ่งเคยได้หัวใจของผู้ชายคนนี้มา
......
...
..
หนึ่งวันก่อนที่พี่ฉลามจะเดินทาง
“กลอน วันนี้ห้ามปฏิเสธแล้วนะ ยังไงต้องไปกับเรา ไม่มีเรื่องสอบให้อ้างแล้ว สอบเสร็จแล้วนะ” นี่ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่บุ้งมาบังคับให้ผมไปกินข้าวด้วย
“ไปก็ได้ เพราะพรุ่งนี้เราจะกลับบ้านไปหาแม่ยาวเลย” ผมบอก
“ไม่ไปส่งพี่ฉลามจริงเหรอวะแก”
“อืม” ผมพยักหน้า
“โอเค งั้นไปกัน มีอะไรจะเซอร์ไพรส์” บุ้งบอกผม ผมไม่ได้คิดอะไร ได้แต่มองลานหน้าตึกก่อนจะถอนหายใจ แล้วเดินตามบุ้งไป
บุ้งพาผมนั่งแท็กซี่เข้ามาในร้านอาหารที่ดูหรูหน่อยแถวๆทองหล่อ ผมชิงจ่ายค่ารถก่อนผม ผมเกรงใจแต่บุ้งบอกว่าแค่ผมมาด้วยบุ้งก็ยอมจ่ายทุกอย่างแล้ว ผมได้แต่ขำ มาครั้งนี้เพราะเกรงใจบุ้ง ผมบ่ายเบี่ยงมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไม่คิดว่าบุ้งจะชวนผมมากินที่หรูๆแบบนี้ ผมเดินตามบุ้งเข้าไป จนบุ้งไปหยุดอยู่ที่โต๊ะที่ตั้งอยู่มุมในสุด เป็นมุมที่อยู่ในโดมกระจกที่มีไม้เลื้อยเต็มไปหมด ดูวินเทจสุดๆ พอบุ้งเบี่ยงตัวหลบผมถึงกับหน้าเหวอด้วยความตกใจ
“พี่นุ๊ก” ผมมองหน้าพี่นุ๊กสลับกับมองบุ้ง
“นี่พี่ระเบิด ก็คือพี่นุ๊กนี่แหละ” บุ้งหัวเราะขำ ผมยังคงยืนหน้าเหวออยู่ สมองเริ่มทำงาน ทีแท้พี่ระเบิดคือคนผมรู้จักมาตั้งนานแล้วงั้นเหรอ แล้วบุ้งรู้หรือเปล่าว่าพี่ระเบิดรู้จักผม ผมงงไปหมดแล้ว ทำไมโลกมันกลมขนาดนี้ คนที่ผมคุยแบบไม่รู้จักหน้าตา ที่แท้คือพี่ชายของคนที่ผมรัก ผมดันไปปรึกษาเรื่องพี่ฉลามกับพี่ระเบิดตั้งหลายเรื่องด้วยสิ
“ขอโทษทีนะที่ทำให้ตกใจ เห็นกลอนไม่อยากให้ใครรู้จัก พี่เลยให้บุ้งปิดเอาไว้ก่อน แต่พี่ว่าเรารู้จักกันนานพอแล้วมั๊ง” พี่นุ๊กพูดกับผม บุ้งดึงมือให้นั่งลงข้างๆ
“ห้ามโกรธฉันนะเว้ย ไปโกรธพี่เบิดเหอะ ให้ปิดอยู่ได้ เกือบหลุดหลายรอบแล้ว” บุ้งรีบบอกผม
“พี่รู้ได้ไงว่าเป็นกลอน” ผมถาม
“แหะๆ ฉันหลุดเองแหละ” บุ้งยกมือสารภาพ ผมพอจะเข้าใจแล้ว ไม่ได้โกรธหรอก เพราะผมก็ไม่ได้ไว้ใจพี่ระเบิด ยิ่งรู้ว่าพี่ระเบิดคือพี่นุ๊กผมก็ยิ่งดีใจ อย่างน้อยเป็นพี่ที่ผมนับถือทั้งคู่ แต่ผมนึกขึ้นได้เรื่องที่ผมเคยเซ็กส์โฟนกับพี่ระเบิดผมก็เริ่มทำหน้าไม่ถูก
“เป็นเรื่องที่ดีนะที่เราไม่ต้องปิดบังอะไรกันแล้ว คนใกล้ตัวทั้งนั้น เรามารู้จักกันใหม่แล้วกัน เรื่องเก่าๆลืมไป” พี่นุ๊กพูดเหมือนรู้ว่าผมคิดอะไร ผมเลยยิ้มออก
“เย้ โล่งแล้ว แต่พี่ๆคนอื่นในกรุ๊ปไม่รู้หรอกนะว่ากลอนเป็นใคร เราไม่ได้บอก” บุ้งรีบบอก ผมพยักหน้ารับรู้
“ไปห้องน้ำก่อนนะ” บุ้งบอกก่อนจะเดินออกไป
“โอเคขึ้นไหม” พี่นุ๊กถามผม
“ครับ” ผมคิดว่าพี่เขาคงรู้เรื่องของผมกับพี่ฉลามแล้วโดยไม่ต้องอธิบายอะไร ผมปรึกษาไปขนาดนั้น
“อดทนหน่อยนะ ฉลามมันก็รักกลอนมาก ให้มันทำหน้าที่ลูก เดี๋ยวมันก็กลับมา” พี่นุ๊กบอกผม
“กลอนไม่รอหรอกครับ ต้องทำหน้าที่ลูกเหมือนกัน ไม่อยากยึดติดอะไร อีกนิดเดียวก็จบแล้ว แบบที่พี่เคยสอนกลอนไง เอาไว้มีงานมีเงินเลี้ยงดูพ่อแม่ได้ ถึงตอนนั้นอยากทำอะไรก็ค่อยทำก็ยังไม่สาย” ผมรู้สึกสบายใจขึ้นเยอะเลย พี่นุ๊กในฐานะพี่ระเบิดเคยสอนผมมากมายในการใช้ชีวิตเกย์ในสังคมไทย พอตอนนี้มาเป็นพี่นุ๊ก คนได้รู้เรื่องของผมในส่วนของกลอน ทำให้ผมสามารมีคนที่พูดได้ในเรื่องที่ไม่สามารถพูดกับใครได้
“พี่ดีใจนะที่เห็นกลอนเข้มแข็งแบบนี้”
“พี่บอกบุ้งให้คอยดูแลกลอนใช่ไหม บุ้งมันถึงไม่เคยเซ้าซี้ถามอะไรเลย” ผมถาม พี่นุ๊กยิ้ม
“พี่ทำไมไม่จีบบุ้ง” ผมถามอีก พี่ฉลามทำหน้าเหวอบ้างจนผมขำ
“เป็นพี่น้องกัน” พี่นุ๊กรีบตอบ จนบุ้งเดินกลับมาที่โต๊ะ
“นินทาบุ้งละสิ” บุ้งค้อน ผมหัวเราะ พี่นุ๊กก็ยิ้มๆ
วันนี้เป็นวันที่ผมได้หัวเราะมากที่สุดตั้งแต่วันที่เลิกกับพี่ฉลาม เพราะบุ้งเอาเรื่องของคนในกรุ๊ปมานินทาแบบขำๆ กรุ๊ปที่ผมลืมไปแล้วเพราะไม่ค่อยได้เข้าไปเลย ยิ่งตอนคบพี่ฉลามผมก็หายไปเลย ในสักวันหนึ่งเมื่อผมเรียนจบผมก็อาจจะไปกินข้าวกับทุกๆคน ผมเชื่อว่าทุกคนเป็นคนดี แต่แค่ยังไม่ถึงเวลาที่ผมจะไปรู้จัก แค่วันนี้ได้รู้จักบุ้งกับพี่นุ๊ก ผมก็ถือว่าผมมีเพื่อนที่ดีในโลกที่ผมได้เป็นตัวเองเพิ่มมาอีก พี่นุ๊กมาบอกกับผมทีหลังว่า รู้ว่าเป็นผมตอนที่บุ้งบอกว่ากลอนเรียนคณะเดียวที่เดียวกับบุ้ง แล้วพี่นุ๊กแอบเห็นรูปรับน้องที่พี่ฉลามถ่าย เห็นผมถ่ายรูปคู่กับบุ้งเยอะ เลยเดาว่าน้องหนอนคือคนนี้แน่ มามั่นใจตอนคุยโทรศัพท์ พี่เขาจำเสียงผมได้ แต่ผมสิ จำเสียงพี่เขาไม่ได้ พอทานข้าวเสร็จพี่นุ๊กก็ไปส่งบุ้งก่อน ก่อนจะไปส่งผม เพราะคอนโดผมอยู่ตรงกันข้ามของพี่นุ๊ก อันที่จริง คอนโดนั้นเป็นของพี่นุ๊กนี่นา
“พรุ่งนี้ฉลามจะไปแล้ว จะไม่ไปส่งมันจริงๆเหรอ” พี่นุ๊กถามผม
“กลอนกลับบ้านครับ สงสารแม่ อยู่คนเดียว คงคิดถึงกลอนจะแย่แล้ว”
“กลอน อดทนเอาไว้นะ พี่ขอบใจกลอนนะที่ทำเพื่อครอบครัวของฉลาม วันหนึ่งกลอนจะได้เจอสิ่งๆดีจากความคิดดีๆที่กลอนทำอยู่”
“อย่างน้อยวันหนึ่งถ้าแม่รู้ว่ากลอนเป็นเกย์ ความดีของกลอนอาจจะทำให้แม่ลดความผิดหวังในตัวกลอนลง กลอนคิดแค่นี้แหละครับ”
พี่นุ๊กขับเข้ามาถึงในซอยบ้าน ผมแอบตกใจที่เห็นพี่ฉลามมายืนล้วงกระเป๋ากางเกงอยู่ที่หน้ารั้วบ้านของตัวเอง พร้อมกับเหม่อมองขึ้นไปที่คอนโดของผม พอพี่ฉลามเห็นรถพี่นุ๊กก็เลยหันกลับไปเปิดประตูรั้วให้ ฟิล์มรถมันมืด พี่เขาคงไม่เห็นว่าผมนั่งมาด้วย ผมตัวแข็งเลย ไม่ได้เห็นพี่เขาใกล้ๆมานานแล้ว
“จะเข้าไปในบ้านก่อนไหม” พี่นุ๊กถาม ผมรีบส่ายหน้า พอพี่นุ๊กจอดที่หน้ารั้ว ผมก็รีบเปิดประตูออก นึกว่าพี่ฉลามเดินกลับเข้าบ้าน ช่วงจังหวะที่ผมลง พี่ฉลามก็เดินมาที่ประตูรถพอดี พี่เขาดูอึ้งไปเมื่อเห็นผม
“ว่าไง” พี่นุ๊กชะโงกหน้ามาถามพี่ฉลาม กลายเป็นว่าผมต้องยืนคาอยู่ที่ประตูรถ โดยมีพี่ฉลามยืนขวางผมอยู่ พอพี่นุ๊กชะโกงหน้ามาถาม มือของพี่ฉลามก็จับหลังคารถข้างหนึ่ง ประตูรถข้างหนึ่ง ก้มหน้าไปตอบพี่นุ๊ก โดยมีผมยืนเกร็งตัวตรงแถมลืมหายใจในวงล้อมพี่ฉลาม นึกภาพออกใช่ไหมครับ
“ว่าจะยืมรถไปซื้อของหน่อย ขี้เกียจเอารถออก” พี่ฉลามบอกพี่นุ๊ก
“เอาสิ” พี่นุ๊กตอบก่อนจะหยิบกระเป๋าเอกสารของตัวเองแล้วลุกออกมา พี่ฉลามกลับมายืนตัวตรงแต่ยังไม่เอามือออก มองหน้าผมนิ่งๆ
“ยืมคนนั่งมาไปด้วยนะ” พี่ฉลามบอกพี่นุ๊ก พี่นุ๊กมองผมก่อนจะยักไหล่
“ถามเองสิ” พี่นุ๊กตอบ ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลยพี่ฉลามดันผมกลับไปนั่งในรถ ก่อนจะปิดประตูแล้วตัวพี่เขาก็ดินอ้อมไปนั่งที่คนขับแล้วก็ขับออกไปเลย ผมนั่งเงียบมาตลอดทาง ไม่กล้าถามอะไร ใจเต้นโครมคราม
“ลงมาสิ” ผมไม่รู้เลยว่าพี่เขาขับพาผมมาที่ไหน มันเป็นชายทะเลนะ แต่ใช้เวลามาแค่ไม่นานเอง พอเห็นนกนางนวลเยอะๆถึงได้รู้ว่าเป็นบางปู แม่พี่ฉลามเคยเล่าให้ผมฟังว่าพ่อพี่ฉลามมาจีบแม่ที่นี่ แต่ลมแรงมาก เจอนกนางนวลบินใส่อีก เลยกลายเป็นเดทแรกที่ตลกมากในตอนนั้น ผมเดินลงจากรถ พี่เขาเดินนำผมไป พระอาทิตย์กำลังตกพอดีเลย แสงสีส้มสดตัดกับขอบน้ำทะเลดูสวยจัง
“เคยตั้งใจว่าจะพามาวันครบรอบเราคบกัน เลยคิดว่าอยากให้มันสมบูรณ์” พี่ฉลามบอกผม ผมเข้าไปยืนข้างๆพี่เขา มองไปเบื้องหน้าด้วยความรู้สึกหลากหลาย
“เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ ขอให้พี่พบเจอแต่สิ่งดีๆ คนดีๆ ประสบความสำเร็จกลับมานะครับ” ผมอวยพรพี่เขาเลย พี่เขาหันมามองผม
“พี่เจอแล้วสิ่งดีๆคนดีๆอะ อวยพรให้ไม่เสียไปได้รึเปล่า” พี่เขาพูดกับผม ผมอึ้งไป น้ำตาลพาลจะไหลอีกแล้ว พี่ฉลามทำให้ผมรู้ว่า ที่ผมพยายามเข้มแข็งอยู่มาโดยตลอดมันไม่ได้ผลเลย
“ไม่อยากไปเลยว่ะ” พี่ฉลามยีผมตัวเองอีก เสียงเครียดๆ ผมรีบกลั้นน้ำตาที่มันจะไหลแล้วหันไปยิ้มให้พี่เขา
“มันทรมานแค่ตอนนี้แหละ เดี๋ยวเจอแหม่มขาวๆสวยๆก็หายเหงา” ผมแกล้งแหย่พี่เขา
“ไม่ได้เหงาแต่มันลืมคนๆหนึ่งไม่ได้” พี่เขาหันมาบอกผม
“ก็อย่าลืม อย่าลืมกลอนนะ” ผมบอกเสียงสั่นเลย ไม่คบกันก็ได้ แต่อย่าลืมผมเลย พี่เขาดึงผมมากอดทันทีเลยโดยไม่สนใจใคร
“ไม่ลืม พี่ไม่มีวันลืม พี่ไม่รู้ว่าพี่จะเจอใครอีกหรือเปล่ามันเป็นอนาคต แต่รู้ไว้นะ ในอดีตที่ผ่านมา พี่รักกลอนที่สุดแล้ว รักมาก รักมากนะ” พี่เขาบอก ผมพยักหน้า สวมกอดพี่เขาแน่น ซบหน้าร้องไห้กับอกพี่เขา แค่นี้ก็ดีมากแล้ว
“ทำไมโลกใจร้ายกับเราจังวะ” พี่ฉลามถามผมก่อนจะเช็ดน้ำตาให้ใหญ่เลย พี่เขาก็ตาแดงๆ
“พรุ่งนี้กลอนไม่ได้ไปส่งนะ กลอนจะกลับบ้าน”
“รู้แล้ว ไม่อยากให้ไปส่งเหมือนกัน กลัวไม่ยอมขึ้นเครื่อง นี่ก็สองจิตสองใจแล้วเนี่ย”
“พี่ฉลาม พี่จูบกลอนครั้งแรกที่ทะเล จูบลาที่ทะเลได้เปล่า” ผมถาม
“ใจร้ายชิบหายเลยวะคนเรา ยั่วอยู่เนี่ย” พี่เขาบ่นผมแต่ผมเห็นว่าผมเขายิ้ม ทั้งจากริมฝีปากและแววตา
“ตรงนี้เลยเปล่า” พี่เขาถามผม ผมส่ายหน้า พี่เขาขำ คงขำที่ผมใจไม่กล้าอยู่ดี พี่เขาจูงผมขึ้นไปในรถ ก่อนจะจูบผม จูบเนิ่นนานจนแทบขโมยลมหายใจจากผมไปหมด
“อย่าร้องไห้อีกนะ โลกใจร้ายกับเราแล้ว เราก็อย่าใจร้ายกับตัวเอง เข้าใจไหม เจ้าหนูจำไม”
“ครับ” ผมรับปาก แล้วพี่เขาก็พาผมกลับ แต่ขับช้ามาก ช้าจนโดนรถคันหลังบีบแตรใส่ ปกติพี่เขาจะอารมณ์ร้อน แต่นี่เขาไม่สนใจ ยังคงขับช้าๆต่อเวลาของเรา แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา ในที่สุดก็มาถึงบ้าน พี่เขาจอดส่งผม ผมหันไปมองพี่เขาอีกครั้งให้เต็มๆตา
“กลอนจะไม่รอพี่หรอก แต่พี่กลับมาเร็วๆนะ” ผมบอก พี่เขามองผมด้วยสายตาที่ดูอ่อนโยนที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นผม
“อืม”
“แล้วพบกันใหม่” ผมบอก พี่เขาเอื้อมมือมาลูบที่แก้มของผม
“แล้วพบกันใหม่” พี่เขาตอบกลับมา ผมจูบที่มือของพี่เขาก่อนจะลงจากรถแล้วไม่หันกลับไปมองอีก จากกันด้วยรอยยิ้มแล้ว ก็อย่าให้เห็นน้ำตากันอีกเลย
..จากนี้ไป ไม่ว่าเราอยู่จะในสถานะใดต่อกัน ก็อย่าลืมกัน เดี๋ยวเราก็พบกันใหม่ กลอนรักพี่ฉลามมากนะ และความรักยังชัดเจนมาจนถึงทุกวันนี้ครับ..
......
....
...
“แม่ อยู่ไหนอ่า กลอนเสร็จแล้วนะ” ผมตะโกนถามแม่เพราะว่าลงมาจากข้างบนแล้วไม่เจอใคร วันนี้เราจะไปวัดกัน ผมตั้งนาฬิกาปลุกลงมาพาแม่ไปตลาดแต่เช้าแล้ว กลับมาก็รีบอาบน้ำ ห้าเดือนกว่าแล้วที่พี่ฉลามไปอยู่ที่อังกฤษ เราไม่ได้ติดต่อกัน ต่างคนต่างต้องทำหน้าที่ของตัวเองเพราะเรายังขอเงินพ่อแม่ใช้อยู่ การเลือกของเราแม้จะต้องเจ็บปวดแต่ผมกับพี่เขาก็ยอมรับได้ ผมบอกแล้วว่าพี่ฉลามคิดไม่ค่อยเหมือนใคร เหมือนจะเป็นคนดื้อหัวแข็ง แต่อีกมุมก็คือเป็นคนเข้าใจอะไรได้ง่าย หากมีเหตุผลพอที่มาทำให้พี่เขายอมรับได้ ผมเชื่อว่าพี่เขาคงได้คุยกับพ่อแม่ของเขาแล้ว ได้เห็นถึงเหตุผลของท่าน พี่เขาถึงได้จบเรื่องราวของผมกับเขาได้ง่าย แบบที่คนอื่นอาจจะไม่เข้าใจหรือไม่เชื่อว่าเราจะแยกจากกันได้ แต่เราสองคนก็ทำให้เห็นแล้วว่าเราทำได้ และผมก็เชื่ออีกว่าพี่เขารักผมเท่าที่ผมรักเขา
“แม่.. อ้าว พ่อ” ผมเดินไปถึงหน้าบ้าน กำลังจะเรียกแม่ แต่เห็นพ่อยืนอุ้มเด็กคนหนึ่งอยู่ที่หน้ารั้วกับแม่ด้วย
“สวัสดีครับพ่อ” ผมยกมือไหว้ พ่อพยักหน้าแล้วยิ้มให้ผม
“ฉันกำลังจะไปวัด เอาไว้มาคุยตอนเย็นแล้วกัน” แม่บอกด้วยสีหน้าเรียบๆ ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน แต่พ่อทำหน้าเจื่อนๆก่อนจะพยักหน้า ส่วนผมเจอกับพ่อบ่อยๆ เวลาพ่อขึ้นมากรุงเทพก็จะนัดผมกินข้าวแล้วก็ให้เงินตลอด แต่ผมไม่เคยเจอแฟนใหม่ของพ่อ รู้แต่ว่ามีลูกด้วยกัน ผมเดาว่าน่าจะเป็นเด็กผู้หญิงที่พ่ออุ้มอยู่ น่าจะสองสามขวบได้ ผมนึกว่าแม่จะโกรธพ่อแบบไม่มองหน้าแล้วเสียอีก แต่ดูจากตอนนี้ก็น่าจะอภัยให้แล้วถึงได้พูดดีด้วยแม้จะยังไม่ปกติเหมือนเคยก็ตาม
“พ่อไปก่อนนะ เจอกันตอนเย็นนะลูก” พ่อบอก ผมยกมือไหว้ก่อนจะเดินตามแม่เข้าไปในบ้านและซ้อนรถของแม่ไปที่วัด ผมไม่ได้ถามแม่ว่าพ่อมาทำไม ได้แต่หิ้วปิ่นโตเดินตามไป วันนี้คนมาทำบุญที่วัดเต็มไปหมดเพราะเป็นวันเข้าพรรษาพอดี ผมกวาดตามองหาที่นั่ง เห็นไอ้เด่นมันกวักมือเรียกผม ผมเลยสะกิดบอกแม่ แม่เลยเดินเข้าไปหาครอบครัวของเด่น ผมยกมือสวัสดีพ่อกับแม่ของเด่น แล้วถึงหันไปเห็นใครอีกคนที่นั่งอยู่ข้างๆเด่น หน้าตาคุ้นๆ
“ไอ้พัดโบกไง จำได้เปล่า” กลอนถามผม ผมได้ยินชื่อก็นึกได้ว่าเคยเจอที่งานวันเกิดพ่อของเด่น ชื่อแปลกๆจำง่ายดีผมเลยนึกออกได้ไว ผมยิ้มทักไป อีกฝ่ายยิ้มกลับมา ผมจำแทบไม่ได้นะ ญาติของเด่นคนนี้ดูหล่อกว่าเดิม จำได้ว่าต้องไปเก็บตัวที่ญี่ปุ่น อากาศที่นั่นคงจะดี ดูผิวพรรณดี ขาวมากด้วย ปากงี้แดงดูสุขภาพดีสุดๆ แต่เป็นนักกีฬานี่นา ก็น่าจะดูดีเพราะได้ออกกำลังกาย
“กลอนผอมลงรึเปล่าลูก” แม่ของเด่นทักผม
“มันกินอย่างแมวดมอะม๊า” เด่นรีบฟ้อง
“กินให้มันเยอะๆหน่อย เธอดูลูกเธอสิ ผอมจะปลิวได้” ม๊าลูบหัวผมแล้วหันไปคุยกับแม่ แม่ได้แต่ยิ้ม ก็ม๊าเป็นห่วงเรื่องความผอมของผมมาตั้งแต่เด็กๆ บ่นผมเรื่องนี้ทุกที แต่ผมผอมๆแบบนี้ผมก็แข็งแรงนะ
“ไปเอาถาดกับถ้วยมาใส่กับข้าวให้แม่หน่อย” แม่บอกผม ผมเลยลุกขึ้นไปหยิบถาดกับถ้วยที่วัดเตรียมให้คนที่มาทำบุญใส่ถวายพระ ผมไปหยิบถาดมาให้แม่เสร็จ แม่ก็ส่งขันข้าวสวยให้
“ไปเอาข้าวใส่บาตร แม่ไปใส่มาแล้ว ตรงนั้น” แม่ชี้บอกผม ที่โต๊ะมีบาตรพระท่านเรียงอยู่ ผมเดินไปถึงที่โต๊ะวางบาตร แต่ช่วงที่กำลังจะตักข้าวใส่ มือของใครบางคนก็มาแตะที่แขนของผม ผมหันไปมองก็เห็นว่าพัดโบกมายืนอยู่ข้างหลังผม มือของพัดโบกแต่ที่แขนของผม
“ใส่ด้วย ยังไม่ได้ใส่” พัดโบกบอก ผมเลยไม่ได้ว่าอะไร แต่ตักข้าวใส่จนครบ ก่อนจะส่งขันข้าวให้พัดโบก
“ใส่เองด้วยสิ” ผมบอก
“ไม่เป็นไร แตะแล้ว ถือว่าตักบาตรร่วมขันแล้วปะ” พัดโบกพูดแล้วยิ้ม ผมอึ้งไป ก่อนจะหันกลับมาตักข้าวใส่บาตรให้หมด คราวนี้พัดโบกจับที่ข้อมือของผม ผมตกใจรีบบิดมือออก
“ชู่วๆๆ แค่ใส่บาตรเอง ตกใจทำไมละ” พัดโบกกระซิบผมเบาๆ ผมได้ยินเสียงกระซิบของลูกพี่ลูกของของเด่นแล้วต้องตกใจจนขันแทบหลุด เสียงนี่..เสียงในคืนนั้น
ผมรีบกลับมานั่งใกล้ๆแม่โดยมีพัดโบกเดินตามมานั่งข้างเด่น ผมไม่รู้ว่าตัวเองหน้าซีดจนกระทั่งเด่นมันถามว่าผมจะเป็นลมรึเปล่า มือที่ถือขันข้าวยังคงสั่น แต่ผมก็ตั้งสติแล้วเก็บอาการจนเป็นปกติ ผมแค่กลัวว่าแม่จะรู้สิ่งแย่ๆที่ผมทำ ใจง่ายนอนกับใครก็ไม่รู้ ผมขอภาวนาว่าอย่าให้เป็นพัดโบกเลย เขาเป็นญาติของเด่นด้วย ผมไม่อยากให้เด่นมันรู้สึกแย่กับผม ผมสลัดความคิดออกแล้วตั้งใจทำบุญ เผื่อผลบุญจะให้คำภาวนาของผมเป็นจริงด้วยเถิด
****โปรดติดตามไดอารี่ชีวิตของกลอนในตอนต่อไปตอนหน้านะคะ****
คู่กันแล้วก็จะไม่แคล้วกันหรอก เข้มแข็งและมีสติดีมากกลอนที่รัก เจ็บแต่เข้าใจเนอะ