ความน่าอับอายของเซ็กซ์แบบชั่วคราวเกิดขึ้นหลังจากมีเซ็กซ์แล้วเสมอ ผมกับแทนก็เช่นกัน เราใส่เสื้อผ้าโดยไม่มองหน้ากันเลย ทั้งๆ ที่ตอนถอดช่วยกันถอดแท้ๆ ผมเคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้หลายครั้งจนรู้สึกชินชาไปแล้ว เข้าใจดีว่าเซ็กซ์ของเราคือเซ็กซ์ที่ไม่ใช่การแสดงความรัก มันคือเซ็กซ์ที่วัดผลสำเร็จด้วยความสุดยอดของเซ็กซ์เอง และหากมันจบก็คือจบ เราไม่ใช่เหมือนคู่รักที่มีเซ็กซ์เสร็จแล้วต้องหอมแก้มหรือแสดงความรักต่อกัน สิ่งที่เราทำได้มากที่สุดคือหยิบนู่นหยิบนี่ให้กัน และรีบไสก้นออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
ครืน… จู่ๆ เสียงท้องร้องก็ดังขึ้นจากตัวแทน ผมหันหน้ามองเขาอย่างขำๆ
"โทษที" เขากลั้วหัวเราะอย่างน่ารัก แก้มของเขาระเรื่อเหมือนคนเพิ่งออกกำลังกายเสร็จใหม่ๆ ตัดกับผิวสีแทนทำให้มันดูกลายเป็นสีส้มเข้มๆ "ไม่ได้กินข้าวมาตั้งแต่ตอนเย็นน่ะ"
"อ้อ" ผมไม่รู้จะพูดอะไร
"นายมี..." เขายื่นมือเข้ามาปัดบางอย่างบนไหล่ซ้ายผมสองสามที ใช้ปากเป่าลมไปด้วยให้แน่ใจว่าเสื้อของผมสะอาด ผมผงะไปนิดหนึ่งเพราะปกติคนที่ทำแบบนี้ให้ผมคือตัวผมเอง
"หล่อแล้ว" เขาพูด แล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตาผม ผมจ้องเขากลับแล้วยิ้มมุมปาก เราเหมือนแลกสารบางอย่างกันผ่านการสายตาอยู่สักพัก หน้าเราใกล้กันมากจนผมเริ่มรู้ตัวว่าสถานการณ์แบบนี้มันกระอักกระอ่วนชอบกล เลยเบี่ยงความสนใจไปมองประตู
"เอ่อ...ไปกันไหม"
ผมไม่อยากให้อะไรๆ มันเลยเถิดไปมากกว่านี้
ห้ามมีเยื่อใยกับฝ่ายตรงข้าม กฎของความสัมพันธ์แบบชั่วคราวว่าไว้แบบนั้น
"อือ" เขาตอบ "แล้วเดี๋ยวนายไปไหนต่อ"
"คงกลับไปนอน" ผมบอกตามจริง "แทนล่ะ"
"ไปกินข้าวมั้ง" เขาบอกด้วยเสียงเรียบๆ "ไปป่ะ"
"หือ?"
"ไปกินข้าวกันป่ะ"
ผมเห็นแววตาซื่อๆ ของเขาตอนที่พูดประโยคนั้นแล้วรู้สึกหวิวๆ ในช่องอกอย่างแปลกประหลาด ชวนไปกินข้าว...เหรอ?
"เอ่อ..." ปกติผมไม่เคยไปกินข้าวกับใครหลังจากได้กันก็เลยไม่รู้จะตอบยังไง
"เฮ้ย ไม่ไปก็ไม่เป็นไรนะ" เขารีบบอก "ชวนเล่นๆ เฉยๆ นายกลับไปนอนเหอะ"
"เอ้อ...ฮะๆๆ" ผมหัวเราะแก้เก้อ "งั้น...เราไปนะ"
"อื้อ" เขาพยักหน้า "เจอกัน...ถ้ามีโอกาส"
"อื้อ ขอบใจนะ" ผมพยักหน้าเป็นเชิงขอบคุณสำหรับวันนี้ให้เขาแล้วหันหลังกลับ เราเดินออกจากกันคนละทาง จนกระทั่งเสียงบางอย่างหยุดเราไว้
ครืน… คราวนี้ไม่ใช่เสียงท้องร้อง แต่เป็นเสียงฟ้าร้อง พื้นห้องน้ำที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำขังและดินโคลนสะท้อนแสงวาบจากปรากฏการณ์ฟ้าแลบด้านบนที่ตามหลังเสียงนั้นมาติดๆ และยังไม่ทันที่ผมจะก้าวออกจากพื้นที่ห้องน้ำ เสียงเปาะแปะของเม็ดฝนที่ตกกระทบหลังคาก็ดังขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ผมหันกลับไปมองแทนด้วยเหตุผลที่ตัวผมเองก็ไม่เข้าใจนัก เขาเองก็หันมามองผมเช่นกัน
"นายมายังไงเหรอ" ผมถามเขา แทนยกคิ้วทั้งสองขึ้นเหมือนแปลกใจ
"มอเตอร์ไซค์"
"แล้ว...เอาเสื้อกันฝน...หรือร่ม...อะไรงี้มาป่ะ"
"ไม่อ่ะ คงต้องรออยู่ที่นี่จนฝนหยุด"
จริงๆ ผมสามารถบอกลาเขา แล้วรีบวิ่งไปที่รถที่จอดอยู่ด้านหลังห้องน้ำและขับกลับหอพักได้เลย เพราะผมมาด้วยรถยนต์ส่วนตัว ซึ่งไม่มีปัญหากับฟ้าฝนอยู่แล้ว
แต่ไม่รู้อะไรดลใจทำให้ผมพูดประโยคที่ตัวเองฟังแล้วยังแปลกใจออกไป
"เดี๋ยวอยู่เป็นเพื่อน"
. . . . .
เพราะคิดว่าเราคงทนดมกลิ่นของเสียในนั้นเป็นเวลานานไม่ไหว และฝนมีทีท่าว่าจะไม่หยุดในชั่วโมงสองชั่วโมงนี้แน่ เราจึงออกมาหามุมที่อากาศถ่ายเทสะดวก นั่นคือทางเท้าหน้าห้องน้ำ
กลิ่นชื้นของดินและกลิ่นต้นไม้ฟุ้งไปทั่วบริเวณ หยาดฝนบนหลังคาไหลมาจากปลายแผ่นกระเบื้องแล้วตกลงกระทบพื้นคอนกรีตอีกที สะเก็ดฝนกระเด็นมาโดนปลายเท้าเราเล็กน้อยเพราะจุดที่มันตกห่างออกไปไม่มาก
ความเงียบโอบล้อมเรา ปกติผมคิดว่าตัวเองเป็นคนอัธยาศัยดีกว่านี้กับคนรู้จักนะ แต่นี่เหมือนไม่ใช่เวลา ‘ปกติ’ และผมก็ไม่แน่ใจว่าตอนนี้เราเป็น ‘คนรู้จัก’ กันหรือเปล่าน่ะสิ ผมเม้มปากแล้วเอามือเด็ดพงหญ้าบนทางเท้าเล่น ภาวนาให้เขาหรือตัวเองมีความกล้าเริ่มบทสนทนาสักที นั่งฟังเสียงฝนแบบนี้มันอึดอัดเกินไป
ผมหันมองแทน ตอนนี้เขาดูเหมือนลูกไก่เปียกน้ำที่น่าสงสาร ตัวสั่นงันงกกอดตัวเองแน่นเพราะความหนาวจากลมที่พัดแรงและละอองฝนที่สาดเข้ามา แน่ล่ะ เขามีแค่เสื้อยืดผ้าบางกับกางเกงขาสั้นเหนือเข่า ส่วนผมยังโชคดีที่มีเชิ้ตและสเวตเตอร์สีน้ำตาลตัวโคร่งห่อหุ้มร่างกายอีกที
"เชนเรียนคณะอะไรนะ" แทนเริ่มบทสนทนาในที่สุด เขาไม่ได้มองหน้าผมขณะที่ถาม แต่มองทอดไปยังสายฝนโปรยข้างหน้า แล้วค่อยๆ เบนสายตามาที่ผม
"แอคบา***อ่ะ" ผมตอบ
"อ้อ...ปีสามใช่ป่ะ"
"อื้อ"
"บริหารนี่เรียนยากป่ะ"
"พอสมควรนะ แต่คนอื่นบอกว่าง่ายกัน"
"เด็กมหา’ลัยก็ชอบคิดว่าคณะอื่นเรียนง่ายกว่าคณะตัวเองทั้งนั้น" แทนเหน็บอย่างมีอารมณ์ขัน
"ฮะๆ...ก็จริง"
“...”
“...”
“...”
"แทนเรียน...เกษตรฯ ใช่ป่ะ"
ผมจะไม่ทนอึดอัดกับความเงียบอีกแล้วจึงถามออกไป
“วิศวะฯ” เขาแก้
“เอ้อ...โทษทีจำผิด แล้วแทนอยู่ปีไรนะ”
"ปีสองอ่ะ"
"ชอบงานด้านนี้เหรอ"
"คิดว่านะ บ้านผมทำร้านซ่อมเครื่องยนต์น่ะเลยคลุกคลีเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เด็ก จริงๆ ชอบไม่ชอบมันสำคัญด้วยเหรอ เรียนจบก็ต้องไปรับช่วงต่อที่บ้านอยู่ดี"
ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะตัวเองก็อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างกับเขา
"เฮ้ย เชนอยู่ปีสามนี่" แทนเหมือนจะนึกอะไรออก
"ใช่ ‘ไมเหรอ?"
"ผมควรเรียกเชนว่าพี่ป่ะ"
"เฮ้ยไม่เป็นไร เราไม่ถือ" ผมรีบปฏิเสธเพราะแทนทำท่าจะยกมือไหว้ผมอยู่กลายๆ...ไอ้บ้าเอ๊ย
"ผมนึกว่าเชนเป็นพวกรุ่นพี่หัวรุนแรงไรงี้ซะอีก" แทนให้เหตุผล
"ทำไมคิดงั้น"
"ไม่รู้สิ ดูจากตอนเอากันตะกี้มั้ง"
"ฮ่าๆๆ...ไอ้เหี้ยนี่"
"อ้าว ด่าผมซะงั้น" เขายิ้มแหยอย่างล้อเลียน
"ถามแบบนี้แสดงว่าเกลียดระบบรับน้องเหรอ?" ผมถามแหย่
"ไม่เชิง แค่รู้สึกว่าบางทีมันก็ล้ำเส้นเราไป อย่างรุ่นพี่คณะผมบางคน บังคับให้เรียกพี่ ให้ไหว้ตลอดเวลา แต่พอเจอกันทำหน้ามึนตึงเหมือนอมขี้ ด่าใส่ พูดตะคอกใส่ ใครมันจะไปอยากไหว้อยากเคารพวะ"
“เอ้อ...เคยเจอเหมือนกัน”
“เนอะ” เขาดูตื่นเต้นเมื่อเห็นว่าผมสนับสนุน “แล้วมีการมาบอกว่าที่ทำทำไปเพราะรัก...รักพ่องงงงงงงง คนรักกันที่ไหนเขาจะด่ากันฮาร์ดคอร์แบบนั้นวะ ไอ้เชี่ยพวกนี้แม่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ แค่ทำตามที่เขาทำๆ กันมาเป็นประเพณี ตัวเองอยากทำหรือเปล่ายังไม่รู้เลย แย่ที่สุดคือแม่งไม่เคยถามน้องว่ารู้สึกยังไงกับสิ่งที่โดน”
"แทนนี่ท่าทางจะเก็บกดมากนะเนี่ย" ผมแซว
“คงงั้น” เขาหัวเราะยอมรับ เป็นเสียงหัวเราะแบบปลงๆ ในตัวเอง...ไม่ก็สังคม “แต่ก็จริงป่ะล่ะ คือผมคิดว่าถ้าจะมีใครสักคนมาด่าเรา มันควรเป็นคนที่เราเลือกให้เขาด่าป่ะวะ แล้วพวกรุ่นพี่พวกนั้นแม่งไม่สมควรเป็นตัวเลือกแน่ๆ อ่ะ”
ผมฟังเขาพูดแล้วนึกไปถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในห้องน้ำ ตอนที่แทนบอกให้ผมด่าเขา คิดสงสัยว่านั่นคือสิ่งที่แทนเลือกหรือเปล่า ผมคือคนที่เขาเลือกหรือเปล่า
เขาเกลียดการโดนด่าจริงๆ หรือเปล่า
ผมไม่ได้พูดข้อสงสัยในใจออกไป และเลือกที่จะถามคำถามอื่นแทน
“ไม่ชอบแบบนี้แทนก็ไม่เข้ารับน้องคณะอ่ะดิ”
“ฮื่อ ไม่ได้เข้าหรอก” เขาบอก
“แล้วแทนอยู่คณะยังไงเนี่ย เราเห็นวิศวะฯ ระบบแข็งแรงมากเลยนะ ไม่โดนรุ่นพี่หรือเพื่อนแบนไรงี้เหรอ”
“โดนดิ” เขาตอบ รอยยิ้มบางๆ ปรากฏที่มุมปาก “แต่ผมไม่แคร์หรอก ผมก็ใช้ชีวิตของผมไป เลือกคบเพื่อนเท่าที่อยากจะคบและเขาเต็มใจจะคบผม ไหว้รุ่นพี่แค่คนที่อยากไหว้ ทุกวันนี้ชีวิตก็โอเคนะ ไปเรียน เล่นกีฬา ทำสิ่งที่อยากทำ”
“ ’ติสต์สัดอ่ะ” ผมเหน็บ “แต่ฟังแล้วเหมือนใช้ชีวิตมหา’ลัยได้ไม่ค่อยคุ้มเลยนะ”
“ขึ้นอยู่กับว่าเชนวัดความคุ้มที่อะไร” เขาสวนกลับด้วยหน้ายิ้มๆ “มีแต่คนบอกว่ามามหา’ลัยต้องเข้ารับน้อง ต้องตั้งใจเรียน ทำกิจกรรมโน่นนี่ แต่สำหรับผม ผมว่ามหา’ลัยมันเป็นช่วงทดลองใช้ชีวิตเหมือนการทดลองงานอะไรแบบนั้น หลังจากจบไปเราอยากมีชีวิตแบบไหนก็ลองแบบนั้น”
“พูดดี” ผมยอมศิโรราบ เริ่มสนใจในตัวเขาขึ้นทีละนิด “แทนดูเป็นคนที่ความคิดโตกว่าอายุนะ”
“จริงๆ ผมไม่ค่อยได้พูดแบบนี้กับใครมากนักหรอก อย่างที่บอก...เพื่อนน้อย" เขายักคิ้วประกอบ
"เสียดายนะ แทนเป็นคนคุยสนุก"
ผมชม แทนส่ายหัวอย่างอย่างขอไปที แต่ผมชมเขาจากใจจริง รู้สึกถูกชะตากับเขาหลังจากฟังเขาจ้อมาหลายนาที หลายครั้งในชีวิตที่ผมเจอคนที่ชอบพูดโผงผางและตรงไปตรงมาแบบเขา ซึ่งผมมักจะเกลียดคนพวกนั้นเพราะส่วนใหญ่จะเป็นคนหัวรั้น ขวางโลก และเอาความคิดตัวเองเป็นที่ตั้งด้วย
แต่ผมไม่ยักกะเกลียดเขาแฮะ
“อ้อ ที่แทนถามว่าเราเป็นรุ่นพี่บ้าอำนาจหรือเปล่าน่ะ...” ผมกระแอม “จริงๆ แล้ว...เราเป็นปอปก****ของคณะ”
“นี่เล่นมุขใช่ป่ะ” แทนแค่นหัวเราะออกมา ยกกำปั้นมาชกไหล่ผมเบาๆ เป็นเชิงหยอกล้อ
ผมหันหน้าไปมองเขานิ่งๆ แล้วกัดปากอมยิ้ม เขาหรี่ตามองเพราะจับความกระอักกระอ่วนในแววตาผมได้ เหมือนแทนรอจังหวะให้ผมบอกว่า ‘ใช่ เราเล่นมุข’ ออกไปเขาจะได้ตอบกลับว่า ‘หลอกผมไม่ได้ร๊อก’
แต่สิ่งที่ผมทำคือการมองเขา และส่ายหัวช้าๆ
“ไอ้เชี่ยยยยยยยยยยยยย” แทนหน้าเหวอขึ้นมาทันที ผมหัวเราะพรวดออกมาตอนได้ยินเขาสบถพร้อมกับสีหน้าแบบนั้น “ไอ้เชี่ยๆๆๆๆๆๆ”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ!”
“กูว่าละ! โอ๊ยแล้วตะกี้ที่ด่าไปแม่งเข้าเชนหมดอะดิ ทำไมไม่บอกแต่แรกวะ โอ๊ย...กูจะบ้า” เขายกมือขึ้นทึ้งผมยาวระต้นคอเหมือนทำความผิดใหญ่หลวงลงไปยิ่งทำผมหัวเราะหนักเข้าไปอีก
ผมตบบ่าเขา แทนขยี้ผมตัวเองจนรกรุงรังสักพัก ก็เริ่มกลั้วหัวเราะไปด้วยกันเพราะความอับอาย
“แต่แบบนี้ก็ดีนะ” ผมบอก “คือเราไม่เคยคิดว่าสิ่งที่ทำจะส่งผลต่อคนอื่นยังไงจริงๆ แหละว่ะ มาฟังแทนเล่าแล้วเปิดมุมมองดี”
“ฮึ~” เขาเบะปากงอนอย่างดัดจริต ท่าทางแบบนั้นมาอยู่บนใบหน้าแบบชายไทยแท้คมเข้มของเขาแล้วดูประหลาดชอบกล
แต่มองๆ ไปก็น่ารักดี
หือ...ตั้งแต่เจอกันผมคิดชมเขาในใจว่าน่ารักกี่ครั้งแล้วเนี่ย
ครืน...
“อุ่ย” แทนอุทานแล้วหันมายิ้มแหยๆ ให้ผมเพราะเสียงร้องที่ดังมาจากท้องของเขาอีกครั้ง ทันใดนั้นผมก็นึกอะไรบางอย่างออก
"มีขนมปังอยู่ที่รถ" ผมบอกเขา แล้วลุกยืนขึ้น ถอดสเวตเตอร์ของตัวเองออกแล้วยกคลุมหัว "รอแป๊บนะ"
"เฮ้ย ไม่เป็น..." แทนอ้าปากห้ามด้วยความเกรงใจ แต่ผมวิ่งฝ่าฝนออกมาแล้ว สายฝนเทกระหน่ำลงบนตัวผมอย่างไม่บันยะบันยัง ผมวิ่งด้วยความเร็วที่สุดที่วิ่งได้จนถึงตัวรถ ยัดตัวเองลงไปด้านใน น้ำฝนซึมผ่านสเวตเตอร์บางๆ จนเสื้อเชิ้ตสีขาวผมชื้นและแนบไปกับตัว
ผมเปิดลิ้นชักรถ คว้าเอาขนมปังที่ซื้อจากเซเว่นฯ มาติดรถไว้เผื่อหิวออกมา ในนั้นผมเห็นเบียร์เหลืออยู่สามสี่กระป๋อง ผมหยิบมาสอง มองหาร่มที่ติดรถไว้ และพบว่ามันอยู่ที่เบาะหลัง
ตรงนั้นมีสเวตเตอร์สีดำกับเสื้อกันฝนอยู่ด้วย
ผมคว้าร่มมาไว้ในมือ และนั่งชั่งใจอยู่สักพักว่าจะหยิบสเวตเตอร์หรือว่าเสื้อกันฝนกลับไปดี
สุดท้ายผมกลับไปหาแทน พร้อมขนมปังหนึ่งห่อ เบียร์สองกระป๋อง และสเวตเตอร์สีดำหนึ่งตัว
. . . . .
“โทษทีนะ ขนมปังกากๆ”
“อ้าอึ๊อ่าว ลี่มันหละหวันลัดๆ! (บ้าหรือเปล่า นี่มันสวรรค์ชัดๆ!) ”
เขาพูดขณะกำลังเคี้ยวขนมปังไส้หมูหยองตุ้ยๆ อย่างหิวโหย แก้มของเขาพองออกมาเพราะยัดเข้าไปเต็มปาก เสื้อยืดสีเหลืองถูกสวมทับด้วยสเวตเตอร์สีดำของผม
"เอาป่ะ"
ผมยื่นกระป๋องเบียร์สีเขียวให้เขา แทนที่เพิ่งกลืนขนมปังก้อนใหญ่ลงคอหันมามองกระป๋องเบียร์อย่างชั่งใจ
"ปกติผมไม่กินเบียร์นะ มันทำให้พุงยื่น" เขาบอก "แต่วันนี้ยอมวันนึงก็ได้"
เขารับเบียร์ไปจากมือผมแล้วเปิดฝา "ขอบใจนะ"
"ชน" ผมยื่นกระป๋องเบียร์เข้าหาเขา แทนยกกระป๋องขึ้นกระทบเบาๆ เราซดเบียร์กันเงียบๆ ขณะฟังเสียงฝนโปรย
"ตกแบบนี้ไม่มีทางหยุดง่ายๆ แน่" ผมบ่น "โทษทีนะ"
“เยื่องไง (เรื่องไร)” เด็กหนุ่มผมยาวถามแต่กระป๋องเบียร์ยังคาปากอยู่เลย
"ที่พามาเจออะไรแบบนี้" ผมต่อประโยค แทนใช้นิ้วโป้งปาดคราบเบียร์บนริมฝีปากหลังจากจิบเสร็จ แล้วหันมาแย้ง
"นายไม่ได้พาผมมาเจออะไรแบบนี้...ความเสี้ยนพาผมมาต่างหาก"
เขายิ้ม ผมเบ้ปากเป็นนัยว่าสิ่งที่เขาพูดก็ไม่ผิด
"ผมเคยเจอฝนตกหนักกว่านี้ตอนไปเดินป่าที่ภูอิงดาว" แทนบอก ยกมือตัวเองขึ้นถูแขนเหมือนไล่ความหนาวออกไปขณะที่พูด "เชนเคยไปเที่ยวภูอิงดาวป่ะ"
"ไม่เคยว่ะ มีอะไรดีเหรอ เราก็เห็นภูเขาเมืองไทยที่ไหนๆ ก็คล้ายกัน"
"เอ้า ดีดิ เดินขึ้นเขาไม่กี่กิโล สุดภูจะเป็นเนินให้กางเต็นท์ ระดับความสูงพอๆ กับชั้นเมฆ ก้อนเมฆนี่เหมือนอยู่ปลายนิ้วเราเลย ยิ่งตอนหน้าหนาวนะตอนเช้าๆ จะมีหมอกหนามาก วิวบนก็สวยอย่างกับอยู่สวรรค์ มองลงจากหน้าผาจะเห็นแม่น้ำกกเลื้อยโอบลูกภูเขาอย่างกับงู มีเวลาเชนน่าจะลองไปบ้าง"
"ขนาดนั้นเลย"
"ช่าย เมื่อปีก่อนเราไปเดินภูอิงดาวกับเพื่อนตอนหน้าหนาว เดินไปได้ครึ่งวันฝนตกมาเฉย จนไกด์ต้องหาถ้ำแถวนั้นให้เราหลบ ผมกับเพื่อนติดอยู่ในนั้นวันหนึ่งเต็มๆ แล้วในถ้ำนะ...แม่งก็เต็มไปด้วยภาษาต่างดาวประหลาดๆ โคตรน่ากลัวเลยเว้ย ตอนนั้นนึกว่าจะติดอยู่ในนั้นอีกหลายวันซะแล้ว แต่พอเช้ามาฝนก็หยุดตกซะเฉยๆ ก็เดินขึ้นไปถึงเนินต่อได้ เราตั้งแคมป์กัน กลางคืนวันนั้นก็มีดาวตกด้วย โคตตตตตรสวย" เขาเล่าเรื่องอย่างออกรสจนผมจินตนาการภาพตาม เผลอหัวเราะในลำคอไปกับท่าทางโอเวอร์แอคติ้งของเขา
"พูดจนอยากไปเดินเลย ไว้ถ้ามีโอกาสละกัน"
"ไปด้วยกันป่ะ" แทนถามแล้วกระหยิ่มยิ้ม ทำเอาผมเหวอแดก "ฮ่าๆ ล้อเล่น ทำไมทำหน้าเหมือนชวนไปตายแบบนั้นวะ"
จะหัวใจวายตายเพราะท่าทีทีเล่นทีจริงของมึงนั่นแหละ ผมโวยวายในใจ
"เปล่า แค่สงสัยว่าปกติเป็นคนขี้อ่อยแบบนี้ตลอดเลยเหรอ" ได้ทีผมก็หยอดเขากลับ
"เค้าเรียกว่าอัธยาศัยดีต่างหาก"
ผมเบ้ปากแรง
"พูดแบบนี้แสดงว่าได้ผลเหรอ" เขาทำหน้าทะเล้น
"พูดแบบนี้คือยอมรับว่าอ่อยเหรอ"
แทนหัวเราะแทนการตอบคำถามของผม
"เชนมีแฟนป่ะ"
"ยังไม่เลิกอีก" ผมดุ
"ไม่ๆ อันนี้ถามจริงๆ ผมอยากรู้เฉยๆ" เขาอธิบายด้วยใบหน้าใสซื่อ
"มี"
"เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย"
“ผู้หญิง" ผมตอบตามจริง คำตอบของผมทำเอาแทนเป็นฝ่ายตะลึงไปบ้าง
"อ้าว เชนเป็นไบเหรอ"
"เปล่า เป็นผู้ชายแท้" เขาทำท่าแลบลิ้นอย่างหมั่นไส้ในคำตอบกวนตีนนั้น “คิดว่าเราเป็นเกย์แบบ....เกย์จริงๆ เหรอ”
“ก็...นิดนึง” เด็กหนุ่มตรงหน้าทำปากขมุบขมิบเหมือนโทษว่าสัญชาตญาณตัวเองผิดที่คิดว่าผมเป็นเกย์ ซึ่งเอาจริงๆ แล้ว...สัญชาตญาณของเขาไม่ได้ผิดหรอก ผมเป็นเกย์...ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย แต่ผมไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องอธิบายความจริงกับเขาหรือใครหรอก...อย่างน้อยก็ในเวลานี้น่ะนะ
ปล่อยให้เขาเข้าใจแบบนั้นแหละดีแล้ว
"แล้วนายมีแฟนไหม" ผมถามเขากลับบ้าง
"ไม่มีอ่ะ เคยมีตอนปีหนึ่งอยู่คนนึง แต่ก็ต้องเลิกกันเพราะเข้ากันไม่ได้" เขาตอบแกมบ่น
“เข้ากันนี่หมายถึง...ของเขาใหญ่ไป...หรืออะไร”
“ไอ้บ้า ทะลึ่ง” แทนแง้วใส่ผม “ไม่หรอก เขายังไม่ลืมแฟนเก่าน่ะ”
"เขาเป็นผู้หญิง?"
"ผู้ชาย...จริงๆ ผมก็อยากลองคบผู้หญิงดูบ้างนะ ยังไม่เคยลองเลย"
"ไม่มีใครเอาเหรอ"
"คงงั้น”
“ทำไมไม่มีใครเอาวะ ลีลาออกจะเด็ด"
"ผมคงไม่ใช่สเปคของผู้หญิงไทยหรอก เขาชอบขาวๆ สูงๆ ล่ำๆ แบบเชนกัน แปลกๆ แบบผมเขาไม่เอาหรอก” แทนวิเคราะห์เป็นตุเป็นตะ
“อ้าว นี่ว่าเราชอบอะไรแปลกๆ เหรอ” ผมหาเรื่อง
"ฮ่าๆ...เปล่านะ แล้วแฟนเชนสวยป่ะ" แต่เขาเปลี่ยนเรื่องเฉย
“ก็สวยนะ” ผมตอบตามจริง แฟนของผมสวยจริงๆ มีดีกรีเป็นถึงดาวมหา’ลัยของปีที่แล้วเลยด้วย
“สวยขนาดไหนอ่ะ สวยแบบผู้หญิงแอ๊บแบ๊วทั่วไปหรือสวยแบบดารา” เขาซักไซ้
"อยากรู้อะไรขนาดนั้นวะ" ผมใช้มือข้างที่ไม่ได้จับกระป๋องเบียร์ไว้หยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงออกมาแล้วเปิดรูป ‘หยก’ แฟนสาวของผมให้แทนดูเพื่อตัดรำคาญ
"เฮ้ย นี่มันดาวมหา‘ลัยปีผมป่ะ?" แทนดูตกใจมาก เขาวางกระป๋องเบียร์ไว้ข้างตัวแล้วรับโทรศัพท์ผมไป ถึงกับซูมเข้าซูมออกรูปหยกดูหลายครั้ง
"เออ"
"เฮ้ยยยย!"
“เฮ้ยไรนักหนา"
"ตกใจ นี่กูเพิ่งนอนกับผัวดาวมหา’ลัยเหรอ" เขาพูดเหมือนบอกตัวเองมากกว่าพูดกับผม ตาเบิกโพลงแสดงความตะลึงงัน ผมระเบิดหัวเราะออกมาเพราะท่าทางโก๊ะๆ ของแทน
"เชี่ยยยย แทนนี่จี้ว่ะ"
"ไม่ๆ จริงๆ ตอนแรกผมแค่คิดว่าเชนจะมีแฟนเป็นผู้หญิงแอ๊บแบ๊วน่าเบื่อไรแบบนี้ซะอีก แต่ตอนนี้สงสัยจริงๆ แล้วว่านายคิดไงถึงมาทำแบบนี้วะ" เขาถามด้วยสีหน้าไม่อยากจะเชื่อ
"แบบไหน นัดเอากับคนอื่นอ่ะนะ?"
"ฮื่อ"
"ก็ไม่อะไร เราก็รักแฟนเรานะ" ผมโกหก "แต่บางทีก็แค่อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง"
"ด้วยการเอากับผู้ชาย?"
"ด้วยการเอากับผู้ชาย"
ผมตอบคำถามด้วยคำถามของเขา
"แฟนรู้ป่ะถามจริง"
"จะรู้ได้ไงล่ะ ถ้ารู้ก็คงเลิกกันไปแล้ว"
"เพราะงี้ถึงตั้งชื่อแอคเค้านท์ว่า My dark side ป่ะ"
"ก็ใช่นะ" ผมรับคำ แทนมีท่าทีทึ่งน้อยลง เขาพยักหน้ารัวๆ เหมือนพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่ผมเพิ่งบอกไป สายตาไม่ได้จับจ้องที่หน้าผมอีกแล้ว แต่มองทอดไปยังสายฝนที่โปรยลงมาราวกับใช้ความคิด
"เชนนี่เด็ดกว่าที่เราคิด" เขาพึมพำ
“ทำไมอ่ะ มันแปลกมากเลยเหรอ แฟนสวยแล้วจะมานัดเอากับคนอื่นไม่ได้เหรอวะ ผิดตรงไหนคนเสี้ยนเจอคนเสี้ยน เอาเสร็จน้ำแตก หายเสี้ยน จบ”
“ไม่ๆๆ อย่าเข้าใจผิดดิ ผมไม่ได้กำลังตัดสินเชนนะ” เขารีบยกมือขึ้นห้ามเพราะเห็นอารมณ์ผมเริ่มขุ่นๆ “ผมเข้าใจดีว่าการทำแบบนี้กับชีวิตส่วนตัวมันคนละเรื่องกัน ผมแค่...รู้สึกแปลกใจเฉยๆ แต่เรื่องนั้นช่างเหอะ เอาเป็นว่า....ผมขอโทษที่เอาสองเรื่องนี้มาปนกัน” เขาอธิบายอย่างจริงจังทำให้ใจผมเย็นลง
"แล้วนายอ่ะ ทำไมถึงมาทำแบบนี้" ผมถามกลับบ้าง
"อยากทำ" เขาตอบอย่างตรงไปตรงมา
"เราสงสัยอย่าง คือเราเข้าใจนะว่าปกติเราจะโพสต์หรือโชว์ข้อมูลอะไรก็ได้บนเน็ต มันเป็นพื้นที่อิสระที่จะปลดปล่อยอีกด้านของเราอ่ะ แต่เราเห็นเวลาเล่นแอพฯ นายก็เอารูปตัวเองขึ้น เวลาได้กับใครนายก็ชอบถ่ายรูป ถ่ายคลิป ถ่ายเห็นหน้า ถามจริงไม่กลัวบ้างเหรอ"
"กลัวไมอะ" เขาหัวเราะ “เชนหมายถึงแบบกลัวคนรู้จักมาเห็น หรือกลัวรูปคลิปเราหลุดไปทั่วอินเตอร์เน็ตไรแบบนี้เหรอ”
“ประมาณนั้น”
“ไม่อ้ะ” เขายักไหล่ “ผมอาจจะคิดคนละแบบกับเชนนะ แต่สำหรับผมเรื่องพวกนี้มันไม่ใช่ปัญหา ผมไม่ได้กลัวใครมาเห็น หรือตัดสินผมว่าเป็นคนทุเรศจากภาพที่เห็นหรอก ผมไม่แคร์ความคิดของคนพวกนั้นด้วยซ้ำ ผมทำแล้วมันตื่นเต้นดีผมก็ทำอ่ะ”
“ทั้งๆ ที่เขาจะพูดถึงนายในแง่ร้ายเนี่ยนะ”
“เอาจริงมันก็แค่เปลือกป่ะ ทุกวันนี้คนเราก็ตัดสินค่าของคนอื่นจากภาพดีๆ ที่สร้างขึ้นมาทั้งนั้น ทั้งๆ ที่รู้ว่าภาพนั้นมันเชื่อไม่ได้ แต่ก็เชื่อ เขาไม่คิดต่อหรอกว่ามันจะมีด้านเน่าเฟะซ่อนอยู่ข้างในตัวเราหรือเปล่า หรือการที่เราเป็นคนแบบนี้เราผ่านอะไรมาบ้าง”
“...”
“ทุกคนมีด้านมืดและด้านสว่างในตัวกันทั้งนั้น ผมก็แค่แสดงด้านมืดให้คนอื่นเห็น ก็แค่นั้น ใครจะคิดไงก็ช่างแม่ง”
"นายพูดเหมือนคนไม่มีอะไรจะเสียแล้วเลย" ผมแหย่ออกไปอย่างติดตลก
"..."
"..."
"...ผมอาจจะไม่มีอะไรจะเสียแล้วจริงๆ ก็ได้"
แทนยิ้ม แต่แววตาของเขาไม่ได้ยิ้มไปด้วย มันแสดงออกถึงความล้า ในขณะเดียวกันก็ดูแกร่งและกร้านโลก ชั่วขณะนั้นผมรู้สึกผิดขึ้นมานิดๆ ที่ปากหมาไม่ดูกาลเทศะ
“อ้าวเงียบ” แทนแหวหลังจากเห็นผมไม่พูดอะไรสักพัก “คิดอะไรอยู่”
“เปล่าหรอก...ชนป่ะ” ผมหันเหความสนใจเขาด้วยเบียร์ สำรวจเขาเงียบๆ ขณะที่ยกเบียร์ขึ้นจิบ ในใจเริ่มคิดว่าการที่เขาเป็นคนตรงไปตรงมาและมองโลกได้สุดตีนแบบนี้ ชีวิตเขาจะผ่านอะไรมาบ้างนะ
สิ่งที่เขาเจอจะคล้ายสิ่งที่ผมเจอหรือเปล่าTo be continued...--------------------------------------------------------------------------
***คณะบริหารธุรกิจ
****ประธานปกครอง ผู้ทำหน้าที่เป็นแกนนำสำคัญในการรับน้อง และดูแลเรื่องระเบียบวินัยของรุ่นน้องปีหนึ่ง