Chapter XXIII Rebel
ผมไม่รู้ว่าเรื่องมันดำเนินมาถึงจุดนี้ได้ไง ผมกับเจิ้นเราเข้าใจกันแล้วแต่...เจิ้นยังไม่พอใจพวกผู้ใหญ่ เจิ้นไม่ได้พูดตรงๆหรอก แต่พอผมเลียบๆเคียงๆเขาก็บอกปัดทุกครั้ง กลายเป็นว่าระหว่างเราเลยเป็นความสัมพันธ์แบบลักลอบ
มันเร้าใจและตื่นเต้นปะปนไปกับความหวาดระแวง ผมขอให้เจิ้นมาแค่นานๆทีเพราะผมไม่ชอบใจเท่าไหร่ที่เขาต้องปีนรั้วบ้าน บ้านเรารั้วสูงจะตาย เจิ้นตกลงมาจะทำยังไง?
ที่น่าอายกว่าคือ...พี่เอ็มมากับเจิ้นทุกครั้ง เท่ากับว่าพี่เอ็มรู้เรื่องของผมกับเจิ้น แล้วบางที...ผมก็แอบทำรอยไว้บนตัวเจิ้นเหมือนกัน
ข่าวเรื่องเจิ้นตัดผมกลายเป็นข่าวใหญ่ในหนังสือพิมพ์ธุรกิจ มีทั้งการเอาดวงชะตาทางการเงินมาเป็นเหตุผลสนับสนุน หุ้นของช่อฟ้าตกลงเล็กน้อยในรอบหลายสิบปี แต่การแถลงข่าวของเจิ้นกลับทำให้หุ้นขึ้นสูงไปมากกว่าเดิมอีก
“ช่อฟ้าเป็นธนาคารที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานแห่งหนึ่งของประเทศไทย เส้นผมของผมเคยถูกกล่าวว่าเป็นตัวส่งเสริมดวงทางธุรกิจ แต่ที่จริงแล้วแค่ดวงมันไม่พอ ช่อฟ้าต้องอาศัยพนักงานที่มีความสามารถ ลูกค้าที่คอยสนับสนุน การตัดผมของผมคือการประกาศว่า ช่อฟ้าเติบโตด้วยความสามารถของบุคลากรและความไว้วางใจของลูกค้าอย่างแท้จริง เราไม่จำเป็นต้องยกย่องแค่ความโชคดีที่เป็นเพียงส่วนประกอบเล็กๆอีกต่อไป ผลประกอบการปีนี้เพิ่มขึ้นเกือบสามร้อยเปอร์เซ็นต์ และเรามีโครงการใหม่ๆไว้รองรับลูกค้าทุกระดับทุกไตรมาส...และแน่นอนว่าส่วนแบ่งเค้กก้อนโตนี่จำกัดจำนวนสมาชิกครับ”
ผมคิดว่าการให้สัมภาษณ์ของเจิ้นมันคือการโอ้อวดตัวเองอย่างโจ่งแจ้ง เชิดชูคนทำงานให้ปลื้มใจ ตะล่อมพีอาร์โครงการของธนาคารแบบเนียนๆ และตัดจบด้วยการสร้างดีมานด์ให้คนอยากจะเข้ามาแย่งผลประโยชน์เพราะเชื่อว่าตัวเองจะได้เป็นเพียงคนกลุ่มเดียวที่จะได้กำไรจากการลงทุนกับช่อฟ้า
อยู่ๆผมก็เข้าใจในสิ่งที่เรียนมาโดยตลอด ผมคิดว่าจริงๆแล้วคนเก่งมากๆคือปู่ที่วางตัวเจิ้นเป็นพรีเซ็นเตอร์ช่อฟ้ามาตลอด สร้างกระแสจนเจิ้นเป็นจักรพรรดิบนยอดหอคอยช่อฟ้า ห่างเหินกับทุกคน โดดเดี่ยวทว่ายิ่งใหญ่
การเจ้ายศเจ้าอย่างที่ไม่ให้ใครเรียกคุณเจิ้น พี่เจิ้น เฮียเจิ้นหรืออะไรทำนองนั้น แค่เจิ้น...เจิ้นเฉยๆ แปลกประหลาดทว่าสร้างความเชื่อ การตลาดแบบระยะยาวเทียบเท่าอายุของเจิ้นโดยเอาความเชื่อที่คนไทยส่วนมากฝังหัวมาตลอดมาเป็นตัวขับเคลื่อน แทรกไปด้วยพวกธรรมเนียมประหลาดๆ การทำบุญตึกที่งานใหญ่ยักษ์แถมคอสตูมเวอร์วังอลังการที่ผมกับเจิ้นถูกบังคับให้ใส่ทุกปี
ไหนจะรูปลักษณ์แปลกตาของเจิ้นที่ไว้ผมยามต่างจากผู้ชายยุคนี้ที่ตัดสั้นทันสมัยกันเป็นส่วนใหญ่ ชุดจีนที่ใส่มาทำงานบ้าง ออกงานบ้างสร้างความโดดเด่นในกลุ่มคนที่นิยมใส่สูทสากล
ช่อฟ้าเป็นอะไรที่...ไม่ได้ทำการตลาดแบบธนาคารอื่นเลยด้วยซ้ำ เพราะการเอ่ยถึงช่อฟ้าทุกคนกลับนึกถึงภาพเจิ้นมากกว่าโลโก้ธนาคาร
เจิ้นวางตัวไม่ยุ่ง ไม่สนิทกับใครทว่าก็พาตัวเองไปอยู่ท่ามกลางคนหมู่มากเสมอ ออกงานสังคม ร่วมงานสังสรรค์ ทว่าประหยัดคำพูด ไม่ให้สัมภาษณ์จึงมีแค่คนกลุ่มเล็กๆเท่านั้นที่พอจะได้รู้จักเจิ้นในมุมที่ต่างออกไป
เพราะลึกลับ เพราะภาพลักษณ์ช่างดูยิ่งใหญ่ ทำให้ถูกจับตามองมาเสมอ...
“โอ้โห...”
สรุปว่าแค่เจิ้นทำอะไรมันก็เวิร์คไปหมด ประสบความสำเร็จไปหมด ไม่ใช่เพราะเขาเก่งกาจ ก็ใช่เขาเก่งด้วยแต่มันก็แค่ส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนคือการลงทุนแบบนานหลายสิบปีของปู่ต่างหาก...สร้างเจิ้นให้เป็นเจิ้นที่ประหลาดๆ เพื่อการเติบโตของธุรกิจ
ถ้ามองจากภายนอกคือเจิ้นเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ตั้งแต่เจิ้นรับตำแหน่งเจ้าบ้านช่อฟ้าเลยด้วยซ้ำ
แต่ถ้ามองจากภายในคือเจิ้นถูกขโมยทุกอย่างที่คนๆหนึ่งควรจะมี เจิ้นไม่มีวัยเด็กซนๆแบบผม ไม่มีโอกาสผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบผม มันมีแต่ความเคร่งเครียด ต้องเอาชนะ ต้องแตกต่าง ต้องก้าวนำคนอื่น...
ผมคิดว่าผมพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมเจิ้นถึงทำให้เรื่องระหว่างเรามันซับซ้อน เพราะเจิ้นคิดแบบเรียบง่ายไม่เป็น...ถ้าการไปเซเว่นจากบ้านเราคือการเดินตรงไป เจิ้นก็จะเดินอ้อมหมู่บ้าน มุดท่อน้ำแล้วไปโผล่หน้าเซเว่นอยู่ดี
ไม่ใช่เพราะเขาคิดไม่ได้...แต่เขาอยู่ในเส้นทางที่ยากลำบากมาตลอด คนที่อยู่ในเส้นทางสบ๊ายสบายแบบผมก็เลยงงๆกับเจิ้นนิดหน่อย
อย่างการมาหาผมตอนกลางคืนนี่ก็เป็นหนึ่งในความซับซ้อนแปลกประหลาดของเจิ้นอ่ะ แค่เจิ้นยอมเป็นเด็กดีของผู้ใหญ่เรียกคะแนนสงสารก็จบแล้วแต่เจิ้นก็ไม่ทำ
เขาเลือกพาตัวเองมาลำบากปีนรั้วบ้าน พาพี่เอ็มมาผจญภัยเพื่อจะมาหาผม...ชีวิตของเจิ้นนี่ทำไมต้องเหนื่อยขนาดนี้ด้วยก็ไม่รู้
ผมชักหงุดหงิดแทนเจิ้นแล้วนะ! เจิ้นไม่ได้ทำอะไรผิดหรอกแต่ประสบการณ์ของเขามันมีแต่เรื่องยากๆจนเจิ้นไม่เคยชินกับเรื่องง่ายๆเท่านั้นเอง
พอผมเป็นเรื่องง่ายๆ...เจิ้นก็ทำให้ผมกลายเป็นเรื่องยากๆอีกทั้งๆที่ผมก็เหมือนมีป้ายแปะบนหน้าผากตลอดเวลาอยู่แล้วว่าผมจะแต่งงานกับเจิ้น จะอยู่กับเจิ้น จะรักเจิ้น จะหนุบหนับกับเจิ้นตลอดไป
ผมเป็นมูนนี่เด็กดีที่ใจง่ายที่สุดในโลกเลยด้วยซ้ำ แต่เพราะเป็นเจิ้น! จริงๆผมว่าอุปสรรคของผมมันต้องไล่ไปให้ถึงตัวต้นเหตุ เจิ้นเป็นแค่ผู้เสียหายที่ได้รับอิทธิพลมาเลยทำให้มีความคิดแปลกๆ
คนที่ผิดจริงๆที่ทำให้เจิ้นไม่ปกติก็คือ...ปู่! อาจจะลุงหยางด้วย! แล้วก็พ่อแม่เจิ้น แล้วก็พ่อผม ทุกคนเป็นคนที่อยู่กับเจิ้นตั้งแต่เกิดเลย แล้วก็เพราะทุกคนสร้างเจิ้นมาเป็นเจิ้นแบบทุกวันนี้ผมก็เลยต้องมาลำบากกับความซับซ้อนของเจิ้นไปด้วย
เจิ้นเป็นผู้เสียหายเบอร์หนึ่ง ส่วนผมก็เป็นผู้เสียหายเบอร์สอง เอ๊ะ ยังมีพี่เอ็มเป็นผู้เสียหายเบอร์สามด้วยเพราะต้องมาเกี่ยวทั้งๆที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลย เราก็เลยต้องมาเดินอ้อมโลกกันแบบนี้ และที่สำคัญที่เจิ้นกับพี่เอ็มยังต้องมาปีนบ้านนี่ก็เพราะพวกผู้ใหญ่อีกนั่นแหละ
จริงๆผมควรผนึกกำลังกับเจิ้นแล้วจัดการพวกผู้ใหญ่มากกว่า เราเป็นผู้เสียหายกันทั้งคู่นี่นา? ในหัวของผมเริ่มคิดแผนการจัดการปัญหานี่อย่างรอบคอบ
ผมคิดว่าผมรับมือกับเจิ้นได้ด้วยตัวเองแล้วแหละ ผมเริ่มมองเขาออก เริ่มคิดทันเขา ผมว่า...พวกผู้ใหญ่ไม่ต้องเข้ามายุ่งแล้วก็ได้ เพราะพวกเขาเป็นคนสร้างความซับซ้อนตัวพ่ออย่างเจิ้นขึ้นมา เขาไม่มีทางทำให้ผมมีชีวิตเรียบง่ายหรอก
เจิ้นมาหาผมในคืนต่อมา แล้วก่อนที่เราจะหนุบหนับกันผมก็ต้องนำเสนอไอเดียใหม่ของตัวเองก่อน ตอนนี้ผมกับเจิ้นต้องร่วมมือกัน ไม่งั้นเราจะต้องแอบหนุบหนับกันแบบนี้แล้วไม่ได้กลับไปอยู่ช่อฟ้าสักที มันก็ไม่แฮปปี้เอฟวรี่เดย์สักทีอ่ะ
เจิ้นนั่งฟังผมพูดจนจบ เขาแค่ขมวดคิ้วทำหน้ายุ่งๆนิดหน่อยตอนผมบอกว่าเจิ้นมุดท่อระบายน้ำโผล่หน้าเซเว่น แต่เขาก็หลุดยิ้มออกมาตอนผมพูดว่าเขาเป็น...ความซับซ้อนตัวพ่อ แล้วก็ดึงมือผมไปจูบตอนผมบอกว่าตัวเองใจง่ายให้เขา
“พี่ก็ใจง่ายให้จันทร์...ใจง่ายให้เด็กหกขวบที่เอาแต่กัด”
“ฮึ่ยยยย...อย่าพึ่งยุบยิบนะ เจิ้นต้องช่วยจันทร์วางแผนก่อน จันทร์ไม่โอเคเลยที่เจิ้นต้องมาปีนรั้วบ้านแบบนี้อ่ะ แล้วเราก็ไม่ได้นอนกอดกันทุกคืนด้วย จันทร์อยากกลับไปอยู่ช่อฟ้ากับเจิ้นแล้ว”
“มูนนี่เด็กดี...”
เจิ้นยุบยิบผมอย่างกับผมเป็นตุ๊กตานุ่มๆแบบสินเชื่อ แต่แล้วหัวสมองซับซ้อนของเจิ้นก็เริ่มทำงาน เจิ้นบอกว่าเราใช้ไม้แข็งกับพวกผู้ใหญ่ไม่ได้หรอก เขามีอาวุธที่เรียกว่า ‘ความหวังดีของพ่อแม่และญาติผู้ใหญ่’ อยู่ในมือ เราทำได้แค่การกบฏเล็กๆ
ผมบอกเจิ้นว่าอาทิตย์หน้าผมจะเริ่มไปฝึกงานที่ช่อฟ้ากับพ่อเจิ้น...เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเสนอความคิดที่ไม่ได้ต่างอะไรกับการที่เขาปีนรั้วบ้านมาหาผมทุกคืนเลย
เขาจะทำเป็นยอม...เพราะยังไงเราก็ไม่อยากให้พวกผู้ใหญ่เป็นกังวลอยู่แล้ว...และแอบมาหาผม เจิ้นชวนผมยุบยิบหนุบหนับที่ช่อฟ้า
“พอว่าง...จันทร์ก็มาหาพี่...มาให้พี่กอด...”
“จันทร์ไม่อยากโดนเจิ้นลวนลามในที่ทำงานหรอกนะ!”
“...พี่ต่างหากโดนจันทร์ลวนลาม”
ผมย่นจมูกใส่พ่อปลาหมึกยุบยิบ เขายิ้ม...เจิ้นยิ้มไปดึงนัยน์ตาแล้วหนวดปลาหมึกของเขาก็เริ่มทำงาน ผมยังไม่ทันทักท้วงแผนการแอบหนุบหนับกับเขาในที่ทำงาน เขาก็ไม่ยอมปล่อยให้ผมคัดค้านอะไรแล้ว...ยุบยับเป็นแมงยุบยิบไปหมดเลย
วันจันทร์ถัดมาเป็นวันแรกที่ผมได้ไปทำงานกับพ่อเจิ้น พ่อเจิ้นมีเลขาอยู่แล้วส่วนผมก็เข้าไปทำงานในตำแหน่งผู้ช่วย งานของผมเป็นอะไรที่ง่ายมากๆอย่างพวกถ่ายเอกสาร เดินเอาเอกสารไปส่ง เป็นเหมือนแมสเซนเจอร์ในบริษัท ช่วยพี่เขาพิมพ์งาน จัดแฟ้ม...แล้วผมก็โดนลักพาตัว
มันเป็นช่วงหลังเที่ยงมานิดหน่อย...แน่นอนว่ามื้อเที่ยงผมก็โดนหนีบไปกินกับพ่อเจิ้น เลยไม่ได้เจอเจิ้นเลย ทีนี้ระหว่างที่ผมเพิ่งจะเอาเอกสารไปส่งที่แผนกหนึ่งเสร็จผมก็โดนกอดจากด้านหลัง มือคู่หนึ่งปิดปากผมแล้วผมก็โดนอุ้มหายไปในบันไดหนีไฟข้างลิฟต์
“เจิ้น!”
เจิ้นทำตัวเป็นโจรอย่างที่เขาวางแผนไว้จริงๆ ผมขมวดคิ้วประท้วงแต่เขาก็ไม่สนใจ ผมถูกเจิ้นจูบจนหัวหมุน ลิ้นของเขากวาดสำรวจไปทั่วปากผม...จนลมหายใจผมติดขัด ตาพร่าเบลอและเกือบจะยืนไม่อยู่
“ชาร์จแบตรอบบ่าย...”
เขาหอมแก้มผมอีกฟอดใหญ่แล้วเดินขึ้นบันไดหนีไฟไปชั้นบนที่เป็นชั้นทำงานของเขา ส่วนผมหน้าร้อนผ่าวยืนหงุดหงิดอยู่คนเดียว
ผมค้นพบว่าเจิ้นชอบบทผู้ร้ายลักพาตัวนี่มาก! หลังจากมีครั้งแรกผมก็โดนเขาลากเข้ามุมอีกหลายๆครั้ง ช่วงสาย ก่อนกินข้าว หลังกินข้าว และก่อนเลิกงาน
จนกระทั่งวันหนึ่งพ่อของเจิ้นไปประชุมกับหน่วยงานด้านนอก พี่เลขาก็ไปด้วย...เจิ้นก็พาผมหายไปอยู่ข้างบน บนช่อฟ้า...บนบ้านเรา
การแอบคบกันแบบนี้มันตื่นเต้นมาก ถึงผมจะไม่ชอบใจนัก...แต่ส่วนหนึ่งในตัวผมบ่งบอกว่าผมก็สนุกไม่ต่างกับเจิ้น กลายเป็นว่าพอเรามาถึงชั้นบน ผมเป็นคนกระชากเนคไทเจิ้นออกเอง
ทันทีที่ประตูห้องนอนถูกล็อค ผมจัดการถอดเจ้ากางเกงขายาวออกทันทีและกระโดดกอดเขา เสียงหัวเราะของผมกับเจิ้นประสานกัน...จนกระทั่งแผนหลังผมติดกับแผ่นเตียง
ผมมองปลายจมูกโด่งที่ไล่หอมสลับจูบตั้งแต่ปลายเท้าผม...ไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า สายตาของเจิ้นที่มองผมราวกับมีลูกไฟอยู่ในดวงตาเขา
เสียงของผมดังลอดออกมาตอนเขาขบเบาๆที่น่อง...ลิ้นอุ่นชื้นไล้ชิมมาถึงต้นขา...และจบลงที่ฟันคมขบกัดที่แผ่นท้องใต้สะดือ
เราค่อนข้างห่างไกลกับคำว่าค่อยเป็นค่อยไป...อาจจะเพราะเวลาจำกัดหรือเพราะว่ามันเป็นการทำผิดทำให้เราทั้งคู่ต่างใจร้อน...ไม่นานขาผมก็พาดอยู่บนไหล่เจิ้น
เขารุนแรง...และกระแทกกระทั้นจนผมหัวสั่นหัวคลอน ผมอ้อนวอนให้เขากัดผม...จูบผม...และฟาดผม...ผมกลายเป็นมูนนี่อีกคนที่ชอบให้เจิ้นรุนแรง
ผมเคยกลัวตัวเองจะเป็นคนเสพติดความรุนแรง...แต่ผมค้นพบแล้วว่ามันไม่ใช่ ผมเสพติดเจิ้นต่างหาก...เสพติดสัมผัสของเขา อยากเห็นตัวเองเต็มไปด้วยร่องรอยความเป็นเจ้าของจากเขา
อยากให้ทั้งตัวผมมีแต่เจิ้น...เพราะผมเป็นของเจิ้น...เป็นมาตลอด...และจะเป็นตลอดไป
“อ๊า...เจิ้น...”
สองมือผมทำได้แค่ยันหัวเตียงไว้ สะโพกผมถูกยกสูงรองรับความเอาแต่ใจของเจิ้น มันรอบที่สามแล้ว...และผมถูกพลิกให้คว่ำหน้าลง เสียงฟาดก้นของผมดังลั่นห้อง แต่ผมก็ขอให้เขาฟาดอีก...
เจิ้นกัดผมไปทั้งแผ่นหลัง...และเอื้อมมือมาบีบเคล้นนมผมทั้งๆที่รอบก่อนเขาก็กัดจนมันบวมเป่งไปหมด ร่างกายผมอ่อนล้า...แต่มันกลับรู้สึกเหมือนถูกเติมเต็ม...
ถูกเติมเต็มด้วยเจิ้นจนล้นทะลักออกมาเป็นเสียงเฉอะแฉะน่าอาย สายตาผมมองลอดร่างกายตัวเองไปเห็นภาพเจิ้นขยับเข้ามาชัดแจ๋ว...หน้าผมร้อนผ่าวเมื่อเห็นว่าเขากระแทกแรงขนาดไหน...และหยาดน้ำของเจิ้น...ที่เคลื่อนมาตามขา...ยิ่งเขากระแทกแรง...บางส่วนยิ่งกระเด็นออกมาไกลจนโดนหน้าผม
ผมเห็นตัวเองปลดปล่อย...เพราะผมถูกเจิ้นพาไปแตะขอบสวรรค์ แต่ที่ทำให้ผมร่างกายร้อนผ่าวขึ้นมาอีกรอบคือตอนที่เจิ้นปลดปล่อย...มันไหลทะลักออกมาเลอะเทอะขาของผม...เลอะเทอะ...ของของเขา...ที่ยังดูเกรี้ยวกราด...
ร่างกายผมวูบโหว่งตอนเจิ้นขยับออก เสียงของมันดังชัดจนน่าอาย...และผมก็ล้มลงนอนกับเตียงเพราะหมดแรง...เจิ้นจับผมพลิกตัวนอนหงาย และเขาก็ขึ้นมานอนเกยบนอกผม
ท่านอนที่เขาชอบ...ชอบให้ผมกอดรอบคอเขาไว้เวลาเขานอนดูดนมผม...ร่างกายผมเลอะเทอะไปหมดแต่เจิ้นคงชอบเขายังคงเป็น
ปลาหมึกหนวดยุบยิบสัมผัสตรงนั้นตรงนี้ไปทั่ว
“เจิ้น...พอแล้วนะ”
ผมอ้อนวอนเพราะเขายกขาผมขึ้นอีก...เจิ้นไม่อิ่มทั้งๆที่เขากินผมไปถึงสามรอบ เขาไม่พูดอะไรแต่สายตาของเขาอ้อนวอนขอความเห็นใจ
“จันทร์กลับบ้านไม่ไหวนะแบบนี้”
ผมค้านเพราะผมจะเดินไม่ไหวจริงๆ ตอนที่เราแอบทำกันผมอยู่ในบ้าน จะใช้เวลาทั้งวันนอนดูการ์ตูนก็ไม่มีใครว่า ไม่มีใครสังเกตเท่าไหร่ว่าจริงๆแล้วขาผมไม่มีแรง
แต่นี่ที่ทำงาน ถ้าผมเดินลากขานิดเดียวมันก็ดูออกแล้วว่าผมไปทำอะไรมา...เจิ้นทำหน้าขัดใจแต่เขาก็ยอมหยุดแล้วขยับมานอนซุกอกผมเหมือนเดิม
เจิ้นปล่อยผมนอนพักหนึ่งชั่วโมงเต็มๆก็ปลุกผมมาแต่งตัว ร่างกายผมสะอาดเรียบร้อยแล้วเพราะเจิ้นจัดการให้ตอนผมหลับสนิท...เขาเดินมาส่งผมที่บันไดหนีไฟแล้วผมก็กลับไปที่โต๊ะทำงานตัวเองก่อนพ่อเจิ้นจะกลับมา
ผมได้มือถือกลับคืนมาตอนพ่อเจิ้นบอกว่าผมเป็นเด็กดีครบหนึ่งอาทิตย์ ทำตามกติกาของผู้ใหญ่...ผมยิ้มหน้าชื่นตาบานๆทั้งที่ตลอดหนึ่งอาทิตย์ผมทำตัวซนสุดๆ
จริงๆผมไม่ได้รับอนุญาตหรอก แต่การที่เจิ้นประกาศลาออกและตัดผมตัวเองทำให้ปู่ยอมใจอ่อนลงมานิดหน่อย แลกกับการที่เจิ้นจะใจเย็นลงจะยอมให้เขามาค้างได้วันเสาร์ แต่ก็แค่วันเดียว...และให้ผมพกมือถือได้ก่อนกำหนด
เจิ้นเลยเลิกมาปีนรั้วบ้านเพราะเราวิดิโอคอลคุยกันแทน มันคล้ายๆกลับไปตอนผมอยู่หอพักที่มหาวิทยาลัย มันเป็นจุดที่เจิ้นรับได้...แม้เขาจะชอบชวนผมยุบยิบตอนวิดิโอคอลก็เหอะ!
เจิ้นหื่นมากกกกกกกกกกกกกกกกก น่าแปลกที่เขาทนมาได้นานจนผมโต เขามีกิจการสารพัดที่ทำเอาผมหน้าร้อนผ่าวตลอดเวลา
แล้วไม้ตายของเจิ้นที่ทำให้ผมยอมทำตามได้ก็คือ... ก็พี่รักจันทร์...คำว่ารักของเจิ้นเป็นคำที่เพราะที่สุดในโลก ผมคิดว่าถ้ามีจัดอันดับแฟนคลับเจิ้นผมคงเป็นเบอร์หนึ่ง หัวใจผมเข้าข้างเจิ้นแบบกู่ไม่กลับ ยอมซนไปกับเขา...แม้มันจะน่าอาย
อย่างเช่น...ไนท์แคร์ตัวเองผ่านกล้องให้เจิ้นดู
ข้อเสียของการทำอะไรแบบนี้ทำให้วันทำงานของผมรอคอยเวลาที่จะได้เจอเจิ้น แต่การได้เจอกันมันก็ลดน้อยลง เพราะเจิ้นงานยุ่งเป็นบ้า เขาบอกว่าเพราะอาทิตย์แรกมัวแต่ผูกติดกับผมเลยทำให้งานท่วมหัว
ผมเลยได้มีโอกาสโฟกัสกับงานบ้าง ผมพยายามเรียนรู้เท่าที่ผมจะทำได้ ถามทุกคำถามที่ผมสงสัยและผูกมิตรกับพนักงานทุกแผนก
แรกๆทุกคนก็ดูเกร็งผมกันหมด แต่สักพักก็ดีขึ้นเพราะผมไม่ห่างเหินแบบเจิ้น ผมว่าช่องโหว่ของการเป็นผู้ยิ่งใหญ่แบบเจิ้นก็คือเขาไม่รู้หรอกว่าพนักงานตัวเล็กๆมีความคิดเห็นยังไงบ้าง ผมเลยจะทำหน้าที่สานสัมพันธ์กับทุกคนแทนเพราะผมไม่ต้องห่างเหินกับใคร
พอได้พูดคุยกับคนเยอะขึ้น ผมก็พบว่าช่อฟ้าก็มีการเมืองภายในเหมือนกัน เหมือนที่คิวเคยบ่นให้ฟังตอนฝึกงาน หลายแผนกก็ไม่ถูกกัน บางคนก็แข่งกันทำผลงานอยู่
แม้แต่กลุ่มผู้บริหารเองก็มีคนที่ไม่ถูกกัน โชคดีที่พ่อเจิ้นไม่ใช่หนึ่งในนั้นไม่งั้นผมก็ต้องเลือกข้างไปด้วย ผมเล่าให้เจิ้นฟังตอนเราวิดิโอคอลกัน เจิ้นกลับบอกว่าดีแล้วที่บางแผนกไม่ถูกกันหรือมีการแข่งขันในที่ทำงานเกิดขึ้น
การแข่งขันในที่ทำงานคือการที่พนักงานพยายามสร้างผลงานเพื่อองค์กร การที่แต่ละแผนกมองคนละอย่างก็เหมือนกับการทะเลาะกันเพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดให้ช่อฟ้า ถ้าทุกคนยอมกันง่ายไปหมดมันจะเกิดสภาวะเกรงใจและผลที่ออกมาอาจจะไม่ได้ดีที่สุด การหาเหตุผลมารองรับ มาสู้กันจึงเป็นทางออกที่ดีในบางกรณี แต่ถ้าทะเลาะกันมากไปหรือมีอารมณ์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องเมื่อไหร่ก็เป็นปัญหาเหมือนกัน
“ตกลงมันดีหรือไม่ดีอ่ะเจิ้น”
“ในโลกนี้ไม่มีอะไรดีหรือแย่ไปร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก เราก็ทำได้แค่พยายามให้มันดีเท่าที่จะทำได้”
“ขนาดจันทร์ไม่ได้อยู่ข้างไหนเลย จันทร์ยังเหนื่อยใจอ่ะ...อยากกลับไปเรียน ทำงานไม่สนุกเลย”
“เราหลีกเลี่ยงการโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้หรอก...มูนนี่ของพี่กำลังโตขึ้นทุกวัน”
“จันทร์จะกลายเป็นคนเครียดๆไหมถ้าจันทร์ทำงานเต็มตัว แบบว่าสู้กับคนนั้นคนนี้บ้าง คิ้วขมวดแบบนี้อ่ะ”
เจิ้นขำที่ผมขมวดคิ้ว ผมว่าการทำงานธนาคารมันเครียดมากเลยนะ ทุกคนดูเครียดๆและระแวดระวังกันไปหมด อาจจะเพราะงานหลักของธนาคารคือการเอาเงินชาวบ้านมาดูแล ชาวบ้านที่ว่าก็แค่ชาวบ้านทั้งประเทศเอง
“จันทร์ชนะอยู่แล้ว...ขนาดพี่ยังแพ้จันทร์เลย”
“ฮึ่ย จันทร์ต่างหากแพ้ ถ้าจันทร์อยากชนะชะเจิ้นไม่ได้มาหาจันทร์ง่ายๆแบบนี้หรอก จันทร์อ่อนข้อให้ต่างหาก”
“งั้นพี่ต้องขอบคุณจันทร์ใช่ไหมที่อุตส่าห์ใจดีกับพี่”
“ช่ายยยยยยยยยยยยย”
“ไหน...รางวัลเด็กดีอยากได้อะไรหืม?”
“อยากกลับไปอยู่กับเจิ้นไวๆ ไม่อยากเห็นเจิ้นผ่านมือถือแบบนี้แล้วอ่ะ”
“ทนหน่อยนะ...อีกไม่นาน พี่ก็ไม่อยากอยู่ห่างจันทร์แบบนี้เหมือนกัน”
ถึงเราจะแอบเจอกันในบางครั้ง ถึงเราจะวิดิโอคอลหากันได้ทุกวันแต่มันก็ยังไม่พอ กฎเกณฑ์ที่มองไม่เห็นทำให้ผมอึดอัด การที่เจิ้นมาหาผมในวันเสาร์ทำให้ความอึดอัดนี่บรรเทาลง
เราใช้เวลานอนดูหนังด้วยกันทั้งวัน ไม่มีอะไรมากกว่านั้นเพราะผู้ใหญ่ทุกคนรวมถึงลุงหยางพร้อมใจกันมาอยู่ด้วยกันเต็มบ้าน เจิ้นโดนลากไปเล่นหมากล้อมกับปู่ด้วย ส่วนผมก็เข้าครัวกับแม่เจิ้น
ถึงจะบอกว่าเป็นแฮปปี้เดย์ของผมกับเจิ้นก็เหอะ แต่เราได้อยู่ด้วยกันลำพังน้อยมาก แถมตอนนอนก็ทำได้แค่นอนกอดกันเพราะถ้าเจิ้นยุบยิบเยอะแยะเมื่อไหร่ ผมก็จะเดินไม่ไหว แล้วยิ่งทุกคนพร้อมใจกันเพ่งเล็งแบบนี้เราไม่รอดแน่ๆ
แต่ถึงจะแค่นอนกอดกันเจอก็มีทางกบฏอยู่ดี...เราไนท์แคร์กันแค่ภายนอก...เจิ้นไม่ได้เข้ามาในตัวผมแต่เขาก็มีวิธีที่ทำให้ผมจมน้ำและโบยบินอยู่ดี
และความอดทนในวันหยุดที่ทำได้แค่สัมผัสภายนอก...ก็ทำให้วันจันทร์ผมถูกลักพาตัวหายไปในห้องทำงานเจิ้น พ่อของเจิ้นไปประชุมข้างนอกอีกครั้ง แต่เราไปบนห้องนอนไม่ได้เพราะคุณป้าแม่บ้านพาคนมาทำความสะอาดสระน้ำ สถานที่ที่ปลอดภัยเลยกลายเป็นห้องทำงานเจิ้น
พี่ๆเลขาหายไปกันหมดเหลือแค่พี่เอ็มที่จะเฝ้าอยู่ด้านนอก ผมหน้าร้อนผ่าวที่เห็นพี่เอ็มยืนยิ้มอยู่ตรงนั้น แต่เขาแค่ขยิบตาแล้วบอกว่าไม่เป็นไร ห้องเจิ้นเก็บเสียง
....ผมกับเจิ้นเลยลงเอยกันที่เราแอบยุบยิบกันในที่ทำงาน
ผมถูกอุ้มขึ้นนั่งบนโต๊ะทำงานเจิ้น วิวทั้งกรุงเทพทำผมตื่นเต้นกว่าทุกครั้งถึงจะรู้ว่าข้างนอกมองมาไม่เห็นผมกับเจิ้นหรอกแต่กำแพงกระจกทั้งบานแบบนี้...มันน่าอายสุดๆ
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต่งแต้มใบหน้าเจิ้นตลอดเวลา แถมผมสั้นเซ็กซี่นี่อีก...ชุดสูทที่ถูกกระชากออกอย่างรวดเร็วทำให้เขาดูเป็นผู้ชายร้อนแรง
และก่อนที่ผมจะได้สังเกตอะไรไปมากกว่านั้นจูบของเจิ้นก็ทำหัวผมโล่ง...โต๊ะทำงานของเจิ้นใหญ่จนผมสามารถนอนลงไปได้ทั้งตัว...และมันแข็งแรงพอจะรับน้ำหนักของเราสองคนตอนที่เจิ้นปีนขึ้นมาคร่อมผมไว้
กองเอกสารถูกกวาดลงไปกับพื้นแต่ผมไม่มีเวลาใส่ใจเพราะความสนใจของผมอยู่ที่เจิ้นเพียงคนเดียว...เสียงโต๊ะทำงานขยับไปมาดังผสมปนเปไปกับผิวเนื้อที่กระทบกันของเรา
“เจิ้น...บะ...เบาหน่อย”
การห้ามของผมไม่เคยเป็นผล...เจิ้นกลายเป็นคนเอาแต่ใจทุกทีในเวลาแบบนี้
การที่เราแอบยุบยิบกันในห้องทำงานมันตื่นเต้นมากกว่าบันไดหนีไฟอีก...ผมนั่งคร่อมตักเจิ้นบนเก้าอี้ทำงานของเขา ขยับขึ้นลงและหมุนสะโพกตามใจตัวเอง...หยุดชะงักแกล้งเขาในบ้างครั้ง
“ยัยตัวแสบ...”
เสียงลอดไรฟันของเจิ้นทำผมหลุดหัวเราะก่อนจะกลายเป็นเสียงครางเพราะเขากระแทกตัวเองขึ้นมาในตัวผม เขามีพลังกับเรื่องนี้จนไม่น่าเชื่อว่าอายุตั้งสามสิบเอ็ด
พ่อปลาหมึกแก่ของผมกลายเป็นปลาหมึกวัยรุ่นใจร้อน...ในรอบที่สามของเราขาผมถูกจับอ้ากว้างนอนหมดแรงอยู่บนโต๊ะทำงาน และเขายืนอยู่ตรงนั้น...พาตัวเองเข้ามาในตัวผม
คราวนี้เราไม่ได้เลอะเทอะนัก...เพราะเจิ้นใช้ถุงยางอนามัย เจิ้นหงุดหงิดที่ต้องใช้มันแต่เพราะว่ามันจำเป็น การยุบยิบในห้องทำงานจนเลอะเทอะนั้นไม่ดีเลย
จะว่าไปก็เป็นครั้งแรกของผมกับเจิ้นที่ใช้ถุงยางด้วย...เราไม่เคยป้องกันมาก่อน...มันก็ให้ความรู้สึกที่ต่างออกไปนิดหน่อย และผมก็เพิ่งรู้ว่าผมชอบถุงยางแบบผิวขรุขระ...มัน...มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายยาก แต่มันดีกว่าแบบเรียบ
ผมกระซิบบอกเจิ้นตอนเราแต่งตัวกัน...เขินมากตอนเขาหัวเราะแล้วเรียกผมว่ามูนนี่จอมหื่น เขาบอกว่าคราวหน้าจะลองเอาแบบแปลกๆมาใช้เผื่อผมจะชอบ
เจิ้นจูบผมอีกครั้งก่อนจะพาผมไปส่งที่ห้องทำงาน ตัวผมเบาโหวง...แต่ผมชักเริ่มชอบความตื่นเต้นแบบนี้ มันไม่ใช่แค่ตื่นเต้นที่เราทำผิด...แต่จังหวะการหนุบหนับกันก็ตื่นเต้นไปด้วย
สงสัยผมจะกลายเป็นมูนนี่จอมหื่นไปแล้ว...ง่ะ ทำไมผมกลายเป็นคนหื่นล่ะทั้งๆที่ผมเป็นมูนนี่เด็กดีมาทั้งชีวิตของผมเลยนะ ฮึ่ยยยเพราะเจิ้นคนเดียวเลยยยย
แพร่เชื้อหื่นมาหาผมทำไมเนี่ย!
====================================
--------
--------
ตอนนี้หื่นอย่างเดียวก็ไม่เชิงนะคะ 555+ จริงๆคือมูนนี่เราวิเคราะห์พี่เจิ้นออกแล้ว แล้วก็กล้าพูดเรื่องนิสัยของเจิ้นแล้วด้วย ส่วนเจิ้นที่ยอมแพ้ไปแล้วก็รับฟังด้วยอาการหื่น เอ้ย อาการปกติ มันเป็นจุดที่เขาวอล์คผ่านความตะขิดตะขวงใจกันแล้วเนาะ
ส่วนความหื่นก็เป็นองค์ประกอบของตอนนี้เฉยๆ(?) แต่เหมือนจะประกอบเยอะไปง่ะ
ส่วนใครที่ลุ้นๆเรื่องว่าผู้ใหญ่จะรู้ไม่รู้...อ่านต่อไปจ้า อิอิ