คืนที่ 7
ราเมงร้อนๆ เป็นอาหารที่เหมาะจะกินตอนอากาศหนาวๆ นอกจากราเมงคนละชามแล้วบนโต๊ะเรายังมีข้าวผัด ไก่ทอดคาราอะเกะ แล้วก็เกี๊ยวซ่าจานใหญ่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหิวโหยกันขนาดไหน
จบจากร้านอาหารไม่พอน้องหมียังชวนผมเข้าร้านสะดวกซื้อ เดินวนกันอยู่สองสามรอบก็ได้ของกินติดไม้ติดมือกลับมา ทั้งพุดดิ้ง ขนมขบเคี้ยว รวมถึงไอติมที่น้องมันถือกินระหว่างกำลังเดินกลับโรงแรม
"ไม่หนาวหรอ" ผมล่ะนับถือความหนังหนาของน้องมันจริงๆ อากาศตอนนี้แค่เดินเฉยๆ ยังสั่นเลย
"ไม่นะ อร่อยดี" ว่าแล้วก็ยื่นไอติมมาจ่อที่ปากผม
ไอติมที่น้องหมีซื้อมาเป็นโคนลักษณะเหมือนไอติมกูลิโกะที่เอามาขายบ้านเราแต่เป็นแบรนด์ของร้านสะดวกซื้อเอง ผมงับส่วนหัวทู่ๆ ต่อจากน้องมันที่งับเนื้อไอศกรีมส่วนหัวที่เป็นปลายแหลมไปแล้ว ความเย็นกระจายไปทั่วปากบวกกับลมเย็นๆ ที่พัดมาเล่นเอาขนลุกซู่
"อร่อยมั้ย"
"ก็ดี"
ไอติมแบบนี้รสชาติมันก็คล้ายๆ กัน มาถามว่าอร่อยไหมทำอย่างกับเป็นเจ้าของแบรนด์ แต่พอยื่นมาให้กินอีกผมก็กิน แล้วเราก็ผลัดกันกินจนหมด
สามทุ่มนิดๆ ก็กลับมาถึงห้องพัก กำลังจะปูที่นอนเพื่อเอนกายพักร่างน้องหมีก็ไล่ผมไปอาบน้ำ อยากจะเถียงอยู่หรอกแต่ขี้เกียจฟังน้องมันบ่นเลยยอมทำตาม อาบให้มันเสร็จๆ จะได้นอนได้อย่างไม่ต้องกังวลอะไร
หลังจากผลัดกันอาบน้ำแล้วเราก็ใช้เวลาที่เหลือไปกับการจัดกระเป๋าสำหรับเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมในเช้าวันพรุ่งนี้ จัดของเสร็จก็มานั่งกินขนม เล่นโทรศัพท์ อัปโหลดรูป แถมรูปผมที่น้องหมีเอาเวลาไหนไปแอบถ่ายก็ไม่รู้ยังเยอะไม่ต่างจากวันแรกๆ ทั้งที่วันนี้ฝนตกแท้ๆ
ผมนอนดูรูปที่น้องหมีส่งมาให้ เลื่อนไปก็ยิ้มไปรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก แม้บรรยากาศวันนี้จะไม่เป็นใจแต่รูปที่ถ่ายออกมาก็ยังสวย นายแบบที่ถูกถ่ายตอนเผลอก็หล่อ จะกี่รูปก็ดูดี
เลื่อนดูมาเรื่อยๆ จนถึงรูปที่ถ่ายบนเรือซานต้ามาเรีย กับรูปมือของคนสองคนที่กุมกันไว้
ผมหันไปมองน้องหมีที่นอนเล่นโทรศัพท์อยู่ข้างๆ อยากจะถามอยู่หรอกว่าตอนนั้นไม่หลับหรือไงถึงได้ถ่ายรูปนี้ไว้ได้ แต่กลัวถามไปแล้วจะไม่เป็นผลดีกับตัวเอง ความรู้สึกผมมันบอกแบบนั้น
เผลอจมอยู่กับความคิดจ้องคนข้างๆ นานไปหน่อยจนเขารู้ตัว น้องหมีเลิกคิ้วมองก่อนหันตะแคงข้างมาหา
"แอบมองเหรอ"
"ไม่ได้แอบ" ก็มองกันโต้งๆ เนี่ย แอบตรงไหน
"พี่อิน ถามไรหน่อยดิ"
ประโยคแบบนี้เป็นอะไรที่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไร จะบอกว่ากลัว ระแวง แนวนั้นก็ได้ เพราะไม่รู้ว่าคนถามต้องการอะไร อยู่ดีๆ ก็เกริ่นขึ้นมา จะบอกไปว่าห้ามถามมันก็ไม่ใช่ ยิ่งเป็นน้องหมีด้วย จะถามอะไรประหลาดๆ ออกมาหรือเปล่าก็ไม่รู้
"อะไร"
"สึคิแปลว่าอะไร"
ได้ยินคำถามใจผมก็เต้นแรงขึ้นมา ทั้งที่ยังไม่รู้เลยว่าน้องหมีจะอยากรู้ความหมายของภาษาญี่ปุ่นคำนี้ไปทำไม อีกอย่างความหมายของมันไม่ได้ชวนให้รู้สึกพิเศษหรือต้องใจเต้นแรงเสียหน่อย เพราะคำนี้มันแปลว่า
"พระจันทร์"
"พระจันทร์" น้องหมีทวนคำแล้วทำหน้างง แต่คนที่สมควรงงคือผมมากกว่า
"ใช่ ทำไมอ่ะ ไปเอามาจากไหน"
"กูเกิ้ล"
"เสิชกูเกิ้ลมาก็ต้องรู้ความหมายอยู่แล้วดิ จะมาถามทำไม"
"ก็อยากถามพี่อิน ที่จริงมันต้องไม่ใช่แบบนี้ดิ" น้องหมีทำหน้ายุ่งพึมพำกับตัวเอง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดยิกๆ ผมเดาว่าคงเสิชกูเกิ้ลดูอีกรอบ
ทำไม คิดว่าผมแปลให้ผิดเหรอ หรือตั้งใจให้มันเป็นคำไหน ในเมื่อ สึคิ(tsuki) มันแปลว่า พระจันทร์
ผมปล่อยให้น้องหมีวุ่นวายอยู่กับมือถือโดยไม่เร่งเร้าหรือซักถามอะไร แถมยังรู้สึกตื่นเต้นเสียด้วยซ้ำ เชื่อได้เลยว่าคำถามของน้องหมีคงไม่จบแค่นี้หรอก หาจากในกูเกิ้ลแล้วก็มาถามผม ซึ่งที่จริงมันก็เดาได้ไม่ยากหรอกว่าคำที่น้องมันอยากถามคืออะไร แต่ผมอยากฟังให้มั่นใจว่าจะเป็นอย่างที่คิดไว้หรือเปล่า
"โอเค ได้ละ เอาใหม่นะ" เจอสิ่งที่ต้องการน้องหมีก็บอกด้วยสีหน้าจริงจังอย่างกับกำลังเล่นเกมส์ตอบคำถามชิงเงินล้านในรายการทีวี
"ว่ามา"
"สุคิ"
รอบนี้พูดเสียงดังออกเสียงชัดเจน ฟังออกและรู้แน่นอนถ้าไม่แกล้งโง่เอาความหมายอื่นมาใส่ ผมเงียบไม่ตอบเพราะมันใช่อย่างที่คิดไว้จริงๆ
ในที่สุดน้องหมีก็พูดมันออกมา
"คำนี้แปลว่าอะไร"
"เสิชกูเกิ้ลก็รู้อยู่แล้วดิ"
"แบร์อยากให้พี่อินตอบ" แววตาน้องหมีไร้ความขี้เล่น มันบังคับให้ผมต้องตอบ
"แปลว่า...ชอบ"
"ถ้างั้น 'อะนะตะก๊ะ สุคิเดส' ล่ะ"
"..."
"มันแปลว่าอะไรพี่อิน"
"แบร์รู้"
"แบร์อยากให้พี่อินรู้ด้วย"
ผมรู้สึกเหมือนกำลังโดนไล่ต้อน น้องหมีต้อนนี้คือเป็นสัตว์ป่าที่กำลังหิวและออกล่าเหยื่อ ในขณะที่เหยื่อของมันไม่สามารถหนีไปไหนได้
"ความหมายของมันคืออะไรเหรอพี่อิน"
เราสบตากันนิ่ง มันทำให้ผมลังเลที่จะตอบ แต่ถึงจะยึกยักเบี่ยงประเด็นแถไปเรื่องอื่น เชื่อเถอะว่ายังไงมันก็ต้องวกกลับมาเรื่องเดิม
ก็แค่ตอบไปให้มันจบๆ
"ฉันชอบเธอ"
น้องหมียิ้มบางๆ ตอนผมตอบ เป็นรอยยิ้มที่ดูไม่มั่นใจนักเหมือนกับเวลาที่ต้องตัดสินใจเลือกอะไรบางอย่างที่สำคัญทั้งคู่ ลังเล ไขว้เขว ไม่พร้อมแต่ก็ยังตัดสินใจที่จะทำ
"ถ้างั้น สึคิอัตเตะ คุดะไซ"
อยู่ๆ ผมก็รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง มันวูบๆ โหวงๆ ยิ่งกว่าตอนนั่งชิงช้าสวรรค์แล้วโดนลมพัดจนตู้แกว่งเสียอีก เพราะประโยคที่น้องหมีพูดมาเมื่อกี้มันแปลว่า...
คบกันไหม
ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ควรแสดงออกยังไงดี แม้จะพอรู้ตัว รับได้ ไม่ได้รังเกียจ มีความรู้สึกดีๆ ให้กันยังไงตอนนี้ก็ยังรู้สึกแบบนั้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเร็วขนาดนี้ มันยังมีความลังเลที่ทำให้ผมไม่กล้าตัดสินใจ สุดท้ายเลยทำเป็นเสแสร้งแกล้งถามเบี่ยงประเด็น
"เก่งหนิ จะเอาไปบอกหนุ่มญี่ปุ่นคนไหนเหรอ"
"เค้าเป็นคนไทย"
"..."
"แล้วเค้าคนนั้นก็อยู่ตรงหน้าแบร์"
"แบร์..."
"มันอาจจะกะทันหันเกินไปแต่แบร์อยากบอก"
น้องหมีลุกขึ้นนั่งจนผมต้องลุกตาม เว้นจังหวะแล้วสูดลมหายใจเข้า ผมรู้ว่ามันไม่ง่ายที่จะรวบรวมความกล้าเพื่อพูดมันออกมา เพราะฉะนั้นผมจะไม่ขัดและรับฟัง
"แบร์รักพี่อินนะ กลายเป็นรักแบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อาจจะตั้งแต่เด็กเลยล่ะมั้ง พยายามคิดว่าไม่ใช่แต่สุดท้ายก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้ ยิ่งห่างกันความรู้สึกมันก็ยิ่งชัดเจน แบร์มีความสุขมากที่เราได้กลับมาอยู่ด้วย แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตาม"
น้องหมีเว้นจังหวะอีกครั้ง ผมยังตั้งใจรอฟังทุกคำพูดทุกความรู้สึกที่น้องมันบอกออกมา ชอบที่จะฟัง อยากที่จะได้ยิน ผมชอบเวลามีคนมาบอกรัก มาบอกว่าเราสำคัญกับเขา สิ่งเหล่านี้มันเป็นเรื่องที่น่ายินดี
"เปิดใจให้แบร์หน่อยได้มั้ย" คำขอสุดท้ายถูกเอ่ยออกมา
สายตาและน้ำเสียงอ้อนวอนไม่ได้ช่วยให้ทุกอย่างจบง่ายขึ้นและเป็นไปในทางที่ดีเสมอ ผมรักน้องหมีนะ รักมาก แม้จะมีช่วงเวลาที่หวั่นไหวแต่นั่นมันคงเป็นเพราะสภาพแวดล้อมหรือสถานการณ์ทำให้เกิดความรู้สึกแบบนั้น ผมยังไม่มั่นใจกับความรักในรูปแบบอื่น เพราะฉะนั้น ตอนนี้สิ่งที่ผมให้ได้ยังคงเหมือนเดิม
"เป็นมุกสารภาพรักที่ใช้ได้เลยนะ แต่..."
พอเว้นจังหวะน้องหมีก็แสดงสีหน้าเหมือนกับรู้คำตอบของผมแล้ว แต่ผมใจกว้างพอ ตอนนี้ให้ได้แค่พี่น้องใช่ว่าจะพัฒนาไม่ได้ แค่ให้เปิดใจมันได้อยู่แล้ว แต่ทุกอย่างย่อมมีข้อแม้เสมอ
"แบร์ก็น่าจะรู้ว่าสเปคอินเป็นยังไง ตัวใหญ่เป็นหมีแบบนี้ตกรอบแรก"
"พี่อิน จริงจังป่ะเนี่ย"
"จริงจังดิ"
"สรุปคืออกหักใช่มั้ย"
ผมยิ้ม ไม่ตอบ เวลาน้องหมีทำหน้าเศร้า ตัวงอหูตกแปลงร่างเป็นริลัคคุมะมันทำให้ผมรู้สึกเหนือกว่า ไม่ได้อยากจะแกล้งแต่อยากให้น้องมันพยายามอีกนิด ถึงเราจะอยู่ในจุดเริ่มต้น แต่มันไม่ได้เริ่มจากศูนย์
"ถ้ารักจริงก็ต้องพยายามดิ"
"อย่ามาให้ความหวัง"
"นี่เปิดใจอยู่นะ ถ้าเกลียดจริงๆ ป่านนี้หนีออกจากห้องไปแล้ว"
ถ้าว่ากันตามเรื่องแบบแมนๆ ใจแคบ บรรยากาศในห้องนี้คงอึดอัดจนทนอยู่ไม่ได้ ผมอาจจะตะคอกใส่น้องหมีแล้วออกไปจากห้อง หรือไม่ผมก็ไล่น้องมันออกไปแทน หรือไม่ถ้ามันคนที่ใจเย็นมากๆ คงเก็บอารมณ์จนรู้สึกอึดอัด แต่นี่เรายังพูดคุยกันได้ปกติ
"แล้วแบร์ต้องทำไงต่อ"
"คิดเองดิ"
"ก็พี่อินบอกไม่ชอบผู้ชายตัวใหญ่"
ผมยิ้ม ไม่ตอบอีกรอบ ผมชอบไอดอล และไอดอลส่วนใหญ่ที่ผมชอบจะตัวเล็กๆ ขาวๆ มีทั้งน่ารัก สวย เซ็กซี่ปะปนกันไป แต่นั่นมันคือดินแดนในฝัน ไอดอลคือความฝัน ผมไม่มีทางคว้าเธอเหล่านั้นมาอยู่ข้างกายได้ และมันก็ไม่ได้บ่งบอกด้วยว่าคนรักในชีวิตจริงของผมต้องเป็นยังไง บางทีในอนาคตคนคนนั้นอาจจะเป็นผู้ชายตัวใหญ่เหมือนหมีก็ได้ใครจะไปรู้
"สึคิ เอ้ย! ไม่ใช่ดิ ต้องสุคิ"
"จะเล่นอะไรอีก"
"อะนะตะก๊ะ สุคิเดส"
"รู้แล้ว"
"สึคิอัตเตะ คุดะไซ"
ผมส่ายน้า น้องหมีก็ทำหน้างอ ถึงผมจะชอบมุกนี้แต่จะเล่นกี่รอบผลตอนนี้มันก็ออกมาเหมือนเดิม
"ที่ผ่านมาไม่หวั่นไหวเลยเหรอ"
"ทำไมต้องหวั่นไหว"
"ทั้งหล่อ ใจดี สปอร์ต กทม. ด้วยนะ"
แม้มุกจะเก่าแต่ผมก็เห็นด้วย ที่ผ่านมาผมชมน้องมันตลอด ตัวสูง เท่ หน้าตาดี นิสัยน่ารัก แถมมาเที่ยวยังเปย์ผมอยู่หลายมื้อ มีคุณสมบัติครบถ้วนพอที่จะทำให้ทั้งหญิงและชายทั่วแผ่นดินหวั่นไหวได้ และผมก็เคยหวั่นไหวกับด้านดีๆ ของน้องหมีมาแล้ว แต่ใจผมมันก็ยังไม่พร้อมอยู่ดี
"ก็ทำให้หวั่นไหวมากกว่านี้ดิ"
"แสดงว่าที่ผ่านมาก็มีหวั่นไหวบ้างใช่มั้ย"
ผมยิ้ม ไม่ตอบอีกครั้ง ปล่อยให้คิดเอาเอง
"งั้นขอกำลังใจหน่อยดิ"
"ยังไง"
"ขอจูบหน่อย"
ผมส่ายหน้ารัวๆ คำขอนี้มันมากเกินไป ให้ไม่ได้
"หอมแก้ม"
ส่ายหน้ารัวๆ เป็นคำตอบอีกครั้ง อันนี้ก็เยอะไป
"ขอกอดก็ได้"
ผมยิ้ม ไม่ตอบ แต่น้องหมีคงรู้คำตอบแล้วถึงได้ขยับเข้ามาหาแล้วสวมกอดจนผมเกือบจะจมหายเข้าไปในตัวน้องมัน
"ขอบคุณที่ไม่รังเกียจนะ แบร์กลัวว่าจะโดนพี่อินเกลียดตั้งแต่ที่ยอมรับว่าชอบผู้ชายแล้ว"
"คิดมากน่า" แบบนั้นมันไร้เหตุผลเกินไป ถ้าเกิดผมเกลียดน้องหมีเพียงเพราะน้องมันชอบผู้ชายขึ้นมาจริงๆ ผมคนนี้คงจะผิดหวังในตัวเองอย่างมาก
"ตั้งแต่มาถึงญี่ปุ่นแบร์พยายามจะจีบพี่อินตลอดเลยนะ รู้ตัวบ้างมั้ย"
"ตั้งแต่มาถึงเลยเหรอ" ผมเงยหน้าขึ้นมอง ประหลาดใจมากกับคำสารภาพนี้เพราะผมเพิ่งจะสงสัยว่าน้องมันอาจจะคิดไม่ซื่อเมื่อสองวันก่อนหน้านี้เอง
"ที่จริงอยากจะจีบตั้งนานแล้ว แต่ก็กลัว กลัวว่าพี่อินจะไม่ยอมมาเจอกันอีกทั้งที่ปกติก็เจอกันน้อยมากอยู่แล้ว"
"เหรอ" ได้แค่ตอบรับแล้วหัวเราะเบาๆ เพราะผมก็กลัวว่าถ้าเป็นเมื่อก่อนจุดจบคงเป็นอย่างที่น้องหมีพูดมา
"สมมตินะ ถ้าแบร์บอกรักพี่อินตั้งแต่เก้าปีก่อนจะเป็นยังไง"
"คงไม่ได้มาเจอกันแบบนี้แล้วมั้ง"
"นั่นไง เพราะไม่อยากให้เป็นแบบนั้นไง" พูดแล้วก็กอดผมแน่นขึ้นไปอีก
"ปล่อยก่อน แน่นไปแล้ว"
"อยากกอดทั้งคืนเลย" บอกแล้วก็ไม่ยอมฟัง ถ้ารัดแน่นกว่านี้ตัวผมอาจจะขาดสองท่อนก็เป็นได้
ในเมื่อไม่ยอมปล่อยดีๆ ผมเลยออกแรงดันเต็มกำลังจนในที่สุดน้องหมีก็ยอมคลายอ้อมแขนออก แต่พอเห็นทำหน้าจ๋อยเหมือนเด็กโดนทิ้งแล้วก็ไม่อยากลุกหนี ทำไมน้องมันต้องทำให้ผมเป็นพวกให้ความหวังคนอื่นด้วยก็ไม่รู้
"นั่งแบบนี้เหมาะกว่า" ผมเปลี่ยนท่าเป็นนั่งหันหลังพิงน้องมันแทน พูดง่ายๆ ก็นั่งตักนั่นแหละ
พออยู่ในท่าทางแบบนี้ตัวผมยิ่งดูเล็กเข้าไปอีก แค่น้องหมีใช้สองแขนโอบไว้ก็แทบจะจมหายเข้าไปในอก แต่ได้อยู่ในอ้อมแขนคนตัวใหญ่กว่าแบบนี้มันอุ่นดีชะมัด
"ไม่เหมือนตอนเด็กแล้วนะ ตอนนั้นพี่อินยังกอดปลอบแบร์ได้อยู่เลย"
"ใครไม่รู้โคตรขี้แย"
"ตอนโดนแม่ตีไม่เคยร้องไห้เลยเถอะ"
"แต่โดนด่าคำเดียวร้องเลย"
"โดนด่ามันกระทบความรู้สึกไง"
"แบร์หนังหนาไงโดนตีเลยไม่เจ็บ"
นึกถึงเรื่องสมัยเด็กทีไรก็มีความสุขทุกที ช่วงประถมน้องหมียังตัวเล็กกว่าผม เวลาโดนด่าโดนตีทีไรก็ชอบวิ่งมาให้ผมปลอบ ต้องกอดแล้วลูบหัวจนกว่าน้องมันจะหยุดร้อง น้ำหูน้ำตาน้ำมูกเปรอะเลอะเสื้อไปหมด แต่ตอนนี้ผมก็ยังกอดปลอบน้องมันได้นะ ยังพร้อมเป็นที่พักพิงให้เสมอ
"พี่อิน" น้องหมีเสียงเรียกอ่อยดังใกล้ๆ หู
ผมไม่หันไปมองหรอกเพราะน้องมันก้มหน้าลงมาคลอเคลียแถวๆ คอ เดาได้เลยว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น
"ไม่คิดดูใหม่หน่อยเหรอ"
"คิดอะไร"
"แฟนอย่างแบร์หาที่ไหนไม่ได้แล้วนะ หล่อ สูง รวย เก่ง อ้อนได้ ปกป้องพี่อินได้ด้วย รับรองไม่มีใครมารังแก"
อะไรคือการโฆษณาตัวเองแบบนี้ มันถูกอย่างที่ว่ามาหมดนั่นแหละ ครบเครื่องแบบนี้คงหาที่ไหนไม่ได้ง่ายๆ แถมความกวนประสาทไปด้วยอีกข้อ แต่โตป่านนี้แล้วใครจะมารังแกผม ไม่ใช่เด็กๆ ที่ยังนัดต่อยกันหลังโรงเรียนสักหน่อย
"อยากปกป้องคนอื่นไง ไม่ได้อยากให้ใครมาปกป้อง"
"พี่อินปกป้องแบร์มาหลายครั้งแล้ว จากนี้ให้แบร์ปกป้องพี่อินบ้างไง"
ฟังแล้วหุบยิ้มไม่ได้เลย ผมชอบคนขี้อ้อน เลยไม่แปลกใจว่าทำไมผมถึงชอบคนนิสัยแบบน้องหมี
หวั่นไหวอีกแล้ว เอายังไงดีล่ะหัวใจ
"นอนเถอะ" ขืนยังอยู่สภาพแบบนี้ต่อไปไม่ดีแน่ๆ
ผมจับแขนน้องหมีออกแล้วลุกออกจากตัก น่าแปลกที่น้องมันยอมปล่อยง่ายๆ แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ล้มตัวลงนอนบนฟูก คนที่ยังนั่งนิ่งอยู่เมื่อกี้ก็ขยับเข้ามาหาจนอยู่ในระยะประชิด
ผมนั่งชันเข่ามือยันพื้นตัวเอนไปด้านหลังเล็กน้อยในขณะที่น้องหมีคลานเข้ามาอยู่ตรงกลางระหว่างขา มันไม่ปลอดภัย ผมรู้แต่กลับไม่ร้องห้ามหรือขัดขืน
อ้อมแขนที่เพิ่งผละออกมาเข้ามาโอบกอดกันอีกครั้ง หลังผมแนบลงกับฟูกที่นอน สองแขนโอบรอบคอคนที่คร่อมอยู่ด้านบน ใบหน้าขยับเข้ามาใกล้จนริมฝีปากเราสัมผัสกัน
น้องหมีรุกเร้าแต่ไม่ได้รุนแรงนัก นอกจากปากที่ดูดดึงขบเม้มเบาๆ ฝ่ามือสากๆ ก็พยายามจะสอดเข้ามาใต้เสื้อตลอดเวลา ขัดขืนปัดป้องได้ชั่วครู่สุดท้ายก็สู้แรงไม่ได้ น้องมันคว้าหมับเข้าที่เอวสัมผัสลูบไล้จนพอใจก่อนจะค่อยๆ ไล่สูงขึ้นมา ถึงจะเคลิ้มสติที่มีก็ยังครบถ้วน ผมยอมนะในขอบเขตที่สมควร แต่ตอนนี้ชักจะเหลิงไปใหญ่แล้ว
ผมกัดปากน้องหมีไม่แรงนักแต่ก็ทำให้น้องมันผละออกไปได้ เพราะเรื่องกำลังผมไม้สู้ เอาตรงๆ คือสู้ไม่ไหว วิธีนี้นี่แหละได้ผลชะงัด
"ชอบความรุนแรงเหรอ"
"ไม่ได้ชอบ"
"ปากแตกมั้ยเนี่ย"
"รีบลุกออกไปเลย" ผมออกแรงผลักเบาๆ นอกหมีก็ยอมพลิกตัวกลับไปนอนฟูกตัวเอง
"กลัวห้ามใจไม่อยู่อ่ะดิ"
"ยังไม่อยากเสียตัว"
น้องหมีหัวเราะร่วนๆ วาดแขนขามากอดผมไว้อีกครั้ง ห้ามไปก็เท่านั้นจริงๆ
เรื่องแบบนี้มันไม่เข้าใครออกใคร ลองปล่อยให้จิตใจเตลิดไปมากกว่านี้ ถึงปากจะบอกไม่ยอม แต่พนันล้านนึงเลยว่าถ้าไม่หยุดกันตรงนี้คืนนี้ผมได้เป็นเมียสมใจน้องมันแน่ๆ
"ขอกอดทั้งคืนเลยได้มั้ย"
ผมไม่ตอบ ก็กอดไปแล้วยังจะมาขออะไรอีก
"แล้วพี่อินจะต้องเสียใจที่ปฏิเสธ"
ได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจ ผมไม่มีทางเสียใจกับสิ่งที่ตัดสินใจไปแล้วเด็ดขาด แต่อย่างน้อยคืนนี้ก็เป็นคืนในญี่ปุ่นที่อบอุ่นที่สุด
TBC.
พระเอกเราต้องอกหักใช่ไหม แค่ 8 วัน 7 คืน มันคงสั้นไปจริงๆ แหละ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้าจ้า