บทที่ 20
หลังจากวันนั้นไอ้โหดมันก็ไม่ปล่อยให้ผมไปอยู่ไกลตัวมันเลย ถ้าวันไหนที่มันจำต้องทำหน้าที่รับแขกแทนคุณเม มันก็ให้พี่ชัชมาอยู่กับผม แต่ผมไม่ได้เล่าเรื่องที่ถูกคนทำร้ายให้ใครฟังเลยรวมถึงมันด้วย ผมลืมไปแล้วด้วยซ้ำเพราะต้องทำงานตลอด ผมก็ไปทำงานตามตารางงานปกติ ตอนเย็นก็มาซ้อมเดินแบบและเต้นรำงานการกุศลของคุณเม ผมต้องเต้นรำกับมิเชลเป็นการเปิดฟลอร์ด้วย หลังจากที่ผมกับมิเชลเปิดฟลอร์เสร็จคนอื่นถึงจะเริ่มเต้นรำ ใครก็ตามที่สามารถหาเจ้าชายมิคาเอลเจอและสามารถเต้นรำกับเจ้าชายในเพลงสุดท้าย คนๆ นั้นจะได้รับของขวัญพิเศษจากเจ้าชาย ทุกคนในงานจะไม่รู้ว่าใครเป็นใครเพราะต้องใส่หน้ากากด้วยนะครับ ส่วนเรื่องคนที่มันคิดทำร้ายผม ตอนนี้ก็หายเงียบไปเลย แต่ผมก็ระวังตัวตลอดนะ ยิ่งเงียบยิ่งต้องระวัง แต่ถามว่ารู้สึกไหมว่ามีคนตาม บอกเลยว่ารู้สึกตลอดเวลา ผมพยายามไม่ไปไหนคนเดียว ไม่ไปในที่ๆ ไม่ค่อยมีผู้คน ทำงานเสร็จก็กลับบ้านเลยเพื่อความสบายใจของผมเองและของไอ้โหดมัน
แล้วในที่สุดวันงานการกุศลก็มาถึง เรียกได้ว่าเป็นงานรวมตัวของบรรดาคนมีอันจะกิน ดาราดัง นักร้องนักแสดงทั้งไทยและต่างประเทศที่มีชื่อเสียงหลายคนก็มาร่วมงานนี้ด้วย ที่ขาดไม่ได้ก็คือนักข่าว เรียกได้ว่าไม่ใช่งานช้างธรรมดา แต่เป็นโคตรช้างแมมมอธชุบแป้งชุบไข่แล้วชุบเกล็ดขนมปังไปทอดอีกที มันใหญ่เวอร์วังอลังการดาวล้านดวงสุดๆ
ผมกับมิเชลแต่งตัวแต่งหน้าเสร็จแล้วก็มานั่งรออยู่ในห้องรับรองพิเศษที่ด้านหลังของเวที ส่วนคนอื่นๆ ก็ต้องไปแต่งตัวในห้องที่คุณเมจัดเอาไว้ให้ ผมไม่เห็นไอ้โหดกับธารเลย มาถึงงานผมก็ถูกคุณเมลากมาห้องนี้แล้ว เสียงดนตรีดังลอยเข้ามาในห้องผมเลยนึกขึ้นได้ว่าไอ้ธีมมันเล่นต้องเล่นดนตรีในงานด้วย มันคงไปเตรียมตัวเหมือนกัน ผมเห็นมิเชลพยายามจะชะเง้อคอมองไปข้างนอกตลอด คงจะมองหาไอ้โหดอยู่เหมือนกัน ผมเดาเอานะ
“อีกสองวันมิเชลก็จะกลับบัณตราแล้ว” มิเชลเอ่ยขึ้นมาก่อน
“ไม่อยู่เที่ยวที่นี่ต่อเหรอครับ” ผมถาม แต่จริงๆ รีบไปรีบกลับก็ดีนะ คนเราไม่ควรห่างบ้านนานๆ เนอะ
“ท่านพี่ไม่ยอมให้มิเชลอยู่ นาวขออนุญาติท่านพี่ให้มิเชลหน่อยสิ” งานเข้าไอ้นาวแล้วทีนี่
“เอ่อ คือ..”
“นาวคงอยากให้มิเชลรีบกลับเพราะนาวไม่อยากให้เราไปไหนมาไหนกับพี่ธีมใช่ไหม”
“องค์หญิงไม่ควรพูดเช่นนั้นกับแขก เป็นการเสียมารยาทนะครับ” เสียงเข้มๆ ดังแทรกบทสนทนาระหว่างผมกับมิเชล ผมสะดุ้งเลยเพราะไม่รู้ว่าองค์รักษ์หน้าดุคนนั้นมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ตอนไหน แถมยังกล้าทำเสียงดุเจ้าหญิงอีกต่างหาก
“มิเชลแค่พูดความจริง” มิเชลเถียงเสียงเบา ดูแล้วคงจะเกรงองค์รักษ์คนนี้ไม่น้อย
“ความจริงคือท่านหญิงต้องกลับบัณตราตามกำหนด” องค์รักษ์หน้าดุพูดจบมิเชลก็ถอนหายใจก่อนจะหันไปนั่งเล่นโทรศัพท์ของตัวเองเงียบๆ พอเห็นท่าทางแล้วผมก็อดสงสารไม่ได้ แต่ผมไม่กล้าพูดอะไรหรอกครับ กลัวท่านองค์รักษ์จะบั่นคอผม ผมจะหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าขึ้นมาเล่นบ้าง แต่ดันซุ่มซ่ามทำกระเป๋าหล่น ยังไม่ทันที่ผมจะก้มเก็บของที่หล่น มือขององค์รักษ์ก็มาหยิบมีดพกที่ตกอยู่ที่พื้น
“คุณได้มาจากที่ใด” เสียงที่ถามเบานะ แต่น้ำเสียงทรงไปด้วยอานุภาพทำลายล้างขวัญสั่นประสาทของผมมาก
“เอ่อ คือ..คือ ผมเก็บได้” ผมไม่รู้จะบอกเขาว่ายังไง องค์รักษ์มองจ้องผมอยู่สักพักก็ส่งมีดคืนผม
“เก็บเอาไว้ให้ดีนะ” เขาบอก ผมพยักหน้าก่อนจะรีบเก็บใส่กระเป๋า แต่องค์รักษ์คนนี้กลับแตะที่มือผมก่อนจะพูดเบาๆ ให้ผมได้ยินเพียงลำพัง ผมฟังแล้วมองหน้าเขา ก่อนจะพยักหน้าอีกรอบ
“ได้เวลาแล้วค่ะ ท่านหญิงพร้อมไหมคะ น้องนาวละ พร้อมไหม เดินแบบเสร็จแรกเสร็จแล้ว การประมูลก็เพิ่งจะเสร็จไป เดี๋ยวน้องนาวกับท่านหญิงไปเดินชุดฟินนาเล่เสร็จแล้วช่วงต่อไปคืองานเต้นรำแล้ว อย่าลืมใส่หน้ากากกันด้วยนะคะ” คุณเมเดินมาบอก
ผมกับมิเชลลุกขึ้นเตรียมตัว คุณเมเดินนำเราสองคนออกไปด้านหลังของเวที ผมกับมิเชลออกไปเดินในชุดฟินนาเล่ เรียกเสียงฮือฮาจากแขกในงาน แสงแฟลชวูบวาบอยู่เบื้องล้าง มีความรู้สึกว่ามือของมิเชลสั่นเล็กน้อย อาจจะตื่นเต้น ส่วนผมมันเจนเวทีตั้งแต่เด็กเลยกระชับมือของมิเชลเพื่อเป็นกำลังใจ ผมก็ทำหน้าที่ของตัวเองในการเดินแบบจนเสร็จจากนั้นเสียงพิธีกรก็บอกกติกาของเกมส์ตามหาเจ้าชายมิคาเอลแห่งบัณตรา แขกผู้มีเกียรติที่เป็นผู้ชายก็สามารถขอเต้นกับผู้ชายเหมือนกันได้เพื่อตามหาเจ้าชายมิคาเอลตัวจริง เพราะรางวัลนี้เจ้าชายอยากให้ทุกคนมีสิทธิ์ คนทุกเพศทุกวัยก็เล่นเกมส์นี้ได้ หลังจากนั้นพิธีกรก็พูดเปิดงานเต้นรำ
ผมยื่นมือไปให้มิเชล เพราะเราทั้งสองคนต้องเปิดฟลอร์เต้นรำ เธอก็วางมือบนมือผม แล้วผมก็นำมิเชลเดินออกไปอยู่ที่กลางฟลอร์ เสียงดนตรีจังหวะวอลซ์ดังขึ้น แสงไฟส่องมาที่ผมกับมิเชล ผมกับเจ้าหญิงแห่งบัณตราเริ่มวาดเท้าไปตามเสต็ป เสียงปรบมือดังขึ้น ดนตรีเล่นไปสักพัก หลายๆ คู่ก็เริ่มทยอยเข้ามาในฟลอร์เต้นรำ สายตาผมเริ่มมองหาไอ้โหดบนเวที แต่ทุกคนใส่หน้ากากหมด แถมไฟก็สลัวเลยมองไม่ถนัด ผมเลยต้องหันกลับมาสนใจคู่เต้นของผม เพราะถ้ามัวแต่สนใจอย่างอื่นผมอาจจะเหยียบเท้าเธอให้อายได้ จนกระทั่งนักดนตรีเปลี่ยนเพลงเป็นสัญญานบอกว่าให้เปลี่ยนคู่เต้นรำได้ เจ้าหญิงรีบผละออกจากตัวผม คาดว่าคงจะเดินตามหาไอ้โหดแน่ๆ ผมกำลังจะเดินออกไปนอกฟลอร์แต่จู่ๆ ก็มีคนดึงผมไปเต้นรำด้วย พอได้เห็นใกล้ๆ ก็รู้ว่าเป็นไอ้มีนครับ
“แก คนไหนเจ้าชายวะ บอกมาดิ๊” ไอ้มีนกระซิบถามผม
“เฮ้ย จะไปรู้ได้ไง” ผมบอกมัน
“แกนี่ไม่ช่วยเพื่อนเลย แกพาฉันเต้นไปรอบๆ ก่อน เจอใครคล้ายเจ้าชายก็บอกด้วย ฉันพนันกับไอ้ยีนเอาไว้ว่าใครจะชนะ”
“เออๆ ได้รางวัลหารสองด้วย” ผมบอก มันเบ้ปากใส่ผม ผมพามันเต้นวนไปรอบๆ แต่ผมก็ไม่เห็นใครสักคนที่ดูจะคล้ายเจ้าชาย จนเพลงเปลี่ยนเป็นครั้งที่สอง ไอ้มีนเลยต้องเปลี่ยนคู่เต้น คราวนี้ผมรีบเดินออกจากฟลอร์เลย ไม่อยากเต้นกับใครแล้ว
“จะรีบไปไหน เต้นด้วยกันก่อนสิครับ” ใครคนหนึ่งคว้ามือของผมไปเต้นรำและใครคนนั้นเป็นผู้ชายสวมหน้ากากปิดบังใบหน้ามิดชิด แต่ผมว่าผมรู้ว่าเป็นใคร ซึ่งมันทำให้ผมเกร็งสุดๆ
“คือฝ่าบาท..คือ กระหม่อม คือ”
“ไม่ต้องเกร็ง ทำตัวตามสบาย เราขอยืมตัวนาว เต้นรำกับเราจนจบเพลงจะได้หรือไม่”
“แต่ว่า..มันจะ..คือ มันจะไม่ดีครับ นาวเคยเจอฝ่าบาทมาก่อน ถ้าได้รางวัลไป คุณเมจะถูกตำหนิ” ผมรีบหาทางชิ่งก่อน
“ฉลาด”
“อะ..อะไรนะครับ”
“นาวฉลาดพูด เช่นนั้น ขอเราเต้นรำกับนาวจนกว่าเพลงจะเปลี่ยนแล้วกัน”
“......”
“ไม่เต็มใจหรือ” น้ำเสียงนุ่มนวลของเจ้าชายมิคาเอลดูเกรงอกเกรงใจผมจนผมไม่กล้าปฏิเสธ
“เปล่าครับ แต่มันเขินๆ ผู้ชายมาเต้นด้วยกัน” ผมพูดจบเจ้าชายมิคาเอลก็ใช้มือดันหลังของผมให้ไปชิดตัวของพระองค์มากขึ้นแล้วพาผมวาดเท้าไปทั่วฟลอร์
ถามว่ามีคนสนใจไหม คงจะมี เพราะผมยังอยู่ในชุดเต็มยศซึ่งมันอลังการมากก็เด่นอยู่แล้ว แถมตอนนี้กำลังเต้นรำกับผู้ชายเหมือนกัน แต่ในเมื่อเจ้าชายยังวางเฉย ผมก็เลยต้องเฉยไปด้วย
“อยากไปเที่ยวบัณตราบ้างไหม” เจ้าชายถามผม
“คิดว่าคงได้ไปในสักวันแน่นอนครับ” ผมตอบ
“ที่นั่นสวยงามมากนะ บางทีนาวอาจจะติดใจจนไม่อยากกลับ” เจ้าชายพูดกับผมเหมือนปกติ แต่ผมว่ามันดูแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้
“อ๋อ ครับ” ผมตอบได้แค่นี้ ไม่อยากมโนไปว่าเจ้าชายอาจจะมีรสนิยมเหมือนผม จะเป็นการมโนที่จาบจ้วงจนเกินไป
เจ้าชายยังคงชวนผมคุยไปเรื่อยๆ จนกระทั่งนักดนตรีเปลี่ยนเพลง เจ้าชายถึงได้ปล่อยผมให้เป็นอิสระ ผมรีบเดินไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเลย ไม่อยากใส่ชุดนี้แล้ว มันเด่นเกินไป แต่ระหว่างทางที่จะเดินกลับไปที่ห้อง ผมรู้สึกว่ามีคนเดินตามผมอยู่ ผมเร่งฝีเท้าก่อนจะรีบหลบเข้ามุมทางเดินเมื่อมีโอกาส เสียงฝีเท้าเงียบลง แต่ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงอีก ผมหยิบมีดพกที่พกติดตัวเอาไว้ขึ้นมา
“แกเป็นใคร!!!!” พอเสียงฝีเท้ามาถึงตัวผม ผมก็กระโจนออกมาพร้อมกับชูมีดเอาไว้
“แฟนคุณไง” เสียงคนที่เดินตามมาตอบผม ผมลดมีดลงก่อนจะเป่าปากโล่งอกเมื่อเห็นว่าคนที่เดินตามมาคือไอ้โหดนั่นเอง
“เดินตามมาเงียบๆ ถ้านาวเสียบพุงพี่จะทำยังไง” ผมถามมันที่ทำหน้าตกใจที่เห็นมีดในมือผม
“นาวก็เป็นหม้ายไง” มันตอบก่อนจะมองซ้ายมองขวาแล้วดึงมือผมให้เดินตามมันไป
มันพาผมเดินอ้อมไปทางบันไดหนีไฟ แล้วก็พาเดินขึ้นไปจนผมหอบเลย ไม่ใช่ไม่แข็งแรงนะครับ ก็ไอ้ชุดพร้อมกับเครื่องประดับที่อยู่บนร่างกายผมมันหนักมาก ผมสงสัยจริงๆ ว่าราชวงศ์นี้เขาไม่เมื่อยกันรึไงถ้าต้องใส่ชุดแบบนี้เดินไปเดินมาทั้งวัน แล้วดูชุดไอ้พี่ธีมสิ สูทธรรมดา ถึงว่า...เดินตัวปลิวเชียวนะแก
มันพาผมขึ้นมาบนดาฟ้าของโรงแรม บนดาดฟ้านี้ไม่มีอะไรหรอกครับ มีเพียงต้นไม้ขนาดไม่ใหญ่หนึ่งต้น มีไฟกระพริบประดับอยู่ตามกิ่งก้าน ยังมีโต๊ะอีกหนึ่งตัวรองรับขวดแชมเปญกับแก้วเอาไว้ มันจูงมือผมเดินไปถึงโต๊ะมันก็หยิบโทรศัพท์ออกมาวาง กดเล่นเพลง แล้วมันก็โค้งให้ผม
“เต้นรำกับพี่นะ”
“พี่ไม่ต้องไปเล่นดนตรีเหรอ” ผมถาม
“พี่บอกแล้วไง ว่าจะเล่นเพลงเพราะๆ ให้คนที่รักฟังเท่านั้น” ผมได้ยินแล้วอยากจะย้อนถามมันว่า แล้วที่มันเล่นให้มิเชลฟังละ แปลว่ารักมิเชลสินะ แต่ไม่อยากทำลายบรรยากาศดีๆ ที่มันอุตส่าห์ตั้งใจทำให้ผม ที่ว่ามันตั้งใจคือ ไอ้ต้นไม้ที่ประดับไฟ มันคือต้นพุดซ้อน ผมจำกลิ่นได้ดี อุตส่าห์ไปแบกมาเพื่อเซอร์ไพรส์ผม
“หายหน้ามาเพื่อการนี้เหรอ แล้วไปหัดเต้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“จะถามพี่อีกนานไหม” มันถาม ผมแอบขำ มันยื่นมือมา ผมส่งมือให้มัน แล้วมันก็โอบเอวผมให้ไปชิดกับตัวมัน
“ทีแรกก็จะชวนมาดื่มแชมเปญชมจันทร์เฉยๆ ไม่ได้จะอยากมาเต้นรำอะไรหรอก แต่นาวเต้นรำกับเจ้าชาย พี่เห็นนะ” มันบอก ทำเสียงงอนๆ ใส่ผมด้วยนะไอ้เมือกปลา
“ก็เขามาขอเต้น ว่าแต่เห็นเขาเต้นกับนาว เลยต้องเต้นทับรอยว่างั้น” ผมขำความขี้หวงเหมือนหมาของมันจริงๆ
“แต่ทำไมต้องเบียดกันด้วย”
“อ๊าว เต้นรำนะ ไม่ใช่เต้นกังนัมสไตล์ จะได้ยืนโยกไกลๆ กัน ถามไม่คิด”
“พี่หวง”
“ทีพี่ละ”
“พี่ทำไม”
“ก็พี่ยังได้เสียกับผู้หญิงตั้งสองครั้ง”
“งั้นพี่จะทำนาวพันครั้งเลย จะได้มากกว่าคนอื่น ดีไหม หึหึหึ” มันถามก่อนจะขำ
“ไอ้เมือกปลาหน้าหมาหื่นเอ้ย” ผมว่ามันไปอย่างนั้นแหละ เขินอยู่นี่นา
“พี่บอกกับแม่ไปแล้วนะ ว่าพี่รักนาว”
“ห๊ะ...พี่บอกทำไม” ผมตกใจ หยุดเต้นเลย แต่มันดึงผมให้เต้นรำกับมันต่อ
“ก็แก้ปัญหาเจ้าหญิงตังเมไง”
“แต่ว่า..คือ..แล้ว คุณเมว่ายังไงบ้าง..”
“แม่ไม่ได้พูดอะไร อึ้งไปเลยล่ะ แต่วันหนึ่งเขาก็ต้องรู้อยู่ดี”
“ถ้าคุณเมเกลียดนาวละ”
“เขาไม่เกลียดนาวหรอก”
“ไม่แน่หรอก”
“ฟังนะ ต่อให้คนทั้งโลกเกลียดนาว แต่พี่จะรักนาว เพียงพอไหม พี่จะรักนาวมากขึ้นจนมันมากขึ้นไม่ได้แล้ว” มันบอกกับผม ผมถอนหายใจก่อนจะพยักหน้าให้มัน มันหยุดเต้นแล้วถอดหน้ากากของผมออก ก่อนจะถอดของมันออกเหมือนกัน
“นาวรับปากพี่ได้ไหม ว่านาวจะฝ่าฟันทุกอุปสรรคไปกับพี่” มันถาม
“แล้วมันจะมีอุปสรรคเยอะไหม” ผมถามมัน ยอมรับตรงๆ ว่ากลัว ผมกลัวการสูญเสีย ถึงผมจะเจอกับความสูญเสียมาหลายครั้ง แต่มันไม่ชินหรอกครับ มันยิ่งเป็นปมในใจ
“พี่ก็ไม่รู้ แต่พี่ไม่กลัวอะไรเลย ยกเว้นอุปสรรคเดียว”
“พี่กลัวอะไร”
“นาวไง พี่กลัวนาวไม่เข้าใจ ถอดใจ กลัวความคิดของนาวที่สุดแล้ว”
“โหย นาวจะพยายามมโนให้น้อยลงก็ได้ แต่นาวขี้น้อยใจ พี่ก็อย่าพยายามให้นาวงอนบ่อยๆ ล่ะ นาวก็เหนื่อยนะเวลาที่ต้องงอน พี่เป็นคนง้อเหนื่อยไม่เท่านาวหรอก นาวมั่นใจ เข้าใจไหมไอ้หื่น”
“ครับ..” มันตอบก่อนจะก้มหน้าลงมาจูบผม จูบกันเนิ่นนานเลยจนขาของผมแทบจะหมดแรงมันถึงยอมผละริมฝีปากออกแล้วมาสบตาผมแทน
“หมาธีม ไม่มีพลุเหรอแบบ จูบกันเสร็จต้องมีพลุจุดเป็นพื้นหลังไง พี่ไม่ลงทุนเลยว่ะ” ผมด่า เป็นนาวสไตล์จำได้ไหม เขินต้องด่าไว้ก่อน
“เอาไว้เราได้กันวันไหน พี่จะจุดพลุให้นะ” มันบอก
“โหย สมองพี่นี่บรรจุแต่เรื่องอย่างว่านะ”
“เปล่า บรรจุแต่เรื่องนาวต่างหาก มีแต่นาว” มันบอกผม ทำไมมันถึงได้เป็นคนโรแมนติกขัดกับบุคคลิกของมันจัง
“พอแล้ว ไม่ต้องทำหน้าละมุนใส่ เขิน” เขินจริงๆ แต่ไม่รู้จะสรรหาอะไรมาด่ามันแล้วครับ
“หึหึ” มันหัวเราะก่อนจะก้มลงมาจูบผมอีก สายตาผมเหลือบไปเห็นแสงไฟดวงเล็กๆ สว่างวาบมาจากตึกสูงฝั่งตรงกันข้ามกับดาดฟ้าที่ผมยืนอยู่ ผมสะกิดพร้อมกับชี้ให้ไอ้โหดมันดูก่อนจะเดินไปดูใกล้ๆ แต่เดินไปไม่ถึงไหนก็เสียหลักล้มเพราะชุดมันหนักมากเลย พี่ธีมมันรีบมาดึงตัวผมเอาไว้ก่อนจะหยิบหน้ากากมาใส่ให้ผม มันก็เองก็ด้วย แล้วรีบพาผมลงจากดาดฟ้าไป
“มีอะไร” มันพาผมวิ่งลงมาแบบทุลักทุเลเพราะชุดของผมมันรุ่มร่ามมาก แต่แล้วจู่ๆ มันก็หยุดวิ่ง
“ไม่มีอะไร รีบลงไปเร็ว” มันบอก แต่ชุดที่ผมใส่มันหนาและหนัก ผมเลยวิ่งไม่ถนัด กลัวจะตกบันได้เลยคว้าแขนมัน
“โอ้ย” มันร้องออกมาจนผมตกใจ ที่แขนของพี่ธีมมันเปียกด้วย
“เฮ้ยเลือดนี่ ทำไมแขนพี่มีเลือด” ผมถามมันเมื่อเห็นเลือด แต่มันยังไม่ทันตอบก็มีผู้ชายสวมชุดดำมีหมวกคลุมหน้าคนหนึ่งวิ่งขึ้นมา ไอ้โหดมันรีบดึงมือผมให้ไปหลบข้างหลังมัน
“แกไม่เกี่ยว ถอยไป” ไอ้ชุดดำตวาดเสียงดังใส่ไอ้โหดมัน
“ถ้าแกทำอะไร แกไม่รอดแน่ ตำรวจอยู่ข้างล่างเต็มไปหมด” ไอ้โหดมันขู่
“กูเข้ามาได้ทำไมจะออกไปไม่ได้ หลีกไปไม่งั้นตายทั้งคู่” ไอ้ชุดดำมันบอกพร้อมกับชูปืนส่องมาทางพวกผม
“โอเคๆ ต้องการฉันคนเดียวใช่ไหม จะจับเป็นรึจับตายละ” ผมถาม ต้องถ่วงเวลาด้วยการชวนมันคุย
“เงียบไปเลยนาว” ไอ้โหดบอกพร้อมกับบังตัวผมจนมิด
“มึงปล่อยมันมา” ไอ้ชุดดำบอกไอ้โหด ผมชะโงกหน้าออกมาจากแผ่นหลังไอ้โหด
“ฉันไปกับแกก็ได้ แต่ฉันจะรู้ได้ไงว่าแกจะปล่อยเพื่อนฉัน” ผมถามมัน
“มึงมีทางเลือกรึไง พูดมาก เดี๋ยวกูยิงให้ตายห่าทั้งสองคนเลย” ไอ้ชุดดำมันตวาดมาอีก
“งั้นมึงก็ยิงเลย ยิงมันก่อนนะ ส่วนกูขอแต่งหน้าก่อน กูเป็นดารานะ จะตายหน้าซีดๆ ได้ไง คิดสิคิด” ผมชี้ไปทางไอ้โหดก่อนจะล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง มึงหยาบคายมาผมก็หยาบคายกลับไม่มีโกง
“กูจะยิงมึงคนเดียว” ไอ้ชุดดำบอกผม
“วะ มาสองคนจะยิงคนเดียว กูเหงานะ ตายคนเดียว” ผมแกล้งบ่น
“ยังมีอารมณ์ขำอีกเหรอนาว” ไอ้โหดมันหันมากระซิบถามผม ขำพ่องงงงแกสิ ปืนจ่อหน้าเนี่ย ตูกำลังถ่วงเวลาต่างหากเว้ยไอ้หมาธีม
“พี่หลีกไป มันจะไม่ฆ่าพี่ มันต้องการแต่นาวคนเดียว” ผมบอกไอ้ธีม แต่มันไม่ยอม ยืนบังตัวผมไว้อยู่นั่นแหละ
ผมตัดสินใจผลักหลังไอ้โหดอย่างแรงจนมันล้มลง ชายชุดดำเอี้ยวตัวหลบมาทางผมเพราะไอ้โหดมันเซล้มไปตรงหน้าของมัน จังหวะนั้นผมหยิบมีดพกออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้ววิ่งเข้าหาไอ้ชุดดำมันอย่างเร็ว ตวัดมีดไปที่มือข้างที่ถือปืนของมัน มันร้องเสียงดังพร้อมเลือดที่ข้อมือมันพุ่งเต็มหน้าผมเลย ปืนตกลงไปที่พื้น ไอ้โหดหยิบปืนขึ้นแล้วลุกมายืนข้างๆ ผม ส่วนผมกำลังยืนอึ้งรับประทานอยู่
“แก ฉัน..ฉัน ฉันขอโทษ ฉันไม่คิดว่ามีดมันจะคมขนาดนี้ พี่ธีม มือมันจะขาดไหมอะ” ผมพูดกับชายชุดดำที่กุมข้อมือตัวเอง ใบหน้ามันบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวดอย่างที่สุด
ผมไม่ได้ขอโทษเอาฮานะ คือข้อมือมันเหวอะจนเห็นกระดูกเลย ไอ้คนร้ายมันทรุดตัวลงนั่งร้องโอดครวญ เลือดทะลั่กไม่หยุด ไอ้โหดเดินเข้าไปเอาด้ามปืนทุบท้ายทอยมันจนมันล้มลงนอนกับพื้นนิ่งไปเลย ผมรีบเอามีดตัดเสื้อของคนร้ายให้ขาดเป็นเส้นยาวๆ เพื่อเอามาพันที่ข้อมือของมัน ผมรัดที่แผลแน่นๆ เพื่อห้ามเลือด ผมไม่ได้เป็นคนดีห่วงอะไรมันนะ แต่ถ้ามันตายผมจะรู้ได้ไงว่ามันเป็นใคร แล้วผมก็ไม่อย่ากฆ่าใครตาย ส่วนไอ้โหดโทรศัพท์หาใครไม่รู้ สักพักเดียวตำรวจก็ขึ้นมากันเต็มไปหมด ไอ้โหดและคนร้ายถูกพาไปโรงพยาบาล ส่วนผมอยู่ให้การกับตำรวจก่อนจะถูกพาลงมาที่ห้องพัก
“นาว แกเป็นอะไรไหม” ไอ้เกลือวิ่งเข้ามาในห้อง หน้าของมันซีดมากเลย จากนั้นเดอะแก๊งก็ทยอยกันเข้ามา
“กรี๊ดดดด ไอ้นาว เลือดเต็มหน้าแกเลย พามันไปโรงพยาบาลสิเกลือ” ไอ้มีนเห็นผมก็ร้องกรี๊ดดังลั่น ผมรีบยกมือห้ามมัน
“ไม่ใช่เลือดฉัน ฉันไม่เป็นอะไร ฉันจะไปหาพี่ธีม พาฉันไปหน่อย” ผมบอกพวกมัน ผมห่วงพี่ธีมเพราะว่าแขนของพี่ธีมมีแผลจากการโดนยิง ตำรวจบอกผมว่าไอ้หมาธีมมันถูกยิง
“แกไปล้างหน้าอาบน้ำก่อนเถอะ ไปแบบนี้ ใครเห็นก็ตกใจกันหมด” ไอ้จอมบอก ผมพยักหน้าแต่พอลุกขึ้นยืนเสียงประตูห้องก็เปิดออก คุณปริณเดินเข้ามา พอเห็นผมก็เดินตรงเข้ามากอดผม
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม ลุงตกใจแทบแย่”
“ครับ นาวไม่เป็นไรแล้ว นาวไม่ปล่อยให้ลุงอยู่กับไอ้มาม่อนหรอกครับ” ผมเป็นฝ่ายปลอบคุณปริณเพราะผมสัมผัสได้ว่าแขนที่กอดผมสั่นมากๆ คุณปริณเสียเพื่อนที่รักไปสองคนแล้ว ผมเหมือนตัวแทนของพ่อกับแม่ คุณปริณคงใจไม่ดีที่ผมได้รับอันตราย
“ลุงดีใจที่นาวปลอดภัยนะ”
“ครับ ผมขอตัวไปอาบน้ำล้างเลือดออกก่อนนะครับ ดูสิครับเลือดเปื้อนเสื้อลุงปิณหมดแล้ว” ผมบอก ลุงปริณยอมคลายอ้อมกอดออก
“คุณเมอยู่ที่โรงพยาบาลแล้ว เดี๋ยวน้องนาวอาบน้ำเสร็จลุงจะพาไป” ลุงปริณบอก
ผมพยักหน้าแล้วรีบไปอาบน้ำเปลี่ยนชุด
กลิ่นคาวเลือดคลุ้งไปหมด ผมนึกแล้วยังสยองไม่หาย นึกถึงคำพูดของคุณมาคัสที่กระซิบบอกผม คุณมาคัสบอกว่าให้ผมเอามีดเล่มนี้ติดตัวไปตลอดอย่าทิ้งไว้ในกระเป๋า นึกขอบคุณในใจเพราะถ้าไม่มีมีด ป่านนี้เลือดที่คละคลุ้งอยู่คงเป็นของผมแน่ๆ ผมสงสัยว่าใครยิงพี่ธีม ทำไมผมไม่ได้ยินเสียงปืนเลย คนร้ายที่โดนผมปาดข้อมือมันวิ่งมาจากข้างล่าง แต่ไอ้โหดน่าจะโดนยิงตั้งแต่บนดาดฟ้า เอ๊ะ..แสงไฟดวงเล็กที่ผมเห็นจากตึกร้างข้างโรงแรมอาจจะเป็นปืนเก็บเสียง ถ้ายิงมาจากที่นั่นไอ้คนร้ายที่ตำรวจจับได้ก็ไม่น่าวิ่งมาถึงตัวผมได้เร็ว แสดงว่าพวกมันต้องมีมากกว่าหนึ่งคน แล้วทำไมมันถึงอยากฆ่าผมคนเดียว ถ้ามันตั้งใจยิงผม อาจจะเป็นตอนที่ผมล้มเสียหลักเพราะชุด ไอ้โหดเข้ามาหาประคองผมเลยรับวิถีกระสุนแทน ถ้าผมไม่ล้มเพราะชุดรุ่มร่ามนั่น ผมอาจจะถูกกระสุนเจาะที่หัวใจไปแล้ว ผมไม่อยากบอกว่าเป็นโชคดีเพราะไอ้โหดมันต้องมาเจ็บตัวแทนผมแบบนี้
ผมปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวราดรดมาบนหัวอยู่นาน เผื่อความเย็นของน้ำจะช่วยให้ผมหายฟุ้งซ่านได้บ้าง ถ้าอยากทำร้ายกันขนาดนี้ มันต้องมีที่มาที่ไปซับซ้อนมากกว่าที่ผมคิด ผมต้องรู้ให้ได้ว่าแรงจูงใจในการฆ่าผมมันคืออะไร
ผมอาบน้ำเสร็จแต่งตัวเสร็จแล้วก็ยังไม่ได้ไปโรงพยาบาลในทันทีเพราะตำรวจมาขอสอบปากคำเพิ่ม ผมเลยเล่าเหตุการณ์ไปตามจริงแต่ แต่มีที่ไม่จริงนิดหน่อย ผมบอกตำรวจไปว่าผมจะเป็นลม ผู้จัดการส่วนตัวผมก็คือพี่ธีมเลยพามาสูดอากาศบนดาดฟ้า ขืนบอกว่าผมมาเต้นรำสวีทกับพี่ธีมคงได้เป็นข่าวใหญ่อีกแน่ ส่วนงานการกุศลยังดำเนินต่อไป ไม่มีใครทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับผมเพราะคุณปริณจัดการเก็บข่าวได้เงียบกริบ เสร็จจากให้ปากคำผมก็เตรียมตัวไปโรงพยาบาล คุณปริณต้องอยู่รับรองแขกในงานแทนคุณเมเลยให้คนขับรถไปส่งและให้บอดี้การ์ดติดตามผมไปสามคน ไอ้เกลือบอกว่าจะไปกับผมด้วย ส่วนเพื่อนผมคนอื่นยังต้องอยู่ในงานเพื่อไม่ให้ผิดปกติ
ผมมาถึงโรงพยาบาลก็ทราบว่าไอ้โหดมันปลอดภัยดีและเข้าพักที่ห้องพิเศษแล้ว ผมกับไอ้เกลือมาถึงห้องพักก็เห็นคุณเมกำลังคุยอะไรกับไอ้โหดอยู่ แต่พอทั้งคู่เห็นผมก็หยุดการสนทนาทันที คุณเมรีบเดินมาหาผมแล้วดึงผมไปกอด นี่เป็นครั้งแรกที่คุณเมกอดผม เธอกอดผมแน่นเลย ผมว่าผมได้ยินเสียงสะอื้นดังมาจากคนที่กำลังกอดผมอยู่ ผมไม่ได้ขัดขืน ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนี้ผมก็อธิบายไม่ถูก
..คนที่ผมไม่เคยยอมรับว่าเขาเป็นครอบครัว คนที่ผมชิงชังเพราะเขาชอบแทนตัวเองว่าแม่กับผม คนที่ผมไม่เคยเปิดตาเปิดใจมองสิ่งที่เขาปฏิบัติต่อผมตลอดมา มาถึงตอนนี้ เธอกำลังกอดผม ร้องไห้เพราะเป็นห่วงผม แล้วผมยังรู้สึกแบบเดิมอยู่หรือเปล่า..ผมกำลังถามตัวเองในใจ
“คือ แม่ แม่เป็นห่วงน้องนาว” คุณเมคลายอ้อมกอดผมก่อนจะดึงทิชชู่มาซับน้ำตาของตัวเอง
“นาวไม่เป็นอะไรครับ แต่พี่ธีม..ต้องมาเจ็บเพราะนาว”
“พี่ธีมก็ปลอดภัยแล้วค่ะ งั้นเด็กๆ คุยกันไปก่อน แม่ขอตัวไปคุยกับคุณหมอนะคะ” คุณเมบอกก่อนจะเดินออกจากห้องไป ผมเดินเข้าไปหาไอ้โหดที่นอนยิ้มให้ผมอยู่
“เจ็บมากไหม” ผมถามมัน
“ตอนนี้ชาอยู่ นาวละ เจ็บตรงไหนบ้างรึเปล่า”
“ตรงนี้” ผมชี้ไปที่หัวใจ
“นาว” มันเรียกผมเสียงอ่อน คงสงสารผม
“พี่เจ็บแทนนาวสองครั้งแล้วนะ ถ้า...ถ้า ฮึก....” ผมพยายามจะใช้แขนเช็ดน้ำตา พยายามจะกลั้นแล้วนะครับ แต่พอเห็นภาพมันนอนบนเตียงแล้วมีผ้าพันแผลผมก็รู้สึกตื้อขึ้นมาทันที ถ้าวันนี้กระสุนไม่ได้โดนแค่ที่แขนของมันล่ะ
“พี่รับปากนาวแล้วไงว่าจะไม่ตาย จะไม่ทิ้งนาวไป” พี่ธีมมันรีบปลอบผม
“นาว..ฮึก..นาวไม่อยากให้ใครเกลียดนาวเลย ฮึก นาวกลัวว่าคนที่นาวรักจะรับเคราะห์แทนนาวอีก ฮึก..” ผมร้องไห้ออกมา ไอ้เกลือเดินเข้ามาโอบไหล่ผม
“คนดีๆ ไม่มีใครเขาเกลียดหรืออยากทำร้ายแกหรอก แต่พวกนั้นมันคือคนเลว เราควบคุมความเลวของมันไม่ได้ ถ้าวันนี้เป็นแกที่เจ็บ พี่ธีมเขาจะเสียใจยิ่งกว่าแกนะ” ไอ้เกลือพยายามให้สติผม ผมรับทิชชู่จากมันมาเช็ดน้ำตาพร้อมกับสูดน้ำมูกออกแรงๆ เผื่อความทุกข์มันจะออกมากับน้ำมูกด้วย แต่ดูดิ พี่ธีมกับไอ้เกลือดันมาหัวเราะขำผม
เสียงประตูห้องถูกเปิดออก ผู้ชายในชุดสูทสามสี่คนเดินเข้ามายืนอยู่ปลายเตียง สักพักเจ้าหญิงมิเชลเดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่ดูร้อนรน ตามาด้วยเจ้าชายมิคาเอลและองค์รักษ์มาคัส เจ้าชายยกมือเหมือนจะห้ามน้องสาวแต่ไม่ทันแล้ว เจ้าหญิงเดินไปกุมมือไอ้โหดขึ้นมาพร้อมกับหันมาพูดกับพี่ชายของเธอ
“มิเชลไม่ยอมปิดบังอีกแล้วนะคะ พอกันที เรามาที่นี่เพื่อมารับองค์รัชทายาทของท่านอากลับไปบัณตรา แต่ท่านพี่มัวแต่รีรอ เห็นไหมคะ พี่ธีมเกือบได้รับอันตรายถึงชีวิต”เจ้าหญิงมิเชลพูดจบ ผมกับไอ้เกลือก็มองหน้ากันก่อนจะหันไปมองหน้าเจ้าชายมิคาเอลที่สีหน้าเคร่งเครียด จากนั้นผมก็หันไปมองไอ้โหดที่ทำหน้าตาเหมือนหมาลำบากใจ
เดี๋ยวนะ! ขอเรียบเรียงข้อมูลในสมองแป๊ปหนึ่ง
‘มารับองค์รัชทายาทอีกองค์ของบัณตรางั้นเหรอ’
‘องค์รัชทายาทที่เกือบได้รับอันตรายถึงชีวิตงั้นเหรอ’
มิเชลหมายถึง ‘ไอ้หมาธีมของผม’ งั้นเหรอ ผมงงไปหมดแล้ว นี่...ไอ้โหดมันเป็นองค์รัชทายาท แปลว่ามันเป็นเจ้าชายใช่ไหม ผมเข้าใจถูกใช่ไหม มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน
ไอ้เกลือ!!..แกช่วยตบหน้าฉันที ฉันไม่ได้มโนหรือฝันไปใช่ไหมวะแก...
โปรดรอการรีไรท์ค่ะ ขอบคุณค่ะ