“รัน ผมขอคุยด้วยหน่อยได้ไหม” คนฟังพยักหน้ารับ เดินแยกออกมายืนที่ระเบียงริมหน้าต่าง รันเพิ่งสังเกตว่ามันเป็นที่เดียวกันกับตอนที่เขาบังเอิญเดินผ่านมาเห็นคนรักยืนกอดกับแฟนเก่าอยู่ตำตาในคืนนั้น
ดูเหมือนดิมจะไม่ทันสังเกต
“ผมขอโทษนะ” จู่ๆคนตรงหน้าก็โพล่งออกมา รันไม่อยากเชื่อว่าอีกคนจะเป็นฝ่ายขอโทษเขาก่อน ทั้งๆที่ความจริงแล้วควรจะเป็นเขามากกว่าที่จะต้อง ‘ขอโทษ’
“เรื่องอะไร ดิมไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก รันเองต่างหากที่ผิด...หลงรักดิมจนขาดสติ” เสียงเขาแผ่วลงเหมือนพูดกับตัวเอง เวลาที่ได้พักทบทวนเรื่องราวต่างๆ ทำให้เขามองเห็นตัวเองชัดขึ้น ได้เห็นว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้างโดยไม่เคยยั้งคิดถึงผลที่ตามมาเลยสักครั้ง ไม่เคยสนว่ามันจะกระทบใคร สิ่งที่เขาทำกับเต ไม่ต่างอะไรกับการแทงข้างหลัง ทั้งๆที่เขามั่นใจว่าตัวเองอยู่เหนือชายหนุ่มผู้นั้นมาตลอดแท้ๆ ทว่าเขากลับต้องใช้กลโกง ใช้เล่ห์เหลี่ยมกับคนแบบนั้น มันทำให้เขารู้สึกแย่กับตัวเอง
ทำไมเขาถึงต้องลงทุนขนาดนั้น ยอมทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้ได้ ‘ใจ’ ของคนตรงหน้ามาครอง
เพื่อที่สุดท้ายแล้วจึงได้รู้ว่า สิ่งที่เขาได้มานั้นมีแต่เปลือกชั้นนอกสุดที่ห่อหุ้มหัวใจของอีกฝ่ายเอาไว้เท่านั้น เขาไม่เคยได้เข้าไปอยู่ในหัวใจของดิมเลย
มันยิ่งกว่าความเจ็บปวด เพราะเขาเหมือนคนที่ทุ่มเทลงไปทั้งหมดใจ ไม่เหลืออะไรเก็บเอาไว้กับตัวเลยสักอย่างเดียว แม้แต่ศักดิ์ศรี
คนตรงหน้าเอื้อมมือมารวบมือของเขาทั้งสองข้างไปกุมเอาไว้ มือใหญ่แข็งแรงนั้นอุ่นจัด
“เป็นเพราะผมเองด้วยรัน ผมหลอกตัวเอง...หลอกคุณด้วย” หลอกตัวเองว่ารัก...การหลอกที่ไม่เคยสำเร็จจริงสักครั้ง
“จริงๆรันไม่ได้จะกลับมาเพื่อยอมแพ้หรอกนะ ริรันทอยากกลับมาขอโอกาสจากดิม แต่ว่าเรื่องที่รันเพิ่งได้รู้มา มันทำให้รันตัดใจได้เด็ดขาด” คุณหมอเด็กถอนหายใจแผ่วเบา “เมื่อตอนบ่าย รันแวะไปเยี่ยมคุณตังมา ก็เลยได้รู้ความจริงบางอย่างเพิ่มขึ้น”
คนฟังขมวดคิ้ว มาตังไม่ได้เล่าเลยสักคำว่าชายหนุ่มไปเยี่ยม
“ความจริงอะไรหรือ”
“ความจริงที่ว่าเต้ไม่ใช่ลูกแท้ๆของคุณเต แต่เป็นลูกของน้องสาว... ดิมรู้เรื่องนี้อยู่แล้วหรือเปล่า?” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ
“รันไม่รู้มาก่อน รันก็เลยยอมแพ้....แพ้หัวใจของคุณเต รันสู้ไม่ได้จริงๆ ไม่มีทางสู้เลย” เขาจะเอาอะไรไปสู้กับคนใจเพชรคนนั้น...คนที่มีหัวใจเอาไว้เพื่อคนอื่นอยู่เสมอ คนที่คิดถึงคนอื่นมากกว่าตัวเอง....กับเขาที่คิดถึงตัวเอง ทำเพื่อตัวเอง...มันไม่มีทางเทียบกันได้เลย
ความคิดที่เคยใช้อ้างตัวเองตลอดมาว่า ชายหนุ่มผู้นั้นก็ทิ้งอีกฝ่ายไปแต่งงานมีลูกมีเต้าไปแล้ว ไม่ได้อาลัยอาวรณ์อะไรคนของเขานักหรอกนั้น ไม่สามารถนำมาใช้ได้อีก เขาเพิ่งเข้าใจและอดทึ่งกับความกล้าหาญที่จะเผชิญความเจ็บปวดอย่างเด็ดเดี่ยวของคนๆนั้นไม่ได้
ขณะเดียวกันก็ละอายกับความคิดในแง่ลบที่เคยมีต่อฝ่ายนั้นตลอดมา
เงยหน้าขึ้นพิศดูใบหน้าคมเข้มของอดีตคนรัก เห็นแต่ความซูบและหมองคล้ำตรงตามที่พี่ส้มบอก ว่าดิมไม่ดูแลตัวเองเหมือนอย่างเคย อยากยกมือขึ้นแนบประคองใบหน้านั้นเอาไว้อีกสักครั้งแล้วปลอบใจ
....อีกสักครั้ง จะผิดมากมั้ย...
“อย่าคิดมากเลย เรื่องมันผ่านไปแล้ว ผมดีใจที่รันกลับมา...ถึงอย่างไรรันก็เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผม”
“ถึงอย่างไร? หมายถึงว่า ถึงรันจะเลวแค่ไหน รันก็ยังจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของดิมใช่มั้ย หึๆ” หมอเด็กพูดแกมหัวเราะ รดิศยิ้ม
ริทหงายมือขึ้น แล้วเป็นฝ่ายกุมมือใหญ่ของเขาเอาไว้เสียเอง ดวงตาคู่นั้นมีแววที่เขาอ่านไปไม่ออกแฝงอยู่
“ดิม...ความจริงแล้วมีอีกเรื่องหนึ่ง ที่รันรู้มาโดยบังเอิญ”
“เรื่องอะไรเหรอ” วิรัลเงียบไป คล้ายคนที่กำลังตัดสินใจ แล้วเขาก็บอกออกมาในที่สุด ประโยคที่ทำให้คนฟังหัวใจหยุดเต้นไปชั่วครู่ แล้วก็กลับมาเต้นใหม่ด้วยจังหวะที่รัวแรงกว่าเดิม ขณะที่เดินเร็วๆย้อนกลับไปยังห้องทำงานของอายุรแพทย์หญิง
‘เรื่องที่คุณเตป่วย.... รันไม่รู้รายละเอียดมาก รู้แค่ว่า...ดิมเตรียมใจไว้หน่อยก็ดีนะ’
กุมารแพทย์หนุ่มมองตามหลังร่างสมส่วนในชุดกาวน์ยาวที่ขอตัวผละจากเขาไปดื้อๆ รอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปาก คำพูดของตัวเองเมื่อครู่ย้อนกลับมาในความคิด
...ถึงรันจะเลวแค่ไหน รันก็ยังจะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของดิม...ใช่มั้ย?...
................................................................................................
‘พี่ก็ยังบอกอะไรไม่ได้มากนักหรอก ยังไงก็ต้องรอผลชิ้นเนื้อก่อนอีก 2 อาทิตย์’ พี่ส้มพูดกับเขา ความหมายชัดเจนอยู่ในตัวว่าต้องการเลี่ยง ท่าทางของเธอไม่อยากพูดเรื่องนี้และกำลังหาทางตัดบทเพื่อไล่เขาออกจากห้อง
‘พี่พูดออกมาตรงๆเลยดีกว่า ผมรับได้’ เขาจ้องหน้าเธอเขม็ง
‘แน่ใจเหรอว่าเธอจะรับได้จริงๆ’ หญิงสาวตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงกระซิบ ทำเอาใจหล่นวาบ...อย่าบอกนะว่าสิ่งที่เขาคิดจะเป็นเรื่องจริง
สายตาของพี่ส้มทำให้เขาพูดไม่ออก ความเป็นห่วงและความสงสารของเธอที่ส่งออกมาผ่านแววตา และอากัปกิริยาทอดถอนลมหายใจนั้น ยิ่งทำให้หัวใจของเขาหดเล็กลงไปอีก
‘ผมไม่เชื่อ ต้องมีอะไรผิดพลาดสักอย่าง’ ถึงปากจะบอกว่าไม่เชื่อ แต่ความจริงเชื่อไปแล้วเกิน 70 เปอร์เซ็นต์ ชายหนุ่มเดินกลับไปกลับมาภายในห้องของแพทย์หญิงรุ่นพี่ราวกับเสือติดจั่น มือกำแน่นโดยไม่รู้ตัว
‘รอผลให้ชัวร์ก่อนดีกว่ากัน’ พี่ส้มพูดเสียงอ่อนอย่างปลอบใจ
‘ยังรักษาได้ทันใช่มั้ย แล้วต้องใช้เวลารักษานานเท่าไหร่ จริงสิ ต้องให้คีโมหรือเปล่า ...แล้ว... เขาจะอยู่ได้อีกนาน...ใช่มั้ย?’ คำถามที่หลุดออกมาขาดเป็นห้วงๆ ไม่ปะติดปะต่อ เพราะเจ้าตัวเรียบเรียงความคิดไม่ทัน คำถามอีกมากมายค้างอยู่ที่ริมฝีปาก
หญิงสาวเจ้าของห้องมองหน้าเขานิ่งไปนานจนเขาเกือบจะเปลี่ยนใจเดินออกจากห้อง จนกระทั่งได้ยินประโยคสุดท้ายจากเธอ ตอบคำถามท้ายสุดของเขาเพียงคำถามเดียว
‘เหลือเวลาไม่มากแล้วล่ะ...ดิม’
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจช้าๆ หวังว่ามันจะช่วยคลายความอึดอัดในอกได้บ้าง ครุ่นคิดถึงคำพูดของพี่ส้มในห้องทำงานเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนนั้นอีกครั้ง สิ่งที่แพทย์รุ่นพี่พูด...ถึงเธอจะไม่ได้บอกออกมาตรงๆ ทว่าในฐานะแพทย์ด้วยกัน...เขาก็เข้าใจได้
เตกำลังป่วยหนักและคราวนี้ก็อาจจะไม่รอด
เหลือเวลาไม่มากแล้ว? ไม่มากที่ว่ามันแค่ไหนกันล่ะ 3 เดือน 6 เดือน หรือว่า 5 ปี เมื่อกี้ก็มัวแต่ตกใจเลยลืมถาม แต่จะเท่าไหนก็แล้วแต่....ทำไมสวรรค์ถึงได้ใจร้ายกับคนๆนึงได้ขนาดนี้
คนที่เสียสละความสุขของตัวเองทุกอย่าง เขาควรจะได้พบความสงบสุขในบั้นปลายมิใช่หรือ เหตุใดจึงตอบแทนเขาด้วยโรคร้ายและความทุกข์ทรมานไม่มีที่สิ้นสุดเช่นนี้...
หรือเป็นเพราะแบกรับความทุกข์เอาไว้มากมาย ก็เลยกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคโดยไม่รู้ตัว แบบนี้เขาก็มีส่วนทำให้ฝ่ายนั้นป่วยน่ะสิ?
นายแพทย์หนุ่มถอนหายใจเฮือกใหญ่ ลุกขึ้นจากโซฟาที่ทิ้งตัวนอนเหยียดยาวตั้งแต่กลับถึงที่พัก เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดออกกำลังกาย สวมรองเท้ากีฬาเพื่อลงไปออกกำลังที่ฟิตเนส อย่างน้อยก็คงดีกว่าปล่อยตัวเองให้นอนจมปลักอยู่ท่ามกลางหนทางตัน
โชคดีที่ฟิตเนสของที่นี่เปิดยาวนานถึงเที่ยงคืน เพื่อรองรับทุกไลฟ์สไตล์ของคนที่พักอาศัย ดึกจนใกล้ปิดทำการเต็มทีแล้ว พนักงานหญิงนั่งสัปหงกอยู่ที่เคาท์เตอร์ ภายในห้องกว้างๆของฟิตเนสมีเครื่องออกกำลังกายชนิดต่างๆวางแยกอยู่เป็นสัดส่วน เทรนเนอร์คนหนึ่งส่งยิ้มมาให้เขาอย่างคุ้นหน้า แต่ไม่ได้เข้ามารบกวน
เขาเลือกวิ่งสายพาน การวิ่งเป็นสิ่งที่เขาชอบมากที่สุด ปกติเขาจะพยายามหาเวลามาวิ่งเสมอยามว่าง เหมือนได้ก้าวเข้าไปในอีกโลกหนึ่งที่มีเพียงเสียงลมหายใจเข้า – ออกของตัวเองกับเสียงฝีเท้าที่กระทบกับสายพานเป็นจังหวะ ไม่มีใครมารบกวน ไม่ต้องคิดอะไรวุ่นวาย แค่ปล่อยให้เท้าก้าวตามไปเรื่อยๆตามเส้นทางตรงแน่วของสายพาน ไม่คดเคี้ยววกวน ไม่ขรุขระ ด้วยความเร็วที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว
เขาอยากให้ชีวิตของตัวเองราบรื่นเหมือนเวลาที่กำลังวิ่งอยู่บนสายพานตอนนี้ ไม่ต้องคิดอะไรให้มากความ ไม่ต้องนึกถึงอดีต ไม่ต้องกังวลอนาคต ไม่ต้องคิดถึง....
รู้ว่าตัวเองเป็นคนคิดมาก ชอบวางแผนระยะยาว ตอนเรียนมัธยมปลายก็คิดเสมอว่าจะเรียนมหาวิทยาลัยอะไร เรียนคณะไหน พอเอนท์ติดได้เรียนสมใจก็วางแผนล่วงหน้าอีก จะเรียนอะไรต่อ จบไปจะทำงานที่ไหน เงินเดือนเท่าไหร่ แม่จะอยู่ที่ไหน ครั้นพอมีแฟน...ก็ยิ่งอดไม่ได้ที่จะวาดฝันถึงอนาคตร่วมกัน
มันถึงเจ็บปวดมากที่ฝันนั้นต้องพังทลายลงทั้งที่ยังไปไม่ถึงครึ่งทางเลยด้วยซ้ำ ทั้งเจ็บใจทั้งแค้นใจจนกระทั่งได้กลับมาเจอกันอีก...แล้วเขาก็วางแผนอีกครั้งตามนิสัย ทว่าคราวนี้ตั้งใจเต็มที่ที่จะมาเอาคืน และมันต้อง ‘สำเร็จ’
สุดท้าย ผู้ชายคนเดิมที่เขาตั้งใจไว้ว่าจะ ‘ฟันแล้วทิ้ง’ อย่างเลือดเย็นที่สุด ก็เป็นฝ่าย ‘ทิ้ง’ เขาเป็นครั้งที่สอง ด้วยเหตุผลที่เขาต้องยอมรับอย่างจำใจ และคนที่เจ็บปวดก็คือตัวเขาเอง
มันเจ็บมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะเขาได้สร้างความผูกพันเพิ่มขึ้นมาใหม่ ฟั่นเกลียวความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งคู่ให้แน่นเข้าโดยไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังจะรัดคอตนเองทีละน้อย กว่าจะรู้ตัวก็เริ่มหายใจไม่ออก ยิ่งพยายามดิ้นรนแก้ ปมก็ยิ่งรัดแน่น
นัยน์ตาเรียวหวานแกมโศกคู่นั้นกลับเข้ามาในความคิดโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม...คนๆนั้นคงยังไม่รู้หรอก ว่าตนเองกำลังเผชิญกับอะไร เขารู้ว่าฝ่ายนั้นมีเลือดของนักสู้เต็มตัว ภายใต้ท่าทางนิ่มนวลนั้นมีหัวใจที่แข็งแกร่งซ่อนอยู่ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่สามารถก้าวผ่านเรื่องราวในอดีตมาได้ แต่ว่าครั้งนี้มันต่างออกไป
คนที่กล้าเลิกกับเขาหน้าตาเฉยทั้งๆที่รักมาก กล้ารับลูกของน้องสาวมาเป็นลูกตัว เลี้ยงดูเสมือนเป็นพ่อแท้ๆ คนที่กล้าเสียสละอนาคตของตนเองเพื่อคนที่รัก....คนแบบนี้ ถ้าได้รับรู้ว่าตนเองกำลังจะตาย เขาจะกล้าทำอะไร หรือ ไม่กล้าทำอะไรบ้างหนอ
แล้วเขาล่ะ จะกล้าทำอะไรได้บ้าง
เสียงหวานใสแวบกลับเข้ามาในความทรงจำ
‘ถ้าพรุ่งนี้ตังเป็นอะไรไป....ขอฝากเต้ด้วยนะคะ’ จำได้ว่าตัวเองจ้องมองคนไข้บนเตียงอย่างตกตะลึง
เธอรู้! เธอรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่.... แค่คำพูดฝากฝังไม่กี่คำ กับแววตาของเธอที่มองมาที่เขา ทั้งรู้ทัน ยอมรับและขอร้องอ้อนวอนในเวลาเดียวกัน มันทำให้เขาจุกแน่นพูดอะไรไม่ออก ความละอายใจแล่นวาบจนไม่อาจทนสบตาเธอต่อไปได้
‘ตังขอแค่นี้.....คุณหมอคงรับฝากนะคะ’
สีหน้าของหญิงสาวติดตาเขาจนถึงบัดนี้ รอยยิ้มน้อยๆที่แต้มอยู่ที่ริมฝีปากคล้ายคนที่ปลงตก ความหมายของกระแสตาของเธอบอกเขาว่า
...ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้น เธอพร้อมยอมรับ และจะไม่โทษเขา...
เธอเปิดทางให้เขาแล้ว แต่ตัวเขาเองนี่สิ ถ้ายังคิดจะใช้อาชีพของตนเองเพื่อทำตามใจที่เห็นแก่ตัว ก็ไม่สมควรจะเป็นแพทย์ต่อ ไม่สิ....ไม่สมควรจะเป็นมนุษย์ด้วยซ้ำ
...แต่ถ้าเธอผู้นั้นยังมีชีวิตอยู่ คนๆนั้นก็ไม่มีวันยอมละทิ้งเธอกับหลานชายให้อยู่กันเพียงลำพังแน่นอน ไม่มีวันที่เขาจะสมหวัง ในขณะที่เวลาของฝ่ายนั้นก็เหลือน้อยลงทุกที
นานมาแล้วที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่งใกล้มหาวิทยาลัย เขาแอบสะกดรอยตามหลังร่างโปร่งบางอยู่เงียบๆ เพราะประทับใจตั้งแต่แรกเห็น เพราะอยากทำความรู้จัก จึงสู้ดั้นด้นสืบหาหนทางเข้าใกล้ฝ่ายนั้น
ใช้การ ‘วิ่ง’ เชื่อมสัมพันธ์ไมตรี มิตรภาพที่ค่อยๆงอกเงยขึ้นมาจากความประทับใจซึ่งกันและกัน ก่อให้เกิดเป็นความผูกพันที่ลึกซึ้ง หยั่งรากลึกลงกลางใจยากจะไถ่ถอน
รอยยิ้มหวานๆ รับกับดวงตาวิบวับมีชีวิตชีวาคู่นั้น เสียงแหบเสน่ห์ที่เวลาหัวเราะทีไรก็พลอยทำให้คนรอบข้างอดหัวเราะตามไปด้วยไม่ได้ เส้นผมหยักสลวยทั้งศีรษะที่เขารู้ดีว่ามันอ่อนนุ่มเพียงใด ริมฝีปากอิ่มเต็มและร่างกายนุ่มนิ่มหอมกรุ่นไปทั้งเนื้อทั้งตัว
ท่าทางเขินอายยามที่เราสัมผัสกัน...
ถึงเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ถึงต่อให้ตอนนี้เตไม่เหลือเค้าเด็กหนุ่มคนเดิมอีก เขาก็ยังคงจดจำและหลงรักคนๆนี้อยู่ดี เพราะตัวตนข้างในก็ยังคงเป็นเตคนเดิม
ทุกอย่างกำลังจะหมดไป เขายอมรับได้ถ้าเตต้องไปจากเขาเพราะความรับผิดชอบที่มีต่อผู้หญิงและเด็กคนหนึ่งที่เตรัก แต่เขาทำใจยอมรับไม่ได้ ถ้าเขาต้องเสียอีกฝ่ายไปเพราะสิ่งที่เขาไม่อาจป้องกันแก้ไขอะไรได้
ตอนนั้นเขาเข้าใจผิดเพราะไม่รู้ แต่ตอนนี้ ทั้งที่รู้แล้วเต็มอก ทว่าบางทีมันก็อาจจะสายเกินไป....เขาที่เป็นหมอแท้ๆ รักษาคนเจ็บให้รอดตายมานักต่อนัก กลับไม่อาจตรวจพบสิ่งผิดปกติในตัวของเตได้ ทั้งๆที่หลายเดือนมานี้ เขาก็เป็นคนหนึ่งที่ใกล้ชิดกับเต ได้รู้เห็นอาการของเตมาตลอด....ท่าทางอ่อนเพลียง่าย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดฮวบฮาบ อาการปวดท้องนั่น...
เขากลับไม่เคยเอะใจ ไม่เคยคิดว่านั่นคือสัญญาณเตือน เขาชะล่าใจเกินไป ขณะที่มุ่งแต่จะแก้แค้น จะเอาชนะ อยากให้อีกฝ่ายเจ็บปวดอย่างถึงที่สุด เขาลืมไปว่าอีกฝ่ายก็แค่คนธรรมดาๆคนหนึ่ง เมื่อหัวใจร้าวหนัก...ร่างกายก็ย่อมทรุดตาม
คิดแล้วมันยิ่งเจ็บใจ...เจ็บใจตัวเอง
มันควรจะเป็นเขา...
เหงื่อเค็มๆไหลเข้าตาจนแสบไปหมด ชายหนุ่มยกมือขึ้นเช็ดลวกๆ หากยิ่งเช็ด เหงื่อก็ยิ่งไหลออกมามากขึ้นทุกทีจนมองตัวเลขบอกระยะทางและความเร็วที่แผงหน้าจอเบื้องหน้าไม่เห็นอีกต่อไป
สองขายังคงก้าวต่อไปไม่ยอมหยุด แม้จะมองไม่เห็นทาง ออกแรงสาวเท้าไปบนลู่วิ่งอย่างบ้าคลั่ง รู้สึกเจ็บร้าวที่กล้ามเนื้อต้นขา และปวดแปลบที่น่องทั้งสองข้างแต่เขาไม่คิดจะหยุด
หัวใจเต้นรัวราวกับตีกลอง ได้ยินเสียงตึก ตึก ดังก้องอยู่ในอก ...ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นในห้องผ่าตัด สิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ก็คือ เขาจะต้องสูญเสียสิ่งที่รักที่สุดไปอยู่ดี
เต...เตของพี่...
...
มาต่อแล้วจร้าาา หายไปนาน แหะๆๆ สลับๆกันอัพหลายๆเรื่องเนอะ เปลี่ยนบรรยากาศกันบ้าง
ตอนนี้ค่อนข้างดรามาหนักหน่วง มีใครรอเรื่องนี้อยู่บ้างคะ แสดงตัวหน่อยเร็ว
ใครชอบเรื่องนี้อย่าลืมเม้นต์หรือโหวตน้าา เป็นกำลังใจให้กับคนเขียนนะคะ
ใครเล่นทวิต เจอกันใน #ดิมเต
ใครเล่นเฟสบุ๊ค อย่าฃืมไลค์เพจเรานะ
ปล.พรุ่งนี้อ่านเรื่องอะไรกันดีคะ
Melenalike