>…ตอนที่ 2 [100%]…<
พีระพลเป็นชายหนุ่มลูกครึ่งไทยอเมริกัน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนๆ เด่นชัดรับกับคิ้วเรียวได้รูป จมูปโด่งโดยไม่ต้องศัลยกรรมกับปากสีนู้ดสดใสเพราะไม่เคยสูบบุหรี่ ครอบครัวฝั่งแม่ของพีระพลเป็นผู้ดีเก่า ทำให้เขาถูกอบรมและสั่งสอนในเรื่องมารยาท การเข้าสังคม การวางตัวหรือแม้แต่ทัศนะคติตามแบบแผน ดีที่ความเข้มงวดของครอบครัวไม่ได้กดดันจนเขาไม่มีความสุขกับชีวิต ยิ่งพ่อเป็นอเมริกันชน ก็ยิ่งได้รับวิถีชีวิตอิสระมา เขาคือส่วนผสมที่พ่อแม่และครอบครัวต่างภาคภูมิใจ
ติดอย่างเดียว...พีระพลไม่ชอบผู้หญิง
เขาไม่มีความสนใจในทรวดทรงองเอวของหญิงสาวมาแต่ตั้งแต่วัยเยาว์ ความสวยงามของสตรีเป็นสิ่งจรรโลงใจ แต่เขาก็ไม่ได้มีความอยากสัมผัสมันแม้แต่น้อย ครั้งแรกที่คนในบ้านรู้ พวกผู้ใหญ่ค่อนข้างแอนตี้กับความผิดเพศของพีระพล นั่นเป็นมรสุมชีวิตครั้งใหญ่ของเขา...มันใหญ่จนเขาไม่มีทางลืมเลือนมันได้ จากที่เคยมองว่าการสั่งสอนของครอบครัวไม่ได้น่าอึดอัด พีระพลกลับได้เห็นความเข้มงวดในเรื่องเพศมากเกินความจำเป็น มีเพียงพ่อของเขาที่หัวสมัยใหม่และไม่ได้คิดว่าการที่ลูกชายเป็นแบบนี้มีปัญหากับชีวิต
จริงที่พ่อของพีระพลนับถืออีกศาสนาที่มีคำสอนในเรื่องการครองเรือนชัดเจน แต่พ่อกลับบอกเขาว่า...แท้จริงของคำสอนคือความสันติ พระเจ้าสอนให้บุตรพระองค์ทรงรักกัน นั่นต่างหากคือคำสอน บางครั้ง บางสิ่งบางอย่างเราก็จำกัดมันไม่ได้ พีระพลก้าวข้ามปัญหามาได้เพราะพ่อของเขา และเพราะการที่เขาไม่ชอบหญิงสาวทำให้ครอบครัวผิดหวัง พีระพลจึงไม่อยากทำให้พวกท่านผิดหวังอีกในเรื่องอื่นๆ
เขาตั้งใจเรียนหนังสือ...คว้าเกรดดีๆ มาชดเชย ได้รับรางวัลดีเด่นมากมาย เขาเป็นลูกที่ดีหลานที่ดี จนท้ายที่สุดคนในครอบครัวก็ยอมรับในตัวตนของเขา ทว่าการอ่านเรียนอย่างตั้งใจเกินไปทำให้สายตาพีระพลเสียตอนเข้ามหาวิทยาลัย มันเริ่มพล่ามัวและท้ายที่สุดเขาก็ต้องใส่แว่นสายตา
มันน่ารำคาญ...ช่วงแรกๆ เขารำคาญแว่นสายตาของตนเองมาก กว่าจะปรับตัวเข้ากับมันได้ก็ใช้เวลาเกือบปี ในยุคนั้นคอนเทคแลนส์ยังไม่แพร่หลายเช่นทุกวันนี้ แล้วตอนนี้เขาก็ปามาสามสิบสี่แล้ว คงไม่คิดกลับไปใส่คอนเทคแลนส์ให้ยุ่งยาก
ชีวิตของพีระพลจะว่าน่าเบื่อก็น่าเบื่อ เขาเจ้าระเบียบ ใช้ชีวิตตามแบบแผนของตนเองชัดเจน ตื่นนอนหกโมง ออกกำลังกายหนึ่งชั่วโมงแล้วอาบน้ำในตอนเจ็ดโมงเช้า มื้อแรกของวันไม่เคยเกินเจ็ดโมงครึ่ง จากนั้นก็ออกมาทำงาน เขาประจำอยู่ห้องแลปในบริษัทแห่งหนึ่ง ทำเกี่ยวกับการชุบอะไหล่รถยนต์ และต่อให้ในแลปสามารถทำงานแบบยืดยุ่นได้ พีระพลก็ไม่ทำ แปดโมงเริ่มตักน้ำยาและเคลียร์ค่าเคมีเสร็จก่อนสิบโมงครึ่ง หลังจากนั้นเขาจะทำกราฟเคมีต่อจนเรียบร้อยดีในเวลาสิบเอ็ดโมง
มันตายตัว...มันจืดชืด ไม่ว่าใครก็มองมันเป็นแบบนั้น แต่พีระพลกลับรู้สึกว่าชีวิตที่เป็นระเบียบอย่างที่เป็นนี้คือชีวิตที่เรียบง่ายและสบายใจ ช่วงเวลาว่างๆ เขามักหยิบหนังสือขึ้นมาอ่าน นักวิเคราะห์เคมีดูจะต้องอ่านเกี่ยวกับวิชาการ อัปเดตเคมีตัวใหม่หรือแม้แต่ความเคลื่อนไหวในวงการวิทยาศาสตร์ แต่ไม่เลย...พีระพลชอบชื่นชอบผลงานเชิงเหนือธรรมชาติเป็นที่สุด
นั่นเป็นสีสันเดียวในชีวิตของเขา...ก็ในมุมคนอื่นนะ สำหรับเขา นี่แหละ...ความสุข
ยิ่งวันหยุดสุดสัปดาห์ พีระพลจะใช้เวลาครึ่งวันทำงานบ้านของตัวเองให้เรียบร้อย จากนั้นก็จะอ่านหนังสือบ้างก็หาหนังดูจนมันผ่านพ้นไปอีกหนึ่งวัน อีกอย่างที่เขาติดคือการออกกำลังกาย มันเป็นช่วงที่เขาเรียนจบแล้วได้ไปทำงานที่ต่างประเทศ ที่นั่นเขามีเพื่อนคนหนึ่งชอบชวนไปออกกำลังบ่อยๆ อย่างมากก็จ็อกกิ้งในช่วงเช้า พีระพลจึงติดการออกกำลังมาตั้งแต่สมัยนั้น นั่นเป็นเหตุให้ภายใต้เสื้อเชิตดูเรียบร้อยของเขาเต็มไปด้วยหมัดกล้าม
บางครั้งเขาก็ออกที่ยวกลางคืนบ้าง ร้านนั่งชิวมีโฟล์กซองคือสิ่งที่พีระพลค่อนข้างชอบ หรือเพื่อนๆ ชวนเขาก็สามารถไปเที่ยวสถานบันเทิงได้ตามปกติทั่วไป ไม่ได้แปลกแยกขนาดนั้น แต่ถ้าถามว่าชอบอะไร...เขาคงตอบว่าชอบนอนอ่านนิยายอยู่ที่ห้องมากกว่า
“ไอ้พี...” เขาละสายตาออกจากตัวหนังสือ ในฉากนั้น ตัวเอกกำลังจะเข้าไปในห้องเก็บเอกสาร ความจริงถูกซ่อนอยู่ในนั้นและมันเป็นจุดไคลแม็กส์ของเรื่อง พีระพลไม่พอใจนิดหน่อย
“อะไร”
“เที่ยงนี้มึงไปไหนปะ” เพื่อนสนิทที่สุดในไทยควบตำแหน่งผู้จัดการบริษัทอย่างแจ็กเดินเข้ามานั่งเก้าอี้ว่างข้างกาย และเพราะเขาเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น
ทำให้แจ็กติดกูมึงมาตลอด พูดกันเฉพาะอยู่ด้วยกัน ไม่ใช้คำแบบนี้ต่อหน้าลูกน้อง
“ไม่นะ”
“แต่เมื่ออวานมึงไป” แจ็กส่งสายตารู้ทันมาให้ ก็ใช่...เขารู้ว่าเพื่อนตัวดีไปไหนมาเมื่อวานนี้
“อืม ไปหาท่านขุน ซื้อของไปฝากน่ะ...” เขาไม่ได้บอกว่าไปเพื่อขอโทษที่ไปจูบกับท่านขุนตอนเมา
“เหรอ สำคัญขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“เปล่า แค่เอาของไปขอบคุณ เมื่อวันก่อนนั้นรบกวนเขาเยอะ” แจ็กทำเป็นเข้าใจ ทั้งที่รู้เรื่องลึกกว่านั้น
“มึงว่าท่านขุนเป็นไงมั้ง...” แปลกใจเหมือนกันที่แจ็กถามแบบนี้ แต่พีระพลก็ไม่ได้คิดมาก
“เขาดูดีนะ ในหลายๆ ความหมาย” ทั้งการต้อนรับลูกค้า ท่านขุนมียิ้มไมตรีให้กับลูกค้าทุกคนที่เข้ามา ดูเป็นคนรักสนุก...ชอบปาร์ตี้และซุกซน วัยนี้เป็นอย่างนี้ก็คงปกติ
“แค่นั้นเหรอ...”
“ทำไมอะ ต้องมีอะไรมากกว่านั้นเหรอ” อันนี้พีระพลไม่เข้าใจจริงๆ
“เปล่า ช่างเหอะ...วันนี้ไปกินข้าวกัน” คนโดนชวนพยักหน้ารับง่ายๆ
พีระพลโสดมาได้จะห้าปีแล้ว คนล่าสุดที่เขาคบเป็นนักวิเคราะห์เคมีด้วยกันตอนทำงานที่เก่า อีกฝ่ายเป็นคนรักสนุกพสมควร มันไม่มีปัญหาหรอกเพราะต่างคนต่างก็ให้อิสระกับอีกฝ่าย ทว่าตอนหลังอีกฝ่ายย้ายไปทำงานต่างเมือง ไม่ค่อยได้เจอกันแล้วก็ค่อยๆ ห่างกันไป รู้ตัวอีกทีอีกฝ่ายก็บอกเลิกเขา อาจเป็นโชคดีที่เขาและฝ่ายนั้นห่างกันสักพักก่อนจะเลิกรากันไป พีระพลจึงไม่ได้เจ็บปวดมากนัก
ช่วงแรกก็เจ็บปวด…ไม่นานมันก็หายไป
พีระพลไม่ได้คบหาดูใจกับใครอีกเลย ด้วยไลฟ์สไตล์ชีวิตเขาเป็นแบบนี้ จะหาคนที่ถูกใจและคุยถูกคอนั้นมันค่อนข้างยาก ในหลายปีมานี้ ท่านขุนเป็นคนนอกที่เขาคุยด้วยแล้วสบายใจที่สุด
ทั้งสองเดินออกมาจากห้องแลปตอนเสียงหวอพักเที่ยงดังขึ้น โดยเดินทางด้วยรถของพีระพล ยังไงเขาก็ไม่ไปด้วยรถมอเตอร์ไซก์ของแจ็กแน่นอน เขาไม่ชอบ มันดูไม่ปลอดภัยเอาเสียเลย ระหว่างขับไป แจ็กเพื่อนสนิทไม่ยอมบอกจุดหมาย แค่บอกทางไปเรื่อยๆ จากสงสัย กลายเป็นคุ้นเคย...
เส้นทางนี้เขาไม่ได้จำแม่นแต่ก็จำได้ดีว่ามันจะไปหยุดที่ไหน พีระพลคิดว่ามันอาจจะไม่ใช่ทางที่คิดก็ได้ อาจเป็นร้านอาหารที่เขาไม่รู้จักซ่อนตัวอยู่ในหลืบใดหลืบหนึ่ง เพราะแจ็กเคยพาเขากินอาหารข้างทางแล้วอร่อยมากอยู่บ่อยครั้ง
“กินข้าวที่นี่จริงดิ” แต่ความคิดพีระพลมันผิด ร้านที่แจ็กพามาก็ร้านที่แว้บเข้ามาในหัวเขาแต่แรกนั่นแหละ
“เออ” แจ็กตอบห้วนๆ เขาก้าวขาออกจากรถด้วยความรู้สึกคลื่นไส้นิดหน่อย ขับมอเตอร์ไซก์เป็นนิสัยจนชิน มานั่งรถเก๋งแบบนี้ก็เลยมีอาการเมารถหน่อยๆ
“สวัสดีครับ เข้ามาข้างในกันก่อน...ผมจัดโต๊ะแล้วเรียบร้อยเลย” ท่านขุนเดินออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้ม กลิ่นอาหารยังคงติดตัวเขา แม้ยืนห่างก็ได้กลิ่น
พีระพลไม่ทันเห็นรอยยิ้มรู้กันของแจ็กกับท่านขุน เขาหันไปล็อกรถพร้อมทั้งเช็กว่ามันปิดสนิทดีด้วยการเปิดมันอีกครั้งหนึ่ง จากนั้นถึงได้สบตากับเจ้าของร้านหนุ่ม ท่านขุนอยู่ในชุดคล้ายแบบเดิม กางเกงสามส่วนสีน้ำเงินเข้มกับเสื้อยืดคอกลมสีดำเปื้อนคราบน้ำมัน หน้าตาออกลูกครึ่งจีนนิดๆ ของท่านขุนทำให้พีระพลคิดว่า หากเขาแต่งตัวให้ดีกว่านี้ เซทผมรองทรงเสียหน่อย ท่านขุนคงหล่อเหลามากเอาการ แค่นี้ยังมีเสน่ห์ชวนมองเลย
“ทำไมมากินที่นี่” พีระพลแอบถามเพื่อนนิดหน่อย ท่านขุนเดินนำเข้าไปด้านในแล้ว
“ไมวะ แปลกเหรอ...กูมากินบ่อยนะ ขุนมันทำอาหารอร่อยดี”
“รบกวนเขา”
“รบกวนอะไรกัน ตอนมันอยากดื่มมันรบกวนกูยิ่งกว่านี้อีก” แต่มึงก็อยากมาดื่มไม่ใช่หรือไงวะ พีระพลคิดในใจเงียบๆ
“อืมๆ” แจ็กอาจไม่เกรงใจ แต่พีระพลไม่ใช่... เขารู้สึกว่าไม่น่ามารบกวนท่านขุนเลย หากไปหาอะไรกินด้านนอกยังพอหารค่าอาหารได้ มากินที่ร้านแถมเจ้าของร้านทำอาหารเองแบบนี้มันจะแชร์ค่าอาหารได้ยังไงล่ะ จะให้อุดหนุนสิ่งของในร้านเป็นการตอบแทนก็ไม่ได้อีก พีระพลไม่มีเหตุจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เซฟตี้ขับรถเก๋งธรรมดา
เสียงกระดิ่งใสกังวานเรียกสายตาของร่างสูง พีระพลหันไปมองมณีเดินออกมาจากหลังโซฟาหนังสีดำ มันเอาตัวเองถูครูดกับผิวโซฟาจนทำให้ตัวมันดูเอียงไปข้างหนึ่ง ดวงตาสองสีมองตอบโต้เขาก่อนจะหันไปทางอื่นอย่างไม่ใส่ใจ
น่ารัก...พีระพลคิดว่าความหยิ่งนิดๆ ของมณีเป็นสิ่งที่น่ารักน่าเอ็นดู เขาว่าแมวจะครองโลก เคยได้ยินแต่ปฏิเสธไม่ออกว่ามันก็อาจจะจริง เพื่อนเขาเคยเลี้ยงแมว มันฉลาดติดชอบทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ สั่งให้ทำอะไรจะไม่ทำ แต่ถ้ามันอยากจะเอาอะไรสักอย่างมันก็จะทำตัวน่ารักมากๆ อ้อน คลอเคลีย จากราชินีกลายเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยไปในทันตา พีระพลเดินเข้าไปหาเจ้าเหมียวน้อยแทนตามแจ็กเข้าครัว
ท่านขุนหันกลับมามอง พี่พีของเขากำลังก้มลงไปหยอกล้อเจ้ามณีอยู่ตรงหน้าโซฟา แจ็กมองตามก่อนหันมายิ้มรู้ทันใส่เจ้าของร้าน ท่านขุนส่งเสียงขำเบาๆ เขาไม่ปฏิเสธสายตานั้นของพี่แจ็ก จะให้ปฏิเสธอะไร ในเมื่อเมื่อวานนี้เขาสารภาพกับแจ็กไปเองนี่นา
“สวัสดีครับ” พีระพลส่งเสียงทักทายมณีน้อย ตาสองสีนี่สวยจริงๆ
“เมี๊ยว...” มันไม่ได้ส่งเสียงอ้อน มณีกระโดดขึ้นนอนบนโซฟา พีระพลเขยื้อนกายตามไปลูบขนนุ่มมือ
“มณีกินข้าวยัง...” มันตอบไม่ได้หรอก แถมมณียังไม่ชอบที่เขาลูบขนตัวเองด้วย
“แง่ว!” เธอดันมือนั้นออก มีลอบข่วนนิดหน่อยซึ่งอีกฝ่ายทำแค่ยิ้มรับกลับมา
มันโรคจิต....มณีคิดแบบนั้น
“ดุจังเลยอ่า ดีกันนะมณีจ๋า” น้ำเสียงนุ่มๆ นั้นชวนเคลิ้ม...เหมือนตอนท่านขุนพูดกับเธอเลย มันชวนฟังจริงๆ แต่ไม่หรอก ไม่ดีด้วยง่ายๆ หรอก
“ไว้ซื้อของเล่นมาให้เอาไหม หรือมณีอยากกินขนมครับ” อยากกินสิ แน่นอนของกินคือสิ่งสำคัญ
“เหมี๊ยว....”
“เอาทั้งสองเลยเนอะ” ใช่ เอาทั้งสองนั่นคือดีมาก
พีระพลลูบขนมณีอีกครั้ง คราวนี้เธอไม่ปฏิเสธ ไม่ข่วนหรือกัดเขา นอนเฉยๆ ปล่อยให้มือหนาลูบไล้ นี่ไม่ได้ยอมเพราะสิ่งของนะ...ไม่เลย ท่านขุนเลี้ยงดีอยู่แล้ว แต่ที่นอนนิ่งเนี่ยเพราะมันก็สบายดีต่างหาก มณีปรายตามองพีระพลอีกหน่อยก่อนจะฝุ่บหน้าลงนอนกับขาหน้าตัวเอง ไม่สนใจชายหนุ่มอีก
พีระพลไดด้ลูบไล้สมใจแล้วจึงเดินเข้าไปในครัว เขาเสียเวลาอยู่กับมณีแค่ไม่นานดังนั้นจึงค่อนข้างมั่นใจว่าเขาไม่ได้ทำให้ใครรอแน่นอน แล้วก็จริงเมื่อเข้ามาพบว่าท่านขุนกำลังยกข้าวกับข้าวอยู่ แจ็กนั่งกดมือถือพิมพ์อะไรไม่รู้ พีระพลตรงเข้าไปช่วยทันทีไม่คิดอะไร
“พี่ช่วยนะ โทษทีตามเข้ามาช้า” หม้อข้าวถูกพีระพลยกมาวางไว้มุมโต๊ะ
“ไม่เป็นไรครับพี่พี แค่พี่พีมาก็ดีใจแล้ว นี่ผมทำเองหมดเลยนะ…ไม่รู้จะถูกปากพี่พีไหม” พีระพลมองไปที่โต๊ะอาหาร กับข้าวส่วนใหญ่เป็นของชอบเขา ปลาผัดใบตั้งโอ๋ ต้มจืดซาหร่าย กุ้งกระเทียมแบบกรอบๆ ผัดคะน้าน้ำมันหอย...นี่มันบังเอิญล่ะมั้ง
“โห ของโปรดพี่หมดเลย” ว่าแล้วพีระพลก็ยิ้มหวานส่งให้ท่านขุนโดยไม่รู้เลยว่ารอยยิ้มนั้นกระตุ้นความคิดชั่วร้ายในหัวท่านขุนขนาดไหน
แจ็กทำตัวเป็นอากาศธตุ ทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้ในสิ่งที่เขาสองคนคุยกัน ซ้ำยังนั่งฝั่งหนึ่งจนเต็ม พีระพลและท่านขุนจึงต้องไปนั่งคู่กันตรงข้ามเขาแทนอย่างเลี่ยงไม่ได้ ความใกล้ชิดนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ของโปรดก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ยิ่งการมากินมื้อเที่ยงที่นี่ก็ยิ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญเข้าไปใหญ่เลย
เมื่อวานหลังจากที่พีระพลกลับออกไปแล้ว ท่านขุนรีบโทรหาแจ็ก รุ่นพี่ในสายไบเกอร์อย่างไว ไม่สนว่าเขาจะมีงานไหมด้วยเพราะลืมคิดไปนั่นแหละ ท่านขุนยิงคำถามเรื่องแฟนพี่พีเป็นอย่างแรก รู้ว่าโสดมานานยิ่งมีความสุข ตามด้วยของโปรด กิจกรรมโปรด สีที่ชอบ เสื้อผ้าชุดประจำ หนังแนวที่ชอบ....ยิงรัวจนแจ็กตอบแทบไม่ทัน แจ็กสวนกลับแค่คำถามง่ายๆ ว่าชอบมันเหรอ...เท่านั้นทุกอย่างก็ลงล็อก
ได้ทั้งข้อมูลพื้นฐานและผู้ช่วย...
ที่จริงแจ็กไม่ตอบทุกอย่างที่ท่านขุนอยากรู้ ปล่อยให้ท่านขุนได้เรียนรู้ตัวเพื่อนเขาเอง แต่เขายินดีช่วยโดยแลกกับการที่ท่านขุนลดราคาทั้งซ่อมและซื้อให้เขาสิบถึงสิบห้าเปอร์เซ็นหนึ่งปีเต็ม มันโหดนะ ใช่ว่าจีบติด ท่านขุนเองก็หัวการค้าได้เรื่องอยู่ จึงต่อรองว่าให้รอบแรกแค่สามเดือน แต่ถ้าจีบติด...ให้หนึ่งปี
แฟร์ๆ...ข้อตกลงสมบูรณ์เมื่อต่างฝ่ายต่างพอใจกับข้อเสนอ
สิ่งแรกที่ท่านขุนต้องการคือโอกาส ด้วยไลฟ์สไตล์ที่ต่างกันและทำงานคนละรูปแบบกัน เขาต้องการเวลาได้ใกล้ชิดผู้ชายคนนี้ การพาพี่พีมากินมื้อเที่ยงด้วยเป็นด่านแรก และท่านขุนยังมีอีกหลายด่านที่จะทำต่อจากนี้ไป ขอเพียงให้พวกเขาได้ทำความคุ้นเคยกันมากกว่านี้ก่อน...
ถ้าพี่พีเป็นวัยรุ่นกว่านี้...หมายถึงวัยใกล้กัน มันจะง่ายมาก แต่นี่ไม่ใช่ รวมถึงการใช้ชีวิตที่ต่างกัน ท่านขุนพอรู้แล้วว่าพี่พีมักทำอะไรในเวลาว่าง...เขาไม่ได้มองมันน่าเบื่อ แต่มองว่ามันน่าสนใจดีเหมือนกัน เราไม่จำเป็นต้องเข้ากันได้ดีมากนัก หรือชอบอะไรเหมือนกันไปเสียหมด
เพราะคำว่ารัก...มันไม่ได้จำกัดด้วยไลฟ์สไตล์
นั่นคือสิ่งที่ท่านขุนคิด แต่กับพี่พีของเขานั้น...ต้องรอดูต่อไป
“นี่กุ้งตัวโตๆ ผมยกให้พี่พีเลย...” เอาใจด้วยการตักกุ้งกระเทียมตัวโตใส่จาน พร้อมทั้งกระเทียมเจียวกรอบๆ กลิ่นหอมยั่วน้ำลาย
“ขอบคุณครับ”
“พี่พีชิมสิ ถูกปากไหม” ในสายตาพีระพลตอนนี้ ท่านขุนเหมือนเด็กหัดทำอาหาร จะชอบให้คนนั้นคนนี้ชิมเป็นพิเศษเพราะไม่มั่นใจในฝีมือตัวเอง แต่เขาว่ามันก็น่าเอ็นดู ด้วยท่าทางและบุคลิกซนๆ แบบผู้ชายเจ้าสำราญของท่านขุนดูจะสวนทางกับการเข้าครัวทำอาหาร
“อื้ม...อร่อยนะ”
“ใช่มะ นี่แหละ...เลยมาฝากท้องบ่อยๆ” อวยกันแบบนี้เยี่ยมมากพี่แจ็ก ท่านขุนขยิบตาหล่อๆ หนึ่งทีให้เพื่อนรุ่นพี่ฝั่งตรงข้าม ทุกคนเห็นหมด แม้กระทั่งมณีก็ยังเห็น แต่คนไม่เห็นคือ...คนข้างกายเขา
พี่พีใสซื่อแบบนี้…ตามไม่ทันเลยแบบนี้มันจะไม่น่าล่อลวงได้ยังไงกันล่ะ ท่านขุนตักอาหารทีละอย่างให้พี่พีของเขาชิม ได้รับคำชมทุกอย่าง ปกติก็เคยโดนชมจากคนอื่นที่มาฝากท้องตอนกลางวันบ้าง ตอนเย็นบ้างบ่อยครั้ง ทว่าหนนี้นี่มัน...อิ่มใจจริงๆ ท่านขุนลอบมองพี่พีของเขาบ่อยมาก บ่อยจนแจ็กส่งสายตาเย้าหยอก แต่เขาก็ไม่สะทกสะท้าน ยักคิ้วตอบโต้กลับอีกต่างหาก แล้วเมื่อพีระพลเงยหน้ามอง ทุกอย่างก็เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ปกติขุนทำอาหารบ่อยหรือเปล่าเนี่ย” กับข้าวทั้งหมดโดนกวาดลงท้องชายหนุ่มร่างใหญ่สามคนจนหมด ดีนะที่ท่านขุนเผื่อแผ่ไปให้ลูกน้องของเขาแล้ว
ใช่! ท่านขุนได้ข้อมูลอีกอย่าง...พี่พีกินกุ้งไม่แกะเปลือก คือกินมันทั้งเปลือกเลย จดใส่สมองแป๊บ
“ก็บ่อยนะ ผมมันชายโสดอะพี่...ต้องพึ่งตัวเอง” น่าสงสารไหมล่ะ พี่อยากให้ผมหายโสดพี่ก็จงมาเป็นของผมเสียเถอะ ท่านขุนยิ้มให้พี่พีของเขา
“ฮ่าๆ พึ่งพาตัวเองได้เก่งนะเรา”
“ทำไงได้ล่ะ ผมก็อยากได้คนมาดูแลผมบ้างเหมือนกัน อืม ต้องเรียกดูแลกันและกันถึงจะถูกเนอะ” คนพูดนี่ยิงมุกใส่รัวๆ คนแก่ดันไม่เข้าใจ พี่พีพยักหน้าเข้าใจ
“พี่เข้าใจ...ถ้าได้คนดีๆ มาดูแลกันมันก็คงดีเนอะ”
“ใช่ไหมๆ พี่พีคิดเหมือนผมเลย” รอยยิ้มนั้นดูเจ้าเล่ขึ้นนิดหน่อย พีระพลไม่ได้สังเกต เขาเก็บจานอยู่
“คิดเหมือนกันแบบนี้ไม่ลงเอยกันเลยล่ะ” แจ็กช่วยชง ท่านขุนอยากยกนิ้วให้เป็นบ้า แต่เก็บอาการ พี่พีเงยหน้ามองเพื่อนยิ้มๆ ไม่พูดอะไร
“ไม่ดีมั้งพี่ พี่พีคงไม่ชอบเด็กแบบผมหรอก” ล้วงข้อมูลเข้าไปอีก
“เด็กๆ สิดี...ชุ่มชื่นหัวใจ ว่าไงล่ะพี” เจ้าของชื่อพอเดาทางได้บ้างแล้ว แต่คิดว่ามันเป็นคำหยอกเย้าธรรมดา
“อืม ก็ดี” เขาหมายถึงมันชุ่มชื่นหัวใจดีแบบที่แจ็กบอกนั่นแหละ จากนั้นพีระพลยกจานที่ถูกกินอาหารจนหมดไปที่ล้าง เขาไม่ลังเลที่จะถลกแขนเสื้อตัวเองขึ้นเพื่อทำความสะอาดสิ่งเหล่านี้ ไหนๆ ก็มาอาศัยอาหารเขาแล้วช่วยกันทำความสะอาดไม่เสียหายอะไร
ถ้าพีระพลมีตาหลัง ตอนนี้เขาคงได้เห็นว่าท่านขุนกับแจ็กกำลังขมุบขมิบปากถามไถ่กัน หมายถึงอะไร...ทำไมพี่พีนิ่งจังเลย ท่านขุนงงใจ แต่แจ็กกลับตอบว่ามันก็แบบนี้แหละ อาจไม่พูดก็ได้ แต่คิดแน่ๆ...ใช่มันน่าจะรู้ ท่านขุนหันไปมองแผ่นหลังของพี่พี เขาตัดสินใจลุกขึ้น เดินเข้าไปใกล้ ด้วยจุดที่พีระพลยืนอยู่มันติดมุมหนึ่งของเคาน์เตอร์ครัว ขวามือเขามีจุดวางจาน ซ้ายเป็นอุปกรณ์ครัวต่างๆ ท่านขุนเลือกจะเข้าไปยืนด้านหลังแล้วทำทีเป็นเอื้อมหยิบจานล้างเสร็จวางคว่ำ
พีระพลตกใจนิดหน่อย เขาหันไปส่งยิ้มซึ่งก็ได้รับรอยยิ้มตอบกลับมาจากท่านขุน เป็นรอยยิ้มเจ้าเล่นิดๆ ซุกซนหน่อยๆ คำแจ็กลอยเข้ามาในหัว...เด็กมันชุ่มชื่นหัวใจนะ ก็จริง แค่รอยยิ้มมันก็สดใสแล้วอะนะ
ก่อนกลับ พีระพลแวะเล่นกับมณีนิดหน่อย ดูท่าเจ้าเหมียวจะไม่สนใจหนุ่มรูปงามอย่างพีระพล แม้ตอนแรกจะตอบสนองบ้างเพื่อของเล่นและของกิน ทว่าตอนนี้กลับเมินพีระพลสนิท แถมฝากรอยเล็บเอาไว้ที่หลังมือของชายหนุ่มอีกสองแผลถ้วน…
….100%….
หายไปนาน ทุกคนลืมเค้ายางน้าาาาา ขอให้ยังไม่ลืมเค้านะเพี้ยง! จะพยายามมาบ่อยๆ นะคะ ช่วงนี้ติดรีไรท์นิยายอีกเรื่องนิดหน่อย ต้อขอโทษด้วยน้าที่มาช้า มาๆ หายๆ แฮ่