ต่อ...
“ปิ่น...”เสียงเรียกชื่ออีกฝ่ายเบาหวิวหลุดรอดออกมาจากผม นี่โชคชะตาเล่นตลกอะไรกันอยู่ ผมไม่ได้ฟังที่แม่ปั้นส่งเสียงทักลูกชายตนเองเลยแม้แต่น้อย เพราะผมกำลังจับจ้องไปยังหญิงสาวเพียงคนเดียวที่กำลังจะเปิดประตูรถฝั่งผมเพื่อขึ้นนั่ง
“ว่าไง เจ้าปั้น ไม่เห็นจะ...”เสียงทักของปิ่นขาดหายไปเมื่อเห็นหน้าผมชัดๆ
“พี่ปิ่น นี่ก้องนะ เมทปั้นเอง รีบขึ้นรถมาเร็ว”เสียงปั้นเรียกสติผมกับปิ่นทั้งคู่ ผมส่งยิ้มให้อีกฝ่ายราวกับคนไม่เคยรู้จักกัน ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับบทสนทนาของแม่ปั้นที่ชักชวนให้ผมพูดคุยด้วย
ผมแทบนั่งไม่ติด มันเกร็งไปหมดกับการรับรู้ว่ามีอีกฝ่ายนั่งอยู่เคียงข้าง กี่ปีแล้วนี่เราไม่ได้คุยกัน กี่ปีแล้วนะที่เราห่างกันไป ในหัวผมเฝ้าคิดวนเวียนถึงเรื่องเดิมในอดีต ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะคิดเหมือนผมไหม แต่ตอนนี้เขาเองก็นั่งเกร็งไม่ต่างจากผมหรอก ทั้งรถตอนนี้มีเสียงปั้นชวนพูดคุยตลอดเส้นทาง มีบ้างที่บทสนทนามาเอี่ยวถึงตัวผม หรือหญิงสาวคนที่นั่งข้างผมบ้าง แต่เราสองคนก็ท่าทางเป็นปกติ ไม่มีพิรุธให้ใครบนรถระแคะระคายเลยแม้แต่น้อย
รถกระบะแล่นมาจอดยังด้านในหอพักที่ผมกับปั้นมาติดต่อไว้ หอนี้ไม่ไกลจากหน้ามอมากนัก เดินสะดวกสบายแต่ผมก็คิดว่าเทอมหน้าจะเอารถมอเตอร์ไซค์มาใช้แล้ว เพราะมันสะดวกกว่า ผมกับปั้นไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบขนของลงจากรถ เป็นผมที่ขนของตัวเองลงมาหมดก่อน จึงบอกปั้นว่าจะติดต่อเจ้าของหอเพื่อเอากุญแจห้อง ห้องของผมกับปั้นจะว่าไกลก็ไกล จะว่าใกล้ก็ใกล้ พออยู่กันคนละชั้นเลย แต่ก็ยังดีที่ได้อยู่หอเดียวกัน
ผมรีบขนย้ายของเข้าห้องตัวเอง โดยมีพ่อแม่ปั้น แล้วก็... ปิ่น คอยช่วยผมยกของบางส่วนขึ้น เมื่อขนของขึ้นมาหมด ผมก็จัดเก็บของบางส่วนให้เข้าที่เข้าทาง บางส่วนก็ไม่ได้เก็บอะไรเพราะคิดว่าเดี๋ยวผมก็กลับบ้านแล้ว ส่วนปั้นกับครอบครัวก็อยู่ที่ห้องของปั้น ในยามนี้ห้องผมจึงมีแค่ผมคนเดียวเท่านั้น
ก็อกๆ
“เข้ามาเลย ไม่ได้ล็อค”ผมคิดว่าเป็นปั้นแน่ๆที่มาเคาะประตูห้อง เลยบอกให้อีกฝ่ายเดินเข้ามาเลย มือสองข้างของผมยังคงวุ่นวายกับการจัดโต๊ะเขียนหนังสือ จนไม่ได้ใส่ใจไปมองหน้าคนที่เข้ามาในห้อง
“เอ่อ ก้อง...”เสียงของผู้หญิงดังขึ้นมาฉุดรั้งความสนใจของผม ไม่ใช่ปั้นหรอกหรอ ผมนึกในใจ ก่อนจะหันหน้าไปเผชิญกับอีกฝ่าย
“ปิ่น... เอ่อ มีอะไรรึเปล่า”ผมเอ่ยปากถามหลังจากนิ่งคิดไปชั่วครู่
“เรามีเรื่องอยากจะคุยกับก้องนิดหน่อยน่ะ”ผมพยักหน้ารับกับคำพูดของป่น พลางเลื่อนเก้าอี้ให้อีกฝ่ายได้นั่งคุย ส่วนผมก็เลือกที่นั่งบนโต๊ะเขียนหนังสือตัวนั้น
“ดีใจนะที่ได้เจอก้องอีกครั้งหนึ่ง”ปิ่นแย้มรอยยิ้มขึ้นมาเมื่อนึกถึงเรื่องเก่าๆ ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไร เมื่อครั้งก่อนนั้นอาจจะเป็นเพราะผมยังดูเด็กไป จนดูพร่ำเพ้อในความรัก แต่ตอนนี้ผมก็ดูพอที่จะสร้างมุมมองความรักใหม่ๆให้ตนเองแล้ว
“อืม”ผมตอบรับคำกล่าวถึงของปิ่นเพียงแค่นั้น
“แต่ก้องคงไม่ดีใจเท่าไหร่... ตลกเนอะ มาพูดอะไรเอาป่านนี้ก็ไม่รู้”ปิ่นหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย แต่กลับก้มใบหน้าลงต่ำ ผมไม่รู้เลยจริงๆว่าสีหน้าเธอจะแสดงออกยังไง
“ไม่หรอก ได้เจอกันอีกครั้งก็ดี... เรื่องที่ค้างคาอยู่ก็จะได้จบ”ผมไม่รู้ว่าผมพูดตรงไปรึเปล่า แต่ทุกครั้งที่ผมอยากจะเริ่มต้นกับใครคนอื่นกลับต้องมีอันล้มเลิกไปทุกครั้งเมื่อนึกถึงเรื่องของเรา
“จบหรอ... ก้องก็คงอยากให้เป็นอย่างนั้นสินะ”ผมไม่นึกเลยว่าผู้หญิงจะเป็นเพศที่คิดเยอะขนาดนี้
“เราเองก็คงแล้วแต่ปิ่นมากกว่า”เรื่องราวของเรามันมีอะไรมากมายกว่ารักแบบวัยรุ่นทั่วไป ถ้าจะเท้าความถึงอดีตแล้วละก็... ผมกับปิ่นได้รู้จักกันผ่านโปรแกรมแชทชื่อดังในสมัยนั้นก็คือเอ็มเอสเอ็น เป็นความบังเอิญที่ผมเจอชื่อเมลนี้ในกระทู้ๆหนึ่งซึ่งปิ่นได้แสดงความคิดเห็นไว้ ผมชอบมุมมองความคิดของคนที่พิมพ์ไว้ แล้วนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการรู้จักกัน ในตอนแรกผมก็คุยผิวเผินกันเท่านั้น เพียงแต่วันนั้นมันช่างมีปัญหาเข้ามารุมเร้าผมมากมายเสียจนผมแทบทนไม่ไหว เลยขึ้นสเตตัสในเอ็มเอสเอ็นไว้ แล้ววันเดียวกันนั้นนั่นเองที่ผมทักผมมา พร้อมกับคำพูดปลอบใจเสียมากมาย นั่นทำให้ผมต้องมองเธอในแง่มุมใหม่ ผมรู้ว่าเธออายุมากกว่าผม แต่ผมก็มองแค่ว่าปีเดียวแค่นั้น ผมไม่เคยเรียกปิ่นว่าพี่เลย ผมคุยกับปิ่นมาตลอดหกเดือน และนั่นก็ทำให้ผมคิดอยากจะขอเปิดกล้องดูหน้าตาของคนที่ผมปลื้ม ผมใช้เวลาอีกราวๆสามเดือนจึงได้เหน้าปิ่นเป็นครั้งแรก แต่แค่แวบเดียวเท่านั้น แต่นั้นก็เพียงพอจะให้ผมตกหลุมรักอย่างแรง ผมเริ่มคิดจริงจังที่จะจีบผู้หญิงคนนั้นจึงอยากจะได้เบอร์โทร ผมใช้เวลาอีกสามเดือนในการใช้ลูกล่อลูกชนเพื่อเอาตัวเลขสิบหลักมาครอบครอง แล้วก็เริ่มเดินหน้าตื๊อเธออย่างรวดเร็ว ผมคุยกับปิ่นแบบคนไม่รู้ว่าสถานะระหว่างเราคืออะไร แต่ผมสบายใจทุกครั้งที่คุย มีความสุขมากมายในตอนที่ได้โทรหา แต่แล้ววันหนึ่งเธอก็หายไปจากชีวิตของผมแบบไม่เหลือร่องรอย ผมโทรหาเธอไม่ติด แถมยังติดต่อเธอผ่านแชทก็ไม่ได้ ผมในตอนนั้นจะเรียกว่าอกหักก็คงใช่ ระยะเวลาปีกว่าที่ผมคุยกับปิ่นนั้นมากพอที่จะสร้างความรู้สึกบางอย่างที่หยั่งรากลึกอย่างที่ผมไม่คิดไม่ฝัน ความรู้สึกนั้นก็คือรัก
“ขอโทษนะที่ตอนนั้นก็หายไป ทั้งๆที่เราควรจะได้อธิบายให้ก้องฟังไว้ก่อน”
“ช่างเถอะ เราไม่อยากรู้เรื่องในตอนนั้นแล้ว”ผมเดินหันหลังให้เธอ สายตาทอดมองออกไปนอกหน้าต่างราวกับมีสิ่งที่น่าสนใจมากกว่าคนในห้องอีกร้อยเท่าพันเท่า
“อ้อ... งั้นเราคงพูดได้แค่เรื่องตอนนี้สินะ... เรายังคงรู้สึกกับก้องเหมือนเดิมนะ แล้วก็รอให้ก้องช่วยฟังเหตุผลของเราหน่อย... แค่นั้นแหละ”เสียงของปิ่นเครือแบบคนที่พยายามจะกลั้นน้ำตาไว้ ผมหันกลับไปมองเธออีกครั้ง เห็นปลายนิ้วเรียวพยายามกรีดน้ำตาออกจากใบหน้าตัวเอง และนั่นทำให้ผมใจอ่อนยวบ ผมก้าวเท้าไปหยุดตรงหน้าเธอ แต่ใบหน้าเล็กนั้นก็ยังคงก้มหน้าลงต่ำ ไม่ยอมเงยหน้ามามองผม ผมทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า ก่อนจะประคองใบหน้าเรียวเล็กให้เงยหน้าสบตาผม
“ถ้าปิ่นพูดคำนี้ตั้งแต่แรกก็จบแล้วล่ะ ที่ก้องบอกว่าจบก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องเลิกกัน ก้องยังรู้สึกกับปิ่นเหมือนเดิม ไม่มีใครมาทำให้ก้องรู้สึกเหมือนกับที่ก้องรู้สึกกับปิ่น ทุกครั้งที่ก้องอยากจะเริ่มใหม่ ก็มีแต่หน้าปิ่นลอยมา ปิ่นว่าก้องอาการหนักไหมล่ะ”ผมค่อยๆใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่าย และประโยคสุดท้ายของผมก็เรียกรอยยิ้มของอีกฝ่ายได้ทันที
“หนักมาก”ปิ่นพยักหน้าตอบคำถามผม ผมอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางนั้น
“งั้นช่วยรักษาคนอาการหนักหน่อยนะครับ เป็นแฟนกับก้องนะครับ”ผมประคองมืออีกฝ่ายขึ้นมาเพื่อรอคำตอบจากอีกฝ่าย ปิ่นพยักหน้ารับทั้งน้ำตา แต่นั่นกลับดูน่ารักเหลือเกินในสายตาผม ผมจูบที่ฝ่ามือเธอทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว
“จองไว้นะ เรียบจบ มีงานทำ เก็บเงินได้เมื่อไหร่จะไปขอทันที”ผมมั่นใจแล้วว่าผู้หญิงคนนี้จะต้องผู้หญิงคนสุดท้ายในชีวิตของผม โอ้... ผมลืมไปเลยว่าเธอเป็นผู้หญิงคนแรกในชีวิตของผมด้วยนี่นา ขอบคุณใครก็ตามแต่ที่ส่งผมให้ได้รู้จักกับเธอ
...ผู้หญิงคนแรก และคนสุดท้ายในชีวิตของผม...
.
.
.
.
ห้าปีต่อมา
ผมเรียนจนจบปีสี่แล้วก็เริ่มออกหางานทำ แม้งานที่ทำจะอยู่ไกลบ้านตนเอง แต่มันก็ใกล้บ้านคนรักของผมละกัน ในคราแรกที่ปั้นรู้ว่าผมคบกับพี่ปิ่น มันก็โวยวายหอแทบแตก นี่ขนาดผมปิดมันไว้ในช่วงสามเดือนแรกอย่างที่ปิ่นขอไว้มันยังระเบิดลงขนาดนี้ จนผมนึกภาพไม่ออกว่าถ้าผมบอกว่าผมรู้จักพี่ของมันมาจะเข้าปีที่ห้าแล้วมันจะเป็นยังไง ส่วนพ่อกับแม่ของปิ่นก็เข้าใจไม่ได้ห้ามไว้อย่างในคราแรกที่จับได้ว่าปิ่นคุยโทรศัพท์กับผมจนยึดโทรศัพท์ปิ่นแล้วก็จัดการคุมเข้มลูกสาวตนเอง แต่แน่นอนว่าไม่มีใครรู้ว่าผู้ชายคนนั้นก็คือผมคนนี้นั่นเอง ผมกับปิ่นลงความเห็นว่าดีแล้ว เพราะคนในครอบครัวปิ่นจะได้ไม่อคติในเรื่องเดิมๆ ผมคบกับปิ่นมาจนจะเข้าปีที่ห้าแล้ว แต่รักกันมาจะแปดปีแล้วก็ตาม ผมเข้าตามตรอกออกตามประตูทุกช่อง จนขึ้นแท่นเป็นลูกรักของบ้านปิ่นไปอีกคน ซึ่งอาจจะเป็นที่หน้าหมั่นไส้ของปั้นบ้าง แต่โชคดีที่มันก็พาพี่โอมมาให้ที่บ้านรู้จัก แล้วก็พูดอีท่าไหนไม่รู้จนพ่อกับแม่มันอนุมัติให้คบกัน ทำให้ผมไม่ต้องคอยโดนมันจิกกัดด่าทอตบตีในทุกคราวที่มันหมั่นไส้ผม
ช่วงนี้ผมก็กำลังเก็บเงินอย่างบ้าเลือด โดยมีไอ้ปั้นมาคอยชวนผมออกเที่ยวตลอดเวลา สาเหตุก็คือมันไม่อยากให้ผมเก็บเงินไปขอพี่สาวมันครับ งี่เง่าดีไหมล่ะ แต่โดยมากผมก็ปฏิเสธมันไป แม้จะต้องทำร้ายจิตใจมัน แต่ผมจะไม่ทำร้ายจิตใจตัวเองโดยเด็ดขาด
เรื่องราวความรักของผมจะเป็นอย่างไรต่อจากนี้ ผมก็บอกได้คำเดียวว่าผมไม่รู้หรอกครับ สิ่งเดียวที่ผมรู้และจะทำก็คือ ผมจะประคองความรักของผมให้ดีที่สุด เหมือนอย่างที่ปั้นกับพี่โอมทำ เหมือนอย่างที่พี่วินกับพี่นิ่งทำ
รักครั้งนี้ของผม... ผมรอคอยมานานแล้ว
++++
จบแล้ววววว