บทที่ 26 (2)
ผมกับโฬมโดนตามให้ลงมากินข้าวตอนที่ยายผัดอาหารเสร็จเรียบร้อย กลิ่นพะแนงหมูหอมกรุ่นไปถึงชั้นบน ทั้งยังมีไข่ดาวกรอบๆ ใส่จานข้าวสวยให้คนละใบ รสมือที่คุ้นเคยทำให้ผมซัดข้าวลงพุงไปถึงสองจาน ในขณะที่โฬมก็กินเยอะไม่แพ้กัน เขาป้อยอยายผมยกใหญ่ เล่นเอาคนแก่ฉีกยิ้มกว้างอย่างมีความสุขเลยทีเดียว
บนโต๊ะอาหารครื้นเครงไปด้วยเสียงพูดคุยที่ค่อยๆ ดังขึ้นเรื่อยๆ แขกแปลกหน้าพอคุ้นเคยกับเจ้าของบ้านแล้วก็เริ่มพูดปร๋อ ส่วนผมมีแทรกบทสนทนาเข้าไปบ้างแต่ส่วนมากจะนั่งฟังเสียมากกว่า
“แล้วจะกลับกันวันไหน” ยายผมวางช้อนลงบนจานข้าวที่ว่างเปล่า ดวงตาภายใต้แว่นทรงกลมหันมามองผมขณะถาม
“อาทิตย์หน้าครับ ลางานมาแล้ว”
“แล้วพ่อหนุ่มนี่ก็อยู่ด้วยเหรอ”
ผมพยักหน้ารับพลางตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก อิ่มแปร้จนพุงป่องออกมาเป็นก้อนกลมเลยแหะ
“ดีๆ จะได้ช่วยกันลงต้นไม้ที่สวน”
ผมหัวเราะ ต่างจากโฬมที่หันมามองหน้าผมสงสัยว่าผมขำอะไรขนาดนั้น ผมเลยได้แต่โบกมือปัดๆ ให้เขาว่าไม่มีอะไรก่อนขยับตัวเข้าไปกอดร่างเล็กๆ ของยายไว้แน่น
“จะใช้แรงงานกันเลยเหรอครับ”
“มีแรงงานมาให้ใช้ก็ต้องใช้สิ”
“แต่พี่โฬมมาเป็นแขกนะยาย” ผมประท้วงเบาๆ เพราะรู้สึกเกรงใจคนรักที่ต้องมาถูกใช้ให้ตากแดดตากลมเอาต้นไม้ลง ซึ่งไม่น่ามีแค่ต้นสองต้นแน่นอน
ยายผมเวลากลับบ้านทีต้องสรรหาเรื่องมาใช้หลานอยู่แล้ว แกบอกว่านานๆ ทีจะกลับมาให้ใช้ก็ต้องใช้ อยู่คนเดียวทำเองไม่ไหว พูดมาอย่างงี้แล้วผมจะทำอะไรได้ รอบที่กลับบ้านคราวที่แล้วก็นู้นครับ ปีนขึ้นไปกวาดขี้นกบนหลังคามาแล้ว
“ผมทำได้นะครับ” ใครอีกคนที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารด้วยรียแย้งขึ้นมาอย่างต้องการทำคะแนน ยายผมพยักหน้าอย่างชอบอกชอบใจ
“เพื่อนยังใช้งานง่ายกว่ากายตั้งเยอะ” กำปั้นเล็กๆ แขกโป๊กลงบนหน้าผากผม ก่อนที่ยายจะลุกหนีไปพร้อมทิ้งท้ายคำสั่งเอาไว้ว่าให้ผมเอาจานทั้งหมดไปล้างให้เกลี้ยง
ผมขานรับคำสั่งก่อนค่อยๆ รวบจานเปล่าๆ บนโต๊ะมาซ้อนกัน โฬมช่วยหยิบถุงขยะมาเขี่ยเศษอาหารออกให้พร้อมทั้งยกจานชามทั้งหมดเอาไปวางไว้ที่ซิงค์ล้าง
“เดี๋ยวผมทำเอง” ผมรีบตะโกนแย้งแล้วพุ่งตัวเข้าไปหาเมื่อคนตัวสูงหยิบฟองน้ำล้างจานขึ้นมา โฬมเหมือนจะต่อต้านแต่สุดท้ายเขาก็ยอมขยับไปยืนมองอยู่ข้างๆ เพราะผมก็ไม่ยอมให้แขกล้างจานเหมือนกัน
“พี่โฬมไปนั่งรอที่ห้องนั่งเล่นก็ได้นะครับ”
“แต่ผมอยากช่วย...”
ผมหันไปมองคนที่ยังไม่ยอมขยับไปไหน พยักเพยิดไปยังห้องนั่งเล่นที่มีเสียงโทรทัศน์ดังลอดเข้ามาเป็นระยะๆ ยายมักจะใช้เวลาอยู่หน้าทีวีกับหนังสือหนึ่งเล่มถ้าไม่ได้ออกไปไหน แต่ส่วนมากก็ไม่ค่อยได้ทำแบบนั้นหรอกครับเพราะผมขอร้องให้ญาติๆ มาหาแกบ่อยๆ กลัวแกจะเหงา จะพาไปอยู่กรุงเทพฯ ด้วยก็ไม่ยอม
“พี่ไม่รีบไปทำคะแนนแล้วเหรอครับ” คำถามของผมทำให้คนฟังลังเล เขาหันไปมองยังประตูห้องนั่งเล่นสลับกับผม จากนั้นร่างสูงโปร่งก็หมุนกายเดินออกจากห้องครัวไปอย่างง่ายดาย
“งั้นเดี๋ยวผมมานะครับฟ้า”
[บันทึกของโฬม ลภณ]เสียงละครเรื่องเก่าที่นำมารีรันหลังข่าวภาคเที่ยงช่วยคลายความเงียบภายในห้องนั่งเล่นลง ผมแอบอยู่ตรงกรอบประตูพลางสูดหายใจเข้าลึกสุดปอดอย่างต้องการเรียกกำลังใจ ขณะดวงตาก็เพ่งมองหญิงชราที่นั่งพิงพนักโซฟาดูละครในทีวีอย่างเงียบๆ
“คุณยายครับ” ผมรวบรวมความกล้าเพื่อเอ่ยทักคนบนโซฟาหน้าทีวี ใบหน้าขาวที่มีริ้วรอยของกาลเวลาประดับอยู่มากๆ ค่อยๆ หันมาตามเสียงเรียกช้าๆ ท่านฉีกยิ้มบางให้ผมพลางกวักมือเรียก
“มานั่งนี่สิ”
“ขอบคุณครับ”
ผมสัมผัสได้ถึงฝ่ามือที่ชื้นเหงื่อกับร่างกายที่ดูแข็งเกร็งไม่เป็นธรรมชาติของตัวเอง แต่ถึงกระนั้นก็ยังฝืนลากร่างสั่นๆ มานั่งเคียงข้างผู้หลักผู้ใหญ่ของคนรัก ผมไม่กล้าปล่อยตัวพิงพนักอิง ดังนั้นตอนนี้จึงนั่งตัวตรงแหน่วและกุมมือตัวเองไว้บนตักด้วยท่วงท่าที่สุภาพที่สุดในชีวิต
“ไม่ต้องเกร็งขนาดนั้นพ่อหนุ่ม”
ถึงท่านจะบอกแบบนั้น แต่ผมก็อดเกร็งไม่ได้อยู่ดี
ผมขยำกางเกงที่สวมอยู่แน่น หายใจอย่างลำบากจนเริ่มอึดอัดเพราะรับอากาศเข้าปอดไม่เพียงพอ ทั้งคุณยายของฟ้าก็ขยับตัวเอียงข้างเพื่อหันมามองสำรวจกันได้อย่างถนัดถนี่ เม็ดเหงื่อก้อนกลมไหลผ่านขมับลงมาตามกรอบหน้าอยู่หลายเม็ด แต่ผมก็ไม่กล้ายกมือขึ้นเช็ดเพราะความหวั่นวิตกกดร่างของผมให้นั่งนิ่งอยู่กับที่ไม่ต่างจากหุ่นยนต์ถ่านหมด
“ผม... ชอบละครเรื่องนี้มากเลยครับ” ผมพยายามขจัดความอึดอัดในบรรยากาศด้วยการเปิดประเด็นหาเรื่องคุย พอดีกับที่สายตาเลื่อนไปเห็นชื่อละครบนมุมล่างของจอโทรทัศน์พอดีจึงยกมันมาเป็นหัวข้อสนทนา
“เหรอ ยายก็ชอบนะ เรื่องนี้เขาแต่งตัวกันสวย” หญิงสูงวัยพยักหน้าแล้วชี้ไปที่หน้าจอซึ่งกำลังฉายละครย้อนยุคของไทยเรื่องหนึ่งอยู่ ฉากหลังเป็นวังสมัยเก่าและนักแสดงชายหญิงต่างแต่งตัวกันเรียบร้อยงดงามเพราะมีฐานันดรศักดิ์เป็นเชื้อสายเจ้า “บ้านเขาก็สวย”
“จริงครับ”
บทสนทนาเงียบไปเมื่อไม่มีใครเอ่ยต่อ ผมเม้มปากเบาๆ พลางเหลือบสายตาหันไปมองหญิงชราข้างๆ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อจึงได้แต่นั่งดูละครที่จำได้ว่าเคยดูเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วไปเงียบๆ
กาลเวลาค่อยๆ ช่วยลดความอึดอัดของผมลง ร่างกายค่อยๆ คลายอาการเครียดเกร็ง ทั้งคุณยายก็ชวนวิพากย์ละครบางฉากบางตอนบ้างให้ได้ใจชื้น ผมพยักหน้ารับบ้างเอ่ยตอบบ้างไปตามสถาณการณ์
“อ๊ะ...” เสียงอุทานเบาๆ ที่ประตูเชื่อมกับห้องครัวทำให้ผมหันไปมอง เป็นฟ้าที่ยืนฉีกยิ้มเล็กๆ ให้ผมก่อนชี้มือขึ้นไปข้างบนแทนคำพูด
ผมเข้าใจได้ทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการปล่อยให้ผมได้ทำความคุ้นเคยกับผู้ปกครองของเขา จึงพยักหน้าแล้วเลื่อนสายตากลับมาที่จอโทรทัศน์อีกครั้ง เลือกปล่อยเวลาช่วงบ่ายผ่านไปกับละครที่ดูรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง เนิ่นนานจนกระทั่งละครจบลง
ความเครียดจึงได้วิ่งกลับมากระแทกสมองกันอีกครั้ง
“เอ่อ... คุณยายครับ” ผมตัดสินใจเปิดบทสนทนาอีกครั้งหลังจากตัวอย่างตอนต่อไปของละครย้อนยุคนั้นจบลง คุณยายหันมามองผมแล้วเงียบรอคำพูดประโยคต่อไป “คือผม... มีเรื่องอยากคุยด้วย”
“เรื่องอะไรล่ะ”
“คือผมกับฟ้า เอ่อ สกาย...” ผมไม่รู้จะเริ่มเรื่องพวกนี้ด้วยคำไหน มันเลยออกมาเก้ๆ กังๆ และไม่ค่อยดีเท่าที่ตั้งใจ ผมอยากจะคุยกับท่านให้ชัดเจนแม้ฟ้าจะเคยบอกว่าเขาคุยกับคุณยายไปแล้ว แต่ตามมารยาทผมก็ควรเข้าหาท่านด้วยตัวเองเช่นกัน “ผม...”
“อ้ำๆ อึ้งๆ จะคุยกันรู้เรื่องไหม ฮึ?”
“ผมกับสกาย... เราคบกันครับ”
“...”
ผมไม่กล้าขยับตัวตอนที่คู่สนทนาเงียบไม่ยอมตอบ ไม่กล้าแม้จะหันไปมองหน้าคุณยายเพราะความกดดันที่ทับลงมาบนหัวใจจนหน่วงไปหมด
“อยากคุยเรื่องนี้เหรอ” คุณยายถามผมเสียงเบา ท่านยังคงจ้องมองมาไม่ยอมละสายตา ทั้งยังสำรวจผมขึ้นลงอย่างพินิจพิเคราะห์ ในขณะที่ผมทำได้แค่พยักหน้าเพราะก้อนน้ำลายหนืดเหนียวเกาะติดเต็มลำคอไปหมด
“ถ้าอยากคุย ยายก็จะคุยด้วย”
ผมรวบรวมความกล้าอีกครั้งเพื่อหันไปมองเจ้าของคำพูดประโยคนั้น คุณยายไม่ได้มีสีหน้าเกรี้ยวโกรธหรือไม่พอใจอะไร ทว่าท่านก็ไม่ได้ยิ้มให้ผมเหมือนตอนแรก หัวใจผมบีบรัดอย่างกังวล อย่างไรผู้ใหญ่ก็ไม่ใช่จะรับเรื่องอะไรพวกนี้ได้ง่ายๆ บางทีคุณยายของสกายอาจรับไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่แค่เพราะไม่อยากทำให้หลานเสียใจจึงเลือกที่จะไม่พูดออกมา
ความคิดของผมคาดเดาเรื่องราวๆ ไปต่างๆ นาๆ และเริ่มนั่งไม่ติดพื้น เหงื่อออกหนักจนแผ่นหลังเปียกแฉะ ทั้งลมหายใจก็ร้อนระอุและหอบกระชั้น
“โฬม... ใช่ไหม”
“ครับ”
“กายบอกยายแล้ว เรื่องของเราน่ะ” ดวงตาภายใต้แว่นทรงกลมยังมีร่องรอยของความสับสนอยู่ภายใน ผมทำใจแข็งมองสบตาท่านด้วยความแน่วแน่ รอรับฟังอย่างสงบเหงี่ยมและไม่ต้องการโต้แย้งสิ่งใด ผมเลือกที่จะเชื่อทุกคำพูดของฟ้า เลือกจะเชื่อว่าหญิงสูงวัยตรงหน้ารักหลานชายมากพอที่จะไม่ทำให้เขาเสียใจ
ผมเลือกจะเชื่อแบบนั้นแม้หัวใจจะสั่นไปด้วยความกลัวมากแค่ไหนก็ตาม
“แล้วคุณยาย... คิดว่ายังไงครับ”
“จะคบกันยังไงก็คบไปเถอะ ยายแก่แล้วไม่รู้จะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน” ท่านว่าเสียงเรียบ ขยับตัวให้นั่งในท่าสบายขึ้นก่อนเอ่ยต่อว่า “แต่ริจะคบกันแล้วก็ขอให้มีขอบเขต อย่าโฉ่งฉ่างนักเลยคนแก่จะหัวใจวายตายเอา”
“ครับ ผมสัญญา” ผมตอบรับคำขอของท่าน แต่ก็ยังสงสัยบางเรื่องอยู่เต็มอกจนหลุดปากถามออกไปว่า “แต่คุณยายรับได้เหรอครับ ที่ผมเป็นผู้ชาย”
“อยากได้คำตอบรึ”
“...” ผมเงียบ สองจิตสองใจว่าจะฟังคำตอบดีไหม
แต่คนตรงหน้าไม่รอให้ผมคิด ท่านฉีกยิ้มบางๆ มาให้แล้วชิงเอ่ยตอบออกมาเสียก่อน
“ยายก็อยากเห็นกายมีครอบครัว มีเหลนตัวเล็กๆ มาให้อุ้ม” ทุกคำพูดกระแทกเข้ามากลางใจดำจนผมต้องก้มหน้าลงมองหน้าตัก “แต่ก็แก่จนปูนนี้ หลานก็โตจนมีงานมีการทำแล้ว ก็ไม่อยากไปบงการชีวิตมัน”
“...”
“ยายไม่ห้ามถ้ากายมันจะอยากทำอะไรหรือคบใคร พ่อหนุ่มไม่ต้องกังวลหรอกนะ ถึงยายจะรับไม่ได้แต่ก็จะปิดหูปิดตาให้ เจอกันครึ่งทางอย่างนี้ดีไหม”
ผมพูดไม่ออกว่ามันดีแล้วหรือยัง แต่รอยยิ้มใจดีที่ส่งมาให้ก็สั่งให้ผมพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย ร่างเล็กๆ ของหญิงสูงวัยขยับเข้ามาใกล้ ตบฝ่ามือลงบนหน้าตักผมแล้วบีบเบาๆ ให้กำลังใจ
“เอาเถอะ มีคนมาช่วยดูแลไอ้หมานั่นยายก็สบายใจ เราก็ถือว่าเป็นลูกเป็นหลานยายอีกคน ไม่ต้องไปคิดมากนักหรอก คนแก่ก็แบบนี้แหละ จะให้รับอะไรง่ายๆ เขาก็ไม่มีสำนวนไม้แก่ดัดยากน่ะซี”
“ขอบคุณนะครับ” ผมยกมือไหว้และค้อมตัวลงต่ำ กล่าวขอบคุณจากใจจริงทั้งยังเข้าใจแล้วว่าทำไมฟ้าถึงมั่นใจนักว่าคุณยายจะยอมรับเรื่องระหว่างเรา
ดวงตาที่ขึ้นฝ้าขาวๆ ทั้งสองข้างนั้นขณะพูดถึงหลานชายล้วนเต็มไปด้วยประกายความรักอย่างที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาทดแทน ทั้งความรักเหล่านั้นยังเผื่อแผ่มาถึงผมอีกด้วย คุณยายไม่แม้แต่จะความรังเกียจหรือแสดงออกว่าไม่ต้อนรับผมเลยสักนิด ผมนับถือสุดหัวใจที่ท่านยอมรับกับผมตรงๆ ว่ารับไม่ได้ แต่ก็พร้อมจะทำความเข้าใจและเลือกจะปรับตัวแทนที่จะต่อว่าและขัดขวางจนถึงที่สุด แถมคุณยายยังขอโทษด้วยที่ต้องมองว่าผมเป็นเพื่อนสนิทของฟ้าแทนคนรัก แต่การมองแบบนั้นทำให้ท่านสบายใจ
มากกว่า ผมจึงเห็นดีเห็นงามไปด้วยอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
น้ำหนักในหัวใจผมคลายตัวลงจนเบาหวิว ผมฉีกยิ้มส่งให้หญิงชราที่ยังหยิบยื่นความใจดีส่งมาให้ นั่งคุยกันสักพักเพราะท่านถามถึงเรื่องของหลานชายตอนที่อยู่กรุงเทพฯ จากนั้นก็ขอตัวออกมาเพราะฟ้าเดินเข้ามาตามให้ไปช่วยขนกระเป๋าจากรถขึ้นไปเก็บบนห้อง ผมพยักหน้าให้ฟ้าแล้วบอกว่าจะตามไป ก่อนจะหันกลับมาหาคุณยายแล้วยกมือขอบคุณอีกครั้ง
“ผมขอบคุณจริงๆ นะครับที่ยอมรับ”
คุณยายท่านยิ้มให้ผมแทนคำพูด รอยยิ้มที่งดงามที่สุดในโลกของผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่มีความรักให้หลานมากมายเสียจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้
ผมขยับตัวลุกออกมาจากห้องนั่งเล่นและเดินตามฟ้าออกไปที่รถ เห็นคนตัวเตี้ยกว่ากำลังมุดเบาะลังของรถเพื่อหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าออกมาวางบนพื้น ผมเดินเข้าไปใกล้ ไม่ได้รวบอีกฝ่ายเข้ามากอดแม้จะอยากทำมากแค่ไหนก็ตาม ผมเพียงแค่ฉีกยิ้ม เรียกชื่อของเขาเบาๆ เพื่อให้เขาหันมา
“ฟ้าครับ”
“อ...ครับ คุยกันเสร็จแล้วเหรอ” ฟ้าขยับตัวยืนขึ้นเต็มความสูง เขาพิงสะโพกไว้กับกรอบประตูรถแล้วเปิดบทสนทนาขึ้นทันทีด้วยความสงสัย “ยายว่ายังไงบ้างครับ”
“ท่านเป็นเหมือนที่ฟ้าบอกเลยครับ”
“หืม? แบบที่ผมบอก?”
“คุณยายรักฟ้ามากๆ เลย”
รอยยิ้มที่ผมชอบมองประดับเต็มแก้มของฟ้าและดวงตาของเขาก็หยีลง ร่างโปร่งยืดอกขึ้นอย่างลำพอง ทั้งยังโอ้อวดคุณยายตัวเองโดยไม่มีถ่อมตัวอีกด้วย
“แน่นอนอยู่แล้ว ยายผมนี่น่า”
“ผมกังวลแทบตายเลยนะ ฟ้ารู้ไหม”
“หน้าพี่แสดงออกขนาดนั้นจะไม่รู้ได้ยังไง”
ผมหัวเราะ เอื้อมมือไปขยี้ผมสีอ่อนของเขาอย่างเอ็นดี “กลัวที่บ้านของฟ้าไม่ยอมรับนี่ครับ”
“แล้วตอนนี้ยอมรับรึยังล่ะครับ”
“ยังเลย คุณยายให้เป็นแค่เพื่อนสนิท”
“อะ” ฟ้าเลิกคิ้วใส่ผม หลังจากครุ่นคิดสักพักเขาก็หัวเราะออกมา “อ๋อ จากเพื่อนได้เลื่อนขั้นเป็นเพื่อนสนิท แสดงว่ายายชอบพี่โฬมนะเนี่ย”
“อย่างนั้นเหรอครับ”
ฟ้าพยักหน้าเบาๆ เขาเหลือบตาไปมองกระเป๋าสองใบบนพื้นอย่างต้องการเปลี่ยนเรื่อง
“สบายใจแล้วก็รีบขนของเถอะครับ ตอนเย็นที่วัดใกล้ๆ นี้มีงานนะ ผมว่าจะชวนพี่โฬมไปเดินเล่นกัน”
“ไปสิครับ” ผมรับคำอย่างว่องไว รีบก้มตัวลงหิ้วกระเป๋าทั้งสองใบไว้บนบ่าแล้วเดินลิ่วๆ นำเข้ามาในบ้าน เมินเสียงโวยวายจากทางด้านหลังของคนรักที่พยายามจะช่วยถือกระเป๋าด้วยการยื้อแย่งสุดแรง “เดี๋ยวตกบันไดนะครับ”
“พี่โฬมก็ปล่อยสิครับ มันหนักเดี๋ยวผมช่วย”
ผมกุมสายกระเป๋าไว้แน่นทั้งยังออกวิ่งตึงตังเพื่อหนีมือปลาหมึกที่พยายามสอดเข้ามาแย่งกระเป๋า ฟ้าร้องลั่นตอนที่ผมหนีออกมาและถึงห้องนอนก่อน เขาสับเท้าวิ่งตามมาก่อนจบลงด้วยการยืนหอบแฮกอยู่ข้างประตู
“พี่จะวิ่งทำไม”
“วิ่งหนีโจรอยู่ครับ”
“โจรอะไร มีแต่ผมเนี่ย”
“โจรขโมยหัวใจไง”
“...ให้ตาย” ผมได้ยินฟ้าบ่นพึมพำเบาๆ กับตัวเอง แต่ผมไม่ได้สนใจฟังว่าเขาบ่นว่าอะไร เพราะแก้มแดงๆ กับดวงตาที่หลุบต่ำไม่กล้าสบตากันเรียกรอยยิ้มของผมให้กว้างขึ้นจนปวดแก้มไปหมด
ผมดีใจนะ... ที่ผมได้มีท้องฟ้าที่สดใสและสวยงามขนาดนี้เป็นของตัวเอง
[จบบันทึกของโฬม ลภณ][END]
_____________________________
Talk: ในที่สุดเรื่องนี้ก็ดำเนินมาถึงตอนจบแล้วนะคะ
ขอบคุณคนอ่านทุกท่านที่อยู่ร่วมกันมาจนถึงตอนนี้
อัพเร็วบ้างช้าบ้างผิดสัญญาบ้างก็ขออภัยจริงๆ ค่ะ
และในเรื่องที่ผิดพลาดที่หลายๆ คนติชมมาก็น้อมรับและจะนำไปแก้ไขนะคะ
หวังว่า จรดฟ้า #เจ้าสกาย เรื่องนี้จะให้อะไรกับผู้อ่านบ้าง
อย่างน้อยๆ ก็ในแง่มุมของความบันเทิง
เราดีใจที่เราเขียนเรื่องนี้มาจนจบ มันเป็นนิยายเรื่องแรกหลังจากวางมือไปนานมากๆ แล้ว
ยอมรับว่าท้ออยู่บ่อยๆ และกลัวที่จะอัพนิยายในแต่ละตอนพอสมควร
แต่ก็ฮึบมาได้จนจบเสมอ ขอขอบคุณทุกคนจริงๆ ค่ะ
ถึงแม้ว่าอัพครั้งล่าสุดจะมีคนอ่านน้อยแค่ไหนก็ตาม
นิยายเรื่องนี้มีสนพ.มาทาบทามไปเป็นเล่มแล้วนะคะ
หวังว่าจะมีคนติดตามแบบรูปเล่มหรือ E-book ด้วยนะคะ
ตอนพิเศษที่ตั้งใจจะเขียนมีทั้งหมด 6 ตอน อัดแน่นครบรสมาก
รวมถึง....!!!! ทั้ง sin ทั้ง porn ที่คิดว่าจะใส่ลงไปอย่างจุใจ
สุดท้ายนี้ รักคนอ่านทุกคนมากๆ ขอบคุณทุกๆ กำลังใจที่ส่งมาให้
คอมเมนต์ทุกคนเราอ่านหลายรอบมากๆ เวลากลัวที่จะอัพนิยาย
ขอบคุณจริงๆ ค่ะ
พลอยพรรณ