บรรทัดที่ 3 เมื่อลมพัดหวน
‘ว่ากันว่าช่วงมัธยมเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดและน่าจดจำที่สุดของชีวิต เป็นช่วงที่ต่างคนต่างมีพลังงานเหลือเฟือ สนุกได้สุดเหวี่ยง ทำอะไรห่าม ๆ ตามที่ใจตัวเองต้องการ นอกจากเรียนหนังสือก็ยังได้ทำกิจกรรมร่วมกับเพื่อน ๆ ดังนั้นช่วงนี้จึงเป็นช่วงแห่งการค้นพบและเรียนรู้ซึ่งกันและกัน บางคนค้นเจอว่าตัวเองชอบอะไร สนใจด้านไหน ในขณะที่หลายคนใช้ช่วงเวลานี้ค้นหาเพื่อนที่รักที่สุด และหากโชคดีก็อาจได้พบกับใครคนหนึ่งที่เราจะเก็บเขาเอาไว้ให้อยู่ในความทรงจำไปตลอดกาล กลิ่นไอแห่งมิตรภาพยังคงอบอวลในขณะที่บางบทเพลงยังคงแว่วอยู่ในห้วงคำนึง ได้ยินครั้งใดก็ให้หวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตที่มีทั้งเสียงหัวเราะและคราบน้ำตา...’
ร่างสูงยืนกวาดตามองตัวอักษรบนหน้าหนังสือในมือของเพื่อนร่วมอาชีพที่กำลังนั่งหันหลังให้ก่อนเดินอ้อมไปอีกฝั่งของโต๊ะอาหาร ถือวิสาสะเลื่อนเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วนั่งลง ความสนิทสนมทำให้เขาไม่ต้องเอ่ยปากขออนุญาตคนที่กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านข้อความบนถนอมสายตา
"อ่านอะไรอยู่"
บารมีเงยหน้าขึ้นพลางปิดหนังสือให้คนถามได้เห็นหน้าปกก่อนจะตอบ “หนังสือชุดของสำนักพิมพ์ปลายทางฝันน่ะ ออกมาเดือนละหนึ่งเล่ม เป็นผลงานของสิบสองนักเขียนหน้าใหม่” ความจ้อกแจ้กจอแจในโรงอาหารของโรงพยาบาลทำให้เขาต้องเพิ่มระดับเสียงขึ้นมาอีกนิด
“รู้ละเอียดจัง”
“ก็กู๋ของเราเป็นหนึ่งในนั้นนี่ ตัวแทนของเดือนมกราคม มุมมองของการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ ๆ”
นุพันธ์ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ จ้องตัวอักษรที่เรียงกันเป็นชื่อหนังสืออย่างสนอกสนใจ “บรรทัดสุดท้าย เขียนไว้ว่า...” พลันคิ้วหนาก็มุ่นเข้าหากัน “...ว่าอะไร”
“ไม่รู้เหมือนกัน กว่าจะรู้ก็คงต้องอ่านจนถึงบรรทัดสุดท้ายละมั้ง นักเขียนที่เขียนเล่มนี้เขาเป็นตัวแทนของเดือนธันวาคม เดือนสุดท้ายของปีที่เรามักจะใช้ช่วงเวลานี้คิดทบทวนสิ่งที่ผ่านมา เล่าถึงความทรงจำเมื่อสมัยเด็กที่ผู้ใหญ่มักโหยหาอยากให้เวลาหมุนกลับ อ่านแล้วรู้สึกเหมือนได้ย้อนไปเป็นนักเรียนม.ต้นอยู่เหมือนกัน เห็นว่าเดือนหน้าจะมีงานเปิดตัวหนังสือด้วยนะ อยากรู้เหมือนกันว่าจะเป็นที่ไหน เพราะที่ผ่านมานักเขียนตัวแทนแต่ละเดือนจะเลือกสถานที่ให้เข้ากับเรื่องที่ตัวเองเขียนทั้งนั้น”
“ฟังดูน่าสนใจจัง สงสัยต้องยืมมาอ่านบ้างแล้ว”
“เอาสิ เราให้ยืม”
“หมี่อ่านให้จบก่อนเถอะ ช่วงนี้เราคงไม่มีเวลาได้อ่านหรอก” พูดแล้วก็เอนหลังพิงพนักเก้าอี้พร้อมกับถอนใจยาว “ยุ่งชนิดหัวไม่ได้วางหางไม่ได้เว้นจริง ๆ”
“จริงสิ แล้วเรื่องคลินิกไปถึงไหนแล้ว”
“ยังปรับปรุงไม่เสร็จ เราก็เลยต้องไป ๆ มา ๆ ตอนนี้ปล่อยให้น้องชายคุมงานน่ะ”
“ไม่คิดจะย้ายกลับไปอยู่บ้านบ้างเหรอ เดินทางแบบนี้เหนื่อยแย่”
“ยังไม่ได้คิดเรื่องนั้นเลย” ทันตแพทย์หนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แต่แล้วใบหน้าเคร่งขรึมก็กลับปรากฏรอยยิ้มขึ้น “ไม่มีแรงจูงใจแบบหมี่นี่”
“แรงจูงใจอะไรกัน” คนถูกแซวทำเฉไฉก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือต่อ
นุพันธ์โคลงหัวเมื่อเห็นพวงแก้มขึ้นสีของอีกฝ่าย “แล้วนี่เลิกงานแล้วทำไมยังไม่กลับบ้านอีก วันนี้ไม่เปิดคลินิกหรือไง”
“หยุดหนึ่งวัน”
“ทำไมล่ะ”
“ก็...” บารมียังไม่ทันจะอ้าปากอธิบาย เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์มือถือของคนนั่งฝั่งตรงข้ามก็ดังขึ้น ตาละจากหน้าคมก้มลงกวาดมองตัวอักษรในหน้ากระดาษต่อ แต่หูก็ยังได้ยินเสียงสนทนาที่ดูว่าจะไม่ได้เป็นความลับอะไร
“ว่าไงไอ้ที”
“อืม...ปลายเดือนหน้าเหรอ คิดว่าน่าจะกลับนะ ที่บ้านมีงานพอดี แกมีอะไรหรือเปล่า”
“อ๋อ...เอาสิ ๆ จองเผื่อฉันด้วยนะ” น้ำเสียงตื่นเต้นทำให้บารมีต้องเงยหน้าขึ้นมองฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง
“เออได้ ๆ แล้วเดี๋ยวเจอกัน”
นุพันธ์กดวางสาย หากแต่ดวงตายังคงจ้องอยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ ปลายนิ้วหัวแม่มือไล้ไปตามระนาบสัมผัสที่เป็นภาพเมื่อสมัยที่ยังคงเป็นนักเรียนที่เพื่อนส่งมาให้ตั้งแต่เมื่อวันก่อน
“มีอะไรหรือเปล่า พอวางสายก็นั่งยิ้มกับโทรศัพท์” ทันตแพทย์บารมีเอ่ยขึ้นพร้อมกับปิดหนังสือในมือ
“ไม่มีอะไร พอดีเพื่อนเก่าโทรมาคุยน่ะ” พูดจบก็เก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋ากางเกง “เมื่อกี้พูดอะไรค้างไว้นะ”
“นุถามเราว่าทำไมวันนี้ไม่เปิดคลินิก”
“อืม ใช่ ๆ ปกติหมอบะหมี่น่ะขยันทำงานจะตาย”
“ก็...พอดีมีนัดน่ะ”
“มีนัด ไปลอยกระทงกับไอ้ตี๋น้อยละสิ”
“ไม่ใช่หรอก แต่พ่อชวนไปกินข้าวด้วยกันน่ะ” ทั้งที่เป็นเรื่องน่ายินดีแท้ ๆ แต่ทั้งน้ำเสียงและสีหน้าของคนพูดกลับตรงกันข้าม
“ทานข้าวกับพ่อก็ดีแล้วนี่ แทนที่จะดีใจ ทำไมทำหน้าแบบนั้น”
“ม...มัน...” บารมีถอนใจ “ก็แค่ไม่ชินน่ะ”
“เอาน่า เดี๋ยวก็ชิน”
“คงอย่างนั้น” ทันตแพทย์หนุ่มกล่าวพลางใช้ลูบปลายคางตนเองที่ตอนนี้เริ่มจะมีขนแข็ง ๆ โผล่ขึ้นพ้นผิวหนัง
“ทำหน้าให้มันดี ๆ หน่อย” พูดจบนุพันธ์ก็ลุกขึ้น
“แล้วนี่นุจะไปไหน”
“ว่าจะไปเดินเล่นแถวนี้แหละ กลับไปที่หอก็ไม่รู้จะทำอะไร เพื่อน ๆ เขาคงออกไปลอยกระทงกันหมด”
“เอาเล่มนี้ไปอ่านก่อนไหม” บารมีกล่าวพร้อมกับยื่นหนังสือให้แต่อีกฝ่ายนั้นส่ายหน้าปฏิเสธ
“ไม่ละ หมี่เอาไว้อ่านเถอะ” คนพูดยิ้มละมุนก่อนจะทิ้งท้าย “เราไปก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้” พูดจบเจ้าของร่างสูงก็เดินผ่านประตูกระจกเปิดปิดด้วยระบบอัตโนมัติออกไป
นุพันธ์เดินเตร็ดเตร่จากอาคารหลักผ่านสวนพักผ่อนมาจนกระทั่งถึงศูนย์หนังสือของโรงพยาบาล ดูจากป้ายเห็นว่าเหลือเวลาอีกเกือบครึ่งชาวโมงกว่าจะได้เวลาปิด ชายหนุ่มจึงเดินเข้าไปด้านในโถงกว้างที่ล้อมรอบด้วยกระจก มีชั้นวางแสดงหนังสือหลายร้อยเล่ม ทั้งตำราสำหรับนักศึกษาแพทย์และหนังสืออ่านเล่นสำหรับผู้ที่มาใช้บริการโรงพยาบาลได้เลือกซื้อหา บรรยากาศในศูนย์หนังสือเมื่อเวลาเกือบหนึ่งทุ่มสุดแสนจะเงียบเชียบ ได้ยินเพียงเสียงเปียโนบรรเลงเป็นท่วงทำนองที่คุ้นหูแต่กลับนึกชื่อเพลงไม่ออก กระนั้นก็ยังสามารถฮัมตามได้เกือบทุกเมโลดี้
ทันตแพทย์หนุ่มกวาดตาไปรอบ ๆ ที่เคาน์เตอร์มีพนักงานกำลังห่อปกพลาสติกให้ลูกค้า เห็นหญิงสาวในชุดเครื่องแบบสีขาวเพิ่งผลุบหายเข้าไปที่ด้านหนึ่ง คงจะเป็นพยาบาลที่เพิ่งออกเวรมาหาซื้อหนังสือก่อนกลับบ้าน ร่างสูงแทรกตัวย่างกรายไปตามช่องทางเดินระหว่างชั้น ไล่มองหนังสือที่วางเรียงกันหวังว่าจะได้สักเล่มติดไม้ติดมือกลับไปอ่านก่อนนอนคืนนี้ กระทั่งมาหยุดที่เล่มหนึ่ง ขนาดเท่ากับพ็อกเก็ตบุ๊กซึ่งเหลืออยู่เพียงเล่มเดียว หน้าปกเป็นภาพของดอกอ้อสีขาวขุ่นเอนลู่ไปตามลม มีข้อความ ‘บรรทัดสุดท้าย เขียนไว้ว่า...’ จำได้ทันทีว่าเป็นหนังสือเล่มเดียวกันกับที่บารมีจะให้ยืมอ่าน กำลังจะเอื้อมมือหยิบก็ต้องชะงัก เพราะใครอีกคนคว้ามันไปเสียก่อน
“อุ้ย ขอโทษค่ะ ไม่คิดว่าคุณจะหยิบเล่มนี้เหมือนกัน” พยาบาลสาวสวยกล่าว
“ไม่เป็นไรครับ”
“ถ้าอย่างนั้น นี่ค่ะ” เธอพูดพร้อมกับยื่นหนังสือในมือให้
“คุณเอาไปเถอะครับ เดี๋ยวผมลองถามพนักงานก็ได้ว่ามีในสต็อกไหม”
“อย่าลำบากเลยค่ะ รับไปเถอะ ไม่ต้องเกรงใจ” เมื่อเห็นอีกฝ่ายมีท่าทีลังเลจึงกล่าวต่อ “ดิฉันมีแล้วเล่มหนึ่งค่ะ ก็เลยอยากให้คุณได้อ่านด้วย”
“ขอบคุณนะครับ” พูดจบนุพันธ์ก็รับหนังสือเล่มนั้นมาถือไว้ลอบอ่านนามปากกา ‘วรปรัชญ์’ ที่ใต้ชื่อหนังสือ “คุณทำงานที่โรงพยาบาลนี้เหรอครับ”
“ใช่ค่ะ แล้วคุณล่ะคะ”
“ผมก็เป็นทันตแพทย์อยู่ที่นี่เหมือนกัน”
หญิงสาวยิ้มให้พลางลอบมองชายหนุ่มแปลกหน้า “อ่านให้สนุกนะคะ”
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ คุณ...”
“มัสลินค่ะ เรียกมัสเฉย ๆ ก็ได้ค่ะคุณหมอ”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับคุณมัส ผมชื่อ...” นุพันธ์จำต้องกลืนชื่อตัวเองลงคอ เมื่อเสียงเรียกเข้าบทเพลงชาติไทยดังขึ้น
“อุ๊ย! ตายจริง! แม่โทรมาค่ะ มัสขอตัวก่อนนะคะหมอ” ว่าแล้วก็ควานหาโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายใบโตออกมากดรับสายก่อนจะเดินออกจากศูนย์หนังสือไปอย่างรีบร้อน
ทันตแพทย์หนุ่มมองตามคนเอวบางร่างน้อยที่เพิ่งจากไปพลางอมยิ้ม อดคิดไม่ได้ว่าแม่ของเธอเป็นคุณครูหรือไงนะ ถึงต้องตั้งเสียงเรียกเข้าเป็นเพลงที่ชวนให้นึกถึงการเข้าแถวหน้าเสาธงในตอนเช้าเช่นนั้น
....
วันนี้ร้านขนมหวานแม่เอยปิดเร็วกว่าทุกวัน สมาชิกในครอบครัวไปรวมตัวกันที่ระเบียงริมน้ำเพื่อทำกระทงลอย อุปกรณ์หลัก ๆ ได้แก่ ใบตองพับใหญ่กับฐานกระทงต้นกล้วยและไม้กลัดเป็นสิ่งที่คุณตาบ้านตรงข้ามแบ่งมาให้ ส่วนดอกไม้ที่ใช้ประดับกระทง เด็กหญิงอิงฟ้าก็เก็บเอาจากกระถางที่ผู้เป็นแม่ปลูกไว้หน้าบ้าน
“พรุ่งนี้น้าเอ๋ยจะไปรับอิงที่โรงเรียนไหมคะ” เด็กหญิงวัยหกขวบเอ่ยขึ้นขณะที่มือเล็กยังบรรจงพับใบตองเป็นกลีบกระทง
“น้องอิงอยากให้น้าเอ๋ยไปรับหรือเปล่าคะ” ถามพลางยกฐานต้นกล้วยขึ้นแล้วหุ้มด้วยใบตองตัดพอดีกับขอบรอบฐาน จัดการกลัดด้วยทางมะพร้าวตัดสั้นเหลาปลายจนแหลม
“อยากค่ะ อิงอยากให้น้าเอ๋ยไปรับไปส่งทุกวันเลย”
“แม่ไปรับไม่ดีเหรอจ๊ะ” อารดาที่เดินผ่านประตูออกมาพร้อมกับจานขนมหวานในมือเอ่ยขึ้นก่อนจะนั่งลงข้างสูงสาว
“ดีค่ะ แต่ถ้าน้าเอ๋ยไปรับ อิงก็จะได้กินลูกอมทุกวันเลย” เด็กหญิงกล่าวเสียงแจ๋ว ทำเอาผู้เป็นน้าพลอยยิ้มตามไปด้วย
“กินมาก ๆ ระวังจะฟันผุนะลูก” อารดาลูบศีรษะเล็กอย่างเบามือก่อนจะเป็นสายตามายังน้องชาย “เอ๋ยก็อย่าตามใจหลานนัก”
“ครับ ๆ ทราบแล้วครับคุณแม่” ชายหนุ่มลากเสียงล้อ ๆ
“น้าเอ๋ยจะกลับกรุงเทพฯ วันไหนคะ”
“ไปรับน้องอิงพรุ่งนี้อีกวัน ตอนเช้าน้าเอ๋ยก็ต้องกลับแล้วละ”
“ว้า...คิดว่าจะอยู่นาน ๆ เสียอีก” หนูน้อยทำหน้าละห้อย “อิงคิดถึงน้าเอ๋ย อยากให้น้าเอ๋ยเล่นิทานให้ฟังก่อนนอน”
“เดี๋ยวน้าเอ๋ยกลับไปทำงานให้เสร็จก่อน แล้วน้าเอ๋ยสัญญาว่าจะกลับมาอยู่กับน้องอิงนาน ๆ ดีไหมคะ”
“เย้!!! ดีค่ะ น้าเอ๋ยสัญญานะคะ”
จากนั้นสองน้าหลานก็เกี่ยวก้อยสัญญากัน...
พระจันทร์ดวงกลมฉายรัศมีสีนวลอย่างเดียวดายท่ามกลางท้องฟ้าสีดำสนิท ไม่มีดาวสักดวงไว้เป็นเพื่อนคุยคลายเหงา การต้องบนนั้นเพียงลำพังคงให้ความรู้สึกอ้างว้างจับจิต แต่หากดวงจันทร์มองลงมาสักนิดก็คงจะเห็นว่ามีใครคนหนึ่งกำลังมองดวงจันทร์จากบันไดท่าน้ำ ธานัทละสายตาจากดาวซึ่งเป็นบริวารหนึ่งเดียวของโลก มองกระทงใบตองสี่ใบซึ่งถูกผูกโยงต่อกันด้วยเชือกปอเส้นเล็ก ๆ ที่ผู้เป็นพี่สาวปล่อยลงสู่สายน้ำเป็นเครื่องสัการะและขมาลาโทษต่อแม่พระคงคาได้พักใหญ่ ๆ เห็นแล้วให้นึกถึงคนที่ริเริ่มวิธีการนี้ขึ้นมายิ่งนัก
“คิดถึงพ่อกับแม่เนอะพี่เอย” ชายหนุ่มกล่าวพลางจุ่มปลายเท้าลงในน้ำเย็นเฉียบ
“อืม...นั่นสินะ ถ้าตอนนี้ท่านยังอยู่ คงได้ทำกระทงด้วยกัน วันลอยกระทงแบบนี้ ถ้าขาดใครสักคนหนึ่งไป แม่ก็จะทำกระทงเผื่อ แล้วก็ลอยไปพร้อม ๆ กัน”
“เราไม่ได้กินบัวลอยฝีมือแม่มานานเท่าไรแล้วนะ”
“ก็คงเท่ากับจำนวนปีที่พ่อกับแม่จากไปนั่นแหละ เกือบสิบปีแล้วละมั้ง”
“เดี๋ยวเอ๋ยส่งต้นฉบับหนังสือเรียบร้อยก็จะมีเวลากลับมาช่วยพี่เอยดูร้านแล้ว หน้าหนาวนี้เรามาทำบัวลอยขายกันไหม”
“เอาสิ ลูกค้าเก่า ๆ ถามหาตลอดเลย แต่พี่ไม่กล้าทำ กลัวไม่อร่อยเหมือนฝีมือแม่” อารดากล่าวพร้อมกับบีบมือน้องชายเบา ๆ “แต่ถ้ามีเอ๋ยช่วยละก็ มันต้องออกมาดีแน่ ๆ”
“ถ้าอย่างนั้นเรามาช่วยกันนะ” พูดจบธานัทก็เอียงศีรษะวางบนไหล่เล็ก แม้จะมีกันเพียงสองคนพี่น้อง แต่ก็รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้ ๆ กัน
...
(มีต่อค่ะ)