-5-
หลังจากวันที่ภีมภัทรเอ่ยปากขอโอกาสแล้วก็ได้รับสิ่งนั้นกลับมาตามต้องการ บรรยากาศรอบตัวของคนทั้งคู่ก็ดูดีขึ้นผิดหูผิดตา ซ้ำยังเผื่อแผ่ไปถึงคนรอบข้างจนใครๆ ต่างก็พากันอมยิ้ม วิบูลย์เป็นคนแรกที่สังเกตเห็นความผิดปกติก่อนใคร เขาเห็นลูกชายตัวเองดูสดใสเหมือนจะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง ทั้งที่ปกติมีแต่ทำหน้านิ่งต่อหน้าลูกน้องเพื่อรักษามาดอยู่ตลอด ในขณะเดียวกันชายหนุ่มบนรถวีลแชร์เองก็ดูอ่อนข้อลงไม่น้อย แม้ใบหน้าจะยังเรียบสนิท หากแววตากลับทอประกายอ่อนลงหลายส่วนยามมองภีมภัทร เพียงแค่นั้นก็ยืนยันได้แล้วว่าระหว่างคนทั้งคู่คงมีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นแน่นอน
เอาเถอะ...ขอแค่ให้ลูกชายของเขาได้ผ่อนคลายบ้างก็พอแล้ว
วิบูลย์ไม่เคยตำหนิที่ลูกตัวเองเป็นคนยึดติดและไม่ไว้ใจใคร เพราะเขารู้ดีที่สุดว่าสาเหตุมันเกิดจากอะไร
ภีมภัทรเติบโตขึ้นมาโดยที่เขาไม่มีเวลาให้เท่าไหร่นัก ซ้ำร้ายมารดายังทิ้งไปตั้งแต่เด็กเพราะเห็นสถานการณ์ที่สวนไม่สู้ดี เด็กคนนั้นเติบโตขึ้นมาด้วยความโดดเดี่ยว ไม่มีเพื่อนเล่นอย่างใครเขา บรรดาลูกคนงานก็เจียมเนื้อเจียมตัวไม่กล้าตีตัวเสมอ เพื่อนที่โรงเรียนเองก็แทบไม่มีเพราะไม่รู้จักเข้าหาใครก่อน นั่นทำให้เขากลายเป็นเด็กเอาแต่ใจพอสมควร วิบูลย์รู้ดีว่าลูกชายไม่ได้สนิทสนมกับเขามากนัก และเพราะความรู้สึกผิดนั้นเอง ยามเมื่อจัดการปัญหาของสวนรังสิมันตุ์ได้แล้ว เขาจึงชวนเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่เพิ่งมาไทยให้มาพักที่บ้านเพราะได้ยินว่าเพื่อนเองก็มีลูกอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน...และนั่นเป็นครั้งแรกที่ลูกของเขาได้พบกับความสุขของตัวเอง
เด็กเปรียบเสมือนผ้าขาว เพียงแค่เราป้ายอะไรลงไป ผ้าผืนนั้นก็จะไม่มีทางเป็นเหมือนเดิมอีก...และเขาเป็นคนป้ายสีใส่ภีมภัทรด้วยตัวเอง
เด็กคนนั้นติดจักรพรรดิมาก...มากกว่าที่เขาคิดเยอะทีเดียว
ในตอนที่เพื่อนของเขาโทรมาเล่าเรื่องของแม่จักรพรรดิให้ฟัง วิบูลย์ตกใจไม่แพ้กัน เขาไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งเด็กชายที่เป็นเพื่อนคนสำคัญของลูกชายจะโดนมารดาบังเกิดเกล้าพาตัวไปโดยไม่มีแม้แต่คำร่ำลา วิบูลย์และคนงานหลอกล่อภีมภัทรทุกวิถีทางเพราะเด็กน้อยทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ที่พี่ชายไม่มาหา ทั้งโกหกว่าอีกไม่นานก็กลับ โกหกว่าอีกฝ่ายต้องไปเยี่ยมญาติต่างจังหวัด แต่สุดท้ายความลับก็ไม่มีในโลก ภีมภัทรเป็นเด็กฉลาด...เขารู้ในที่สุดว่าพี่ชายจะไม่มาหาตัวเองทุกวันอีกแล้ว เด็กชายร้องไห้เหมือนโลกทั้งใบจะแหลกสลาย ร้องไห้จนล้มป่วยและต้องเข้าไปรักษาในโรงพยาบาลหลายวัน
นั่นคือการโกหกครั้งที่สอง...
เขาเคยโกหกภีมภัทรมาก่อนแล้วครั้งหนึ่งเรื่องของมุกดา เขาบอกเด็กชายภีมภัทรตัวน้อยที่อายุเพียงสี่ขวบว่ามารดาจะไปเที่ยว เดี๋ยวก็กลับมา คิดเพียงว่าภีมภัทรจะลืม แต่กลับกลายเป็นเด็กคนนั้นจำฝังใจ ยังคงถามหาแม่อยู่ทุกวันจนไม่รู้เมื่อไหร่ที่เจ้าตัวหยุดถามไป หยุดถาม...พร้อมกับที่รู้ว่าโดนโกหก
และเพราะโดนทำซ้ำเป็นครั้งที่สอง ภีมภัทรจึงไม่เชื่อใจใครอีกเลย
จำได้ว่าครั้งหนึ่งเขาเคยทะเลาะกับลูก เหตุเพราะเด็กคนนั้นเอาแต่พึมพำเรียกหาแต่พี่จักรของตัวเอง สุดท้ายถึงได้พูดจาร้ายกาจออกไป
‘ภีมจะยึดติดอะไรนักหนา! เขาจะกลับมาอีกหรือเปล่าก็ไม่รู้’
‘ภีมรอได้! ขนาดรอพ่อกลับมาหาภีมยังรอได้เลย...ฮึก...ภีมรอพี่จักรได้’
วิบูลย์สูดหายใจเข้าจนสุด คล้ายเห็นภาพเด็กชายแก้มแดงตัวน้อยร้องห่มร้องไห้ยืนอยู่ตรงหน้า นับจากวันนั้นเขาสาบานกับตัวเองว่าจะไม่พูดอะไรโดยไม่คิดอีกเด็ดขาด และต่อให้ภีมภัทรยืนยันจะรอ เขาก็จะไม่ห้ามลูกอีก
“แค่ภีมมีความสุขก็พอ...” หนุ่มใหญ่ทอดสายตาอ่อนโยนมองไปยังชายหนุ่มซึ่งยืนหัวเราะอยู่นอกหน้าต่าง ข้างกายมีเจ้าของร่างสูงซึ่งนั่งอยู่บนรถวีลแชร์กำลังยิ้มบางไม่ต่างกัน
น่ามอง...
ภีมภัทรเป็นผู้ชายน่ามองโดนธรรมชาติ จักรพรรดิพอจะเดาออกว่าช่วงเวลาปกติคนตรงหน้าคงรักษามาดพอดู และในสายตาคนอื่นก็น่าจะมองว่าเจ้าตัวเป็นหนุ่มหล่อเจ้าสำอางไม่น้อย แต่สำหรับเขา...คนคนนี้ทำราวกับจะเปิดเผยเนื้อแท้ออกมาให้เห็น ราวกับยินยอมก้าวออกจากเปลือกที่หุ้มไว้เพียงเพราะอยากเดินมาหาเขาด้วยตัวเอง
“ภีมเคยสงสัยว่าดอกไม้จั๊กจี้เป็นหรือเปล่า เอาจริงๆ ร่างกายเขาก็เหมือนมนุษย์เลยนะครับ พี่ว่าไหม” ดวงตาสดใสเป็นประกายวิบวับเงยขึ้นมองเขาพร้อมชูดอกไม้ในมือให้เห็น
“หืม”
“ตรงนี้เป็นใบหน้า ส่วนตรงนี้เป็นร่างกาย...แล้วนี่ก็แขน” มือเรียวขาวแตะเบาๆ ที่กลีบดอก ไล่ลงมายังตัวก้าน จากนั้นก็สิ้นสุดที่ใบสีเขียวแก่ด้านข้าง
“หึ”
“พี่จักรไม่คิดเหมือนภีมเหรอ” ดวงตาคู่สวยแสดงความฉงนออกมาโดยไม่ปิดบัง จากนั้นก็ก้มลงมองดอกไม้ในมือต่อโดยไม่ทันเห็นสายตาเอ็นดูจากคนที่นั่งอยู่บนวีลแชร์
“เด็กจริงๆ”
เดี๋ยวก็ทำตัวเป็นเด็กขี้สงสัย เดี๋ยวก็ทำตัวเป็นผู้ใหญ่มีสาระ...แต่ก็นั่นล่ะนะที่ทำให้คนตรงหน้าน่ามองมากขึ้นไปอีก
หลังจากเริ่มเปิดใจ จักรพรรดิยอมรับว่าเขารู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมไม่น้อย ความใส่ใจของภีมภัทรทำให้ปราการในใจของเขาอ่อนลงเรื่อยๆ และอีกไม่นานก็คงพังทลายในที่สุด เพียงแต่ตอนนี้เขายังไม่มั่นใจเท่านั้นเอง...
ไม่มั่นใจว่าความรู้สึกที่จะพัฒนาไป มันจะเปลี่ยนไปในฐานะอะไร
แล้วถ้าถึงวันที่มันเปลี่ยนไปจริงๆ...
ดวงตาคมก้มลงมองขาสองข้างของตัวเองนิ่งงัน ความรู้สึกที่แปรปรวนในใจทวีคูณมากขึ้นหลายเท่าเมื่อร่างกายไม่ขยับตามที่คิด...ไม่แม้แต่จะรู้สึกอะไรด้วยซ้ำ
แบบนี้จะเอาอะไรไปเทียบ...
พิการแล้วยังไม่เจียมตัว
คล้ายรอยยิ้มเยาะจะปรากฏขึ้นบนมุมปากราวจะเย้ยหยันตัวเอง และแววตาคมกล้าดุดันนั้นเองที่ทำให้คนที่กำลังนั่งมองดอกไม้รู้สึกตัว
“พี่จักร” ภีมภัทรขยับกายเข้าหา เขาทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าด้านหน้าเหมือนทุกครั้ง ดวงตาอ่อนโยนคู่นั้นดึงดูดให้จักรพรรดิต้องมองตาม มือขาวๆ ที่มักจะหยิบโน่นจับนี่มาให้เขาดูวางทับเบาๆ ลงบนต้นขาของเขา และทั้งๆ ที่มันไม่ควรจะมีความรู้สึกใดๆ...หากจักรพรรดิกลับสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาถึงใจ
ความคิดแย่ๆ ที่บอกว่าควรหยุดอยู่แค่นี้สลายไปโดยไม่รู้ตัว
“ไม่เป็นไร” ฝ่ามือใหญ่ทว่าผอมแห้งวางทับลงบนมือขาวของภีมภัทร เขายกมุมปากขึ้นนิดๆ เป็นรอยยิ้มเพื่อให้อีกคนสบายใจ ทว่าก็ยังโดนจ้องอยู่อย่างนั้นราวกับคนมองยังไม่ได้คำตอบที่ต้องการ
“พี่คิดเรื่องแย่ๆ อะไรอยู่” ว่าแล้วก็ทำสีหน้าจับผิด
จักรพรรดิเลิกคิ้ว คล้ายจะตกใจและขบขันอยู่ในที ใบหน้ามุ่ยๆ เหมือนแมวไม่พอใจของภีมภัทรทำให้เขาอารมณ์ดีได้ตลอดเวลาเลยจริงๆ “อ่านใจพี่ได้หรือไง”
“อ่านใจไม่ได้หรอก แต่ภีมจับความรู้สึกของพี่ได้”
“หืม…”
“อืม...จะว่ายังไงดี” เจ้าตัวทำท่าครุ่นคิดทั้งยังเนียนพลิกมือมาจับนิ้วเขากำไว้ “เพราะแคร์มากก็เลยสังเกตมากล่ะมั้ง”
จะบอกว่าที่รู้ทุกเรื่องเพราะแคร์อยู่ตลอดสินะ...
“งั้นเหรอ”
“อื้อ”
“เนียน” จักรพรรดิพูดลอยๆ โดยไม่ได้ระบุหัวข้อ แต่ทำเอาคนเนียนที่ว่าสะดุ้งเฮือก รีบเอามือที่กำลังจับนิ้วเขาไว้ออกแบบเขินๆ พร้อมทั้งลุกขึ้นยืน
“ภีมพาพี่จักรไปเรือนกุหลาบดีกว่า ครั้งที่แล้วยังไม่ได้เข้าไปด้านในเลย”
“นั่นแก้มคนหรือมะเขือเทศ”
“พี่จักร!” คนโดนแซวชะงักเท้าจนเกือบหน้าทิ่มพื้น
ภีมภัทรในโหมดเอ๋อเหรอกับจักรพรรดิในโหมดขี้แกล้ง ภาพบรรยากาศอ่อนโยนและสนุกสนานรอบกายของคนทั้งคู่ทำให้คนงานในสวนบริเวณนั้นต่างอมยิ้มไปตามๆ กัน แบบนี้สิถึงจะเป็นนิสัยที่แท้จริงที่ไม่ต้องมีภาระหน้าที่หรือหน้ากากมาปกปิด
ราวกับบรรยากาศเก่าๆ กำลังย้อนกลับมาอีกครั้ง...
เรือนกุหลาบอันสวยงามซึ่งถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยความชอบของภีมภัทรทั้งหมดถือได้ว่าเป็นเขตพักผ่อนส่วนตัวของเขาที่แทบไม่มีใครย่างกรายเข้ามา จะยกเว้นก็ตอนที่ภีมภัทรไม่ว่างเข้ามารดน้ำเองหรือตอนที่พ่อของเขาให้คนมาตามเท่านั้น
“เมื่อปีก่อนพ่อให้คนงานช่วยสร้างบ้านหลังนั้นขึ้นมา” ภีมภัทรอธิบายเมื่อเห็นคนบนวีลแชร์มองไปยังบ้านไม้หลังเล็กที่อยู่ในเขตกำแพงต้นไม้ แต่ครั้งก่อนเขาไม่ได้บอกเพราะไม่คิดว่าจักรพรรดิจะสนใจมัน “จะเรียกว่าเป็นบ้านพักส่วนตัวก็ได้ บางครั้งภีมก็วุ่นวายกับการดูแลต้นไม้ดอกไม้ในเรือนกุหลาบจนลืมเวลา จะขับรถกลับคอนโดก็ไกล จะให้ไปนอนบ้านก็ไม่อยาก พ่อเลยบอกว่าที่นี่จะเป็นบ้านอีกหลังของภีม”
“ทำไมถึงไม่อยากนอนบ้าน”
ภีมภัทรอมยิ้มให้กับคำถามนั้น จะบอกว่ารู้สึกดีที่อีกฝ่ายให้ความสนใจก็ไม่ผิดนัก เขาไม่ได้ตอบอะไรในทันที แต่เลือกที่จะพาจักรพรรดิเดินต่อเข้าไปในเรือนกุหลาบ รอจนเดินผ่านประตูเข้าไปด้านในแล้วจึงเริ่มพูดออกมาช้าๆ
“เวลานอนอยู่ที่บ้านภีมชอบฝันถึงพี่จักร...ฝันถึงเรื่องที่เราทำด้วยกัน หรือบางครั้งก็ฝันว่าจะได้เจอพี่อีกครั้ง”
แต่ตอนนี้ไม่ต้องฝันแล้ว...
“เพราะแบบนั้นถึงไม่อยากนอนบ้านเหรอ...เพราะไม่อยากฝัน”
“ไม่ใช่หรอกครับ นั่นคือเรื่องดีๆ ต่างหาก” ภีมภัทรหัวเราะ “ภีมยอมรับว่าบางครั้งก็เสียใจเวลาตื่นขึ้นมา เพราะทุกสิ่งมันเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่บางครั้งภีมก็อุ่นใจ เพราะฝันนั้นช่วยย้ำเตือนให้รู้ว่าครั้งหนึ่งเคยมีคนคนหนึ่งที่สำคัญกับภีมมากขนาดไหน และเขาคนนั้นก็ยังอยู่ในใจภีมตลอดมา”
“แล้วทำไม...”
“เมื่อปีสองปีก่อนพ่อภีมเคยคิดจะแต่งงานใหม่กับผู้หญิงคนหนึ่ง และถึงจะไม่ได้แต่ง แต่ช่วงเวลาที่เธอเข้ามาอยู่ในบ้านก็ไม่ใช่เวลาน้อยๆ ตอนแรกภีมยอมรับเธอเพราะคิดว่าคงรักพ่อจริง ที่ไหนได้...” ดวงตาคู่สวยที่ดูเปล่งประกายอยู่เป็นนิจฉายแววชิงชังชัดเจน โชคดีที่จักรพรรดิหันหลังให้จึงไม่ได้เห็นเขาในมุมนี้ ถึงอย่างนั้นน้ำเสียงที่ใช้ก็แลดูเหยียดหยามอยู่ไม่น้อย “ก่อนวันแต่งงานผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาหาภีมถึงห้อง แถมยังทำตัวน่ารังเกียจทุเรศทุรังพยายามยั่วภีม พอไม่เล่นด้วยก็ตีบทแตกเจ้าน้ำตา ปากบอกว่าเมา ขอร้องอย่าเอาเรื่อง”
จักรพรรดิไม่ได้พูดแทรกอะไร ตามองดอกไม้ที่ปลูกอยู่สองข้างทางนิ่งงัน ทว่าสมาธิทั้งหมดจดจ่ออยู่กับเรื่องที่คนด้านหลังเล่าจนไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
“ภีมยังคิดไม่ตกว่าจะบอกพ่อยังไงให้ล้มเลิกการแต่งงาน โชคดีที่ไม่ทันได้บอกก็มีคนบุกมาประกาศแสดงตัวว่าเคยถูกแม่นั่นหลอกลวงเอาเงินกลางงานเสียก่อน สุดท้ายงานแต่งก็เลยล่มไป” ภีมภัทรกัดฟันกรอดด้วยความโมโห อีกทั้งใบหน้าขาวยังบิดเบี้ยวด้วยความรังเกียจ “แค่นึกว่าในห้องเคยมีเท้าสกปรกของผู้หญิงคนนั้นเดินไปเดินมาภีมก็รังเกียจแทบตาย พวกคนโกหกไว้ใจไม่ได้ ภีมเกลียดที่สุดเลย”
“ใจเย็นๆ” คำปลอบสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามสไตล์ของผู้พูดทำให้คนที่กำลังอารมณ์ขึ้นรู้สึกตัว ภีมภัทรกะพริบตาปริบๆ เพื่อปรับอารมณ์ ก่อนใบหน้าขาวจะแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเถือกเมื่อนึกได้ว่าเผลอใส่อารมณ์ไปตอนเล่าเรื่องมากขนาดไหน
“เอ่อ...ก็นั่นล่ะครับเหตุผลหลักๆ ที่ทำให้ภีมไม่ค่อยอยากนอนที่บ้านนัก” เขารีบพูดแก้เก้อ
“อืม”
“ภีมจะพาพี่จักรไปดูสิ่งสำคัญของภีมนะ” ว่าแล้วภีมภัทรก็รีบเข็นรถพาจักรพรรดิเดินไปตามทางที่มีต้นไม้ดอกไม้เรียงรายกันเป็นแถบอย่างมีระเบียบ ซึ่งส่วนใหญ่กว่าครึ่งล้วนแล้วแต่เป็นต้นกุหลาบสมชื่อสถานที่ ชายหนุ่มที่ทำเพียงนั่งเฉยๆ บนรถวีลแชร์กวาดสายตามองรอบกายเงียบๆ
กลิ่นหอมอ่อนๆ และความบริสุทธิ์ของที่นี่กำลังทำให้จิตใจผ่อนคลายโดยไม่รู้ตัว อีกทั้ง...
ปลายจมูกโด่งสูดลมหายใจเข้าแผ่วเบายามหันหน้าไปมองมือเรียวขาวซึ่งจับแฮนด์รถเพื่อบังคับทิศทางอยู่ข้างไหล่เขา ภีมภัทรไม่ได้มีกลิ่นกายหอมกรุ่นแต่อย่างใด แต่เมื่อได้อยู่ใกล้เขากลับพบว่ากลิ่นกายเฉพาะตัวของคนคนนี้เป็นกลิ่นกายที่สะอาดสะอ้าน บริสุทธ์ และชวนให้สบายใจเหลือเกิน
เหมือนดอกกุหลาบ...
ไม่ได้หอมเหมือนน้ำหอม แต่บริสุทธ์เหมือนดอกกุหลาบตามธรรมชาติที่ถูกดูแลเป็นอย่างดี
“ถึงแล้ว” น้ำเสียงเจือความยินดีจากด้านหลังทำให้จักรพรรดิหลุดจากภวังค์
สิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้คนเย็นชาเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ ความรู้สึกแปลกๆ ในอกก่อกำเนิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
กุหลาบสีน้ำเงิน...
ต้นกุหลาบที่ถูกปลูกอยู่ในจุดที่ลึกที่สุดของเรือนกุหลาบคือต้นกุหลาบสีน้ำเงินซึ่งมีดอกอยู่เพียงไม่กี่ดอก เพียงแค่เห็นกระถางแกะสลักเป็นลวดลายสวยงามก็สามารถบอกได้แล้วว่ามันได้รับความสำคัญมากเพียงใด
แต่สิ่งที่ทำให้จักรพรรดิชะงักไม่ใช่เพราะความแตกต่างของมัน...
‘พ่อบอกภีมว่าดอกไม้มีตั้งหลายชนิด’
‘หืม…’
‘ดอกไม้มีหลายชนิด’
‘พี่ได้ยินแล้ว แล้วเราทำหน้าบึ้งทำไมหืม’
‘พี่จักรบอกว่าภีมเป็นดอกไม้ของพี่จักร’
‘ใช่’
‘แล้วภีมเป็นดอกอะไรล่ะ’
‘…หึ’
‘ห้ามขำนะ!’
‘โอเคๆ งั้นเป็นดอกกุหลาบดีไหม’
‘กุหลาบเหรอ...’
‘ใช่...พี่เคยเห็นดอกกุหลาบสีน้ำเงินตอนไปเที่ยว มันสวยมากเลย’
‘พี่จักรชอบเหรอ’
‘ชอบสิ’
‘งั้นภีมเป็นกุหลาบสีน้ำเงินให้พี่จักรก็ได้!’
“เมื่อหลายปีก่อนพ่อภีมไปดูงานที่ญี่ปุ่นแล้วได้เจ้าต้นนี้กลับมา ถึงจะเป็นกุหลาบที่เกิดจากการตัดต่อพันธุกรรม แต่มันก็สมบูรณ์แบบมากเลย พี่ว่า...” ภีมภัทรชะงักกึกเมื่อหันไปสบเข้ากับแววตาอ่านยากของคนที่นั่งอยู่บนวีลแชร์พอดี “พี่จักร?”
“เหมือนภีมเลยนะ”
“ครับ?”
“กุหลาบไง”
“…”
“ใช้คำพูดผิดไป” คนขี้แกล้งยังพูดต่อโดยไม่สนใจสีหน้าตกใจจนน่าตลกของภีมภัทร เขาโน้มตัวลงเก็บกลีบกุหลาบสีน้ำเงินขึ้นจากพื้น ก่อนวางแหมะลงบนหัวของคนที่นั่งยองๆ อยู่ตรงหน้า “ลืมไปว่าเป็นสายพันธ์เดียวกัน จะบอกว่าเหมือนได้ยังไง”
“พี่...พี่จักร...” หากบอกว่าตกใจจนกลายเป็นหินไปแล้วก็คงไม่เกินจริงไปนักสำหรับสภาพของทายาทรังสิมันตุ์ในเวลานี้ เขาอ้าปากแล้วหุบ อ้าปากแล้วหุบ ทำอยู่แบบนั้นจนใบหน้าเรียบเฉยของจักรพรรดิปรากฏรอยยิ้มขันขึ้นน้อยๆ
“วันนี้จะคุยกันรู้เรื่องไหม”
“พี่...พูดเหมือนจำได้” ความคาดหวังถูกส่งผ่านมาทางสายตา
“ไม่ได้ความจำเสื่อมสักหน่อย จะให้ลืมหมดเลยหรือไง”
“ก็...ก็พี่พูดเหมือน...”
เหมือนไม่มีความทรงจำต่อกันเลยนี่...
ถึงจะบอกว่าจะไม่สนใจอดีตอีก จะสร้างความทรงจำขึ้นมาใหม่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าดีใจเหลือเกินที่เขาจำได้
“เรื่องบางเรื่องมันฝังอยู่ลึกจนเราอาจคิดว่าลืมไปแล้ว...” จักรพรรดิวางมือลงบนหัวทุยก่อนจะออกแรงโคลงไปมาช้าๆ “แต่พอได้ลองเปิดใจและสัมผัสดูถึงรู้ว่าเราไม่เคยลืมมันเลย...นั่นหมายความว่าเรื่องเรื่องนั้นต้องสำคัญมากเลย ว่าไหม”
บางเรื่องอาจทำให้หดหู่หรือเศร้าใจเกินกว่าจะลืม บางเรื่องอาจมีความสุขจนต้องจดจำไว้ หรือบางเรื่อง...อาจต้องซ่อนไว้ในส่วนลึกเพื่อเก็บรักษา และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม...มันจะกลับมาเด่นชัดอีกครั้งเพื่อย้ำเตือนว่าคนในความทรงจำมีความสำคัญมากเพียงใด
“ครับ...” ภีมภัทรเงยหน้ายิ้ม ดวงตาคู่สวยเปล่งประกายยิ่งกว่าทุกครั้ง เขาจับมือใหญ่บนหัวตัวเองมาแนบแก้มแล้วซุกใบหน้าเข้าหา ความสุขที่ถูกแสดงออกผ่านสีหน้าทำเอาจักรพรรดิใจกระตุกวูบ สัมผัสนุ่มอุ่นบริเวณฝ่ามือช่วยบรรเทาความหนาวเหน็บในใจโดยไม่รู้ตัว
แค่คำพูดและการกระทำไม่กี่คำของเขาสามารถทำให้คนคนหนึ่งมีความสุขได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ...
ความรู้สึกอบอุ่นใจที่ได้เป็นคนสำคัญของใครสักคนมันเป็นแบบนี้เอง นี่เขาห่างหายจากความรู้สึกแบบนี้ไปนานแค่ไหนกันนะ...
“ถ้าว่าง...ช่วยเล่าเรื่องในอดีตให้พี่ฟังหน่อยได้ไหม”
“เรื่อง...ในอดีตเหรอครับ” ภีมภัทรทำหน้าตาประหลาดใจ ก่อนเขาจะเผยรอยยิ้มกว้างเมื่อได้รับการพยักหน้าเป็นคำตอบ “ได้อยู่แล้ว”
พวกเขาใช้เวลาอยู่ในเรือนกุหลาบด้วยกันทั้งวันจนถึงเย็น จักรพรรดิฟังคนช่างจ้อเล่าเรื่องนั้นเรื่องให้ฟังได้ไม่มีเบื่อ เขามองปากบางที่ขยับเป็นรอยยิ้มไม่มีหุบ มองมือเรียวที่ถือสายยางรดน้ำ หรือแม้แต่มองขายาวที่ก้าวเดินไปตามจุดต่างๆ การเคลื่อนไหวทุกอย่างของภีมภัทรดูน่าดึงดูดไปหมด
เพียงใช้เวลาด้วยกันไม่นานเขาก็บอกได้ทันทีว่าคนตรงหน้ารักที่ีนี่มากขนาดไหน ทุกครั้งที่มองไปยังต้นไม้ รอยยิ้มเล็กๆ จะประดับอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่ายตลอดเวลา และเมื่อนึกได้ว่าลืมเขาไว้ข้างหลัง เจ้าตัวก็จะรีบวิ่งดุ๊กดิ๊กมาหาแล้วพาเขาเดินไปด้วยกัน ในความทรงจำคล้ายปรากฏภาพเลือนลางของเด็กชายตัวน้อยกำลังวิ่งเข้ามาหา รอยยิ้มสดใสเหมือนดวงตะวันเจิดจ้ายังตราตรึงอยู่ในใจไม่จางหาย
“พี่จักรดูนี่สิครับ”
‘พี่จักรดูนี่เร็ว’
ภาพของเด็กชายในความทรงจำกับภีมภัทรซ้อนทับกันชัดเจนเมื่อเจ้าตัวกำลังวิ่งเข้ามาหาเขา และบ่อยครั้งที่เท้าเล็กๆ นั่นจะสะดุดจนเขาต้องพุ่งเข้าไปรับตลอด ซึ่งดูเหมือนครั้งนี้...
“โอ๊ะ!”
จักรพรรดิเบิกตาขึ้นเล็กน้อย เขาพยายามพุ่งตัวไปด้านหน้าเพื่อเข้าไปรับร่างโปร่งที่กำลังจะล้มลงกับพื้น แต่เรี่ยวแรงที่มีเพียงช่วงตัวด้านบนและขาที่ไม่ทำตามคำสั่งทำให้กายสูงใหญ่ล้มลงไปกองกับพื้นในสภาพเดียวกัน เสียงรถวีลแชร์ที่ล้มตามกระแทกพื้นดังโครมใหญ่ หากสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือคนที่ล้มลงตรงหน้า เขารีบเงยหน้าขึ้น พอดีกับที่ใบหน้าใสเงยขึ้นมองด้วยความตกใจเช่นเดียวกัน ตาสองคู่สบกันนิ่งงันจนดูราวกับเวลารอบตัวกำลังหยุดหมุน
“…หึ…”
“อุ๊บ…”
คนทั้งคู่กลั้นรอยยิ้มที่มีต่อกันจนหน้าแดง จักรพรรดิยังดีที่เพียงยกมุมปากน้อยๆ หากภีมภัทรกลับกลั้นขำจนแก้มขาวพองลม แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นเสียงหัวเราะของคนทั้งคู่
“ฮ่าๆๆๆ”
“หึหึ”
เป็นเวลาเนิ่นนานที่เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จวบจนเมื่อจักรพรรดิหยิบผ้าเช็ดหน้าเลื่อนไปเช็ดแก้มแดงๆ นั่นแล้วเสียงหัวเราะจึงค่อยๆ เงียบลงแล้วกลายเป็นรอยยิ้มจางๆ แทน
“เลอะเทอะจริงๆ”
“พี่จักรว่าภีมได้เหรอ” คนที่โดนเศษดินเปื้อนแก้มสองข้างยิ้มกว้างจนเห็นฟันแทบทุกซี่ มือเรียวออกแรงเช็ดถูกับเสื้อตัวเองจนมั่นใจว่าสะอาด ก่อนจะยื่นออกไปเกลี่ยเศษดินบริเวณจมูกโด่งออกให้อย่างนุ่มนวล
“เจ็บหรือเปล่า”
“ภีมต่างหากที่ต้องถาม”
ไม่เจ็บหรอก...ไม่มีใครเจ็บกับเหตุการณ์นี้เลยสักคน
หรือถ้ามันเจ็บ...พวกเขาก็คงลืมมันไปหมดแล้ว
“มาครับภีมช่วย” ภีมภัทรสูงขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วค่อยๆ ประคองคนตัวโตให้ลุกตาม น้ำหนักที่เทมาทางเขาทั้งหมดทำให้รอยยิ้มสดใสจางหายไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อเขาสบตากับจักรพรรดิรอยยิ้มนั้นก็กลับมาทำงานอีกครั้ง
“พี่ตั้งรถให้” จักรพรรดิเอ่ยเสียงเรียบ กายโน้มไปด้านข้างเพื่อดึงวีลแชร์ให้กลับมาตั้งเหมือนเดิม แต่เพราะน้ำหนักและส่วนสูงที่มากกว่าทำให้ภีมภัทรประคองเขาไว้ไม่ไหว ดวงตาคู่สวยเบิกกว้างด้วยความตกใจเมื่อจักรพรรดิเซจนเหมือนจะล้มลงไปอีกรอบ
“พี่จักร!”
ร่างโปร่งดึงแขนอีกคนเต็มแรงและเป็นฝ่ายเอาสีข้างกระแทกพื้นเอง ใบหน้านิ่งเฉยของจักรพรรดิพลันปรากฏวี่แววของความตื่นตระหนก เขารีบพลิกตัวที่ทับภีมภัทรไว้ไปด้านข้าง ก่อนจะหันไปจับไหล่นั้นเต็มแรง
“เป็นอะไรหรือเปล่า!”
ภีมภัทรส่ายหัวปฏิเสธแม้จะรู้สึกปวดบริเวณสะโพกที่กระแทกพื้นไม่น้อย แต่เพียงแค่เห็นใบหน้าโทษตัวเองของคนตัวสูงเขาก็ต้องรีบกลืนความเจ็บนั้นลงไปแล้วจับมือใหญ่มาแนบแก้มตัวเองอย่างรวดเร็ว
“ไม่เจ็บเลย แค่พี่จักรทำแบบนี้ก็หายแล้ว”
“ภีม…” ดวงตาคู่คมที่ดูเจ็บปวดและทรมานทำให้หัวใจของภีมภัทรเต้นแรงด้วยความหวาดกลัว
กลัว...ว่าพี่จักรจะคิดไม่ดีอีก
“พี่จักรมองภีมนะ” มือเรียวทั้งสองข้างจับแก้มซูบตอบให้เงยขึ้นมองตน ก่อนหน้าผากจะวางแนบจรดหน้าผากของอีกฝ่ายช้าๆ ดวงตาทั้งสองคู่มองสบกันด้วยความรู้สึกหลากหลาย จวบจนมั่นใจว่าคนมองไม่ได้วอกแวกไปคิดถึงเรื่องไม่ดี ภีมภัทรถึงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ความเจ็บปวดจงหายไป...”
‘ฮือ….’
‘โอ๋ๆ ไม่ร้องนะเด็กดี’
‘เจ็บ...ภีมเจ็บ’
‘ภีม...มองหน้าพี่นะ’
‘ฮึก...มอง...ภีมมอง’
‘ความเจ็บปวดจงหายไป...’
ดวงตาเศร้าหมองไร้ก้นบึ้งคล้ายปรากฏประกายแสงสว่างขึ้นวูบหนึ่ง จักรพรรดิหลับตาลง เขาวางมือทาบทับมือเรียวทั้งสองข้างแล้วกดให้แนบแก้มตนเองมากกว่าเดิม หูทั้งสองข้างรับฟังถ้อยคำอ่อนโยนนั้นซ้ำไปซ้ำมาราวต้องการซึมซับมันไว้ในใจไม่ให้จางหายไปไหน
“พี่จักร...ลืมตาสิครับ”
จักรพรรดิลืมตาขึ้นช้าๆ ตามคำพูดนั้น เขามองเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนและดวงตาคู่สวยคู่เดิมที่จับจ้องมาที่เขาแต่เพียงผู้เดียว
“ภีม…”
“ทุกครั้งที่พี่ลืมตา...ภีมจะอยู่ตรงนี้”
“…”
“จะมองไปที่พี่แค่คนเดียว...”
“ภีม…” น้ำเสียงหนักแน่นราวกับคนที่ตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดทำให้ใจคนฟังสั่นไหวอย่างมีความหวัง
“ครับ”
“ไปกับพี่ได้ไหม”
“ไป?”
“พี่อยากหายแล้ว”
ไม่เอาอีกแล้ว...
ทั้งที่อยู่ตรงหน้า...แต่กลับไขว่คว้ามาไว้ในอ้อมกอดไม่ได้
ทั้งที่อยู่ตรงหน้า...แต่กลับปกป้องไม่ได้
“ไปหาหมอกับพี่ได้ไหม”
ลองดูอีกสักครั้ง...
“พี่จักร...” ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มยินดีอย่างรวดเร็ว หน้าผากที่แนบกันไว้แนบสนิทจนไร้ช่องว่าง ปลายจมูกรั้นกดทับลงบนจมูกโด่งด้วยความดีใจจนถึงขีดสุด “ครับ เราไปหาหมอกันนะ ไปหาหมอกันนะ...ฮึก”
“อย่าร้อง...”
จักรพรรดิค่อยๆ เกลี่ยน้ำตาออกจากใบหน้าได้รูปอย่างอ่อนโยน ดวงตาคู่สวยที่สะท้อนภาพของเขาเพียงผู้เดียวสั่นไหว และความอดทนของเขาก็หมดลงเมื่อได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นของคนตรงหน้า แขนผอมรั้งเอวอีกคนเข้าหา ก่อนจะกอดไว้แนบแน่นเพื่อซึมซับความอบอุ่นของกันและกัน
“พี่จะพยายามอีกครั้ง...”
ตอนที่เคยเข้ารับการรักษาครั้งแรกเขาทำเพราะยอมรับความจริงไม่ได้...
เขาทำ...เพราะต้องการกลับไปยืนบนจุดสูงสุดอีกครั้ง
แต่การรักษาครั้งนี้เขาจะทำเพราะความต้องการของตัวเอง...
เขาจะทำ...เพื่อให้ตัวเองคู่ควรกับการได้ยืนเคียงข้างใครอีกคน
—————————-
TALK : กลับมาแล้วของจริงงง และจะไม่หายแล้วค่ะ ฮี่ฮี่ เจอกันตอนหน้าในไม่ช้าาาา