ตอนพิเศษ สัญญา
หลานชายเจ้าของเกสต์เฮาส์ละจากงานในครัวเมื่อเสียงแตรรถจักรยานยนต์ดังขึ้นที่หน้าบ้าน ทันทีที่เดินพ้นชายคาก็พบพนักงานไปรษณีย์ยืนรออยู่ เขาสวมกางเกงสแล็คสีดำกับเสื้อยืดทีเชิตสีแดงคลุมทับด้วยเสื้อแจ็คเก็ตสีดำแดง และเมื่อเขาเปิดหน้าหมวกนิรภัยเต็มฟ้าก็ได้เห็นรอยยิ้มที่แทบทำให้ลืมความเหน็ดเหนื่อยเมื่อล้าจากการทำงานไปเลย
“รับจดหมายด้วยครับ” หนุ่มไปรษณีย์กล่าวพร้อมกับยื่นซองเอกสารจำนวนหนึ่งให้
“ขอบคุณครับ” พูดจบหลานชายเจ้าของเกสต์เฮาส์ก็รับมาถือไว้ ก้มลงตรวจสอบชื่อที่หน้าซองแต่ละซอง “ทำไมวันนี้มาส่งเองล่ะ”
“ซ้งลาน่ะ ต้องพาแม่ไปหาหมอ” ศิธาพัฒน์ตอบ นัยน์ตาคมยังคงจับจ้องมองข้อมือขาวที่คล้องด้วยกำไลเงินซึ่งย่าของตนเป็นผู้มอบให้อีกฝ่าย
“เที่ยงพอดี เข้าบ้านก่อนไหม เดี๋ยวเต็มทำอะไรให้กิน”
“นึกว่าจะไม่ชวนเสียแล้ว” คนอายุมากกว่าว่าพลางถอดหมวกนิรภัยวางในตะกร้าหน้ารถ
“พี่ปุ่นอยากกินอะไร” เต็มฟ้าถามพร้อมกับเอื้อมมือซับเหงื่อเม็ดโตเหนือแนวคิ้วและใช้ปลายนิ้วเกี่ยวตวัดปอยผมที่ตกลงมาระลูกตาให้
“เต็มทำอะไรให้กินพี่ก็กินทั้งนั้น”
“ถ้าอย่างนั้น...ข้าวผัดหมูใส่หอมใหญ่เยอะ ๆ ดีไหม”
“พี่ปฏิเสธได้ด้วยเหรอ” คนฟังทำหน้ายู่ขณะรั้งมืออีกฝ่ายมากุมไว้ “ถ้าเต็มจะใจร้ายทำให้กินพี่ก็จะกิน”
“โห...พูดซะน่าสงสารเลย”
“ถ้าสงสารก็อย่าใจร้ายกับพี่นัก”
“ปล่อยมือเต็มได้แล้ว” เต็มฟ้ามุ่นคิ้วเขิน รอกระทั่งอีกฝ่ายคลายมือออกจึงเดินถือซองเอกสารต่าง ๆ ไปวางไว้ให้ชลธรที่เคาน์เตอร์ จากนั้นก็หายกลับเข้าไปในครัว
“พี่ก็นึกว่าใครมากดแตร ที่แท้ก็ปุ่นนี่เอง” หญิงสาวที่เพิ่งยกอาหารมาวางให้แขกเสร็จหันมาทักทายด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอย่างเคย
“ผมเอาจดหมายมาส่งแทนซ้งน่ะครับ” ศิธาพัฒน์บอก “แล้วนี่น้าเดือนไม่อยู่เหรอครับ”
“แม่ออกไปซื้อของจ้ะ เพิ่งออกไปเมื่อกี้เอง กว่าจะแวะคุยกับเพื่อนรายทางจนครบ บ่าย ๆ โน่นแหละถึงจะกลับ ตามสบายนะจ๊ะปุ่น” ชลธรทิ้งท้ายเมื่อแขกที่นั่งอยู่โต๊ะด้านในยกมือเรียกให้คิดเงิน
ศิธาพัฒน์เดินไปนั่งลงที่โต๊ะประจำซึ่งอยู่ริมระเบียง ทอดตามองระดับน้ำในแม่น้ำวังที่เริ่มเพิ่มสูงขึ้น คงเป็นเพราะฝนที่ตกติดต่อกันหลายวันทำให้ทางการต้องระบายน้ำออกจากเขื่อน ฟังเสียงตะหลิวกระทบกับผิวกระทะดังอยู่ครู่หนึ่งพลันจมูกก็ได้กลิ่นหอม ในที่สุดอาหารจานโปรดก็ถูกยกมาเสิร์ฟ
“ข้าวผัดหมูไม่ใส่หอมใหญ่มาแล้วเจ้า”
ศิธาพัฒน์กล่าวขอบคุณเบา ๆ นึกแปลกใจที่คนที่ยกอาหารมาให้ไม่ใช่เต็มฟ้าแต่กลับกลายเป็นแม่ครัวใหญ่ประจำแสงจันทร์เกสต์เฮ้าส์
“จานนี้ฝีมือคุณเต็มเจ้า”
คนฟังชะเง้อมองไปยังห้องครัว ไม่ทันได้ถามหญิงสาวก็เอ่ยขึ้นเสียก่อน
“เดี๋ยวคุณเต็มออกมาเจ้า ไม่หนีไปไหนหรอกเจ้า”
ศิธาพัฒน์ยิ้มน้อย ๆ เมื่อไม่อาจซ่อนความเป็นกังวลให้พ้นสายตาผู้ใหญ่ แต่จะว่าไปความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเต็มฟ้าก็กลายเป็นเรื่องปกติสำหรับคนใกล้ชิดไปเสียแล้ว เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงลงมือรับประทานอาหารเงียบ ๆ จนกระทั่งอิ่มก็ยังไม่มีว่าอีกคนจะโผล่หน้ามาให้เห็นจึงเดินไปที่เคาท์เตอร์เพื่อหย่อนเงินใส่ทิปบ็อกซ์ที่ทำจากเซมิครูปสุนัขตัวกลมฝีมือตามตะวัน เพราะหากเอาให้ชลธรเธอก็คงปฏิเสธเหมือนเช่นเคย
“เย็นนี้เต็มไม่ได้เอาข้าวไปส่งให้พี่ปุ่นที่บ้านนะ” เต็มฟ้ากล่าวเมื่อเดินมาหยุดพร้อมกับส่งปิ่นโตเถาเล็กให้
“ทำไมล่ะ” แม้จะรับแล้วแต่ศิธาพัฒน์ก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ
“เต็มต้องกลับไปที่โรงงานน่ะ”
“แล้วจะไปเมื่อไร”
“รอส่งพี่ปุ่นกลับก่อนแล้วค่อยไป”
ศิธาพัฒน์ยิ้ม “งานเยอะเหรอ”
“ลูกค้าขอเพิ่มจำนวน แถมจ่ายเงินมาแล้วด้วย”
“ก็ดีแล้วนี่นา”
“มันก็ดีอยู่หรอก ถ้าไม่มาขอเพิ่มหลังจากเอาไปแล้ว แถมให้เงินมาแล้วด้วย มัดมือชกกันชัด ๆ คงถือว่ารู้จักกับพ่อ เต็มยังมีของเจ้าอื่นที่เข้าคิวอยู่ตั้งเยอะ โรงงานเราก็ไม่ใช่โรงงานใหญ่”
“อย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ เดี๋ยวเย็นนี้พี่ไปรับตามแล้วจะไปส่งที่บ้านให้ จะได้พาเจ้าแข็งแรงไปวิ่งเล่นด้วย”
เต็มฟ้าพยักหน้ายิ้ม ๆ ยอมรับว่าสายตาอ่อนโยนของอีกฝ่ายยังคงเป็นสิ่งที่ทำให้คนแข็งกระด้างเช่นเขาต้องพ่ายแพ้ทุกครั้งที่ได้สบกัน
“ไปทำงานได้แล้ว เหลือจดหมายอีกตั้งเยอะ กว่าจะส่งครบเดี๋ยวก็ค่ำกันพอดี” พูดพลางเสมองเลยไปยังกระเป๋าหนังท้ายรถที่เต็มไปด้วยกล่องพัสดุและซองจดหมาย
“ถ้าเขียนชื่อที่อยู่ของผู้รับถูกต้องน่ะ เดี๋ยวเดียวก็ส่งจนครบแล้ว แต่ถ้าไม่เขียนบ้านเลขที่ แถมเขียนแค่ชื่อเล่นละก็มีหวังได้เดินทั้งวันแน่ ๆ” พนักงานไปรษณีย์หนุ่มหัวเราะ ค่อย ๆ สืบเท้าใกล้เข้ามาอีกนิด ดวงตาจับจ้องใบหน้าของคนรัก
“เมื่อไรจะเลิกล้อเรื่องนี้สักที”
“พี่ไม่ได้ล้อ ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้พี่คิดว่ามันเป็นความโชคดีมาก ๆ ต่างหาก”
“โชคดียังไง ต้องเดินตากแดดตามหาใครก็ไม่รู้”
“โชคดีที่สุดท้ายส่งโปสการ์ดใบนั้นก็ถึงมือคนรับ โชคดีที่ได้เห็นรอยยิ้มของน้องชายที่รอว่าเมื่อไรพี่ชายจะตอบจดหมายสักที ที่สำคัญ...” คนตัวสูงขยับเข้าใกล้พร้อมกับโน้มหน้ากระซิบ “ได้พี่ชายมาเป็นแฟน”
พูดจบศิธาพัฒน์ก็ขโมยหอมเข้าฟอดใหญ่ ส่วนเต็มฟ้าที่ไม่ทันตั้งตัวก็ได้แต่ยกมือขึ้นลูบแก้มของตนเองที่ขณะนี้ร้อนฉ่าไปหมด
“เดี๋ยวใครมาเห็น”
“เห็นก็เห็นสิ แต่พี่ว่าป่านนี้เขาคงชินแล้วละ” ว่าแล้วก็เตรียมจะทำแบบเมื่อครู่กับแก้มอีกข้าง แต่ก็เพราะเต็มฟ้าใช้มือที่เหลือดันแผงอกเอาไว้จึงต้องหยุด
“พ...พี่ปุ่น พอแล้ว”
“ยังไม่หายเหนื่อยเลย ขอพลังหน่อยไม่ได้เหรอ”
คนอายุน้อยกว่าได้แต่ส่ายหน้า สบสายตาเว้าวอนด้วยความเอ็นดู “ไปทำงานต่อได้แล้ว เดี๋ยวเต็มก็จะไปเหมือนกัน”
“ถ้าอย่างนั้น...ช่วยเติมพลังให้พี่หน่อยได้ไหม”
เต็มฟ้าโคลงหัวน้อย ๆ มองแก้มพองลมที่อีกฝ่ายยื่นเข้ามารอรับพลัง
“นะ”
“ไม่”
“นะ ๆ” ศิธาพัฒน์ยังคงรบเร้า
“ไม่เอา”
“นิดเดียวเอง”
เต็มฟ้าส่ายหน้ารัว เลื่อนมือทั้งสองขึ้นประคองสองแก้มของคนอายุมากกว่า ยืนกรานเสียงแข็ง “เต็มบอกว่าไม่ไง”
“ไม่ก็ไม่” ศิธาพัฒน์ทำหน้าผากย่นจำใจถอยห่างออกมาแล้วเลื่อนมือขึ้นวางบนศีรษะของคนตรงหน้าพร้อมกับโยกเบา ๆ “ถ้าอย่างนั้นพี่ไปแล้วนะ”
“อือ”
“ตอนเย็นเจอกัน”
“อื้อ” เต็มฟ้ารับคำ กำลังจะยกมือขึ้นไล่ อีกฝ่ายก็ก้าวเข้าประชิดตัวเสียแล้ว
มือใหญ่เลื่อนลงยึดที่ต้นคอได้ก็โน้มหน้าเข้าหาประกบจูบบนกลีบปากบาง ไม่ยอมให้ได้เอื้อนเอ่ยถ้อยคำต่อว่า เพียงชั่วพริบตาศิธาพัฒน์ก็ถอนริมฝีปากออก
“พี่ปุ่นทำอะไรเนี่ย” เต็มฟ้าบ่นขมุบขมิบ
“จูบไง หรือถ้าเต็มยังไม่แน่ใจ พี่ทำให้ดูอีกครั้งก็ได้”
เพื่อไม่ให้ทำอย่างที่ปากว่า เต็มฟ้าจึงยกมือขึ้นห้าม “พอแล้ว พี่ปุ่นไปทำงานได้แล้ว”
คนอายุมากกว่าคลี่ยิ้ม แม้ใจจะไม่อยากห่างไปไหน แต่สมองกลับสั่งร่างกายให้ถอยออกมา ด้วยภาระหน้าที่ที่รออยู่จึงทำให้จำต้องไปแล้วจริง ๆ
...
จานโลหะสำหรับขึ้นรูปดินเพิ่งหยุดหมุนไปเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหลังจากทำงานอย่างต่อเนื่องมาตลอดบ่าย เต็มฟ้าคว้าเอ็นเส้นเล็ก ๆ ม้วนกับปลายนิ้ว ขึงให้ตึงเพื่อตัดฐานแจกันทรงสูงให้หลุดออก จากนั้นจึงถือไปวางลงบนโต๊ะที่อยู่ห่างไปไม่ไกล ชายหนุ่มกลับมานั่งลงที่เดิมยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อที่ซึมอยู่กับไรผมแล้วหยิบดินก้อนใหม่ขึ้นวางบนจานโลหะ กำลังจะกดปุ่มเริ่มต้นการทำงานพลันเสียงเห่าของเจ้าสุนัขพันธุ์ผสมบางแก้วก็ทำให้ต้องหยุด เอี้ยวตัวหมุนเก้าอี้มองหาต้นเสียง ไม่นานเจ้าแข็งแรงวิ่งผ่านประตูเข้ามา มันกระดิกหางแบบที่ศิธาพัฒน์มักพูดบ่อย ๆ ว่า “กระดิกจนหางจะหลุด” พร้อมกับกระโจนใส่ผู้เป็นเจ้าของด้วยความคิดถึง
“คิดถึงกันเหรอนังหนู” เต็มฟ้าว่าพลางลูบหัวเจ้าหมาขนยาวที่ตอนนี้ตัวโตจนเขาแทบจะทานแรงของมันไม่ไหว
“ขนาดคนไม่เจอกันแค่ไม่กี่ชั่วโมงยังคิดถึง แล้วนี่เจ้าแข็งแรงมันไม่ได้เจอเต็มตั้งนานก็ต้องคิดถึงสิ เนอะแข็งแรงเนอะ” ศิธาพัฒน์กล่าวเมื่อเดินมาถึง
“หลายวันที่ไหนเนอะ แค่วันเดียวเอง” ว่าแล้วก็กอดเจ้าสุนัขที่ยังคงแสดงท่าทางดีใจไม่หยุดเอาไว้แน่น
“พี่ไปส่งตามที่บ้าน คุณลุงตรัยบอกว่าเต็มยังไงกลับ เลยออกมาตาม”
“กี่โมงแล้ว”
ศิธาพัฒน์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนจะตอบ “จะทุ่มแล้ว นี่เลยเวลาเลิกงานมาตั้งนานแล้วนะ ทำไมยังไม่กลับอีก คนงานก็กลับกันหมดแล้ว”
“งานยังไม่เสร็จนี่นา วันนี้คนงานก็ทำงานล่วงเวลากัน จะให้เต็มทิ้งไปได้ยังไง”
“แต่นี่ถึงเวลาพักแล้ว ต้องกลับไปกินข้าวไปอยู่กับคนที่บ้านสิ นี่พ่อกับน้องเขารอกินข้าวจนรอไม่ไหวแล้ว”
“พูดมาก กลับก็ได้” พูดจบก็ปล่อยเจ้าแข็งแรงลงแล้วเดินไปล้างไม้ล้างมือ
ศิธาพัฒน์วางปิ่นโตเถาเล็กลง ผิวสัมผัสยังอุ่น ๆ เพราะเขาให้พี่แจ่มช่วยอุ่นอาหารที่เต็มฟ้าทำให้ก่อนจะมาที่โรงงานเซรามิคท้ายไร่ ตาคมจับจ้องแผ่นหลังกว้างจากนั้นจึงสาวเท้าเข้าหาราวกับมีแรงดึงดูด แขนแกร่งสอดเข้าข้างลำตัวกอดคนตรงหน้าเอาไว้หลวม ๆ ดวงตาอ่อนโยนกดต่ำลงมองสายน้ำที่แทรกผ่านมือขาว
“อยากให้เต็มกลับบ้านจริง ๆ หรือเปล่าเนี่ย”
“อยากให้อยู่ด้วยกันแบบนี้ก่อน แค่นาทีเดียวก็ได้”
คนฟังชะงัก หมุนปิดก๊อกน้ำแล้วกล่าว “ทำไมน้อยจัง”
“เต็มจะได้กลับไปอยู่กับพ่อกับน้องไง คนที่บ้านเขาก็ต้องการเต็มนะ รู้หรือเปล่า”
“ร...รู้” ลูกชายพ่อเลี้ยงตอบไม่เต็มเสียง
“ถ้าอย่างนั้นไปกินข้าวแล้วกลับบ้านกัน” พูดจบศิธาพัฒน์ก็รั้งข้อมืออีกฝ่ายให้เดินตามไปนั่ง
“พี่ปุ่นยังไม่ได้กินอีกเหรอ” เต็มฟ้าถามขึ้นเมื่อเห็นปิ่นโตเถาเดิมที่เขาเพื่อให้อีกฝ่ายไปเมื่อตอนเที่ยง
“ยัง ตั้งใจจะมากินที่นี่ ตอนที่แวะเข้าไปที่บ้านเห็นพี่แจ่มกำลังตั้งโต๊ะอาหารก็เลยให้พี่แจ่มช่วยอุ่นกับข้าวให้ พี่บอกคุณลุงตรัยไว้แล้วว่าจะมากินกับเต็ม ตอนแรกตามจะขอมาด้วยแต่คิดอยู่แล้วว่าเต็มต้องยังทำงานอยู่แน่ ๆ ก็เลยบอกให้น้องอยู่ทานข้าวเป็นเพื่อนพ่อ”
“จะหิ้วท้องมาทำไม”
ศิธาพัฒน์ทอดตามองชายหนุ่มที่กำลังนั่งลงเปิดปินโตเถาเล็กออก เขาไม่ตอบคำถามนั้นทั้งที่รู้ดีว่าเหตุผลคืออะไร
“พี่ปุ่นกินเลย เต็มกินกับพวกคนงานไปแล้ว เดี๋ยวเต็มไปหยิบน้ำให้” ว่าแล้วลูกชายพ่อเลี้ยงก็ไปเปิดตู้เย็นหยิบขวดน้ำแล้วเดินกลับมากระโดดขึ้นไปนั่งห้อยขาบนโต๊ะ ตามองคนที่เริ่มตักข้าวมือก็เปิดขวดน้ำไปด้วย “อร่อยไหม”
“อร่อย”
“กินคนเดียวไม่อร่อยละสิ” กล่าวพร้อมกับวางขวดน้ำลงใกล้มือ
“ก็รู้เหมือนกันนี่ ถ้ารู้...ครั้งต่อไปกลับมาบ้านก็กลับไปกินข้าวกับพ่อที่บ้านด้วยนะ”
“รู้น่า” เต็มฟ้ากล่าวตัดรำคาญ
คนอายุมากกว่าส่ายหัวน้อย ๆ เมื่อเห็นท่าทางของอีกฝ่าย นอกจากปากจะไม่ตรงกับใจแล้วยังแสดงออกต่างจากที่ใจคิด
หลังจากรับประทานอาหารเรียบร้อยก็ได้เวลากลับ เต็มฟ้าเดินตรวจตรารอบ ๆ โรงงานเซรามิคก่อนจะเดินมาหาศิธาพัฒน์ที่ยืนใส่กุญแจประตูอยู่ที่ด้านหน้า เสียงเตือนข้อความรับเข้าทำให้ชายหนุ่มต้องดึงโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง พลันรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
“เก้กับดุ่ยส่งรูปมาให้ดู”
ศิธาพัฒน์พยักหน้าพลางนึกถึงสองหนุ่มที่เพิ่งอำลากันที่สถานีรถไฟนครลำปางเมื่อเช้าวันก่อน “ป่านนี้ไปเที่ยวถึงไหนกันแล้ว”
“อยู่เชียงใหม่น่ะ เพิ่งเจอกับพี่ ๆ ที่ทำงานที่เขานั่งเครื่องบินมา เห็นว่าพรุ่งนี้จะไปแม่ฮ่องสอนกัน”
“น่าเสียดายนะที่เต็มไม่ได้ไปด้วย มัวแต่ทำงาน ระวังเถอะเพื่อน ๆ เขาจะหาว่าทิ้งเพื่อนทิ้งฝูง”
“บ่นอีกแล้ว ก็งานมันเร่งจริง ๆ นี่นา” เต็มฟ้าว่าพลางใช้ปลายนิ้วเลื่อนภาพบนหน้าจอสัมผัส “ดูรูปดีกว่า สวยไหม”
“ที่ไหนน่ะ”
“สะพานทาชมภู เมื่อวานสองคนนั้นไปลงที่สถานีแม่ทา”
“สวยจัง เหมือนสะพานขาวที่บ้านเราเลย” ศิธาพัฒน์ว่าพลางจ้องมองภาพสะพานโค้งสีขาวที่ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าสีเขียวขจี
เต็มฟ้าเหล่มองคนที่ถือโอกาสกอดตนเองจากด้านหลังพร้อมกับทิ้งน้ำหนักวางคางลงบนบ่าของตน “บ้านเต็มคนเดียวต่างหาก”
“ใจร้าย” พูดพร้อมกับแกล้งใช้ปลายจมูกถูที่แก้มของคนในอ้อมแขนแล้วกระซิบ “ต้องทำยังไงพี่ถึงจะได้เป็นเขยลำปาง”
“ก็ต้องไปขอลูกสาวบ้านไหนสักบ้านแต่งงาน”
“พี่หลงรักลูกชายบ้านนี้ไปแล้วด้วยสิ ถ้าอย่างนั้นขอลูกชายบ้านนี้ได้ไหม พี่อยากอยู่บ้านนี้”
“ไปถามพ่อโน่น” เต็มฟ้าทำเสียงแข็งมุ่นคิ้วเขิน ๆ ก่อนจะขยับจนหลุดจากวงแขน
“ถ้าอย่างนั้นรีบกลับบ้านกัน พี่จะไปถามคุณลุงตรัย” ศิธาพัฒน์บอกก่อนจะหันไปเรียกเจ้าหมาน้อยที่นอนพิงล้อรถจักรยานยนต์คันเก่ารอเวลาที่เจ้านายทั้งสองจะพากันกลับบ้าน “แข็งแรงขึ้นรถ”
เจ้าสุนัขตัวอ้วนรีบผุดลุกขึ้นกระดิกหางเดินวนไปรอบ ๆ และเมื่อศิธาพัฒน์ขึ้นนั่งประจำที่มันก็ค่อย ๆ ปีนขึ้นไปนั่งที่ด้านหน้า เพราะตัวที่ใหญ่โตทำให้มันไม่สามารถนั่งชูคอในตะกร้าได้อีกต่อไป
เต็มฟ้ารู้ดีว่าสิ่งที่ศิธาพัฒน์พูดจบเมื่อครู่เพียงต้องการจะล้อเขาเล่น เพราะทุกวันนี้อีกฝ่ายก็กลายมาเป็นสมาชิกคนหนึ่งของบ้านไปแล้ว แต่สิ่งที่เป็นจริงคือภาพปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้รู้ว่าช่วงเวลาของการที่ต้องแยกย้ายกันไปใกล้เข้ามาทุกที
“เต็มนำไปเลย เดี๋ยวพี่ขี่มอเตอร์ไซค์ตาม” หนุ่มไปรษณีย์หันมาบอกคนที่ยังคงยืนนิ่ง
คนอายุน้อยกว่าส่ายหัว “เต็มจะไปกับพี่ปุ่น” พูดจบลูกชายพ่อเลี้ยงก็กระโดดขึ้นนั่งซ้อนหลัง
“เกาะแน่น ๆ ด้วยล่ะ ระวังตก” ศิธาพัฒน์กำชับพลางรั้งมือขาวให้จับชายเสื้อของตน แต่แทนที่เต็มฟ้าจะทำตาม เขากลับกอดเอวของอีกฝ่ายไว้แน่นพร้อมกับแนบแก้มลงกับแผ่นหลังกว้าง “พี่ปุ่นก็ขี่ไปช้า ๆ สิ เต็มจะได้ไม่ตก”
“อยากอยู่กับพี่นาน ๆ เหรอ” เมื่ออีกฝ่ายตอบรับโดยการพยักหน้าจึงกล่าวต่อ “ถ้าอย่างนั้นพี่พาไปวนที่พระธาตุลำปางหลวงก่อนดีไหมแล้วค่อยเข้าบ้าน”
“ตามใจพี่ปุ่นเลย”
เมื่อได้ฟังดังนั้น ศิธาพัฒน์จึงกุมมืออีกฝ่ายไว้แน่นก่อนจะออกรถ หากมองจากที่ไกล ๆ จะเห็นแสงไฟค่อย ๆ เคลื่อนไปตามเส้นทางคดเคี้ยว รถจักรยานยนต์คลาสิกเคลื่อนที่อย่างช้าที่สุดเพราะเจ้าของต้องการยืดเวลาที่จะได้กุมมือกันเช่นนี้ออกไปให้นานที่สุด
...
(มีต่อค่ะ)