Chapter 6หนูไมค์เดินหิ้วของพะรุงพะรังเข้าบ้าน พอเข้าเดินเข้าบ้านก็เห็นสองเมืองยืนหันหลังอยู่ในห้องนั่งเล่น เค้ากำลังทำอะไรของเค้านะ เดี๋ยวค่อยกลับมาดูเอาข้าวของไปเก็บให้เรียบร้อยเสียก่อน หนูไมค์จัดแจงข้าวกล่องทั้งหลายใส่ตู้เย็นเสร็จ ก็เดินกลับมาที่ห้องนั่งเล่น คนตัวเล็กเดินเข้าไปสะกิดร่างสูงที่ยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ พอรู้สึกถึงแรงสะกิดที่ต้นแขน สองเมืองก็สะบัดออกแล้วหันไปในทิศทางที่โดนสะกิดเมื่อกี้ ถึงจะมองไม่เห็นแต่ร่างสูงรู้สึกได้ว่าหนูไมค์ยืนอยู่ข้างๆเค้าตรงนี้
“มึงกลับช้า!!!!” สองเมืองตะคอกใส่หนูไมค์ แล้วใช้มือผลักอีกคนจนล้มลงไปกองกับพื้น
“ไอ้เหี้ยเอ้ย! มึงหายไปนานมากจนกู....จนกูคิดว่ามึงจะเป็นอะไรไปซะอีก!” คนตัวเล็กค่อยๆยันตัวลุกขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด เมื่อกี้ตอนสองเมืองผลัก ก้นเค้ากระแทกกับพื้นแรงมากจะช้ำรึเปล่าก็ไม่รู้สิ แต่ทำไมอยู่ๆเค้าถึงอาระวาดใส่หนูไมค์ล่ะ
“ถ้ามึงเป็นอะไรไป ใครจะเป็นตาให้กู! ในเมื่อทุกคนก็ทิ้งกูไปหมดแบบนี้…ตอนนี้กูมีมึงแค่คนเดียวนะไอ้สัส” หน้าของสองเมืองเริ่มแดงก่ำ สองมือกำกำปั้นแน่นจนเส้นเลือดปูดขึ้น นี่เค้ากำลังโกรธที่หนูไมค์มาช้าใช่หรือเปล่า
คนตัวเล็กรู้สึกผิดจริงๆที่ปล่อยให้สองเมืองอยู่คนเดียวตั้งนาน หากเค้าลองมาตาบอดมองไม่เห็นแบบร่างสูงก็คงทนไม่ได้เหมือนกันที่ต้องอยู่คนเดียว รอบข้างที่ไร้ครอบครัว มองไปทางไหนก็เจอแต่สีดำ ถ้าหนูไมค์ตาบอดก็คงจะกลัวอยู่ไม่น้อยเพราะเค้าเองเป็นคนที่กลัวความมืด แต่ดูสองเมืองสิเค้าพยายามเข้มแข็งและเดินต่อเพื่อรอวันที่จะได้มองเห็นอีกครั้ง สองเมืองพยายามยืนด้วยขาตัวเองโดยไม่พึ่งครอบครัวและคนรอบข้าง พยายามทำตัวให้เข้มแข็งให้ทุกคนเห็น แต่ในใจลึกๆเค้าเองก็โหยหาความรักความเห็นใจจากทุกคนอยู่เหมือนกัน และทุกครั้งที่สองเมืองอยู่คนเดียวเค้าก็กลายเป็นคนอ่อนแอโดยไม่รู้ตัว เค้าเองก็กลัวเหมือนกันนะที่จะต้องถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว
“ที่กูไม่ยอมจ้างพยาบาลส่วนตัวก็เพราะอยากเข้มแข็งด้วยตัวเอง และที่ให้มึงออกไปซื้อของเพราะกูอยากลองอยู่คนเดียว...แต่...แต่กูอยู่ไม่ได้...กูกลัวว่ามึงจะไม่กลับมาอีก” ใบหน้าหล่อเหลาสลดลงอย่างเห็นได้ชัด ในใจของเค้ามันเริ่มหวาดกลัว กลัวเหลือเกินว่าจะถูกทิ้งให้อยู่กับความมืดมิดคนเดียว กลัวเหลือเกินว่าจะไม่มีใครกลับมาหาเค้า
“กูยังทำใจไม่ได้ที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ ถึงจะบอกไม่เป็นไร...แต่กูก็กลัว....กูกลัวว่ากูจะกลับมามองเห็นอีกครั้งไม่ได้ กลัวการถูกทิ้ง...” เสียงทุ้มเริ่มสั่นเครือพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อล้นรอบดวงตาคมดุดันนั้น
หนูไมค์รู้สึกสงสารสองเมืองเหลือเกิน ทำไมต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วยนะ ถ้าหากวันนั้นหนูไมค์ไม่ถูกผลักมากลางถนน รถของสองเมืองก็คงตรงดิ่งกลับบ้านอย่างปลอดภัย และสองเมืองก็คงไม่ตาบอดแบบนี้ เพราะหนูไมค์เองแหละที่เป็นคนทำร้ายชีวิตของสองเมือง ถึงสองเมืองจะเป็นคนปากร้ายใจร้อนชอบอาระวาดยังไงหนูไมค์ก็ยังคงอยากอยู่ดูแลไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เพราะเป็นการรับผิดชอบ แต่เป็นเพราะความสงสารและเห็นใจคนร่างสูง คุณหญิงหยกมณีที่ว่าใจดีกับหนูไมค์ยังทอดทิ้งสองเมือง ท่านปิ่นฤดีสามีของคุณหญิงที่ว่าเป็นเสาหลักของบ้านก็ไม่เคยมาดูดำดูดีลูกชายตาบอดเลยสักครั้ง ส่วนหนึ่งสยามกับสามภพก็คงมีธุระสำคัญจึงดูแลสองเมืองไม่ได้ ทุกคนเห็นแก่ตัวจริงๆเลย เห็นเรื่องอื่นสำคัญกว่าสองเมืองไปได้ยังไง สองเมืองเค้าเป็นสมาชิกคนนึงของครอบครัวนะ
ไม่เป็นไรถ้าหากไม่มีใครจะดูแลสองเมือง หนูไมค์เองจะเป็นคนดูแลและเป็นคนที่คอยอยู่ข้างๆสองเมืองเสมอ จะไม่มีวันทิ้งสองเมืองเหมือนคนอื่นๆหรอก เมื่อเห็นน้ำตาร่วงออกจากดวงตาคมดุนั้นยิ่งทำให้หนูไมค์สงสารสองเมืองมากยิ่งขึ้น ภายนอกดูแข็งแรงและเข้มแข็งแต่ข้างในใจของสองเมืองมันช่างเปราะบางและอ่อนแอเหลือเกิน คนตัวเล็กค่อยๆเดินเข้าไปโอบกอดร่างสูงนั้นไว้ คนที่ถูกกอดเอะใจนิดหน่อยแต่ก็กอดร่างเล็กตอบ นานเท่าไหร่แล้วนะที่ไม่ได้รับความอบอุ่นจากอ้อมกอดแบบนี้ สองเมืองรู้สึกได้ถึงความห่วงใยและจริงใจของหนูไมค์ เจ้าเด็กคนนี้เป็นใครก็ไม่รู้แต่กลับคอยดูแลเค้าไม่เคยห่างเลย ต่างกับครอบครัวของเค้าเสียจริง ร่างสูงปล่อยโฮลงตรงนั้นเค้ากระชับกอดร่างเล็กของหนูไมค์ไว้แน่น ความอ่อนแอที่มีอยู่ในใจถูกเปิดออกมาและแทนที่ด้วยความห่วงใยของคนตัวเล็ก
ต่อไปเค้าจะพยายามเข้มแข็งให้มากกว่าเดิม ถึงแม้จะไม่มีคนในครอบครัวมาคอยดูแลก็เถอะ
หนูไมค์ไม่ใช่ครอบครัวของเค้า แต่ตอนนี้เจ้าเปี๊ยกนี่คงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเค้าไปแล้วล่ะ
ขอบคุณจริงๆที่ทำให้เค้ารู้สึกว่ายังเหลือคนที่อยู่เคียงข้างเค้าเสมอ...
“สปาเก็ตตี้เหรอวะ อืม....ข้าวกล่องเซเว่นนี่ก็ใช้ได้เหมือนกัน”
เวลาอาหารเย็นมาถึง วันนี้หนูไมค์เลือกข้าวกล่องสปาเก็ตตี้เป็นมื้อเย็น ค่อยๆม้วนเส้นขึ้นมาแล้วเป่าให้คลายร้อน ตามด้วยสะกิดแขนร่างสูงแล้วป้อนเข้าปาก เป่า สะกิด ป้อน วนอยู่ลูปเดิมอีกแล้ว ทั้งป้อนคนตาบอดทั้งตักกินเอง บอกเลยว่าทำงานบ้านช่วยป้าแช่มไม่เหนื่อยเท่าป้อนอาหารคนตาบอด จะเหนื่อยแค่ไหนหนูไมค์ก็อยากทำ
“มึงก็กินเยอะๆด้วยไอ้ไมค์ ตอนกูอุ้มมึงนะ ตัวโคตรเบา” อะไรนะตอนอุ้มงั้นเหรอ สองเมืองมาอุ้มหนูไมค์ตอนไหนนะ ขอคิดก่อน...
“ป้อนต่อสิวะ กูหิวนะเนี่ย..หรือมึงกำลังสงสัยว่ากูอุ้มมึงตอนไหน” หนูไมค์บีบมือร่างสูงสองครั้งเพื่อเป็นการบอกว่าต้องการที่จะรู้เรื่องสองเมืองอุ้มเค้าตอนไหน
“กูอุ้มมึงขึ้นเตียงเมื่อคืน เห็นนอนสั่นเชียว...ผ้าก็ไม่ห่ม รู้ไหมอากาศมันหนาว ถ้ามึงไม่สบายขึ้นมาเดี๋ยวก็เป็นภาระคนตาบอดอย่างกูอีก” หนูไมค์ยิ้มเขินกับการกระทำของอีกฝ่าย จะว่าไปสองเมืองก็มีมุมน่ารักเหมือนกันนะ ถึงจะหน้าโหดไปก็เถอะ
“ต่อไปนี้ทุกคืนมึงก็มานอนกับกูเลยก็แล้วกัน เผื่อกูหิวน้ำกลางดึก” หนูไมค์บีบมือหนาอีกสองครั้งเพื่อรับทราบคำสั่ง ก่อนจะม้วนเส้นสปาเก็ตตี้ป้อนอีกคน
หลังจากภารกิจป้อนข้าวคุณชายสองเมืองเสร็จ หนูไมค์ก็จูงมือร่างสูงไปส่งที่ห้อง พร้อมจัดเตรียมชุดนอนไว้ให้อีกคน ส่วนตัวเองก็ขอขึ้นไปอาบน้ำบ้าง ภารกิจส่วนตัวเสร็จสรรพหนูไมค์ก็เดินเช็คความเรียบร้อยของบ้านว่าปิดล็อคดีหรือยังตามปกติ จากนั้นก็หอบผ้าห่มหมอนข้างตุ๊กตาหมีที่หนึ่งสยามซื้อให้ไปนอนที่ห้องสองเมือง
ก๊อกๆ ก๊อกๆ
“เออเข้ามา มารยาทดีจังนะมึงน่ะ” ร่างเล็กรีบเดินหอบผ้าห่มกองโตไปวางที่พื้นพรมก่อนจะปูเป็นที่นอนเหมือนเมื่อคืน
“ทำอะไร...ทำไมเงียบไปวะ” สองเมืองเงี่ยหูฟังอีกคน ได้ยินเสียงพรึบๆเหมือนเจ้าเปี๊ยกนั้นกำลังปูห่มลงพื้น นี่อย่าบอกนะว่าจะนอนพื้นอีก
“มึงทำอะไรวะ” ร่างสูงที่นั่งอ่านหนังสือคนตาบอดอยู่บนเตียงก้าวเท้าแตะลงพื้นพรม แต่พื้นพรมในตอนนี้ปูด้วยผ้าห่มนุ่มๆของหนูไมค์เรียบร้อยแล้ว พื้นมันแข็งโป๊กขนาดนั้นยังจะนอนอีก สงสัยมันคงจะเกรงใจสองเมืองแน่ๆ เพราะคืนก่อนเค้าสั่งให้เจ้าเปี๊ยกนี่นอนพื้นนี่น่า
“ไม่ต้องปู หอบผ้าห่มขึ้นมานอนบนเตียงกับกูนี่ เตียงกูกว้างจะตายไม่นอนเบียดมึงหรอก เอ้า! รีบๆหอบขึ้นมาสิวะไอ้เด็กบ้า”
คนตัวเล็กหอบผ้าห่มและหมอนข้างขึ้นไปบนเตียงคิงไซส์ของสองเมืองอย่างว่าง่าย เตียงก็นุ่ม อุ่นก็อุ่นแบบนี้ใครจะไปกล้าปฏิเสธ ยิ่งถ้าเป็นฤดูหนาวแล้วด้วยล่ะก็ยิ่งอยากนอนเข้าไปใหญ่เลย สามปีที่อยู่เมืองไทยหนูไมค์ผจญกับความลำบากมาตลอด นอนบนพื้นแข็งๆเย็นๆ จนกระทั่งได้มาอาศัยอยู่กับครอบครัวนี้ อะไรๆก็ดูสบายมากขึ้นเยอะ ถ้าคุณหญิงหยกมณีไม่รับเลี้ยงหนูไมค์ ป่านนี้เค้าก็คงได้นอนข้างถนนล่ะมั้ง
“กูยังไม่ง่วงเลยว่ะ วันนี้นอนไปเยอะแล้ว อยากดูทีวีจัง....” คนตัวเล็กเห็นทีวีจอยักษ์ติดผนังอยู่ตรงข้ามปลายเตียง จะลุกไปเปิดให้ดีไหมน่า แต่สองเมืองตาบอดนี่ จะดูได้เหรอ
“กูตาบอดยังไงก็ดูไม่ได้อยู่ดี” หนูไมค์ก็เป็นใบ้ ถ้าพูดได้จะบอกแบบนั้นแหละ
“นี่ไอ้ไมค์ ไอ้สามภพบอกว่ามึงหน้าตาอัปลักษณ์เหรอวะ ถ้าใช่ให้บีบมือกูสองครั้ง” อะไรกัน..หนูไมค์ก็คิดว่าตัวเองหล่อเหมือนกันนะ ไม่เอาไม่ทำหรอก หนูไมค์หล่อมาหาว่าหนูไมค์อัปลักษณ์ได้ยังไง
“อ้าว...ทำไมไม่บีบมือกูล่ะ ไอ้ขี้ข้า ฮ่าๆๆๆ งั้น...แสดงว่ามึงหล่องั้นสิ?” คนตัวเล็กรีบฉวยมือหนาไปบีบสองครั้งเพื่อบอกว่าใช่แล้วล่ะ หนูไมค์หล่อมาก
“ไม่ค่อยหลงตัวเองเลยนะมึง...หึหึ” ร่างสูงหัวเราะเบาๆกับการกระทำของร่างบาง
“อืม...อยากลองจินตนาการลักษณะมึงจัง กูว่านะมึงต้องเป็นเด็กที่ผอมกะหร่องแน่ๆตัวเบาซะขนาดนั้น ใช่ไหม?”
หนูไมค์บีบมือสองครั้ง เพื่อบอกว่าใช่
“มึงเตี้ยกว่ากูมากๆใช่ไหม?” อืมจะว่าไปแล้วตอนยืนข้างกันหนูไมค์สูงเท่าไหล่ของสองเมืองเองนะ โอเคยอมรับก็ได้ว่าเตี้ยกว่ามากๆ
หนูไมค์บีบมือสองครั้ง เพื่อบอกว่าใช่
“ทำไมมือมึงเล็กจังวะ เหมือนมือเด็กน้อยเลยว่ะ แถมยังนุ่มนิ่มอีก” ร่างสูงจับมือเล็กไปทาบทับกับมือใหญ่ของตัวเอง เค้าสอดนิ้วประสานกับหนูไมค์เพื่อวัดขนาดของมือคนตัวเล็ก ขนาดมือก็คงเท่ากับขนาดตัวและทุกอย่างของร่างกายคงเล็กไปตามๆกันล่ะมั้งแบบนี้
“ยื่นหน้ามาใกล้ๆกูซิ” หนูไมค์ทำตามอย่างว่าง่ายโดยการยื่นหน้าเข้าใกล้ๆสองเมือง แล้วสะกิดอีกคนให้รับรู้ว่าเค้าทำตามแล้วนะ
สองเมืองค่อยๆใช้มือไล่ไปตามลาดไหล่ของร่างบางจนถึงใบหน้ากลมไข่ของอีกคน ร่างสูงค่อยๆใช้ปลายนิ้วสัมผัสกับใบหน้าเนียนใส ไล่ไปที่แก้มเป็นอันดับแรก แก้มของมันยุ้ยๆดีนุ่มนิ่มด้วยเหมือนเด็กเลยแหะ ต่อไปเป็นจมูก จมูกโด่งรั้นรับกับใบหน้าเล็กๆของมันจริงๆ ต่อไปเป็นดวงตา คนตัวเล็กหลับตาลงเพื่อให้อีกคนได้สัมผัส นิ้วสากไล่ไปบนเปลือกตาของเค้าช้าๆ ไอ้เปี๊ยกนี่ต้องตาโตมากแน่เลย อยากเห็นจังว่าจะโตเท่าที่สองเมืองจินตนาการไว้รึเปล่า ส่วนสุดท้ายก็คือปากเล็กจิ้มลิ้มนั้น นิ้วของร่างสูงไล่สัมผัสบนกลีบปากเล็กนั้นอย่างแผ่วเบา ความรู้สึกแรกที่รับรู้คือปากเล็กของไอ้เปี๊ยกนี่นุ่มเอามากๆน่าลองจูบชะมัด
ส่วนด้านคนตัวเล็กเมื่อโดนมือของสองเมืองสัมผัสไปทุกอณูขนก็รู้สึกเขินอายขึ้นมา หัวใจดวงน้อยเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะแล้วสิเมื่อได้อยู่ใกล้ๆกับร่างสูง หน้าของหนูไมค์ห่างกับสองเมืองไม่ถึงคืบอีกแล้ว ถ้าใกล้อีกนิดนึงคงจะได้จูบกันเป็นแน่ ร่างบางพยายามขืนตัวออกห่างจากการสัมผัสของอีกคน ทำให้สองเมืองเริ่มได้สติกลับคืนมา
อะไรกัน...นี่สองเมืองกำลังคิดทะลึ่งลามกกับไอ้เด็กขี้ข้าไมค์อยู่เหรอเนี่ย ร่างสูงสะบัดหัวเพื่อไล่ความคิดของตัวเองแล้วผลักหัวทุยอีกคนออกไปห่างๆ
“เออ...มึงอัปลักษณ์เหมือนที่ไอ้สามภพมันว่าเลย ไอ้ไมค์ไอ้ขี้เหล่ ฮ่าๆ” ไม่จริงเลยที่เค้าพูด สองเมืองรู้อยู่แก่ใจว่าไอ้ไมค์มันหน้าตาดี ถึงเค้าจะมองไม่เห็นก็ตามเถอะ แค่ใช้นิ้วสัมผัสไปตามทุกส่วนบนใบหน้าก็รู้แล้วว่าไอ้เด็กนี่มันหน้าตาดีขนาดไหน องค์ประกอบบนใบหน้าสมส่วนทุกอย่าง แต่ที่แกล้งบอกว่าไอ้เปี๊ยกนี่อัปลักษณ์ก็เพราะเค้าเขินต่างหากล่ะ
“นะ...นอนได้แล้วโว้ย ดึกแล้ว”
ร่างสูงผลักเจ้าเด็กไมค์ไปอีกฝั่งของเตียงแล้วล้มตัวนอนลง หนูไมค์เห็นว่าสองเมืองจะนอนแล้วก็ไม่ลืมเลิกผ้าห่มผืนหนาที่อยู่ปลายเตียงมาห่มให้ร่างสูง ส่วนตัวเองก็ล้มลงนอนข้างๆกันโดยไม่ลืมห่มผ้าด้วย เหตุการณ์เมื่อกี้ทำให้เกิดความเงียบขึ้นระหว่างทั้งคู่ เอ๊ะ..ไม่สิ สองเมืองเงียบคนเดียวต่างหาก หนูไมค์พูดไม่ได้ซะหน่อย อะไรกันสองเมืองเป็นคนจับหน้าหนูไมค์เองนะทำไมต้องทำท่าทางเหมือนโกรธด้วยล่ะ หรือว่ารังเกียจหนูไมค์ไปซะแล้ว แต่เมื่อกี้ตอนที่นิ้วมือของสองเมืองสัมผัสใบหน้าเค้าทำเอาหนูไมค์ยังเขินไม่หายเลยนะ ร่างบางชำเลืองมองอีกคนก็เห็นร่างสูงหลับไปเรียบร้อยแล้ว โกรธจนต้องพยายามข่มตาหลับเลยเหรอเนี่ย งั้นหนูไมค์คงหลับบ้างแล้วดีกว่า
ทางด้านสองเมืองเค้าพยายามข่มตาหลับก็จริง แต่ในหัวก็คิดถึงใบหน้าเล็กที่สัมผัสมาเมื่อกี้ คิดไปคิดมาก็ทำเค้าเขินมากเลยทีเดียว ที่แกล้งหลับก็เพราะกลบเกลื่อนความเขินหรอกนะ ไอ้เปี๊ยกนั้นจะสังเกตเห็นสองเมืองหน้าแดงหูแดงรึเปล่านะ ยิ่งเมื่อกี้ตอนที่นอนลงไอ้บ้าไมค์มันก็ทำสองเมืองเขินอีกครั้งด้วยการห่มผ้าให้ นี่เค้าเขินจนลืมนอนห่มผ้าเลยเหรอเนี่ย ทั้งที่อากาศหนาวแบบนี้นี่นะ โธ่เว้ย ก็ได้แค่สัมผัสหน้ามันเองนะทำไมต้องใจเต้นแรงด้วย แต่เมื่อกี้ทุกสัมผัสที่นิ้วสากไล่ไปบนใบหน้าเล็กๆนั้นก็ทำเค้าจดจำสัมผัสนี้ได้แม่นยำเลยทีเดียว สองเมืองแอบนอนอมยิ้มแล้วก็จินตนาการภาพของหนูไมค์อยู่ในหัว โดยที่ไม่รู้ตัวว่าหัวใจเค้าเต้นแรงแค่ไหน
ตึกตัก...ตึกตัก....
ตึกตัก...ตึกตัก...
คนตัวเล็กเงี่ยหูฟัง...เอ๊ะ...นี่เค้าเขินสองเมืองจนหัวใจเต้นแรงขนาดนี้เลยเหรอ ห้องเงียบแบบนี้หวังว่าสองเมืองคงจะไม่ได้ยินหรอกนะ อายชะมัด
คนร่างสูงเงี่ยหูฟัง...เอ๊ะ...นี่เกิดอะไรขึ้นกับเค้ากันนะ ทำไมหัวใจเค้าเต้นแรงและเสียงดังแบบนี้ ไอ้เปี๊ยกนั้นนอนไปรึยังนะ ขออย่าให้มันได้ยินเสียงเต้นหัวใจของเค้าเลยนะ มันน่าอายนะเนี่ย
ค่ำคืนในฤดูหนาวและบรรยากาศที่เงียบสงัด มีเพียงเสียงเต้นของหัวใจสองดวงเท่านั้นที่กลบความหนาวเย็นของคืนนี้...
TBC.ต้องขอโทษทุกคนที่ไม่ได้มาอัพตามสัญญา เมื่อวานติดธุระจริงๆค่ะ เลยเลื่อนมาลงวันนี้แทน
ฝากติดตามพี่สองกับน้องไมค์ด้วยนะคะ