เป็นเรื่องที่ต่อเนื่องมาจาก Daylight นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=31210.msg1806653#msg1806653เรื่องนี้ผมได้ไอเดียมาจากเพลง Parallel Reality ของ INORAN ไม่รู้ว่ามีให้ฟังในยูทูบหรือเปล่า ถ้าสนใจก็ลองหาดูนะครับ แต่ผมลงเนื้อเพลงไว้ท้ายเรื่องด้วย
ขอบคุณที่สนใจติดตามนะครับ
...
Parallel Reality
สวัสดี ทาคุโร่
วันเวลามันผ่านไปเร็วนะ นายไม่อยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว...ฉันแทบจะจำไม่ได้ ทั้งที่รู้ว่านายไม่ได้ไปไหน แต่การที่ไม่เห็นตัวนายให้เต็มสองตา มันทำให้ฉันรู้สึกแปลก ๆ เหมือนนายไม่ได้อยู่ที่นี่...ในห้องนี้
เหมือนรอบตัวมันมืดมนลงทุกที ฉันได้แต่ทำงานไปวัน ๆ หายใจทิ้งให้หมดไปวัน ๆ...ไม่รู้หรอกว่าอากาศมันร้อนมันหนาวแค่ไหน ไม่รู้ว่าสีสันรอบตัวมันหายไปไหน ตอนนี้ฉันเห็นแค่โลกสีเทาที่มืดมนลงทุกวันเท่านั้น
ฉันพยายามจะมองหาแสงสว่างจากเงามืดพวกนั้นนะ ฉันพยายามไปไหนมาไหนกับพวกเจ พยายามฝืนยิ้มเพื่อไม่ให้พวกนั้นเป็นห่วง...นายก็รู้ว่าสุงิจังขี้กังวลแค่ไหน ฉันพยายามมองหน้าพวกนั้นไว้ พยายามมองหาแสงสว่างที่อาจจะมีอยู่ในประกายตาของเทรุบ้าง...แต่ไม่มีเลย ทาคุโร่ ไม่มีที่ไหนมีแสงสว่างที่ฉันมองหาเลย
ฉันกลับมาค้นหาแสงสว่างนั้นในบ้านของเรา แสงสว่างเลือนรางเป็นเงาวอมแวมให้ฉันเห็น ถักทออย่างอ่อนโยนมากับเสียงกีต้าร์ที่นายเล่นกล่อมฉันนอนทุกค่ำคืน...แต่นั่นมันไม่พอ เข้าใจมั้ย ทาคุโร่ แค่นั้นมันไม่พอสำหรับหัวใจของฉันในตอนนี้
ฉันควรจะทำยังไง ควรจะค้นหามันยังไง
อิโนะรัน
17 มกราคม 2011
...
กระดาษเขียนจดหมายสีขาวที่มีร่องรอยไหม้จากขี้บุหรี่เป็นดวงกระจายอยู่ทั่วถูกหยิบออกไปวางข้าง ๆ แล้วกระดาษอีกแผ่นที่มีสภาพไม่ต่างกันนักก็ปรากฏแก่สายตา
...
สวัสดี ทาคุโร่
นายสบายดีหรือเปล่า ฉันไม่สบายเลย รอบตัวมันมืดลงทุกที จนบางทีฉันก็ไม่แน่ใจว่าจากโลกสีเทาที่มองเห็นอยู่ในตอนนี้มันจะมืดสนิทลงเร็ว ๆ นี้หรือเปล่า
ทั้งที่อยู่กับพวกเพื่อน ๆ ทั้งที่ทุกคนกำลังพูดคุยกันสนุกสนาน แต่ฉันหัวเราะไม่ออก...ยิ้มไม่ได้ ฉันไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น กะแค่ยกมุมปากขึ้นนิด ๆ เหมือนทุกครั้งมันยากเย็นตรงไหน แต่ฉันก็ทำไม่ได้ ทาคุโร่ เหมือนหน้าของฉันมันโดนฉาบไปด้วยน้ำแข็ง เยือกเย็น และแข็งเกร็งเหมือนบรรยากาศที่ห่อหุ้มตัวฉันในตอนนี้
สุงิจังเป็นห่วงฉัน เทรุเป็นห่วงฉัน เจก็เป็นห่วงฉัน...แต่ยังไงฉันก็ยิ้มไม่ได้ นายนึกออกไหม การเห็นหน้าเพื่อน ๆ เป็นสีเทาหม่นหมองเหมือนรูปตั้งหน้าศพน่ะ...ฉันจะยิ้มได้ยังไง มันเหมือนกับว่าพวกนั้นที่ยิ้มอยู่ตรงหน้าจะหายไปเมื่อไรก็ได้ เหมือนกับว่ารอยยิ้มนั้นจะกลายเป็นแค่แผ่นกระดาษอาบมันแข็งกระด้างในกรอบไม้...
เหมือนกับนาย
ภาพของนายก็ยิ้ม...และตอนนี้ก็ยังยิ้มอยู่
แล้วตัวนายล่ะ? ตอนนี้นายยังยิ้มให้ฉันอยู่หรือเปล่า? ตอนที่นายเล่นกีต้าร์ไปพร้อมกับฉัน ตอนที่นายนั่งลงข้างเตียงฉัน...นายยังยิ้มให้ฉันอยู่หรือเปล่า?
อิโนะรัน
19 กุมภาพันธ์ 2011
...
ดวงตาคมที่กวาดไล่ไปตามตัวอักษรนั้นหรี่ซึม แล้วกระดาษแผ่นเก่าก็ถูกนำไปวางไว้ข้าง ๆ เพื่อเปิดทางให้กระดาษแผ่นต่อไป
ตัวหนังสือบนกระดาษแผ่นที่สามโย้เย้และสั่นไหว นอกจากจะมีรอยไหม้ของเถ้าบุหรี่แล้วยังมีรอยคราบน้ำสีน้ำตาลเปื้อนอยู่เป็นวงกว้าง
...
ทาคุโร่
ฉันไม่อยากเชื่อว่าตัวเองจะนอนไม่หลับมานานขนาดนี้ สองอาทิตย์แล้วที่ฉันไม่ได้นอนเลย ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ได้ยังไงจนถึงตอนนี้
พวกเพื่อน ๆ เป็นห่วงกันทุกคน แต่ฉันยังไปทำงานได้ ยังใช้ชีวิตได้ตามปกติ...ตามปกติ...ไม่หรอก มันไม่ปกติมานานแล้ว ฉันแค่พยายามใช้ชีวิตต่อไปเท่านั้นเอง เผื่อแทนส่วนของนายด้วย
แต่มันยาก...ทาคุโร่ ฉันไม่รู้ว่าจะทำได้อีกนานแค่ไหน
ฉันสารภาพว่าฉันดื่มหนักทุกวัน แต่ไม่รู้ทำไม...ฉันถึงไม่หลับเลย
ฉันไม่ได้ยินเสียงกีต้าร์ของนายอีกแล้ว
นายยังอยู่กับฉันหรือเปล่า ทาคุโร่?
อิโนะรัน
26 มีนาคม 2011
...
สายลมแรงกระชากกระดาษที่ถูกจับไว้หลวม ๆ ปลิวหลุดจากมือจนต้องไล่ตามคว้ามาวางไว้กับกระดาษแผ่นอื่น ๆ ที่อ่านไปก่อนหน้านี้ แล้ววางทับด้วยแก้วน้ำใบสวย
ที่เหลืออยู่ในมือคือกระดาษแผ่นสุดท้ายที่มีร่องรอยน้ำหยดเป็นดวง ๆ กับลายมือที่แทบจะอ่านไม่ออก
...
ไม่ไหวแล้ว...ทาคุโร่ ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นบ้า เหมือนสติมันจะหลุดออกจากร่างเมื่อไรก็ได้ แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น...ฉันจะข้ามเส้นกั้นระหว่างสติกับเป็นบ้าไปหรือเปล่า
ถ้าฉันเป็นบ้าไปแล้วจะเป็นยังไง? ฉันจะยังจำนายได้มั้ย? ฉันจะมีความสุขมากกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้หรือเปล่า?...ไม่สิ ไม่ว่าอย่างไหนมันก็จะต้องมีความสุขมากกว่าตอนนี้อยู่แล้ว
ฉันทนมานานมากแล้ว ฉันเคยคิดว่าฉันทนได้ เคยคิดว่าฉันมีชีวิตอยู่ได้ เพราะมีนายอยู่ด้วยตรงนี้
แต่ฉันไม่เคยคิดเลยว่าการที่สัมผัสตัวตนของนายได้เพียงเลือนราง จะทรมานมากขนาดนี้
ฉันไม่รู้แล้วว่าฉันหลอกตัวเองหรือเปล่า นายอยู่ที่นี่จริงหรือเปล่า? นายได้อ่านจดหมายของฉันหรือเปล่า?
ถ้าได้อ่าน ทำไมนายไม่มาพบฉัน? มาพาฉันไปก็ได้! ขอแค่นายเอ่ยมาคำเดียว ฉันจะตาย!
ทาคุโร่...ขอร้อง พาฉันไปด้วย
ฉันไม่เอาแล้ว...ไม่ไหวแล้ว...
ให้ฉันตาย
ขอแค่นายบอก
ทาคุโร่
...
มือเรียวนำกระดาษแผ่นนั้นไปวางรวมกับกระดาษแผ่นอื่น ๆ ก่อนจะยกมือขึ้นปาดน้ำตา
“ไม่ได้ลงวันที่ แต่ก็คงไม่นานนักหลังจากจดหมายก่อนหน้านั้น” เสียงต่ำ ๆ เอ่ยขึ้นจากอีกด้านหนึ่งของโต๊ะอาหาร
“ก็คงตั้งแต่วันที่อิโนะไม่ไปทำงาน” ร่างเพรียวเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดงยาวประบ่าสูดจมูกน้อย ๆ
“พวกเรารีบมาหาหลังเลิกงาน แต่ก็ไม่ทัน”
“ถ้าเราไหวตัวทันเร็วกว่านี้...”
“อย่าโทษตัวเอง สุงิโซ หมอนั่นเป็นคนเลือกเอง ไม่ใช่พวกเรา”
“แต่ถ้าพวกเรามาถึงเร็วกว่านี้...ถ้ามีใครสักคนอยู่กับอิโนะด้วย จะเป็นฉันหรือนายก็ได้ เจ...ใครก็ได้...” น้ำตาที่ปาดเช็ดไปแล้วหยดไหลลงมาอีก
เจส่ายหน้า “ไม่ว่าใครจะอยู่ ผลลัพธ์มันก็เหมือนเดิม อิโนะไม่มีวันอยู่กับพวกเรา คนเดียวที่หมอนั่นต้องการคือทาคุโร่”
“คนตายไปแล้วเนี่ยนะ!” สุงิโซแหวออกมาด้วยอารมณ์อันสับสน
“คนตายไปแล้ว ที่สำคัญกับอิโนะที่สุดในโลก”
สุงิโซนิ่งอึ้ง ไร้คำโต้แย้ง
“อิโนะอดทนมาตลอด เท่าที่อ่านจากจดหมายพวกนี้ เขาคงอยากตามทาคุโร่ไปนานแล้ว เพียงแต่...มันเป็นความรู้สึกบางอย่างของคนที่ยังมีชีวิตอยู่ ทำให้ฆ่าตัวเองไม่ลง...อาจเพราะอิโนะรู้สึกว่าทาคุโร่ยังอยู่ด้วยเสมอ ถึงไม่กล้าทำเรื่องโหดร้ายอย่างนั้นต่อหน้าทาคุโร่”
“แล้วที่เป็นอยู่ตอนนี้มันไม่โหดร้ายหรือไง?”
“อิโนะเรียกมันว่าความสุข”
“อะไรนะ?”
เจส่งกระดาษอีกพับหนึ่งให้สุงิโซ ลายมือที่ปรากฏอยู่บนนั้นเป็นระเบียบเรียบร้อยผิดกับจดหมายฉบับก่อนหน้านี้ราวกับเป็นคนละคนเขียน
“แผ่นนี้ อิโนะเพิ่งเขียนเมื่อคืนนี้ ตอนที่มีสติ”
“มีสติ? พูดอะไรออกมาน่ะ เจ อิโนะเขา...” หางเสียงถูกกลืนหายลงไปในลำคอ สุงิโซไม่กล้าพอที่จะเอ่ยคำนั้นออกมา
“ลองอ่านดูสิ แล้วนายจะรู้ว่าสิ่งที่ฉันพูดมันไม่เกินจริงเลย”
สุงิโซมองตาเจอย่างไม่อยากจะเชื่อในคำพูดนั้น แต่แล้วก็ตัดสินใจก้มหน้าลงอ่านจดหมายฉบับนั้น
...