ชั่งใจ ครั้งที่ 4: น้องธารโกรธแรง[1]
สภาพตอนนี้ บอกได้เลยว่า...ทุเรศทุรัง
ใครว่าโดนเด็กหนุ่มหน้าตาดี หัวนมอมชมพูกอดนอนทั้งคืนแล้วจะฟิน ขอบอกไว้ตรงนี้ เน้นข้อความตัวโตๆ ด้วยว่า ‘ความฟินไม่มีอยู่จริง!’
มันจะไปฟินได้ยังไงในเมื่ออีน้องมายด์ที่ตื่นมากลางดึกในสภาพยังไม่สร่างเข้ามานอนคั่นกลางระหว่างผมกับธาร ซ้ำยังนอนทับแขนเด็กนั่นที่กอดผมอยู่ เลยกลายเป็นว่าผมจะลุกหนีก็ไม่ได้เพราะโดนทั้งธารกอด โดนทั้งตุ๊ดยักษ์นี่ทับ ทับไม่พอ น้ำลายไหลใส่หัวไหล่จนเปียกชุ่มด้วย หน้าก็อยู่ห่างกันแค่คืบ เรื่องกลิ่นปากนี่ไม่ต้องถามเลย โอ้โห...นรกมาก ตอนนี้ยังไม่มั่นใจเลยว่านั่นกลิ่นปากน้องมายด์หรือกลิ่นขยะเปียกกันแน่
แต่การมาแทรกกลางระหว่างผมกับธารก็ดีอย่าง เพราะตอนที่ธารตื่นขึ้นมา มันเลยไม่รู้ว่าเมื่อคืนมันนอนกอดผมแทนหมอนข้างทั้งคืน เข้าใจว่าตัวเองนอนกอดน้องมายด์ ผมก็เลยรอดจากการถูกเด็กนี่เหยียบหน้าทันทีที่ตื่นได้
ทว่า... พวกมึงทำไมตื่นกันเช้านักวะ! ตื่นมากันตั้งแต่ตีสี่เลยเถอะ เพิ่งจะเมาหลับไปกันตอนเที่ยงคืนนี่เองไม่ใช่เหรอ!?
ต้นเหตุก็มาจากจอมแก่นนั่นแหละ ก่อนจะเมา เด็กนั่นดันตั้งนาฬิกาปลุกที่โทรศัพท์เอาไว้ เหตุผลก็ไม่มีอะไรมาก แค่ตั้งปลุกให้ตื่นไปเรียนให้ทัน
นี่ก็รักเรียนมาก เพิ่ม ก.ไก่ให้สักล้านตัว รักเรียนคนเดียวไม่พอ ยังปลุกบรรดาเพื่อนฝูงที่ยังไม่สร่างเมาดีกลับบ้าน กลับหอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอีกด้วย โรมก็กลับไปกับจอมแก่นเพราะบ้านของทั้งคู่อยู่ใกล้กัน ส่วนน้องมายด์ก็กลับหอตัวเอง รู้สึกว่าหอนางจะอยู่แถวๆ วิทยาลัย
ผมมองเด็กพวกนั้นโบกมือลาด้วยท่าทางสะโหลสะเหลแล้วก็อดไม่ได้ที่จะบอกให้พวกมันขี่รถดีๆ เดี๋ยวจะไปคว่ำตายกลางทางซะก่อน แล้วผมนี่แหละจะซวยข้อหาไม่ห้ามปรามพวกมันไม่ให้ดื่มเหล้า พอพวกมันออกจากห้องไป ก็อดคิดไม่ได้เลยว่าพวกมันจะรักเรียนกันไปไหน หน้าตาท่าทางโคตรไม่ให้เลยเถอะ ขนาดผมหน้าตาเด็กเรียนจะตาย แต่พอเมาหัวราน้ำทีไร เรื่องเรียนอะไรก็ไม่เคยอยู่ในหัวทุกที
มารู้อีกทีว่าทีจากจอมแก่นว่าที่จำเป็นต้องไปเรียน เพราะวิชาช่างไฟอะไรสักอย่างมีสอบเก็บคะแนนย่อยเลยหยุดไม่ได้ ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร อยากจะกลับห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเต็มแก่ อยากจะนอนสักงีบด้วย เมื่อคืนน้องมายด์นอนกรนกรอกหูทั้งคืนจนหลับไม่ลงสักงีบ
ขนาดธารที่ว่ากรนๆ แล้วนะ เจอน้องมายด์เข้าไปนี่กรนแบบวงมโหรีเลย
ธารเองก็ไม่สนใจเพื่อนเช่นกัน ไม่แม้แต่จะลุกขึ้นมาส่งเพื่อนด้วย แค่พยักหน้าเออออกับจอมแก่นที่บอกว่าให้ไปเรียนด้วยเท่านั้น ก่อนจะปีนขึ้นไปนอนต่อบนเตียง
“น้องธาร พี่เหนือกลับห้องแล้วนะครับ”
เงียบ... มีแต่เสียงกรนดังกลับมา ไม่สนใจผมเหมือนกันเถอะ ผมเลยเดินกลับมาที่ห้องตัวเอง ถอดเสื้อผ้าที่เหม็นทั้งกลิ่นเหล้า กลิ่นน้ำลายน้องมายด์ออกแล้วไปอาบน้ำ ก่อนจะกลับมานอน
แต่ไอ้ที่ตั้งใจว่าจะนอนสักงีบแบบสองสามชั่วโมงอะไรงี้ เอาเข้าจริงแม่งดันนอนยาวไปยันโลกหน้า รู้สึกตัวตื่นอีกทีก็เกือบแปดโมงแล้ว แถมตอนตื่นนี่ไม่ได้ตื่นเองด้วยนะ พี่สมรโทรมาปลุกเพราะเห็นว่าผมยังไม่โผล่หัวมาสักที ผมเลยอ้างไปว่าไม่ค่อยสบาย แล้วรีบกุลีกุจอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยความเร็วแสง
ปัญหาเหมือนจะจบลงแค่นั้น แต่ไม่ เดินลงมายังลานจอดรถของหอพักแล้วไม่เห็นรถตัวเองก็เพิ่งจะระลึกได้ว่า... แม่งเอ๊ย รถอยู่ที่อู่!
ยืนถามตัวเองพักนึงเลยว่าไม่มีรถแล้วไง
แล้วไงล่ะ ก็ไปฝึกงานไม่ได้น่ะสิโว้ย!
ผมยืนทึ้งผมตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง นึกหงุดหงิดไอ้พวกเด็กเวรที่ทำให้ผมหาจังหวะแวบออกไปเอารถที่อู่ไม่ได้สักที พอถึงตอนนี้ปุ๊บ งานงอกเลย ไอ้พวกเด็กนั่นมันก็แยกย้ายกันกลับบ้าน กลับหอ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็ไปที่วิทยาลัยกันแล้ว มีแต่ผมนี่แหละที่ยืนอยู่ตรงลานจอดรถในหอตัวเองอย่างกับเด็กเอ๋อ
จ้างสามล้อไปก็ได้วะ!
หงุดหงิดมากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว ไม่รู้ไอ้เด็กช่างพวกนี้จะทำให้ชีวิตผมวุ่นวายไปถึงไหน!
เดินออกไปหน้าหอ กะจะไปเรียกรถ สายตาก็ดันปะทะเข้ากับธารที่ยืนกินหมูปิ้งกับข้าวเหนียวอยู่ข้างๆ หอเสียก่อน ผมชะงักกึก หมอนั่นก็หันมามองผมแวบหนึ่ง ก่อนจะย่นคิ้วใส่
“ยังไม่ไสหัวไปอีกเหรอ’จารย์”
สาบานว่านั่นคือคำพูดที่ใช้ทักคนเป็นอาจารย์น่ะฮะ!? กูก็ควรจะถามมึงเหมือนกันว่าป่านนี้แล้วทำไมมึงยังไม่ไปวิทยาลัย มายืนโซ้ยข้าวเหนียวหมูปิ้งสบายใจเฉิบอยู่ได้!
“พี่เหนือกำลังจะไปแล้วครับ” แต่ผมก็ส่งยิ้มพิมพ์ใจตอบมัน หน้าตาท่าทางยังดูไม่สร่าง ขืนพูดอะไรไม่ถูกหู มันได้เอาไม้เสียบหมูปิ้งวิ่งมาแทงแน่
“ไปไงน่ะ แล้วรถไปไหน”
ไปไหนล่ะ ค้างเติ่งอยู่ที่อู่ก็เพราะพวกมึงนี่ไง! นี่พวกมึงไม่สำเหนียกกันเลยสินะว่าทำกูลำบากขนาดไหนเนี่ย!
“รถอยู่ที่อู่น่ะครับ เมื่อวานพี่เอาไปซ่อม” สุดท้ายผมก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มพิมพ์ใจอีกรอบ น้ำเสียงก็ฟังดูใจดี๊ใจดี
เกลียดตัวเองชะมัด มึงก็ป๊อดเหลือเกินไอ้เหนือ
ถามว่ารู้ว่าตัวเองป๊อดแล้วคิดจะแก้มั้ย... เหอะ เดี๋ยวได้ทิ้งชีวิตไว้ที่นี่ ยอมได้ก็ยอมๆ มันไปก่อน ไว้ฝึกงานเสร็จแล้วค่อยหาทางเอาคืนทบต้นทบดอกเอา
“แล้วจะไปยังไง”
“เดี๋ยวพี่ไปเรียกสามล้อเอาครับ”
ธารไม่พูดอะไรตอบกลับมาอีก กัดหมูปิ้งที่ยังเหลืออยู่บนไม้เข้าปาก เคี้ยวตุ้ยๆ ก่อนโยนไม้ทิ้งถังขยะใกล้ๆ ผมเห็นมันเอาแต่สนใจหมูปิ้งก็เลยตัดบทเอาดื้อๆ
“งั้นเดี๋ยวพี่เหนือไปก่อนนะครับ ไว้เจอกันที่วิทยาลัยนะ” โบกมือลามันด้วยท่าทางปัญญาอ่อน กำลังจะดิ่งตรงไปหาลุงขับสามล้อที่จอดทำหน้าง่วงอยู่ใกล้ๆ
ทว่าพอก้าวได้เพียงก้าวเดียว ธารก็ตรงเข้ามาคว้าแขนผมไว้
“ไม่ต้อง ไปด้วยกัน”
“หา?”
“บอกว่าไปด้วยกัน ขี่มอ’ไซค์ไปเนี่ย จะงงทำไม” เด็กนั่นย่นคิ้วใส่ผมทันที พยักปลายคางไปยังรถมอเตอร์ไซค์สปอร์ตไบค์สีดำเงาที่มีชื่อเรียกเล่นๆ ว่านินจา หรือชื่อเต็มๆ คือ Kawasaki Ninja เอาตรงๆ ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องรถพวกนี้หรอก ที่รู้ๆ ก็คือ... เด็กนี่มันบ้านรวยเว้ยเฮ้ย! มีรถแบบนี้ขี่ แสดงว่าไม่ธรรมดาแล้ว!
“เอ่อ แล้วรถน้องธารอีกคันไปไหนเหรอครับ” ผมหมายถึงรถมอเตอร์ไซค์ออโต้ที่มันขี่เมื่อวานน่ะ
มันเหลือบมองผมนิดหนึ่งก่อนจะเอาหมวกกันน็อคเต็มใบขึ้นสวมไปด้วย
“จอดอยู่ข้างใน วันนี้สาย ต้องใช้ความเร็ว”
มึงจะเอาเร็วแค่ไหนโปรดบอกกู! เมื่อวานยังเร็วไม่พออีกหรือไงฮะ!
ผมเผลอทำหน้าขยาดกับฝีมือการขี่รถของมันออกมาอย่างไม่รู้ตัว ก่อนที่น้ำเสียงหงุดหงิดจะดังขึ้นมาให้ได้ยิน
“จะมองอีกนานมั้ยเนี่ย ขึ้นมา”
ก็อยากจะขึ้นอยู่หรอกนะ เห็นว่าสายแล้วเหมือนกัน แต่ว่า...
“หมวกพี่เหนือไม่มีเหรอครับ” ผมถามหาหมวกกันน็อคบ้างเพราะจำได้ขึ้นใจว่าฝีมือการขี่รถของมันเป็นยังไง
แต่ธารกลับหันมาบอกผมหน้าตาเฉย “ไม่ต้องใส่ ไม่พาไปตายหรอกน่า”
ไม่พาไปป้ามึง! เมื่อวานที่โดนด่าพ่อล่อแม่ตั้งแต่หัวซอยยันท้ายซอยคืออะไร!?
ผมยืนบุ้ยปากใส่มันแป๊บนึง แต่ก็ต้องรีบปีนขึ้นซ้อนท้ายเมื่อมันเร่งขึ้นมาอีก
“ขึ้นมาซะที เดี๋ยวก็สายหรอก ยืนทำบ้าอะไรอยู่ได้”
ขึ้นก็ขึ้นวะ!
ขึ้นมาแล้วก็พยายามทรงตัวให้นั่งตัวตรง เพราะเบาะซ้อนท้ายของไอ้รถนี่ดันอยู่สูงกว่าเบาะคนขี่ ถ้าไม่ทรงตัวดีๆ ล่ะก็ ได้ไหลไปซบหลังมันแน่ แต่พอธารสตาร์ทรถแล้วออกตัวปุ๊บ ไอ้ความตั้งใจเมื่อกี้ก็อันตรธานหายไปกับสายลมทันทีที่มันบิดมอเตอร์ไซค์พุ่งออกไปสุดแรงเกิด
“เหวอ!” ผมร้องลั่นทันควันที่รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตกรถ สองแขนคว้าเอวคนข้างหน้าโดยอัตโนมัติ ก่อนจะได้ยินเสียงหงุดหงิดของธารดังลอยเข้ามาในหู
“อะไรของ’จารย์วะเนี่ย! นั่งดีๆ สิเว้ย!”
มึงก็ขี่ดีๆ สิโว้ย! จะรีบไปเยี่ยมยมบาลในนรกเหรอ!
อยากจะด่ามันฉิบเป๋ง แต่ตอนนี้กลัวตายมากกว่า เลยได้แต่บอกมันไปเสียงสั่น
“นะ...น้องธาร...ขี่...ขี่ช้าๆ หน่อย”
ถามว่าเด็กนั่นฟังมั้ย... ไม่ บิดไม่ลืมหูลืมตา บุพการีโดนจาบจ้วงเช่นเคย ส่วนผมก็ได้แต่ถามตัวเองว่า ‘กูจะเซ็ทผมมาเพื่ออะไร’ ตอนนี้แบบว่าไอ้ทรงที่เซ็ทไว้นี่ทรานส์ฟอร์มร่างตัวเองกลายเป็นทรงกระบังโต้ลมของคุณหญิงคุณนายไฮโซไปแล้ว
จะบิดจะอะไรก็ช่วยดูทรงผมกูด้วย! เหง้าหน้ากูมันเหมาะกับทรงนี้มั้ยฮะไอ้เด็กเวร!
คงต้องทำใจแล้วล่ะว่ามันคงจะไม่ชะลอความเร็ว ผมเลยเอาแต่กอดมันแน่น อย่าหาว่าลวนลามเด็กเลย ตอนนี้อารมณ์จะหื่นที่ได้กอดเด็กหนุ่มเอ๊าะๆ ยังไม่มีเลยด้วยซ้ำ กลัวตายอย่างเดียวอะบอกเลย ขณะซุกหน้าลงบนหลังมัน ผมก็ได้แต่ปลอบตัวเองว่าอีกไม่ไกลก็จะถึงที่หมายแล้ว แต่จู่ๆ ธารก็ลดความเร็วลงกะทันหัน ทำเอาผมผละใบหน้าขึ้นมามองอย่างแปลกใจ
“มีด่านแต่เช้าเลยวะ”
ได้ยินเสียงธารบ่นลอยมาตามลม ผมเลยมองไปด้านหน้าก็เห็นว่าบริเวณแยกไฟแดงมีตำรวจหลายนายยืนโบกรถมอเตอร์ไซค์อยู่ เห็นอย่างนั้นผมก็โล่งใจขึ้นมาทันควันว่าการบิดไร้สติจะได้รับการพักเบรกเพียงครู่
แต่ดูท่าทางธารจะไม่คิดอย่างนั้นเมื่อปากพูดขึ้นมาให้ผมได้ยิน
“จอดให้มัน เดี๋ยวได้โดนใบสั่งแหง”
ก็แน่ล่ะ กูไม่ได้ใส่หมวกนี่ ไม่ใช่ความผิดกูด้วย ถามมึงแล้วนะแต่มึงบอกไม่ต้องใส่น่ะ
และเพราะอย่างนั้น ธารก็เลยหันมาบอกผม
“เกาะดีๆ นะ’จารย์”
“ฮะ?”
แค่ฮะเท่านั้นแหละ ผมก็สัมผัสได้ถึงแรงสับเกียร์จากเท้าของเด็กนี่ ก่อนจะตามมาด้วยรถที่ออกตัวกระชากและพุ่งไปด้วยความเร็วแสง
มึงจะเพิ่มความเร็วหาเตี่ยมึงเหรอไอ้ธาร!
พุ่งเร็วอย่างเดียวไม่พอ แม่งปาดหน้าตำรวจที่ยืนโบกอย่างหน้าด้านๆ ทำเอาตำรวจหลายนายที่พยายามจะหยุดมันเมื่อกี้วงแตกกระเจิง บางคนมีการปาสมุดใบสั่งไล่หลังอย่างหัวเสียอีกด้วยที่เด็กนี่กระตุกหนวดถึงขนาดนี้
แต่การที่มันแหกด่านไม่ได้สำคัญสำหรับผม ที่สำคัญก็คือ... เมื่อไหร่กูจะถึงที่วิทยาลัยซะที! กอดมันแน่นจนจะได้เสียเป็นผัวเมียกันอยู่แล้ว!
กอดแน่นจริงๆ แน่นมาก แน่นกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว หน้านี่แนบกับหลังมันประหนึ่งจะสิง จากที่นั่งอยู่บนเบาะตัวเอง ตอนนี้ก็ไหลลงมานั่งเบาะคนขี่แล้วด้วยเถอะ ปากก็ร้องไม่หยุด...
“อ๊าก! อ๊าก!”
สาบานว่ากลัวจริงๆ ไม่ได้สำออยเพื่อจะลวนลามเด็ก ธารก็คงจะรำคาญเลยชะลอรถแล้วจอดเข้าข้างทาง จอดรถได้ ผมก็รู้สึกได้ถึงความชาวาบบนใบหน้าหลังจากถูกลมตีอย่างหนักหน่วงเมื่อครู่ ก่อนจะได้ยินเสียงของเด็กนั่นลอยเข้าหู
“จะจิกเป้ากางเกงอีกนานมั้ย จิกจนแม่งจะโดนไข่อยู่ละ” เปิดกระจกหมวกกันน็อคมามองผมตาขวางด้วย
ผมได้สติพลัน รีบผละออกจากหลังมัน ชะโงกไปดูด้านหน้าก็เห็นว่ามือตัวเองทั้งสองข้างที่กอดเอวธารไว้ในตอนแรก บัดนี้มันเลื่อนลงมาอยู่ตรงเป้ากางเกงสแล็ก แถมยังจับแน่น โชคดีที่จับแต่เนื้อผ้า ไม่อย่างนั้นล่ะก็ ไม่อยากจะคิดเลยว่าธารมันจะทำรถคว่ำตายอนาถน่าอดสูแค่ไหน
“พะ...พี่เหนือขอโทษครับ”
ขอโทษไปงั้นแหละ แต่ไม่รู้ทำไมกูแอบยิ้ม
“ขอโทษก็เอามือออกสิเว้ย!” ธารชักสีหน้าใส่อีกที แผดเสียงใส่ด้วย ก่อนจะละมือจากแฮนด์มอเตอร์ไซค์มาดึงมือผมออกจากตัวเอง “แล้วก็ขึ้นไปนั่งบนเบาะตัวเองด้วย ขาดความอบอุ่นหรือไงลงมานั่งติดขนาดนี้เนี่ย!”
ถ้ามึงไม่ซิ่งท้านรกอย่างนั้น กูก็ไม่ลงไปนั่งกับมึงหรอกเว้ย!
เบ้ปากใส่มันรัวๆ ขณะที่มันดึงกระจกหมวกกันน็อคลงดังเดิมแล้วขี่ออกไปต่อ
ส่วนผม... เมื่อกี้จับเป้ามาใช่มะ
...ดมมือตัวเองสักหน่อย
อา...
ความฟินนี้ไซร้ อยู่ยั้งยืนยง
กว่าจะถึงสี่แยกที่ต้องข้ามเข้าวิทยาลัย ผมก็ดมมือตัวเองไปหลายรอบจนงงตัวเองว่าจะไปฟินกับกลิ่นเป้ากางเกงทำไม มาได้สติก็ตอนที่พอมาถึงสี่แยก ธารจอดรถเทียบข้างทาง แล้วหันมาบอกผม
“ลงไป”
“หือ?”
“บอกให้ลงไปไง’จารย์”
“เอ้า ทำไมล่ะ” ผมทำหน้างงขึ้นมาที่จู่ๆ มันก็ไล่ผมลงจากรถ
ธารเปิดกระจกหมวกกันน็อคขึ้น ส่งสายตารำคาญมาให้ผม
“บอกให้ลงไปก็ลงไปเถอะน่า เดินแค่นี้เอง เดินไม่ได้หรือไง เป็นคนกรุงแล้วรักสบายเหรอวะ”
กูถามไปคำเดียว แม่งสวนกลับมาเป็นชุด กูผิดอะไรเนี่ย!
“เอ้า ลงซะที” เร่งให้ลงจากรถอีกรอบอีกต่างหาก “ถ้าไม่ลงเอง เดี๋ยวจะทำให้ลง”
ไม่พูดอย่างเดียว แม่งถอดหมวกกันน็อคออกมา ทำท่าคล้ายจะยกมาฟาดผมด้วย ผมไม่ใช่น้องมายด์ที่ชอบให้ทำแรงๆ เลยยอมทิ้งตัวลงมาแต่โดยดี พอเท้าสัมผัสกับพื้นปุ๊บ ธารก็บิดออกไปโดยที่ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าจะให้ผมลงทำไม ทั้งที่ขี่ผมเข้าไปด้วยก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ยังไงก็ต้องไปลงหน้าวิทยาลัย แล้วก็เดินเข้าไป ส่วนมันก็ต้องเข็นรถไปอยู่แล้ว
ผมย่นจมูก ด่ามันในใจนิดหน่อยแล้วก็เดินข้ามฝั่งมาเข้าวิทยาลัย ก่อนที่คลาสเรียนจะเริ่มต้นขึ้นอย่างทุกวัน
วันนี้ผมก็มีสอนเด็กช่างไฟปีสามเหมือนกัน แน่นอนว่าคลาสของผม ไอ้แก๊งเด็กเวรนั่นฟุบหน้าหลับบนโต๊ะทั้งคาบ จะมีก็แต่จอมแก่นนี่แหละที่พยายามจะเรียน แต่ก็ออกอาการสัปหงกมาเป็นระยะจนผมบอกให้ฟุบๆ ไปด้วยรำคาญสายตาเต็มที
แล้วถามว่าพอให้พวกมันนอนได้ด้วยเห็นว่าเมื่อคืนไม่ได้นอนกันเต็มที่ แล้วคนอื่นเรียนมั้ย... ไม่ แม่งหลับกันยกคลาส คาบนั้นผมเลยได้พูดอยู่คนเดียว ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากเด็กนรกพวกนี้ทั้งสิ้น ยกเว้นเสียงกรนที่ดังมาให้ได้ยินเท่านั้น
เอาเถอะ คิดในแง่ดีว่าอย่างน้อยผมก็ไม่เหนื่อยกับการรับมือและระวังเด็กพวกนี้มันตีกันระหว่างสอนแล้วกัน
แต่ถึงงานจะไม่งอกในตอนสอน มันก็มางอกเอาตอนพักเที่ยงนี่แหละเมื่อผมลงมาหาอะไรกินที่โรงอาหารในเวลาพัก พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นแก๊งเด็กเวรนั่งกินข้าวกันพร้อมหน้าพร้อมตา ตอนแรกว่าจะเลี่ยงเดินหนีไปทางอื่นเพราะเห็นว่าน้องมายด์นั่งอยู่ด้วย และป้อนข้าวป้อนน้ำให้คุณโรมผัวหลวงด้วยสีหน้าระรื่น ผมก็ไม่อยากจะเข้าไปขัด...
ไม่ใช่หรอก ไม่อยากจะเข้าไปให้มันเปลี่ยนเป้าหมายจากการเต๊าะโรมมาเป็นผมมากกว่า
หากแต่พอผมถือจานข้าว เตรียมตัวจะหมุนไปหาที่นั่งบริเวณอื่นปุ๊บ เสียงแจ๋นๆ ก็ลอยมาตามลมให้ผมได้ยินทันที
“อ้ายเหนือ! อ้ายเหนือเจ้า! (พี่เหนือ! พี่เหนือคะ!)”
ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวที่ได้ยิน คนทั้งโรงอาหารก็ได้ยินเช่นกัน
หันกลับมาก็เห็นน้องมายด์โบกไม้โบกมือ ยิ้มโชว์ฟันขาวเรียกผมเป็นพัลวัน ตอนนี้ไม่ใช่แค่มันเห็นผมละ คนอื่นๆ ที่ร่วมโต๊ะกับมันก็หันมามองผม ทีนี้โรมกับจอมแก่นก็ร้องเรียกผมทันที
“พี่เหนือ มานั่งด้วยกันสิพี่!” นั่นเสียงโรมล่ะ ส่วนจอมแก่นก็เอาแต่พยักหน้าเรียกพลางส่งยิ้ม
ธารน่ะเหรอ... รายนั้นตักข้าวเข้าปาก เอาช้อนคาอยู่อย่างนั้น เหลือบมองผมครู่เดียวก็หันไปกินข้าว ไม่สนใจอีก
เห็นแล้วก็น่าเอาจานข้าวในมือไปเทราดหัวนัก ขนาดมันไม่ได้ทำอะไรเลย ผมยังรู้สึกว่ามันโคตรจะกวนประสาท โดยเฉพาะท่าทางของมันเนี่ย
และเพราะเห็นท่าทางไม่รับแขกอย่างนั้น ผมก็เลยยิ้มให้เด็กๆ แล้วปฏิเสธ
“เดี๋ยวพี่เหนือขึ้นไปกินที่ห้องพักครูครับ น้องๆ นั่งกินกันไปเถอะ” พูดจบก็ทำท่าจะเดินไป แต่ทว่า...
“สงสัยอยากจะเอารถไปนอนเล่นในอู่ยาวๆ”
เสียงไอ้ธารลอยตามมา พร้อมกับการหันมามองด้วยท่าทางกวนโอ๊ยสุดๆ อีกระลอก
กูเป็นอาจารย์มึงนะ มึงจะขู่กูไปถึงไหน!
แล้วถามว่าผมฟังมันมั้ย ฟังสิครับ จะเหลือเหรอ เดินดุ่มๆ เข้ามานั่งข้างน้องมายด์ที่เขยิบที่ให้ผมนั่งด้วยท่าทางกระมิดกระเมี้ยนสุดๆ
จะไม่ให้กระมิดกระเมี้ยนได้ยังไง ก็ตรงหน้าผมน่ะไอ้ธารเลย ไอ้ธารจังๆ แม่ง มึงก็ช่างเลือกที่ให้กูจริง!
“ดีอ๊กอีใจ๋เป๋นแต้เป๋นว่า ตี้วันนี้ได้กิ๋นข้าวกั้บผัวหลวงผัวน่อย (ดีใจจังเลย วันนี้ได้กินข้าวทั้งกับผัวหลวงและผัวน้อย)”
กูไปได้เสียกับมึงตั้งแต่เมื่อไหร่!? การที่มึงมานอนน้ำลายไหลใส่กู ไม่ใช่การได้เสียเป็นผัวเมียนะเว้ย ตั้งสติ!
ผมหัวเราะแห้งๆ หย่อนก้นลงนั่งได้ น้องมายด์ก็หยอดมาอีกระลอก ก่อนจะวางช้อนที่ตักข้าวให้โรมกินอยู่ลงบนจานแล้วหันหน้ามาทางผม
“อ้ายเหนือจะหื่อข้าเจ้าป้อนเกาะ จะได้บ่ะน้อยใจ๋ตี้ดูแลก้าผัวหลวง บ่ดูแลผัวน้อย (พี่เหนือจะให้หนูป้อนข้าวให้ด้วยมั้ยคะ จะได้ไม่น้อยใจว่าหนูเอาแต่ดูแลผัวหลวง ไม่ดูแลผัวน้อย)”
“มะ...ไม่เป็นไรครับ” ผมยิ้มแห้งๆ ให้
น้องมายด์ทำท่าจะตอแยขึ้นมาอีก โชคดีที่โรมโพล่งขัดขึ้นมาเสียก่อน
“มัวแต่หยอกพี่เหนืออยู่นั่นแหละไอ้ไม้ ข้าวกูนี่จะได้กินมั้ย ป้อนเร็วๆ”
“ฮั่นๆ หึงละก้า (แหมๆ หึงสินะจ๊ะ)” น้องมายด์เลยคว้าช้อนขึ้นมาอีกครั้ง ตักข้าวในจานเตรียมป้อนโรมไป ปากก็พูดไป
“แล้วเมื่อไหร่มึงจะเลิกพูดเหนือเนี่ย กูบอกแล้วไงว่ากูฟังไม่ออก”
“เป็นผัวก็ทำตั๋วหื่อเกยนาเจ้าโรม (เป็นผัวก็ต้องพยายามทำตัวให้ชินสิจ๊ะโรม)” อีกฝ่ายตอบกลับหน้าระรื่น ตักข้าวไปจ่อตรงหน้าหล่อ
“ยังๆ ยังไม่หยุดพูดอีก ถ้าแขนยังดีๆ อยู่ กูจะตบมึงให้คว่ำเลย” โรมย่นคิ้วนิดหนึ่ง
แต่ขู่ไปอย่างนั้นมีเหรอที่น้องมายด์จะกลัว ทำหน้าตาเซ็กซี่ กัดปากแล้วพูดว่า...
“เยี้ยะแฮงๆ ช้อบ เอาแฮ๋มแฮงๆ (ทำแรงๆ ชอบ ทำอีกแรงๆ)”
คนขู่อย่างโรมก็เลยระเบิดหัวเราะลั่น แล้วเร่งตุ๊ดนั่นขึ้นมาแทน
“ป้อนเร็วๆ”
แล้วบทสองผัวเมียก็ดำเนินกันต่อไป ผมเลยก้มหน้าก้มตากินข้าวของตัวเองบ้าง ครู่เดียว น้องมายด์ก็ป้อนข้าวให้โรมเสร็จ แล้วก็ดึงจานข้าวของตัวเองที่ยังไม่ได้แตะสักนิดมาตรงหน้า ก่อนลงมือกิน ผมเห็นแล้วโคตรอยากจะถามเลยว่าจะไปป้อนข้าวให้โรมทำไม แขนมันหักข้างเดียว อีกข้างยังใช้งานได้ดีอยู่ แถมข้างที่หักก็เป็นข้างซ้าย ยังไงก็กินเองได้ แต่พอคิดว่าจะถามเท่านั้น โรมก็พูดขึ้น
“ถ้าไม่ได้มึงช่วยป้อนข้าวนะไอ้ไม้ คนถนัดซ้ายอย่างกูนี่ชีวิตลำบากโคตร”
โอเค มันถนัดซ้าย มันเลยตักข้าวด้วยมือขวาไม่คล่อง
ได้คำตอบแล้ว งั้นไม่ถาม ไม่ชวนคุยด้วย รีบๆ กินแล้วไปดีกว่า ไอ้ธารนี่เหลือบมองผมหลายรอบละ