คำเตือน : เนื้อหาบางส่วนในตอนนี้มีความรุนแรง มีพฤติกรรมที่ไม่ควรลอกเลียนแบบ
ไม่เหมาะสำหรับนักอ่านที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรได้รับคำแนะนำ
[/b]
ภุชงค์เล่นแสง ๒๒แรม ๑๕ ค่ำ คืนเดือนมืด ไร้แสงจันทร์สาดส่องในยามค่ำคืน มารดาของแม่กิ่งลุกขึ้นมากลางดึกเพื่อถ่ายเบา เห็นแสงเทียนลอดออกจากห้องของบุตรีจึงได้สาวเท้าเข้าไปหวังจักเอ็ดให้สักที ดึกดื่นค่อนคืนเยี่ยงนี้เหตุใดจึงยังมิหลับมินอน หากแต่เมื่อคุณหญิงท่านผลักบานประตูจนแง้มออก เสียงสวดพึมพำด้วยภาษาแปลกประหลาดก็ดังลอดออกมา ทำเอาผู้เป็นแม่ขนหัวลุกตั้ง แลยิ่งมีเสียงลมหวีดหวิวคล้ายเสียงร้องครวญครางหวีดแหลมท่ามกลางความมืดมิดเช่นนี้ คุณหญิงก็เกิดอาการหวาดกลัวจนตัวสั่น ลนลานรีบวิ่งกลับเข้าหอนอนของตนเอง ปิดประตูลงกลอน ลั่นดานจนแน่นหนา ก่อนจักกระโจนขึ้นคลุมโปงจนผู้เป็นสามีสะดุ้งตื่น
“กระไรกันคุณหญิง” ท่านรองเจ้ากรมนาเอ็ดภรรยาด้วยความหงุดหงิดที่ถูกปลุกกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้
“ค คุณพี่เจ้าคะ” คุณหญิงเบียดกายเข้าหาสามี
“เป็นกระไร เกิดกระไรขึ้น” ท่านรองเจ้ากรมนาจับไหล่ภรรยาให้ลุกขึ้นมาพูดจากันให้รู้ความ
“ฮึก ม เมื่อครู่น้องลุกไปเวจเห็นแสงเทียนลอดออกมาจากหอนอนของแม่กิ่ง จึงจักเข้าไปไถ่ถามว่าเหตุใดจึงยังมินอน ต แต่ก็ได้ยินเสียง ม แม่กิ่งเจ้าค่ะ ม แม่กิ่งสวดกระไรก็มิรู้เจ้าค่ะ น่ากลัวนัก น น้องกลัวเจ้าค่ะคุณพี่” คุณหญิงเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“สวดหรือ แม่กิ่งสวดกระไร” แม้ช่วงนี้บุตรีของตนจักมีท่าทีแปลกประหลาดผิดหูผิดตา หากแต่คนเป็นพ่อก็มิอยากจักหาเรื่องจับผิดจึงได้ปล่อยผ่าน
“จ เจ้าค่ะ เฮือก ค คุณพี่ จักไปไหนเจ้าคะ” คุณหญิงรีบคว้าแขนของสามีไว้แน่น
“ก็จักไปดูแม่กิ่งหนาสิ”
“ฮึก คุณพี่อิฉันไปด้วยเจ้าค่ะ” คุณหญิงแม้จักกลัวจนขนหัวลุก แต่ก็ยอมตามผู้เป็นสามีไป ดีกว่าอยู่คนเดียว
ท่านรองเจ้ากรมนาเดินถือตะเกียงตรงไปที่หอนอนของบุตรี โดยมีภรรยาเกาะแขนมิห่าง ประตูหอนอนของแม่กิ่งที่แง้มไว้ถูกผลักเข้าไปเต็มแรง พลันกลิ่นเหม็นเน่าเคล้ากลิ่นอับก็ตีเข้าหน้าของท่านรองเจ้ากรมนา แลคุณหญิงจนต้องยกมือขึ้นปิดจมูก เหม็นจนแทบจักสำรอกออกมา
“แม่กิ่ง นี่เจ้าทำกระไร” ท่านรองเจ้ากรมนาตวาดเสียงดัง ในขณะที่คุณหญิงน้ำตาไหลพรากด้วยความหวาดกลัว แม่กิ่งที่เห็นตรงหน้าราวกับมิใช่บุตรีคนเดิมของนาง ผมเผ้าที่เคยเรียงตัวสยายเต็มแผ่นหลัง บัดนี้พันกันยุ่งเหยิง แลขาดแหว่งเป็นกระจุก ดวงหน้างดงามที่ได้มาจากมารดาก็ซีดโทรม ดวงตาลึกโบ๋ราวกับผีตายซาก เนื้อตัวที่เคยสะอาดสะอ้านก็มีกลิ่นเหม็นราวซากศพ เบื้องหน้าหญิงสาวมีตุ๊กตาดินเหนียวที่ปั้นเป็นรูปคนสองตัวถูกพันด้วยผ้าสีตุ่นเขรอะไปด้วยคราบสกปรกสีน้ำตาลส่งกลิ่นเหม็น ข้างกันนั้นมีถ้วยดินเผาใส่เศษผมเป็นกระจุก ๆ แลเศษเล็บดูน่ากลัว
“เจ้าคุณพ่อ” แม่กิ่งเอ่ยเรียกผู้เป็นพ่อ ก่อนจักยกยิ้มกว้าง
“น นี่ เจ้ากำลังทำกระไร” ท่านรองเจ้ากรมนาเอ่ยถามเสียงสั่น ภาพบุตรีที่เห็นตรงหน้าช่างน่าขนหัวลุกยิ่งนัก
“...ลูกก็กำลังทำให้องค์ภุชงค์ท่านรัก ท่านหลงลูกอย่างไรเล่าเจ้าค่ะ คิก ๆ ๆ” แม่กิ่งว่าพลางหวีดเสียงหัวร่อแหลมบาดแก้วหู หญิงสาวเลิกสนใจบิดา มารดาที่ยืนเบิกตากว้างคาบานประตูหอนอน แลยกมือข้างหนึ่งขึ้นกัดเล็บตนเอง ฟันคมกัดลึกจนเข้าเนื้อ เลือดสีแดงไหลซึมออกมา แต่แม่กิ่งหาได้มีท่าทีเจ็บปวดไม่ มืออีกข้างก็ยกขึ้นทึ้งเส้นผมของตนเองจนหลุดออกมาเป็นกระจุก ปากที่เปรอะเปื้อนคราบเลือดของตนเองก็พึมพำภาษาประหลาด
“ก กรี๊ด” ผู้เป็นมารดาทนเห็นสภาพของบุตรีมิไหว หวีดร้องออกมา แลเป็นลมล้มพับไป
“คุณหญิง ๆ ๆ” ท่านรองเจ้ากรมนาประคองร่างผู้เป็นเมียไว้ พลางตบแก้มเบา ๆ เรียกสติ
“ฮิ ๆ ๆ ๆ” แม่กิ่งหัวร่อเสียงแหลมยามเอามือเปื้อนเลือดปาดป้ายไปที่ตุ๊กตาดินเหนียวสองตัวที่ประกบกันด้วยผ้าสกปรก
.
.
.
จ๋อม
“แอะ แอ๊ะ”
“ฝ่าบาท ระวังน้ำเข้าตาลูกหนาพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกที่อุ้มเจ้ารวีอยู่ตรัสกับพระภัสดาด้วยความกังวล
“จ้ะ ๆ พี่จักระวัง” ภุชงค์ตรัสพลางวักน้ำรดลงบนกลุ่มผมน้อย ๆ ของเจ้ารพิ
“อิ๊ แอะ แอ้”
“ภุชงค์ทำดี ๆ หนาลูก” เจ้าชมนาดที่อุ้มเจ้ารวิอยู่ตรัสสำทับอีกครา เมื่อทอดพระเนตรท่าทางเก้ ๆ กัง ๆ ของโอรส
“พ่ะย่ะค่ะ เสด็จแม่”
วันนี้องค์ภุมริน แลองค์ภุชงค์มิได้ว่าราชการ คนเป็นพ่อจึงนึกคึกขอเมียเป็นผู้อาบน้ำให้ลูก ๆ ด้วยพระองค์เอง โดยมีเจ้าหลวงภุมริน แลพระชายาชมนาดมาคอยให้กำลังใจชิดติดขอบอ่าง
“แอะ แอ๊ะ ฮึก” เจ้ารพิร้องอ้อแอ้ กำปั้นเล็กปัดป่ายไปมา
“ไหวหรือไม่เจ้าภุชงค์”
“ไหวพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ” กว่าจักอาบน้ำให้ลูกครบสามคน องค์ภุชงค์ก็เปียกโชกราวกับเป็นคนอาบเสียเอง
“ฝ่าบาท พระองค์ไปผลัดผ้าก่อนเถิดพระเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวจักประชวรเอาได้” เจ้าแสงแรกตรัสพลางรับเจ้ารวีที่ห่อด้วยผ้าผืนนุ่มมาโอบอุ้ม
“จ้ะ”
“เยี่ยงนั้น หม่อมฉันพาลูกไปเช็ดตัวก่อนหนาพระเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวลูกจักมิสบายเอา”
“จ้ะ ประเดี๋ยวพี่มาหนา”
“พระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกแย้มสรวลให้พระภัสดา ก่อนจักอุ้มเจ้าตัวน้อยคนน้องไปรวมกับเจ้าตัวตัวน้อยคนพี่ทั้งสองคน
“แล้วแล้วหรือเจ้ารวี มายาทาสมุนไพรให้หนา” เจ้าชมนาดที่ผูกปมผ้าอ้อมให้เจ้ารวิแล้วแล้วตรัส ช้อนเจ้าตัวน้อยตัวหอมฉุยส่งให้คนเป็นปู่ แลผินพระวรกายมารับเจ้าคนน้องจากสุณิสา
พระชายาชมนาดค่อย ๆ วางหลานลงบนผ้าขาวที่ปูอยู่บนพระยี่ภู่ มือเล็กคลี่ผ้าออกเผย เจ้ารวีดีดแข้งดีดขาไปมา เจ้าชมนาดใช้ลูกประคบลูกเล็กจิ้มสมุนไพรในถ้วย แลบรรจงทารอบสะดือเล็กของหลานอย่างเบามือ
ฟอด
“ชื่นใจจริงเชียวหลานย่า” กดพระนาสิกบนปรางนุ่ม ก่อนจักรับผ้าอ้อมมาจากสุณิสา คนเป็นย่าใส่ผ้าอ้อมให้หลานด้วยความคล่องแคล่ว
“ขอบพระทัยเสด็จแม่พระเจ้าค่ะ”
“มิเป็นกระไรดอก แม่ใคร่อยากทำให้หลาน” เจ้าชมนาดตรัส แลลูบเกศาของเจ้าแสงเบา ๆ
“...” เจ้าแสงแรกแย้มสรวลให้พระสัสสุ แลเอียงพักตร์ซบพระอังสะเล็กอย่างออดอ้อน เพราะมารดาจากไปตั้งแต่ยังเล็กจึงมิมีโอกาสได้ออดอ้อนมารดาเหมือนคนอื่นเขา เมื่อพระสัสสุท่านรัก แลเอ็นดูขนาดนี้เจ้าแสงแรกจึงใคร่อยากออดอ้อนพระองค์ท่านให้สมกับที่โหยหาความอบอุ่นจากมารดา
“หึหึหึ ข้าว่าเจ้าบัวงามช่างออดช่างอ้อนแล้วหนา แต่เจ้ากลับยิ่งกว่า” เจ้าชมนาดตรัสอย่างเอ็นดู
“เป็นเพราะเสด็จแม่ชมนาดเมตตาหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงใคร่อยากออดอ้อนพระองค์พระเจ้าค่ะ”
“อ้อนกระไรกันอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ ขอหม่อมฉันอ้อนด้วยคนหนา” องค์ภุชงค์ที่ผลัดผ้าเรียบร้อยแล้ว ดำเนินเข้ามารวบทั้งมารดา แลเมียเข้าไปกอด
“อื้อ เจ้าภุชงค์เล่นกระไรเป็นเด็กไปได้ลูก” เจ้าชมนาดเอ็ดลูก หากแต่พระโอษฐ์กลับแย้มสรวลกว้าง
“แอะ แอะ” เจ้ารวีที่ถูกลืมส่งเสียงอ้อแอ้ประท้วงออกมา
“โอ๋ คนดีของย่า มา ย่าอุ้มหนาลูก”
“ไปกันได้แล้วกระมัง ประเดี๋ยวแดดจักแรงเสียก่อน” องค์ภุมรินตรัส
“พระเจ้าค่ะ” เจ้าชมนาดพยักพักตร์ แลคว้าผ้าอ้อมมาคลุมหัวหลาน
ที่วันนี้เจ้าตัวน้อยเจ้าแสงแรก แลองค์ภุชงค์จับลูกน้อยทั้งสามอาบน้ำเสียจนตัวหอมฉุย ก็เพราะวันนี้ทั้งคู่จักพาลูกน้อยทั้งสามออกนอกตำหนักเป็นครั้งแรก โดยคนเป็นพ่อ แลแม่จักพาลูกไปเดินเล่นที่สวนพฤกษารับแดดอ่อน ๆ ยามเช้า เมื่อองค์ภุมริน และเจ้าชมนาดทราบเข้าก็ขอตามมาด้วย กลายเป็นว่าอรุณนี้ครอบครัวภุมริกาพากันเสด็จสวนพฤกษาทั้งครอบครัว
องค์ภุมรินอุ้มเจ้าน้อยรวิแนบพระอุระ ปรางกลมของทารกน้อยพาดอยู่บนพระอังสะกว้างของผู้เป็นปู่ เช่นเดียวกับเจ้ารวีที่เจ้าชมนาดอุ้มอยู่
“เจ้ารพิ ขี้เซาจริงลูก” องค์ภุชงค์ตรัส เมื่อเจ้าน้องเล็กอ้าปากหาววอดออกมา ดวงเนตรกลมปรือปรอย ปรางกลมแนบเบียดกับอังสะของมารดา
“หึหึหึ” เจ้าแสงแรกสรวลด้วยความเอ็นดูลูกน้อย
“หึหึหึ” องค์ภุชงค์สรวลน้อย ๆ ก่อนจักกดพระนาสิกเบา ๆ ที่นลาฎของเจ้ารพิ
เมื่อมาถึงศาลาริมสระหลวงก็พบองค์สิงห์ท่านประทับยืนรอท่าอยู่แล้ว เจ้าแสงแรกดำเนินเข้าหาบิดาตนเองพร้อมรอยสรวล องค์สิงห์ยกหัตถ์ลูบเกศาคนเป็นลูกก่อนจักขออุ้มหลานบ้าง เจ้าแสงแรกจึงส่งเจ้ารพิให้ผู้เป็นพ่อได้เชยชมหลาน
“รพิน้อยของตา” องค์สิงห์ประคองหลานลงนอนในอ้อมพระกร พระเนตรเป็นประกาย พระทัยขององค์สิงห์พองโตเต้นระรัวยามที่เจ้าตัวน้อย ยกโอษฐ์แย้มสรวลให้
“เสด็จพ่อ เจ้ารพิยิ้มให้พระองค์ด้วยพระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกตรัส
“หึหึหึ ชอบให้ตาอุ้มหรือเจ้า” องค์สิงห์ตรัสเย้า พระหัตถ์ประคองมือน้อย ๆ ของหลานขึ้นจูบกลางฝ่ามือเล็ก
ทั้งแปดพระองค์ประทับอยู่ศาลาริมสระหลวงได้มินาน องค์จันทร์ แลเจ้าบัวงามก็หอบลูกมาสมทบด้วย เจ้าบัวงามหมอบกราบบิดา มารดา แลเจ้าหลวงการเวกพร้อมบ่นกระปอดกระแปดว่ามิยอมบอกตนว่าจักพาหลาน ๆ ออกมาที่ศาลาริมสระหลวง
“หากหม่อมฉันมิไปที่ตำหนักของภุชงค์ก็คงมิรู้ว่าพาหลานออกจากตำหนักเป็นคราแรก”
“โธ่ พี่ขอโทษหนาเจ้าบัวงาม พี่เองก็ตื่นเต้นจนลืมไปเสียสนิท มิโกรธพี่หนาคนดี” องค์ภุชงค์ตรัสง้ออนุชา
“พระเจ้าค่ะ ๆ บัวมิเคืองดอก”
“น่ารักน่าชังนักน้องพี่” ตรัสกับอนุชา
“พเยียยังมิตื่นดีอีกหรือลูก ไปเล่นกับน้องหรือไม่” เจ้าบัวงามตรัสถามเจ้าตัวน้อยที่ซบพระอุระของบิดานิ่ง กรเล็กป้อมกอดเจ้าตัวยัดนุ่นแน่นอย่างหวงแหน
“...ใคร่อยากไปเล่นกับน้องหรือไม่ลูก” องค์จันทร์กระซิบถามลูกน้อยในอ้อมพระอุระ พระนาสิกกดลงบนกระหม่อมเล็กอย่างรักใคร่
“อื้อ” เจ้าตัวน้อยขยับไถตัวลงจากพระเพลาของบิดา ฝากเจ้าก้อนนุ่นไว้กับบิดา แลคลานตุบตับไปหาพระอัยยิกา เจ้าภุชงค์รีบคว้าตัวหลานขึ้นอุ้มทันทีด้วยความมันเขี้ยว
“พเยีย ขอลุงอุ้มหน่อยเจ้า”
“อื้อ” เจ้าพเยียดิ้นปัดแข้ง ปัดขาไปมา สุดท้ายก็ถูกพระปิตุลารวบเข้าไปในอ้อมพระอุระอยู่ดี
“เล่นกับลุงก่อน ค่อยไปเล่นกับน้องดีหรือไม่” องค์ภุชงค์ตรัสถามหลานรัก หากแต่หน้าตาของเจ้าพเยียนั้นกลับบอกพระองค์ว่า มิดี!
“...หงึ”
“ฮะฮ่า ๆ ๆ ฟอด” องค์ภุชงค์สรวลด้วยความเอ้นดูเจ้าตัวกลม กดพระนาสิกกับปรางนิ่มฟอดใหญ่ ก่อนจักอุ้มหลานไปคุกพระชานุตรงหน้าเจ้าชมนาด
“เจ้าพเยียใคร่อยากเล่นกับน้องหรือลูก หืม” เจ้าชมนาดตรัส แลโน้มพักตร์ลงมากดพระนาสิกกับนลาฎของหลาน
“ยะ ยะ” เจ้าพเยียตรัสอ้อแอ้จนคนเป็นยายหลงแล้ว หลงอีก
“มาให้ยายกอดทีหนา” เจ้าชมนาดส่งเจ้ารวีคืนคนเป็นพ่อ แลรับเอาเจ้าพเยียมากอด
องค์ภุชงค์ประคองลูกลงนอนในอ้อมพระกร แลเบี่ยงพระวรกายให้เจ้าพเยียได้เห็นน้องชัด ๆ เจ้าพเยียจ้องน้องตามิกะพริบ หัตถ์เล็กยื่นไปแตะตัวนิ่ม ๆ ของเจ้ารวีแล้วก็สรวลออกมาอย่างชอบพระทัย เรียกรอยสรวลจากผู้หลัก ผู้ใหญ่ แลรอยยิ้มเอ็นดูจากเหล่าข้าหลวงรับใช้ได้มากโข วังหลวงที่มีแต่เจ้านายน้อย ๆ มันมีชีวิตชีวาเช่นนี้เอง
พอสายหน่อยแดดเริ่มออก ก็ต้องพาเด็ก ๆ กลับเข้าตำหนัก เจ้าแสงแรกให้นมลูกทั้งสามจนแล้วแล้ว ก็ต้องปลีกตัวไปเข้ากระโจมอยู่ไฟ
“ฝ่าบาท ประเดี๋ยวหม่อมฉันมา ฝากลูกด้วยหนาพระเจ้าค่ะ”
“จ้ะ” องค์ภุชงค์ตรัส พระองค์เอาลูกนอนด้วยกันบนพระยี่ภู่ มิยอมเอาลูกลงเปล เจ้าแสงแรกทอดพระเนตรพระภัสดา แลกังวลพระทัยน้อย ๆ
“ให้ยี่สุ่น แลชงโคอยู่รับใช้พระองค์ที่นี่ดีหรือไม่พระเจ้าค่ะ เผื่อลูกตื่นมาโยเยพร้อมกันจักได้มีคนช่วยพระองค์”
“มิเป็นกระไร ลูกพึ่งจักนอนคงยังมิตื่นเร็ว ๆ นี้ดอก เจ้าไปเถิด เอายี่สุ่น แลชงโคไปดูแลเจ้าด้วย มิต้องห่วงหนา พี่จักดูแลลูกอย่างดี” องค์ภุชงค์ตรัส แลรวบตัวเมียเข้ามากอด พลางหอมนลาฎขาวฟอดใหญ่
“...พระเจ้าค่ะ” เจ้าแสงแรกยอมตัดพระทัย รีบไปรีบกลับก็แล้วกัน
เมื่อเมียออกจากห้องบรรทมไปแล้ว องค์ภุชงค์ก็พาพระองค์เองไปทอดพระวรกายลงนอนข้างเจ้าตัวน้อยทั้งสาม พระดรรชนีเรียวแตะลงบนปลายนาสิกของเจ้ารพิเบา ๆ แลแย้มสรวลองค์เดียว ลูกข้าช่างน่าชังนัก! กวนโอรสองค์โตแล้ว ก็ขยับไปกวนเจ้ารวีน้อยที่นอนอยู่ตรงกลางระหว่างพี่ทั้งสอง พระหัตถ์คนเป็นพ่อช้อนเท้าเล็กนุ่มนิ่มขึ้นจูบหอม ดำริไปถึงตอนเจ้าตัวเล็กนี่เกิดแลพระทัยหาย องค์ภุชงค์สัญญากับองค์เองเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจักมิยอมให้ลูกเป็นกระไรไปเป็นอันขาดมิว่าจักเป็นเจ้าคนใดก็ตาม
“งึ งือ” เจ้ารวีครางเล็กน้อย แลหลับต่อ องค์ภุชงค์จึงค่อย ๆ วางเท้าเล็กลง ก่อนจักเบนเป้าหมายไปหาเจ้ารวิ เจ้าตัวน้อยคนกลางนอนหงายกางแข้งกางขา
“ไยจึงนอนกางแข้งกางขาเช่นนี้เล่าลูก” องค์ภุชงค์ขมวดพระขนง แลจับขาเล็กให้หุบ หากแต่เมื่อปล่อยพระหัตถ์ออกเจ้ารวิก็กางขาเช่นเดิม คนเป็นพ่อก็จับขาลูกหุบอีก คนลูกก็กางขาออกอีก องค์ภุชงค์พยายามจับขาของเจ้ารวิให้หุบ จนกระทั่งเจ้าตัวน้อยรำคาญหวีดเสียงร้องจนคนเป็นพ่อสะดุ้งร้อนรนคว้าเจ้าตัวน้อยแนบพระอุระปลอบ
“แงงงง”
“ชู่ว ๆ พ่อขอโทษเจ้า” องค์ภุชงค์โยกกายปลอบเจ้ารวิ พระเนตรก็คอยเหลือบมองเจ้ารพิ แลเจ้ารวีที่นอนอยู่บนพระแท่นบรรทม ภาวนาให้ลูกน้อยอีกสองคนมิตื่นขึ้นมา
“ฮึก อึก” เจ้ารวิสะอื้นเสียงแผ่ว แลเคลิ้มหลับไปอีกครา
“...” องค์ภุชงค์ลอบถอนพระทัย เมื่อเจ้ารวิหลับลงอีกครา แลเจ้ารพิ แลเจ้ารวีก็ยังมิตื่นขึ้นมา
คนเป็นพ่อเอนพระวรกายลงนอนข้างลูกน้อยอีกสองคนโดยมีเจ้ารวินอนซบอยู่บนพระอุระกว้าง ครานี้องค์ภุชงค์มิกล้ากวนลูกอีกแล้ว พระหัตถ์ข้างหนึ่งกอดเจ้ารวิไว้มิให้ตกจากอุระ ส่วนอีกข้างก็คว้าผ้าอ้อมมาปัดรอบ ๆ ตัวลูกทั้งสามรอเมียกลับมา
.
.
.
หลังจากราตรีที่ท่านรองเจ้ากรมนา แลคุณหญิงไปพบบุตรีทำพิธีประหลาดในหอนอนของตนเอง แม่กิ่งก็ถูกกักบริเวณมิให้ออกไปไหน มาไหน ซ้ำยังต้องมีบ่าวคอยเฝ้าตลอดเพลามิให้หญิงสาวลุกขึ้นมาทำกระไรประหลาด ๆ ได้อีก หากแต่แม่กิ่งก็ยังคงพึมพำบทสวดแปลกประหลาดตลอดเพลาจนบ่าวในเรือนเกี่ยงกันมาเฝ้าคุณหนูของบ้าน
“...” อีแดงลอบมองนายมัน แลค่อย ๆ แกะผ้าที่พันนิ้วมือของแม่กิ่งไว้ มันทาสมุนไพรลงบนแผลของนาย ก่อนจักพันผ้าให้ใหม่ หากแต่จู่ ๆ นายของมันก็หวีดเสียงหัวร่อออกมาจนมันตกใจตาค้าง หัวใจหล่นไปอยู่ใต้ถุน อีเพื่อนบ่าวที่มาเฝ้าคุณกิ่งเธอเป็นเพื่อนมันก็วิ่งหนีแตกกระเจิงออกไป ทิ้งมันให้เผชิญกับความวิปลาสของนายมันคนเดียว
“...” แม่กิ่งนอนพึมพำบทสวดประหลาดมิสนใจกระไรทั้งนั้น ดวงตาแข็งค้างจดจ้องเพดานมิกะพริบ
“...” อีแดงลอบมองนายมัน แลค่อย ๆ แกะผ้าที่พันนิ้วมือของแม่กิ่งไว้ มันทาสมุนไพรลงบนแผลของนาย ก่อนจักพันผ้าให้ใหม่ หากแต่จู่ ๆ นายของมันก็หวีดเสียงหัวร่อออกมาจนมันตกใจตาค้าง หัวใจหล่นไปอยู่ใต้ถุน อีเพื่อนบ่าวที่มาเฝ้าคุณกิ่งเธอเป็นเพื่อนมันก็วิ่งหนีแตกกระเจิงออกไป ทิ้งมันให้เผชิญกับความวิปลาสของนายมันคนเดียว
“กรี๊ด ฮะฮ่า ๆ ๆ องค์ภุชงค์เพคะ องค์ภุชงค์ ฮะฮ่า ๆ ๆ”
“...ฮึก ค คุณกิ่ง” อีแดงสะอื้นไห้ด้วยความหวาดกลัว
“มึง!! มึงจักมาแย่งองค์ภุชงค์ท่านไปจากกูใช่หรือไม่!! ถุย” แม่กิ่งหันขวับมาถลึงตาใส่บ่าวคนสนิท แลตวาดใส่ ดวงตาของหญิงสาวแข็งค้าง แดงก่ำจนเหมือนผีห่าเข้าสิง แม่กิ่งถุยน้ำลายใส่หน้าของอีแดง แลลุกขึ้นถีบบ่าวของตนจนกระเด็นติดกำแพง ก่อนจักวิ่งเตลิดออกมาจากหอนอน
“ค ใครก็ได้ ช ช่วยกูจับคุณกิ่ง ท ที คุณกิ่งเธอหนีไปแล้ว” อีแดงตะโกนกระท่อนกระแท่นให้คนช่วย มือมันกุมท้องตัวเองด้วยความเจ็บจุก กว่ามันจักลุกขึ้นตะโกนให้คนช่วยได้ คุณกิ่งเธอก็วิ่งลงจากเรือนไปแล้ว
หญิงสาววิ่งลงจากเรือนไปที่ป่าท้ายเรือนหวังจักไปยังวังหลวง หรือก็คือเรือนของหมอผีเฒ่า ผ้าผ่อนที่นุ่งมาหลุดลุ่ยกลางทางจนบัดนี้ บุตรีของท่านรองเจ้ากรมนาเนื้อตัวล่อนจ้อน บ่าวชายที่วิ่งตามต่างมิกล้าเข้าไปจับคุณหนูของเรือนด้วยเกรงโทษจากท่านเจ้าเรือน พวกมันทำได้เพียงวิ่งต้อนคุณกิ่งเธอเข้ามาในวงล้อมของบ่าว แลพากันล้อมมิให้คนเป็นนายเตลิดไปไหนได้ ส่วนอีแดงมันรีบให้คนไปตามท่านรองเจ้ากรมนาท่านโดยด่วน
“พวกมึง!!! กล้าดียังไงมาขวางกู!!! หลีกบัดเดี๋ยวนี้”
“...” พวกบ่าวมองหน้ากันไปมา หากแต่ก็มิกล้าเปิดวงล้อมให้คุณกิ่งเธอ รอท่านรองเจ้ากรมนาท่านมาจัดการบุตรีของตัวเองเถิด
“หลีกไป!!! กูจักไปหาองค์ภุชงค์ผัวกู!!!”
“ม แม่กิ่ง ฮือ แม่กิ่งลูกแม่” คุณหญิงท่านวิ่งตามมาหน้าตาตื่น หลังจากที่บ่าวมันไปปลุก คุณหญิงเพียงแค่เผลองีบไปเพียงเดี๋ยวเดียวเท่านั้น คาดมิถึงว่าจักเกิดเรื่องได้
“ปล่อยกู!!!”
“อีแดง มึงรีบเอาผ้าไปคลุมลูกกู” คุณหญิงแทบเป็นลมเมื่อเห็นบุตรีเปลือยกายล่อนจ้อนอยู่ในวงล้อมของบ่าวผู้ชาย
“จ เจ้าค่ะ” อีแดงมุดเข้าไปในวงล้อม แลเอาผ้าคลุมร่างนายของมัน หากแต่แม่กิ่งกลับยกขาถีบอีแดงเสียกระเด็น ซ้ำยังกระชากผ้าที่มันเอาคลุมให้ออก
“แม่กิ่ง ไยจึงทำเช่นนี้เล่าลูก” คุณหญิงโอนเอนไปมาให้บ่าวมันได้ประคอง
“ปล่อยกู กูจักไปหาองค์ภุชงค์ผัวกู”
“แม่กิ่งอย่าพูดเช่นนั้นลูก” คุณหญิงกล่าวเคล้าสะอื้น หากมีคนนอกมาได้ยินเข้า มิได้คอขาดกันทั้งเรือนหรือที่แอบอ้างองค์รัชทายาทท่านเยี่ยงนี้
“ท่านเป็นผัวกู ไยกูจักพูดมิได้!!!” สติวิปลาสลืมเลือนแม้กระทั่งมารดา
“แม่กิ่ง ไยพูดกับแม่เช่นนี้”
“ปล่อยกู กูจักไปหาผัวกู องค์ภุชงค์เพคะ รอเมียก่อนหนา เมียจักรีบไปหา ฮิ ๆ ๆ ๆ”
กว่าจักจับแม่กิ่งกลับเข้าเรือนได้ก็ต้องรอท่านรองเจ้ากรมนาท่านมา คนเป็นพอกลั้นใจยอมให้บ่าวชายมันแตะต้องตัวบุตรี พวกบ่าวเอาผ้าคลุมร่างเปลือยเปล่าของคุณหนู แลช่วยกันอุ้มขึ้นเรือน ครานี้ท่านรองเจ้ากรมนาสั่งให้อีแดงมัดแม่กิ่งกับเตียงนอน มิให้หนีได้อีก
“คุณพี่เจ้าคะ ไยจึงต้องมัดลูกเป็นหมูเป็นหมาเยี่ยงนี้” คุณหญิงร้อนใจนักที่เห็นสามีมัดลูกเยี่ยงนี้
“แลจักให้มันแก้ผ้าแก้ผ่อนลงไปให้พวกบ่าวมันไล่จับอีกหรือ แค่นี้ข้าก็มิรู้จักเอาหน้าไปไว้ที่ใดแล้ว” ท่านรองเจ้ากรมนาตวาดภรรยาเสียงดัง
“ฮึก”
“ข้ามิน่าให้มันกลับมาเลย ให้มันไปอยู่ชานเมืองกับแม่หล่อนก็ดีอยู่แล้ว” ท่านรองเจ้ากรมนาตวาด แลเดินหนีคุณหญิงท่านไป
“ฮึก ฮือ”
อีแดงกล้า ๆ กลัว ๆ มิใคร่อยากจักเข้าใกล้คนเป็นนาย หากแต่มันที่เป็นบ่าวคนสนิทจำเป็นต้องทำ อิแดงประคองสำรับเข้าไปให้คุณกิ่งเธอ
“อีผินมึงไปช่วยกูป้อนข้าวคุณกิ่งเธอที” อีแดงสั่งอีผิน
“ต แต่”
“ทำไม มึงรังเกียจคุณกิ่งเธอหรือ มึงจักไปดี ๆ หรือจักต้องให้กูเรียนคุณหญิงท่านก่อน”
“...จ้ะ พี่แดง” อีผินน้ำตาคลอ หากแต่ก็ต้องกล้ำกลืนทำตามที่อีแดงสั่ง
เมื่อครั้งคุณกิ่งเธอยังเล็ก อีแดงมันพยายามเอาอกเอาใจคุณกิ่งเธอจน คุณหนูของบ้านเลือกให้มันเป็นบ่าวคนสนิท อีแดงดีใจจนเนื้อเต้นที่ได้รับใช้คุณหนู มิต้องไปเป็นบ่าวก้นครัว ทำงานงก ๆ สบายกว่าเป็นไหน ๆ หากแต่ใครจะคิดว่าจู่ ๆ วันหนึ่งคุณหนูของมันก็เกิดวิปลาสขึ้นมา แล้วกรรมจักไปตกที่ใครหากมิใช่อีแดงบ่าวคนสนิท!
“คุณกิ่งเจ้าขา อีแดงเอาสำรับมาให้เจ้าค่ะ ทานข้าวหนาเจ้าคะ” อีแดงมันว่า พลางพยักหน้าให้อีผินช่วยกันประคองคนเป็นนายขึ้น
“...” คุณกิ่งเธอเหม่อลอย ดวงตาลึกโหล ดวงหน้างามซูบโทรม ปากก็พึมพำกระไรมิได้ศัพท์
“ทานข้าวหนาเจ้าคะ” อีแดงว่าพลางเอาข้าวจ่อที่ปากคนเป็นนาย
“อึก” หากแต่เมื่อแม่กิ่งได้กลิ่นกับข้าวที่อีแดงยกมาให้ก็มีอาการพะอืดพะอม
“ค คุณกิ่งเป็นกระไรไปเจ้าคะ” อีแดงตัวสั่นด้วยความกลัว มิรู้ว่าวันนี้นายมันจะวิปลาสกระไรขึ้นมาอีก
“อึก อ่อก” แม่กิ่งสำรอกใส่บ่าวคนสนิท
“ว้าย” อีแดงผละออกมามิทันโดนสำรอกของนายมันรดเข้าเต็ม ๆ ตัว
“พ พี่แดง ประเดี๋ยวข้าไปเรียนคุณหญิงท่านก่อนหนาจ้ะ ว่าคุณกิ่งเธอมิสบาย” อีผินว่า แลวิ่งออกจากหอนอนคุณกิ่งเธอไป ทิ้งอีแดงไว้
“อ อีผิน อีผิน” อีแดงตะโกนไล่ตามอีผิน แต่อีผินก็หาได้หยุดไม่ อีแดงฟึดฟัดด้วยความหงุดหงิด
คุณหญิงท่านให้คนไปตามท่านรองเจ้ากรมนา แลหมอมาตรวจดูอาการของบุตรีด้วยความกังวล สองสามีภรรยารอหมอท่านด้วยใจจดใจจ่อ แค่บุตรีวิปลาสก็ทุกข์ใจมากพอแล้ว อย่าให้แม่กิ่งเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นกระไรไปอีกเลย
“ท่านหมอ ๆ บุตรีของข้าเป็นเยี่ยงไรบ้างเจ้าคะ” คุณหญิงรีบลุกจากตั่งไปหาท่านหมอทันทีที่ก้าวขาออกจากหอนอนแม่กิ่ง
“ท่านรองเจ้ากรมนา คุณหญิง...”
“ว่าอย่างไร แม่กิ่งเป็นอย่างไรบ้าง”
“แม่กิ่งเธอ...”
“กระไร ลูกข้าเป็นกระไรก็พูดมาสิ” คุณหญิงทนมิไหวตวาดเข้าให้
“แม่กิ่งเธอท้อง”
“...”
“...” สองสามีภรรยาเบิกตากว้างนิ่งงันมิขยับ
“ข้าตรวจดีแล้ว แลข้ามั่นใจว่าตรวจมิผิดแน่ แม่กิ่งนางท้อง”
“ม มิจริง ฮึก อึก” คุณหญิงเป็นลมหงายหลังตึงให้บ่าวมันวิ่งมาพัดมาวี
หลังจากที่คุณหญิงท่านฟื้นแล้ว กรรมจักไปตกที่ใครถ้ามิใช่อีแดงบ่าวคนสนิท อีแดงถูกลากมากองอยู่แทบเท้าท่านรองเจ้ากรมนา
“มึงบอกกูมาอีแดง ว่าอีลูกทรพีของกูมันท้องกับผู้ใด!”
“ฮึก บ บ่าวมิทราบเจ้าค่ะ”
“มึงจักมิรู้ได้อย่างไร มึงเป็นบ่าวคนสนิทของมัน อยู่กับมันตลอดเพลา”
“ฮึก ๆ ช ช่วงหลังมานี่ บ บ่าวมิได้อยู่กับคุณกิ่งเธอตลอดเพลาเช่นเมื่อก่อนเจ้าค่ะ”
“...”
“ต แต่ บ บ่าวได้ยินคุณกิ่งเธอว่าเธอมีสัมพันธ์กับ อ องค์ภุชงค์เพคะ”
“หุบปากมึงประเดี๋ยวนี้” ท่านรองเจ้ากรมนาตวาดอีบ่าวชั้นต่ำเสียงดัง กล้าพูดออกมาได้อย่างไร หากมีใครมาได้ยินเข้ามิคอขาดกันทั้งเรือนหรือ
“ฮ ฮึก”
“มึงรู้กระไร มึงคายออกมาให้หมดบัดเดี๋ยวนี้”
“...ฮึก อึก”
“มึงจักพูดดี ๆ หรือ มึงจักให้กูทรมานมึงก่อนหาอีแดง”
“ฮึก บ บ่าว...”
เพี๊ย
อีแดงกลอกตาล่อกแล่ก มันจักพูดออกไปดีหรือไม่ หากพูดออกไปแล้ว มิใช่เพียงคุณกิ่งที่จักแย่ มันก็จะตายเอาที่ยุแยงคนเป็นนายให้ไปหาไอ้หมอผีเฒ่านั่น หากแต่ยังมิทันได้คิดกระไรไปมากกว่านี้ มันก็ถูกฝ่ามือของท่านรองเจ้ากรมนาตบเข้าที่หน้าจนเลือดกบปาก
“อีเวร มึงจักพูดหรือไม่”
“ฮึก บ บ่าวพูดแล้วเจ้าค่ะ ฮือ” อีแดงกุมปากตัวเองสะอื้นไห้ตัวสั่นด้วยความกลัว
“...”
“ค คุณกิ่งเธอให้บ่าวไป ห หาพ่อหมอไสยที่เก่งกาจมีวิชามาให้ บ บ่าวจึงไปหามาให้เธอตามคำสั่ง”
“...”
“คุณกิ่งเธอให้บ่าวพาไปหาหมอไสยที่กระท่อมท้ายป่าช้าที่คุ้งน้ำฝั่งโน้น เธอไปให้พ่อหมอทำเสน่ห์ยาแฝดใส่ อ องค์ภุชงค์ท่าน ฮึก ฮือ ค คุณกิ่งเธอให้บ่าวรออยู่นอกเรือน บ บ่าวมิทราบว่าพ่อหมอทำพิธีกระไรให้คุณกิ่งเธอ”
“...”
“หลังจากนั้น บ บ่าวก็มิทราบแล้วเจ้าค่ะ บ บ่าวติดตามคุณกิ่งเธอไปเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ฮือ”
“...”
“หลังจากนั้นคุณกิ่ง ธ เธอก็มิให้บ่าวตามเธอไปอีก เธอมักจักออกไปข้างนอกคนเดียว เมื่อบ่าวถาม คุณกิ่งเธอก็บอกแต่เพียงว่าเธอไปเข้าเฝ้าองค์ภุชงค์เจ้าค่ะ ฮือ บ บ่าวทราบแค่นี้เจ้าค่ะ บ่าวทราบแค่นี้จริง ๆ เจ้าค่ะ”
“...”
“ส่วนเรื่องเด็กในท้องของคุณกิ่ง ฮึก ฮือ บ่าวมิทราบจริง ๆ เจ้าค่ะ ว่าใครเป็นพ่อ ฮือ”
เมื่อได้ฟังคุณหญิงท่านก็ปล่อยโฮ แลเป็นลมล้มตึงไปอีกรอบ ส่วนท่านรองเจ้ากรมนาเมื่อได้ยินเรื่องทั้งหมดจากปากอีแดงก็โกรธจนตัวสั่น แลลงไม้ลงมือกับอีแดงจนสะบักสะบอมดูมิได้
“อั่ก ฮือ คุณท่านเจ้าขา เมตตาบ่าวด้วยเจ้าค่ะ” อีแดงนอนขดรับเท้าจากนายใหญ่ของเรือน
“ฮึก ฮือ มิจริง ฮือ แม่กิ่งลูกแม่ ไยจึงทำเช่นนี้ ฮือ” คุณหญิงท่านร่ำไห้ขาดสติโดยมีบ่าวคนสนิทคอยบีบนวดให้
.
.
.