Miracle of LOVE ผมเรียกมันว่าปาฏิหาริย์แห่งรัก
-31-
เมื่อปิดเทอมปีที่แล้วผมนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ที่โรงพยาบาล ผมเคยผ่านจุดที่เรียกว่าเสี่ยงกับการตายดังปาฏิหาริย์มาแล้วรอบหนึ่ง และผ่านมาแค่หนึ่งปีปิดเทอมรอบนี้ผมต้องรักษาตัวด้วยโรคเนื้องอกในสมองเข้าออกโรงพยาบาลสัปดาห์ละห้าวัน ต้องกลับมาเผชิญหน้ากับความกลัวเช่นเดิมอีก ต่อให้มีรอบที่สามหรือสี่ผมก็ยังกลัวอยู่ดี ผมไม่เชื่อหรอกครับกับคำพูดที่ว่าเจ็บบ่อยๆ ค่อยๆ ชินน่ะ สมมตินะว่าคุณโดนมีดบาดมาสามครั้ง จนครั้งที่สี่คุณก็ยังโดนมีดบาดอีก ถามว่ายังเจ็บเหมือนเดิมมั๊ยครับ? เลือดยังไหลอยู่แบบเดิมรึเปล่า? ถ้าหากความรู้สึกของคุณยังเหมือนเดิม นั่นแสดงว่าคุณยังไม่ชินกับมัน และผมก็เป็นคนหนึ่งที่ไม่มีวันจะชินกับความเจ็บปวดและความกลัวเหล่านั้นได้
ผมไม่ชินกับความรู้สึกแบบนี้
ผมไม่ชินกับสภาพตัวเองในตอนนี้
และผมก็ไม่ชินกับความรู้สึกเหมือนคนขี้แพ้ของตัวเองและแม้ว่าผมจะไม่มีวันชินกับมัน แต่ผมจะต้องข้ามผ่านมันให้ได้ ผมรู้ว่าตัวเองโชคดีกว่าอีกหลายๆ คนที่เป็นโรคเดียวกับผม บางคนหน้าเบี้ยว หูหนวก หรือตาเป็นฝ้า แค่เส้นผมเปลี่ยนสภาพแค่นี้ถือว่าน้อยนิดมากๆ และมันก็ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของพี่เปรมที่เคยบอกผมว่าไม่ว่าผลข้างเคียงจากการรักษาจะเป็นยังไง มันก็ไม่สำคัญเท่ากับผมหายจากโรคได้ เอาเป็นว่าผมจะพยายามครับ จะพยายามฮึดสู้กับความรู้สึกของตัวเองดูสักครั้งเพื่อคนที่ผมรักและทุกคนที่รักผม
เหลือแค่สัปดาห์หน้าการรักษาก็ครบแล้วล่ะครับ ช่วงหลังมานี้ผมก็แทบไม่มีอาการปวดหัวอีกเลยเพราะผลการรักษาเป็นไปด้วยดี แต่เพราะว่าพรุ่งนี้เป็นงานแต่งงานของพี่หมอโก้และพี่หมอยุ้ย เมื่อวานผมจึงชวนไอ้ดีนไปไถผมหงอกทิ้งจนกลายเป็นทรงสกินเฮด อาจจะดูทุเรศก็ตรงที่หนังหัวล้านๆ เป็นหย่อมๆ นี่แหละครับ อาศัยใส่หมวกปิดบังไว้แก้ขัดไปก่อน ดังนั้นวันนี้เมื่อเสร็จจากโรงพยาบาล เราก็ออกเดินทางไปปราณบุรีซึ่งเป็นสถานที่จัดงานแต่งงาน ได้หยุดพักการรักษาสัปดาห์ละสองวันถือว่ามาพักผ่อนแล้วค่อยกลับไปลุยรักษาตัวกันต่อ
“ทำไมเสิร์ทหาชื่อโรงพยาบาลแล้วเจอแต่ทุ่งนาล่ะ?” ผมมองรูปภาพธรรมชาติท้องทุ่งเขียวขจีจากในเว็บสืบค้นยอดฮิต
เมื่อสองวันก่อนพี่เปรมไปจับฉลากเลือกโรงพยาบาลมาครับ ตอนแรกผมตั้งใจว่าจะตามไปให้กำลังใจแต่เพราะติดไปโรงพยาบาลจึงต้องแยกกับพี่เปรมหนึ่งวัน ผมจำได้ดีว่าเมื่อกลับถึงบ้านแล้วเห็นรถยี่ห้อ ออดี้ ทีที สปอร์ตคูเป้ สีขาวรุ่นใหม่ล่าสุดที่จอดอยู่เคียงข้างกับน้องมินิสีเขียวหัวเป็ดของผม มันทำให้ผมตื่นเต้นกว่าเรื่องโรงพยาบาลของพี่เปรมซะอีก พี่เปรมบอกว่าเป็นของขวัญจากคุณปู่คุณย่าที่มอบให้วันเรียนจบ แม้ราคามันจะเทียบชั้นปอร์เช่ที่พี่ปลื้มขับอยู่ไม่ได้ แต่แค่นี้ก็หรูสุดๆ สำหรับผมแล้วล่ะครับ หลังจากนั้นผมก็ลืมเรื่องสถานที่ทำงานของพี่เปรมไปซะสนิทจนเพิ่งนึกได้นี่แหละครับ
“แล้วสนใจจะไปเป็นเมียหมอที่โรงพยาบาลเล็กๆ ในต่างจังหวัดมั๊ยล่ะ?”
“บ๊อกๆ บ๊อกๆ”
อืม น้องเปี๊ยกตอบแทนผมแล้วล่ะครับ เลยโดนพี่เปรมผลักหัวเล็กเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว และมันก็ทำให้ผมขำกับการน้องเปี๊ยกที่กระตือรือร้นอยากให้พี่เปรมพาผมไปอยู่ด้วยที่ต่างจังหวัดเหลือเกิน
ผมไม่ได้ตอบคำถามของพี่เปรม เพราะคิดว่าพี่เปรมคงจะรู้คำตอบของผมดี และบทสนทนาจะหมดลงแค่นั้น เพราะผมเริ่มรู้สึกง่วง พี่เปรมให้ผมปรับเบาะเอนลงเพื่อจะได้นอนพักผ่อนก่อนจะถึงจุดหมาย และก่อนที่ผมจะหลับไปผมก็ลองเปิดข้อความของแม่ดู ตั้งแต่แม่กลับไปครั้งนั้นการติดต่อของเราก็เหมือนจะถูกตัดทอนให้ห่างกันออกไปเรื่อยๆ แม่ไม่ได้เปิดอ่านข้อความที่ผมส่งไปมาหลายวันแล้ว บางครั้งผมลองโทรไปหาแม่เหมือนที่เคยทำแต่ก็กลายเป็นฝากข้อความทุกครั้ง ต้องรอให้แม่ติดต่อมาเองเท่านั้น ผมจึงคิดว่าอาจจะถึงเวลาที่ผมควรจะโตเป็นผู้ใหญ่ได้แล้วล่ะครับ
.
.
.
.
ปราณบุรี.. ทั้งที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ แต่ผมกลับไม่เคยมาที่นี่เลยสักครั้ง
ผมก็ได้นอนพักผ่อนช่วงกลางวันจนเต็มอิ่ม จากนั้นก็ตื่นมานั่งมองท้องทะเลสีครามเบื้องหน้าไกลสุดลูกหูลูกตาตัดกับเส้นขอบฟ้ายามบ่าย หลายครั้งที่ผมยกมือขึ้นลูบบริเวณผิวหนังที่ไร้เส้นผมบนหัวจนแทบจะกลายเป็นนิสัยและมันก็จะยิ่งทำให้บุคลิกของผมดูแย่ลงไปอีก แต่ก็ยังดีที่มีน้องเปี๊ยกคอยร้องเตือนทุกครั้งที่สติของผมหลุดลอย
เสียงบานประตูห้องพักเปิดปิด ทำให้ผมต้องหยุดคิดเรื่องต่างๆ แล้วหันไปมองร่างสูงที่เดินเข้ามาหยุดนั่งบนเตียงข้างๆ ผม พี่เปรมเพิ่งกลับมาจากไปช่วยดูความเรียบร้อยของงานที่จะมีขึ้นในวันพรุ่งนี้เย็นครับ
“ตื่นนานรึยัง?” มือใหญ่ลูบหัวผมแบบที่ชอบทำบ่อยๆ
ผมส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ไปล้างหน้าล้างตา เดี๋ยวลงไปหาอะไรกินกัน กูสั่งอาหารซีฟู้ดไว้ให้มึงเยอะเลย”
“สั่งมากินบนห้องไม่ได้เหรอพี่เปรม” ทั้งๆ ที่บอกกับตัวเองว่าจะสู้ แต่จิตใต้สำนึกก็เร็วกว่าความคิด ผมแค่ยังไม่พร้อมที่จะเจอผู้คนในสภาพคนป่วยแบบนี้ โดยเฉพาะคนเหล่านั้นคือเพื่อนของพี่เปรม
ดวงตาคู่คมจ้องหน้าผม และผมก็รีบหลบในทันที แกล้งทำเป็นหันไปมองน้องเปี๊ยกแทน พี่เปรมยกมือขึ้นลูบหัวผมอีกครั้งก่อนจะเดินยกหูโทรศัพท์เพื่อสั่งอาหารให้ขึ้นมาส่งบนห้องพัก
“พี่เปรม.. ไอเปลี่ยนใจแล้ว เราลงไปกินที่ห้องอาหารกันเถอะ”
คิ้วเข้มเลิกสูงขึ้นเป็นการถามผมว่าแน่ใจแล้วเหรอ? ผมจึงรีบพยักหน้า พี่เปรมก็วางหูโทรศัพท์ลง
ห้องอาหารของโรงแรมช่วงบ่ายค่อนข้างเงียบ มันทำให้ผมไม่เกร็งเครียดสักเท่าไหร่ และทุกเมนูที่พี่เปรมสั่งล้วนเป็นของโปรดผมทั้งนั้นครับ ผมพยายามทานให้ได้มากที่สุด ซึ่งถ้าหากเป็นเวลาปกติผมสามารถฟาดเรียบหมดโต๊ะแบบสบายๆ แต่ตอนนี้ไม่ใช่ แค่ทานกุ้งไปไม่กี่ตัวและปลาไม่กี่คำ ผมก็รู้สึกอิ่มและผะอืดผะอม
“ไปเดินเล่นกันมั๊ย?” พี่เปรมถามผมหลังจากส่งยาหลังอาหารให้ผมกิน
พยักหน้ารับ ผมอยากออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์บ้าง เผื่อจิตใจที่ฟุ้งซ่านจะได้สงบขึ้น ผมควรจะเข้มแข็งและหยุดทำให้พี่เปรมเป็นห่วงและลำบากใจสักที
แสงแดดในช่วงบ่ายสี่โมงเย็นยังคงร้อนระอุ แต่เสียงคลื่น หาดทราย และสายลมที่อวลไปด้วยกลิ่นเค็มของทะเลทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น หาดแห่งนี้เป็นหาดส่วนตัวของโรงแรมที่พัก นักท่องเที่ยวมีไม่มากนัก ผมหันมองรอบตัวต่างคนก็ต่างไม่สนใจใคร ทุกคนต่างมีโลกของตัวเอง แต่ทำไมผมกลับรู้สึกว่าเหมือนมีใครกำลังมองผมอยู่ตลอดเวลา
“มีอะไร?”
ผมส่ายหน้าไปมาแล้วส่งยิ้มให้กับพี่เปรม บางทีผมอาจจะคิดมากไปเอง
น้องเปี๊ยกลิงโลดกับการตะกุยพื้นทรายวิ่งหนีเกลียวคลื่น พี่เปรมดุน้องเปี๊ยกไปหลายรอบเพราะกลัวว่าจะถูกคลื่นซัด ผมหันมองผู้ชายร่างสูงที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่ห่างไปไหน เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก เพราะปกติผมเป็นคนชวนคุยแต่เมื่อผมเงียบพี่เปรมก็มักจะเงียบด้วย แต่ถึงเช่นนั้นผมก็รู้สึกอบอุ่นใจและปลอดภัยเป็นที่สุดที่ทุกย่างก้าวของผม
เราเดินกันไปสุดหาดแล้วเดินกลับ จากนั้นก็หยุดนั่งบนพื้นทรายเมื่อตะวันเริ่มบ่ายคล้อย ผมหันไปมองรอบตัวอีกครั้งเพราะยังคงรู้สึกว่ากำลังถูกใครสักคนจับจ้อง แต่ก็ไม่เจอใครที่กำลังหันมองมาทางผมสักคน
“บ๊อกๆ บ๊อกๆ” นั่นไงครับ น้องเปี๊ยกก็รู้สึกเช่นเดียวกับผม
ผมตวัดสายตาหันไปมองอีกครั้งอย่างไว
“อะไร?”
“ไอรู้สึกเหมือนมีคนมองอยู่”
“ทางไหน?”
“ไม่รู้ แต่รู้สึกจริงๆ น้องเปี๊ยกก็รู้สึก ตั้งแต่ออกมาจากห้องพักแล้วอะ”
ใบหน้าคมที่ดูผ่อนคลายมาตลอดเริ่มตึงเครียดขึ้นอย่างชัดเจน พี่เปรมหันมองไปรอบๆ แล้วก็ไม่เจอใครเหมือนผม พี่เปรมหันกลับมามองหน้าผมอยู่ครู่หนึ่ง และผมก็เดาได้ว่าพี่เปรมคงกำลังจะบอกว่าผมคิดมากแน่นอน
“งั้นกลับขึ้นห้องกันเถอะ”
ผิดคาดครับ พี่เปรมไม่ได้ว่าอะไรผม แต่ชวนกลับห้องพักแทน พี่เปรมจับน้องเปี๊ยกขึ้นอุ้มด้วยแขนข้างเดียวและมืออีกข้างก็กุมมือผมไว้ ระหว่างทางมีคนหันมามองแต่พี่เปรมก็ไม่สนใจและไม่คิดจะปล่อยมือของผมออก จนกระทั่งตอนที่ยืนรอลิฟท์ เสียงทักทายที่ดังขึ้นทำให้ผมและพี่เปรมต้องหันไปมอง
“ไอ้เปรมกูกำลังจะไปหามึงที่ห้องอยู่เลย” ผู้ชายสามคนตรงหน้าคือเพื่อนในกลุ่มของพี่เปรมครับ พี่เจมส์ พี่วิทย์ พี่เอื้อ
“เรื่อง?” พี่เปรมก็ห้วนได้เสมอต้นเสมอปลายครับ
“พี่หมอโก้กับไอ้ยุ้ยชวนไปดินเนอร์ที่ห้องตอนหนึ่งทุ่ม น้องพบรักไปด้วยนะครับ ไปร่วมถล่มเจ้าภาพกันหน่อย” พี่เจมส์หันมาคะยั้นคะยอผม
“มึงโทรบอกกูก็ได้”
“กับมึงกูโทรได้ แต่กูให้เกียรติน้องพบรักเว้ย จึงต้องมาด้วยตัวเอง” พี่เอื้อกับพี่วิทย์ช่วยผสมลงโรง
ใบหน้าคมดุโหดขึ้นมาแทบจะทันทีครับ แต่พี่ๆ สามหนุ่มไม่ได้สะดุ้งสะเทือน ยังคงส่งยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตร
“ขอบคุณมากครับ ผมไปแน่นอนครับ” พี่เปรมหันมาส่งสายตาดุใส่ผม แต่ผมก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น
จนกระทั่งเสียงสัญญาณลิฟท์ดังขึ้น พี่เปรมดันผมให้เข้าไปในลิฟท์ แล้วกดปิดประตูอย่างไว พวกพี่ๆ ก็โบกมือยิ้มร่ามาให้ผม พร้อมบอกว่าคืนนี้เจอกัน
“พี่เปรมไม่อยากให้ไอไปเหรอ?” แกล้งถามไปอย่างนั้นแหละครับ เพราะผมรู้ดีว่าที่พี่เปรมหน้าโหดอยู่ตอนนี้เป็นเพราะอะไร
“กูสั่งให้มึงยิ้มให้คนอื่นตั้งแม่เมื่อไหร่?” นั่นไงล่ะครับ ทายผิดซะเมื่อไหร่
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นโดยไม่มองหน้าผม และมันก็ทำให้ผมต้องยิ้มกว้างให้กับตัวเองและน้องเปี๊ยก ซึ่งมันคงจะเป็นยิ้มที่กว้างที่สุดในรอบเดือนกว่าๆ ที่ผ่านมา
.
.
.
.
ดินเนอร์ที่ว่าถ้าพูดภาษาบ้านๆ ก็คือล้อมวงก๊งเหล้านั่นแหละครับ สมาชิกก็มีเฉพาะเพื่อนสนิทเท่านั้นซึ่งก็มีแค่สิบคนครับ ซึ่งแน่นอนว่ามีพี่ชายแสนดีของผมอย่างพี่ดินร่วมด้วยแน่นอน และจากที่พี่ๆ เค้าแซวกันทำให้ผมเพิ่งรู้ครับว่าพี่ยุ้ยไปบนบานศาลกล่าวเรื่องจับฉลากเลือกโรงพยาบาลและก็ได้ตามที่ขอไว้ครับนั่นคืออยู่ในจังหวัดเดียวกับพี่หมอโก้ แม้จะอยู่กันคนละอำเภอแต่ก็เดินทางได้สะดวก จบงานแต่งงานพี่ยุ้ยกับพี่หมอโก้ต้องไปแก้บนอีกหลายที่เลยล่ะครับ แต่ก็ถือว่าคุ้มค่ามากทีเดียว
น่าแปลกนะครับ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้าผมเป็นกังวลกับหลายๆ อย่าง แม้กระทั่งเรื่องที่กลัวว่าพี่เปรมจะอาย แต่พอเอาเข้าจริงผมในตอนนี้ก็โอเคดีทุกอย่าง พี่ๆ ทุกคนก็เป็นปกติไม่มีใครมองผมด้วยสายตาหรือท่าทีแปลกๆ สักนิด หรืออาจจะเพราะว่าพี่ๆ เค้าคุ้นเคยกับคนไข้เป็นอย่างดี หรือบางทีเพราะผมมีทั้งคนรักและพี่ชายที่น่ารักคอยดูแลอยู่ใกล้ๆ ผมจึงไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองแปลกแยกจากคนอื่น
“โอเคนะหนุ่มๆ เดี๋ยวขอสาวๆ ไปพักผ่อนกันก่อนนะ” ได้เวลาสี่ทุ่มเป๊ะ พี่ยุ้ยก็ลุกขึ้นจากโต๊ะเป็นคนแรก
“พี่หมอและพวกมึงก็อย่าแดกเหล้าเยอะ พรุ่งนี้ถ้าโทรมชั้นไม่ให้ถ่ายรูปคู่นะย่ะ” พี่โบว์กวาดสายตาเชิดๆ ใส่หนุ่มๆ ทั้งหลาย
“กูเสียใจมากเลยนะเนี่ยที่จะไม่ได้ถ่ายรูปคู่มึง” พี่เอื้อพูดประชดครับ เรียกเสียงฮาจากทุกคน
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ชั้นสวยแล้วอย่ามาง้อนะเว้ย” สาวผิวโอโม่อย่างพี่ริยาเชิดหน้าใส่บ้างครับ
“รีบๆ ไปเลยไป” พี่วิทย์ยกมือโบกไล่เลยครับ
ส่วนผมก็ได้แต่นั่งขำกับการแกล้งกันไปแกล้งกันมาของพวกพี่ๆ
“ไอ้เปรมมึงจะไปส่งน้องกูเอง หรือจะฝากน้องกูไปกับสาวๆ” พี่ดินหันไปถามพี่เปรมเสียงเข้ม พี่เปรมไม่ได้ตอบแต่ลุกขึ้นยืนทันที ผมได้ยินเสียงพี่ดินชมพี่เปรมว่า
‘ดีมาก ส่งน้องกูให้ถึงเตียงนอนนะมึง’ ซึ่งผมคิดว่ามันทะแม่งๆ อยู่นะครับ
“เดี๋ยวไอกับน้องเปี๊ยกไปพร้อมพวกพี่ยุ้ยได้ครับ” ห้องพักของพวกเราก็อยู่ชั้นเดียวกันทั้งหมด ไม่ได้ไกลกันคนละตึกสักหน่อย ผมไม่เข้าใจว่าพี่ดินกับพี่เปรมจะเป็นห่วงอะไรผมนักหนา ที่สำคัญคือผมเป็นผู้ชาย อย่ามาทำเหมือนผมเป็นสาวน้อยต่อหน้าเพื่อนๆ ได้มั๊ยเนี่ย
ดูเหมือนว่าพี่เปรมกับพี่ดินจะเข้าใจกระแสจิตที่ผมส่งไปให้ จึงยอมให้ผมมากับพวกสาวๆ ครับ เปิดประตูออกมาก็พี่ๆ ก็แยกเดินไปทางขวา ส่วนผมเดินไปทางซ้ายถัดไปแค่สี่ห้อง และระหว่างที่ผมกำลังเดินกลับไปห้องกับน้องเปี๊ยกนั้น มีใครคนหนึ่งวิ่งตัดหน้าผมไป มองแว่บเดียวก็รู้ว่าเป็นเด็กผู้ชายวัยรุ่น ซึ่งถ้าหากน้องเปี๊ยกไม่ส่งเสียงขึ้นมาเด็กคนนั้นก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของผมสักนิด
“บ๊อกๆ บ๊อกๆๆ”
ขาของผมชะงักหยุดในทันที เสียงของน้องเปี๊ยกทำให้เด็กคนดังกล่าวหันมามอง ในระยะห่างประมาณแปดเมตรและแสงสลัวตามทางเดินทำให้ผมมองสีหน้านั้นไม่ถนัด แต่ผมก็มั่นใจอย่างแน่ชัดว่าคนๆ นั้นคือใคร
เขื่อน??
“แง๊งงงงงงงงง” น้องเปี๊ยกขู่คำรามโชว์เขี้ยวเล็กๆ
ผมไม่ได้กลัว แต่รู้สึกตกใจและแปลกใจมากกว่ากับการที่เจอเด็กเขื่อนที่นี่
“ไอ.. มีอะไรรึเปล่า?” เสียงทุ้มที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งเฮือก
“พี่เปรม”
“กูไปส่งมึงดีกว่า เดี๋ยวมึงต้องกินยาด้วย”
ไม่ได้ฟังที่พี่เปรมพูดหรอกครับ ผมรีบชี้ไปทางเด็กคนนั้นทันที
“เด็กคนนั้น.. เอ๋???” หายไปไหนแล้วอะ??
“อะไร? ใคร?”
“เขื่อนไง ญาติพี่เปรมอะ ไอเห็นเค้าอยู่ตรงนั้น ตรงหน้าห้องพี่ดินเมื่อกี้ น้องเปี๊ยกก็เห็นนะ เด็กนั่นยังตกใจอยู่เลยที่เจอไอกับน้องเปี๊ยก”
“ไอ้เขื่อน?” พี่เปรมทวนชื่อ และผมก็รีบพยักหน้ารัวๆ ไม่มีทางที่ผมและน้องเปี๊ยกจะตาฝาดพร้อมกันเด็ดขาด
“ไอ้ปลื้มไม่ได้มางานนี้นะ” เสียงทุ้มพึมพำเบาๆ เหมือนพูดกับตัวเองมากกว่าพูดกับผม คิ้วเข้มขมวดแน่นอย่างใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินนำผมไปถึงห้องแล้วเปิดประตูห้อง
“เข้าห้องเถอะ”
ผมก็ไม่รู้ว่าพี่เปรมกำลังคิดอะไรอยู่ และผมก็ไม่ได้ถามออกไป ทุกอย่างจบลงและทิ้งไว้ตรงหน้าห้องพักครับ เพราะเมื่อผมกินยาแล้วหัวถึงหมอนก็หลับยาวไม่มีแม้กระทั่งความฝันอะไรทั้งสิ้น
.
.
.
.
วันงานมาถึง เราแต่งตัวใส่สูทผูกไทน์เหมือนกันก็จริง แต่แตกต่างกันอย่างชัดเจน พี่เปรมสูงสมส่วนดูดีทุกอย่าง ในขณะที่ผมซูบโทรมใบหน้าก็ซีดเซียว มิหนำซ้ำบนศีรษะยังดูทุเรศทุรัง ผมเลือกหมวกแบบคลาสสิคมาเป็นเครื่องประดับ ยืนสำรวจความเรียบร้อยอยู่หน้ากระจกอยู่แค่เดียวผมก็ถอยออกมา จะว่าไปตอนนี้ผมก็เหมือนกับคนที่กลัวเงาสะท้อนของตัวเอง
พี่หมอโก้เป็นลูกชายของผู้อำนวยการโรงพยาบาลของรัฐบาลแห่งหนึ่ง ส่วนพี่หมอยุ้ยก็เติบโตมาในครอบครัวที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องมือแพทย์ ดังนั้นงานในวันนี้จึงมีผู้หลักผู้ใหญ่จากในวงการแพทย์ของเมืองไทยมาเป็นสักขีพยานกันเยอะ รวมทั้งคุณตาและคุณยายของพี่เปรมด้วย ผมยังจำเหตุการณ์ในห้องอาหารของคฤหาสน์หลังใหญ่นั้นได้ดี คิดถึงทีไรก็รู้สึกขนลุกซู่
“บ๊อกๆ” น้องเปี๊ยกทำให้ผมหยุดความคิดเหล่านั้น แล้วย่อตัวลงเพื่อจัดเสื้อผ้าให้เจ้าตัวน้อย
“ลูกชายใครน๊า หล่อเหมือนพ่อเลย”
“บ๊อกๆ” มีรับด้วยครับว่าน้องเปี๊ยกลูกชายพ่อเปรม
“หล่อเกินหน้ากูนะมึงไอ้เปี๊ยก” แน่ะ นี่ก็อิจฉาลูกชายครับ
ผมจับอุ้มน้องเปี๊ยกขึ้น แล้วมือใหญ่ก็ยื่นมาตรงหน้าของผม
“ถ้าไอจับแล้วจะไม่มีวันปล่อยนะ”
“มึงคิดว่ากูจะให้มึงปล่อยรึไง?” ไม่ต้องรอครับ พี่เปรมดึงมือของผมไปกุมไว้แน่น ส่วนผมก็ทำได้แค่ยิ้มและก็ยิ้มเท่านั้นครับ
ข้างหน้าจะเจออะไร หรืออนาคตจะเป็นแบบไหน ผมคงจะไม่สามารถให้ความกลัวมาครอบคลุมจิตใจได้อีกแล้ว เพราะความอบอุ่นที่สัมผัสผ่านฝ่ามือใหญ่นี้ทำให้ผมรู้ว่าผมควรจะต้องปล่อยวางจากเรื่องทุกข์ใจสักที ผมควรจะใช้ชีวิตที่มีอยู่อย่างมีความสุขได้แล้วครับ
.
.
.
.
.
.