(ต่อนะคะ)
จากวันที่แสนวุ่นวายก็ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้ว...ไหล่ข้างที่บาดเจ็บหายดีตั้งแต่ไม่กี่อาทิตย์แรกที่กลับมาพักห้องด้วยความช่วยเหลือของเทพอย่างผม ถึงจะหายแล้วแต่ผมก็ยังบังคับให้ตินใส่ต่ออีกสักอาทิตย์เพื่อไม่ให้คนอื่นสงสัย
วันนี้เรียกว่าเป็นวันสำคัญวันหนึ่งก็ว่าได้...แต่วันที่ว่าไม่ใช่เทศกาลอะไรหรอกนะแต่เป็นวันที่ตินนัดคู่หมั้นอย่างอาริศาหรืออีฟไปดินเนอร์ก่อนจะบอกปฏิเสธเรื่องการหมั้นหมายที่ทางผู้ใหญ่จัดให้
ทางตินไม่ได้ดูตื่นเต้นอะไรเป็นพิเศษ เรียกว่านิ่งยังไงก็ยังคงนิ่งอยู่เหมือนเดิมก็ว่าได้...ไม่เหมือนผมที่รู้สึกตื่นเต้นแทนตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงปัจจุบันที่พวกเราเดินทางมาถึงโรงแรมหรูระดับ5ดาวที่ชั้นบนสุดมีภัตตาคารหรูเปิดให้บริการอยู่
“กาย...จิม”ก่อนเข้าไปตินหันไปเรียกบอดี้การ์ดคนสนิททั้งสองคน
“ครับ”ทั้งคู่ขานรับ
“กลับได้เลย...วันนี้ฉันจะค้างที่โรงแรมนี้”ตินบอกกับทั้งคู่
“เราจะค้างที่นี่เหรอติน”ดวงตาสีเขียวอ่อนของผมเบิกกว้างทันทีที่ได้ยิน
การได้มานอนค้างนอกสถานที่นี่เป็นครั้งแรกเลยตั้งแต่ที่มาอยู่กับติน
“ถ้ายังไงให้พวกเราเปิดห้องข้างๆดีไหมครับ”กายถามด้วยความเป็นห่วง
“ได้...ฉันจองห้อง2905ที่ชั้น29ไว้...ไปรอฉันที่ห้องก็ได้”ตินบอกอีกรอบ
“ครับคุณติน”
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยตินก็เดินเข้ามาภายในโรงแรมหรู ตามทางเดินถูกประดับด้วยไม้ประดับอย่างสวยงามแต่ถึงจะสวยยังไงก็ทำให้ผมรู้สึกไม่ค่อยชอบอยู่ดี...
“ทำไมทำหน้าแบบนั้น”ตินกระซิบถามเสียงเบา
“ดอกไม้พวกนี้เป็นของปลอม...ทำไมไม่เอาของจริงมาวางล่ะ”ดอกไม้ปลอมจะสู้ดอกไม้จริงได้ยังไงกัน
“ของปลอมมันดูแลง่ายกว่า”ตินตอบเสียงเบาก่อนจะเดินเข้าลิฟต์ไปและเพราะมีพนักงานคอยบริการทำให้บทสนทนาของเราต้องหยุดชะงักลง
บนชั้นที่30เป็นภัตตาคารที่หรูหรามากตั้งแต่ออกจากลิฟต์มาสิ่งแรกที่เห็นคือทางเดินสีนวลเงาแวววับจนผมต้องลองลงไปเดินดูว่าจะลื่นหัวฟาดรึเปล่า แถมข้างทางก็ถูกตกแต่งด้วยรูปภาพขนาดกลางสองฝากของผนังยาวไปถึงประตูกระจกที่มีพนักงานสาวสวยยืนยิ้มต้อนรับอยู่ด้านหน้า
“สวัสดีค่ะ...ได้จองไว้รึยังคะ?”พนักงานสาวถามอย่างมีมารยาท
“คณาธิป”ตินตอบสั้นๆ
“ค่ะ...คุณคณาธิปจองดินเดอร์ในมุมส่วนตัวนะคะ...เชิญด้านในเลยค่ะ”พูดจบพนักงานสาวคนเดิมก็เปิดประตูกระจกพาเดินเข้าไปยังโต๊ะที่จองไว้ในมุมส่วนตัวอย่างที่ว่า...
ตรงส่วนที่ตินจองไว้ดูจะเป็นมุมส่วนตัวที่แยกออกมาจากโต๊ะอื่นๆโดยมีต้นไม้ปลอมและรั้วสีขาววางขวางไว้...ดูเป็นมุมที่สงบเหมาะกับพาสาวมาเดทหรือกินมื้อค่ำคนเดียวเงียบๆแถมประจกบานใหญ่ด้านข้างก็สามารถมองเห็นวิวอันงดงามได้แทบทั้งเมือง
“ว้าว...สวยจัง”ผมนี่แทบจะมุมออกไปนอกกระจกด้วยซ้ำ การได้มองวิวของเมืองจากมุมสูงแบบนี้ทำให้รู้สึกดีมากเลย
“...พูดเหมือนไม่เคยดู”ตินพึมพำเสียงเบาแต่เพราะเราอยู่ใกล้ๆกันทำให้ผมได้ยินอย่างชัดเจน
“ปกติผมไม่ลอยขึ้นมาสูงขนาดนี้หรอก”
“ทำไมล่ะ”
“อืม...อย่าถามคำถามที่ตอบยากสิ”ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
“ยากตรงไหน”
“ตรงที่ไม่รู้คำตอบไง”ผมสวนกลับ
“หิวรึยัง?”ตินเปลี่ยนเรื่องพลางเปิดเมนูดู
“ผมหิวตลอดเวลาอยู่แล้ว...ยิ่งได้กลิ่นอาหารจากโต๊ะอื่นน้ำลายก็เกือบไหลแหนะ”
“นายบอกว่าเป็นเทพอะไรนะ”ตินถามพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมา
“เทพแห่งพฤกษา”ผมตอบอย่างรวดเร็ว
“นึกว่าเทพแห่งการกิน”
“ติน!”ผมเรียกชื่อคนยกยิ้มขึ้นดังลั่นก่อนจะง้างมือตบเข้าที่ไหล่อีกฝ่ายเพื่อแสดงความไม่พอใจแต่กลับถูกตินเบี่ยงตัวหลบจนผมแทบหน้าทิ่ม
“...คิดว่านั่งอยู่แล้วจะหลบไม่ได้รึไง”ใบหน้าที่สะใจนั่นก็ทำให้ผมขบฟันด้วยความหงุดหงิดแล้วแต่นี่ยังมีการยักคิ้วส่งมาอีก
“จะหาเรื่องกัน...”
“ตินคะ”ยังไม่ทันพูดจบเสียงอันคุ้นเคยของหญิงสาวผู้เป็นคู่หมั้นของตินก็ดังขึ้นพร้อมกับร่างของเธอที่วิ่งเข้ามาหมายจะกอดตินแต่ถูกมือข้างหนึ่งของตินดันออกในทันที
“ไปนั่งได้แล้ว”
“ค่า...วันนี้อีฟดีใจมากเลยที่ตินชวนอีฟมาดินเนอร์แบบนี้”ชุดสีชมพูดยาวฟูฟ่องไปถึงข้อเท้าสะบัดเล็กน้อยก่อนจะนั่งลงทางฝั่งตรงข้าม
“ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”ตินบอกไปตามตรง
“อะไรเหรอคะ”เธอถามกลับด้วยความอยากรู้
“...สั่งอาหารก่อนเถอะ”ตินเลี่ยงที่จะไม่พูดเลยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“ก็ได้ค่ะ...พี่คะสั่งอาหาร”อีกจัดการส่งเสียงเรียกพนักงานที่อยู่ไม่ไกลก่อนที่ทั้งคู่จะสั่งอาหารไป ขวดไวน์ดูมีราคาถูกยกมาเสิร์ฟมาเป็นอย่างแรก
พวกเครื่องดื่มแบบนี้ผมไม่เคยได้กินเลยสักครั้งทั้งที่เป็นวัตถุดิบจากธรรมชาติอย่างองุ่นแท้ๆ...
อยากลองสักแก้วจัง
ผมได้แต่นึกพลางมองแก้วที่มีของเหลวสีแดงอยู่เกือบครึ่งแก้วบนโต๊ะข้างตัวติน
“ตินมีอะไรจะคุยกับอีฟเหรอคะ”ระหว่างที่จัดการในจานเธอก็ถามขึ้นอีกรอบ
“การหมั้นของเราถือเป็นโมฆะเถอะ”
“...”คำพูดตรงๆจากปากตินทำฝ่ายหญิงทำมีดที่ถืออยู่ตก
“ติน...ไม่มีคำพูดที่ดีกว่านี้แล้วเหรอ...แบบว่าอ้อมๆหน่อยก็ได้”ผมบอกเสียงดัง ดูยังไงประโยคเมื่อครู่ก็ทำร้ายจิตใจผู้หญิงมากอยู่นะ
“...ตินพูดจริงเหรอคะ”เธอถามเสียงอ่อย
“อืม...ฉันไม่ได้ชอบเธอ”
“แต่อีฟรักตินนี่คะ”
“เธอควรลองเปิดใจกับคนรอบข้างบ้าง”
“...อีฟไม่อยากถอนหมั้นกับติน”น้ำเสียงเศร้าๆนั่นทำให้ผมรู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก
“ฉันไม่คิดจะเปลี่ยนใจ”ตินเองก็ตอบไปตรงๆเช่นกัน
ผมว่าแบบนี้ก็ดีนะ...
ไม่มีการให้ความหวัง
ถ้ายิ่งพูดอ้อมฝ่ายที่ถูกปฏิเสธก็ยิ่งจะทำใจลำบากมากขึ้นเท่านั้น
“...เข้าใจแล้วค่ะ”เธอก้มหน้าลงไปสักพักก่อนจะตอบกลับเสียงเบา ผมสังเกตนะว่ามีน้ำตาไหลลงมาด้วย
“ขอบคุณที่เข้าใจ”
ครืดด~ ครืดดด~
เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้คิ้วของตินขมวดเข้าหากันเพราะเสียงนั่นดังมาจากกระเป๋าของตัวเอง...เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดวงตาสีฟ้าก็หรี่ลงทันที
“ขอไปรับสายสักพัก”ตินหันไปบอกอีกแล้วเดินออกไปด้านนอกทิ้งให้ผมอยู่กับหญิงสาวที่บัดนี้น้ำตาไหลอาบแก้มเรียบร้อยแล้ว
“ผมไปด้วยสิติน”ให้ผมอยู่ในบรรยากาศอึดอัดแบบนี้ไม่เอาด้วยหรอก
ร่างของผมในชุดยูกาตะสีน้ำเงินลายเดิมๆลอยตามตินออกไปยังระเบียงด้านนอกที่มีสายลมพัดมาแทบจะตลอดเวลา
“...ต่อให้คินไม่ได้ชอบเธอผมก็ไม่คินจะแต่งกับเธอแต่แรกแล้ว”จากคำพูดของตินทำให้ผมรู้ว่าปลายสายต้องเป็นหนึ่งในคอบครัวเขา ไม่พ่อก็แม่
“...นี่คินพูดอะไรให้พ่อฟังเนี่ย!”คิ้วทั้งสองข้างถึงกับขมวดแน่นเมื่อได้ยินประโยคบางอย่างซึ่งผมก็ได้แต่ลอยวนไปรอบอย่างสงสัยเพราะไม่ได้ยินบนสนทนาแบบเต็มๆ
“ถ้าผมบอกว่าไม่ใช่พ่อจะเชื่อไหมล่ะ”
“...เอาที่พ่อสบายใจเลยครับ”คำพูดสุดท้ายนั้นดูจะเป็นการปิดบทสนทนาที่แปลกอยู่
“เกิดอะไรขึ้นเหรอติน”ผมรีบเข้าไปถาม
“ไม่มีอะไรแค่เรื่องเดิมๆ”ตินตอบก่อนจะเดินกลับเข้าไปในร้านตามเดิมจนถึงโต๊ะที่มีคู่หมั้นนั่งอยู่แต่ใบหน้านั้นไม่ได้นองด้วยน้ำตาเหมือนอย่างก่อนไปแล้ว
ทำใจได้เร็วเกินคาดแฮะ
“ตินคะ”เสียงหวานออกแหลมเรียกคนที่นั่งลงพร้อมยกแก้วไวน์ขึ้นมาจิบ
“อะไร”
“อีฟจะพยายามตัดใจจากตินนะคะ”เธอบอกเสียงสั่น
“อืม...อึก...พะ...”ท่าทางแปลกๆของตินเรียกให้ผมลอยลงไปหาแต่ทันทีที่ลงไปดวงตาสีฟ้าสดก็ปิดลงพร้อมกับฟุบลงกับโต๊ะอย่างน่าสงสัย
เกิดอะไรขึ้น?
อย่าบอกนะว่ามีใครคิดจะฆ่าตินอีกน่ะ?
“ตินคะ...อีฟขอโทษนะคะ”ผมรีบหันไปมองผู้หญิงอีกฝั่งทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น
เธอลุกขึ้นจากก้าวอี้ก่อนจะเดินเข้ามาตินที่ฟุบตัวอยู่โต๊ะด้วยแววตาที่บอกไม่ได้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่...แต่จากที่มองก็พอรู้ว่าคนที่ทำให้ตินเป็นแบบนี้คือผู้หญิงคนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
จะบอกว่าเธอคือคนที่ต้องการจะฆ่าตินเหรอ
ก็ไม่น่าใช่
ระหว่างที่คิดหาความจริงร่างของตินก็ถูกพาลงไปยังชั้น20ด้วยฝีมือของพนักงานชายที่ถูกอีฟเรียกให้มาช่วย...ด้วยคำโกหกว่าตินเมาจนหลับไปทำให้ไม่มีใครสงสัยเลยสักนิด
“ติน...นี่ติน”ผมรีบลอยไปนั่งทับบนแผ่นอกที่ขยับไปมาเป็นจังหวะพร้อมออกแรงทุบที่หน้าอีกคนบนเตียงแต่ปฏิกิริยาที่ได้รับก็ยังคงเหมือนเดิม
จากอาการต้องเป็นยานอนหลับแน่ๆ
“ตินคะ...”เสียงของผู้หญิงเพียงคนเดียวในห้องดังขึ้นพอดีกับสายตาผมที่หหันไปก่อนจะเบิกกว้างขึ้นเพราะเธอออกมาด้วยร่างกายเปลือยเปล่ามีแค่ผ้าขนหนูผืนเดียวเท่านั้น
“เฮ้ย...อย่าบอกนะว่า...”ผมสะดุ้งตัวทันทีเมื่อรู้ว่าสิ่งที่ผู้หญิงตรงหน้าคิดคืออะไร
“อีฟอยากแต่งงานกับตินจริงๆนะ...เพราะงั้นตอนเช้าอีฟจะโทรเรียกพ่อให้มานี่ แบบนั้นตินคงจะถอนหมั้นไม่ได้แล้ว”เธอบอกพร้อมกับขึ้นไปนอนข้างๆตินก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือมาปลดกระดุมเสื้อออกทีละเม็ด
เพราะตินยกเลิกการหมั้นเธอเลยต้องใช้วิธีนี้เพื่อจะให้พวกผู้ใหญ่เห็นว่าทั้งคู่มีอะไรกันสินะ
“โอ้ย...ผมจะทำยังไงดีติน”ผมถามคนบนเตียงเสียงเครียด
ทำไมผมต้องมาเครียดแทนคนที่นอนหลับสบายด้วยเนี่ย
ภายในหัวคิดหาหนทางแก้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี่ตลอดแม้ทั้งห้องจะมืดสนิทเพราะถูกฝ่ายหญิงปิดไฟก็ตามที...โชคยังดีที่อีฟแค่สร้างสถานการณ์ขึ้นไม่ได้คิดจะปล้ำตินจริงไม่งั้นผมคงต้องชกท้องเธอให้สลบแล้วลากไปนอนข้างๆตินจนถึงเช้า
มีหลายแผนที่ผมคิดออกอย่างอาศัยตอนที่อีฟหลับลากตินออกจากห้องแต่แผนนี้ค่อนข้างเสี่ยงเพราะชั้นที่ตินจองไว้คือชั้น29ก็แปลว่าผมต้องลากตินขึ้นบันไดถึง9ชั้นไม่ก็ต้องพาตินเข้าลิฟต์โดยไม่มีคนเห็นซึ่งไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็ดูจะไม่รอดสักทาง...
แค่ลิฟต์ก็มีพนักงานคอยกดให้ขืนลากตินเข้าไปได้เกิดเรื่องพอดี
อีกแผนที่คิดได้คืออาศัยตอนที่อีฟหลับใช้ผ้านวมม้วนเธอไว้ก่อนจะผูกด้วยผ้าขนหนู...เมื่อถึงตอนเช้าที่พ่อเธอมาจะได้เห็นกันไปเลยว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่ว่าภายในห้องก็มีแค่ตินคนเดียวที่สามารถม้วนเธอได้แผนการนี้จึงเป็นอันยุติเพราะจะทำให้ตินยิ่งยุ่งยากมากกว่าเดิม
“เอ๊ะ...หรือผมควรจะลากตินไปขังไว้ในห้องน้ำ?”อยู่ๆก็นึกแผนนี้ขึ้นมาได้
ถ้าให้ตินขังตัวเองจนถึงตื่นก็จะสามารถบอกได้ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่ก็ดูไม่ค่อยหน้าเชื่อถือ...แถมถ้าเกิดฝ่ายหญิงโกหกว่ามีอะไรเกิดขึ้นก่อนที่ตินจะหนีเข้ามาอยู่ในห้องน้ำก็คงแย่
“โอ้ย...ทำไมผมต้องมานั่งเครียดเรื่องคุณด้วยเนี่ย...ตื่นมาช่วยกันคิดหน่อยติน”ผมพูดพลางตบหน้าสองข้างของตินไปมา
หลายชั่วโมงได้ผ่านไปจนถึงช่วงเช้าแห่งความยุ่งอยาก...อีฟที่ไม่รู้จะตื่นเช้าทำไมได้โทรไปหาผู้ที่อาจเป็นพ่อด้วยน้ำเสียงเศร้าจนผมอยากจะแย่งโทรศัพท์นั้นมาโยนออกไปนอกโรงแรมจากชั้น20นี่ซะเลย
“แล้วคุณจะหลับอีกนานไหม?!”ผมตะโกนเสียงพร้อมกับใช้เท้าเหยียบเข้าที่ท้องตินแล้วย่ำไปมาด้วยความหงุดหงิด
ยิ่งเวลาเหลือน้อยเต็มทีผมก็รู้สึกเหมือนหัวตัวเองค่อยๆขาวโพลนเพราะคิดอะไรไม่ออกสักอย่าง ความจริงก็คิดออกหลายอย่างเพียงแต่สิ่งที่คิดนั้นไม่สามารถทำได้เท่านั้นเอง
“...อึก...อื้อ...”เสียงครางทุ้มของตินทำให้ผมรีบพลิกตัวกลับไปมองหน้าคนบนเตียงทันที
“ติน...ตินๆๆ...รีบตื่นเร็วเข้า!!”ผมตะโกนสุดเสียง
ฝ่ายหญิงเองก็ดูจะมีสีหน้ากังวลเล็กน้อยเมื่อตินเริ่มขยับตัว
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“อีฟ...ลูกอยู่ข้างในใช่ไหม”เสียงแหบออกแนวผู้ใหญ่นั่นทำให้ผมถึงกับเหลือกตาขึ้นมองเพดาน
ทำไมมาเร็วเหมือนนัดไว้แบบนี้เล่า!
“พ่อคะ...เปิดมาเลยค่ะ”
“เธอก็เดินไปเปิดให้สิ!”ผมตะโกนเสียงดังใส่ผู้หญิงที่แกล้งยกผ้านวมขึ้นมาคลุมร่างกายตัวเองไว้อย่างอายๆ
แกร็ก
ประตูบานใหญ่ที่เปิดขึ้นพร้อมกับร่างของบุคคลที่คุ้นเคยทำเอาผมอ้าปากค้าง...ดูจากคนแรกที่ผมไม่เคยเห็นก็เดาได้เลยว่าเป็นพ่อของอีฟแต่คนหลังนี่สิ...
เส้นผมสีน้ำตาลกับดวงตาสีฟ้านั่นผมเคยเจอเมื่อครั้งก่อนที่ห้องของติน
“คิน...”ผมพึมพำออกมาอย่างหมดแรง
เจ้าของเส้นผมสีน้ำตาลกับดวงตาสีเดียวกันของคินกลับเดินเข้ามาด้วยโดยที่ด้านหลังมีกาย จิมและบอดี้การ์ดอีกหลายคนยืนอยู่
สถานการณ์ตอนนี้เรียกว่าแย่สุดๆ นอกจากจะต้องถูกจับแต่งงานกับอีฟแล้วยังอาจจะทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวพังทลายเพราะคินคงคิดว่าพี่ชายตัวเองหักหลังได้
“โอ้ย...เอาไงดีๆ...”
“อื้อ...แพน...”เสียงแรกที่ตินเรียกออกมาทำให้ทุกคนที่เข้ามาเงียบสงัดกันเป็นแถวรวมทั้งหญิงสาวที่นอนอยู่ข้างกายด้วย
เสียงพึมพำของตินทำให้ผมคิดอะไรขึ้นมาได้
“ติน...เรียกผมอีกสิ”ผมลอยไปหาอีกฝ่ายพร้อมลูบใบหน้านั่นเหมือนปกติ
“...อะไรแพน...”
“เยี่ยมมาก...ถึงผมจะไม่อยากใช้วิธีนี้แต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้ว”ผมบอกคนบนเตียงเสียงเบาก่อนจะลอยตัวเข้าไปอยู่ในตู้เสื้อผ้าด้านข้าง ดวงตาสีเขียวอ่อนของผมค่อยๆหลับลงเพื่อตั้งสมาธิในการปรากฏร่างของตัวเองออกมา
สิ่งที่ผมคิดจะทำคือออกไปบอกกับทุกคนว่าทั้งคู่ไม่ได้มีอะไรเพราะมีบุคคลที่สามอย่างผมอยู่ด้วยทั้งคืน
ผมไม่ชอบการให้มนุษย์เห็นตัว
แต่ถ้ามันทำให้ตินไม่ถูกกล่าวหาผิดๆผมก็ยอม
“...ที่นี่ที่ไหน”ฟังจากเสียงข้างนอกก็เดาได้ว่าตินตื่นเต็มตาแล้ว
“พี่ชายนี่เกิดอะไรขึ้น!”เสียงต่อมาที่ได้ยินคือเสียงของคินที่ดูจะโกรธไม่น้อย
“อีฟ...เกิดอะไรขึ้น”เสียงนี้เป็นเสียงเดียวกับที่เคาะประตู
“คือ...หนูกับคินเรามีอะไรกันแล้วค่ะ”เธอตอบเสียงเศร้า
เอาล่ะ...ถึงตาผมแล้วสินะ
แกร็ก
“ที่เธอพูดไม่เป็นความจริงครับ!”ผมผลักประตูตู้เสื้อผ้าออกก่อนจะเดินออกไปปรากฏตัวให้ทุกคนได้เห็น ตินเองก็หันมามองผมอย่างงงงวย
“แพน...”เสียงเรียกนั่นเหมือนจะถามว่าผมกำลังจะทำอะไร
เขาคงยังไม่รู้ว่าตอนนี้ทุกคนในห้องสามารถเห็นร่างผมได้
“แพน?...พี่จะบอกว่าหมอนี่คือแพน?”คินที่อึ้งไปชี้มายังผมด้วยความตกตะลึง คนอื่นๆที่มองมาเองก็ดูเหมือนยังไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้านัก
“...”ดวงตาสีฟ้าสดของตินหรี่ลงอย่างสงสัยทำทำไมน้องชายตัวเองถึงชี้มาที่ผมได้
“ผมอยากบอกว่าทั้งคู่ไม่ได้มีอะไรเพราะผมอยู่ในห้องนี้ด้วยตลอดทั้งคืน”ผมพูดออกไป
“แล้วเธอเป็นใคร”พ่อของอีฟถามเสียงเข้มโดยที่กวาดสายตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า
ไหนๆเรื่องมันมาถึงขนาดนี้แล้ว...
ทำให้มันสุดไปเลยละกัน
“ผมเป็นแฟนของติน!”
............................................................................................
มาอัพต่อแล้ววว
ขออภัยมากมายที่วันนี้มาอัพช้ามาก
พอดีติดภารกิจพึ่งได้แตะคอมนี่เอง
ตอนนี้ยาวมากกกกก
คงจะแทนคำขอโทษได้นะคะ
หวังว่าทุกคนจะชอบว่ามุ๋งมิ๋งและความน่ารักของแพนและตินนะ
ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้า
บ๊ายบายค่ะ^^
nicedog
♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪ ღ♫ ♪ ♪