ฝนหยดที่ 14 เสียงความไม่ลงรอยกันทางความคิดของผู้ใหญ่สองคนที่โต้คารมใส่กันทำให้คนที่ได้ยินคำพูดที่บั่นทอนความสุขที่มือคู่น้องพึ่งไขว่คว้าจับไว้ได้นั้นแทบใจสลาย
ชาติก้มมองดูคุณหนูตัวน้อยที่เขาเฝ้าดูแลมานานอย่างเป็นสงสารจับใจ ยิ่งดวงตาแววหวานนั้นฉ่ำไปด้วยคาบน้ำตาแบบนี้เขายิ่งกระชับแขนที่กอดร่างเล็กๆนั้นเอาไว้ให้แน่นขึ้น
“อย่าคิดมาเลยนะครับคุณหนู”
เขาพูดปลอบก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยน้ำตาหยดน้อยบนแก้มยุ้ยนั้นออกเบาๆ
“ทำไมคุณย่าต้องเกลียดคุณแม่ด้วย ฮึก คุณแม่ของเกรทใจดีทำไมคุณย่าต้องว่าคุณแม่ด้วย”
แรงสะอื้นจนตัวสั่นของเด็กชายที่ซบหน้าอยู่กับอกของเขา ทำเอาเขาเองก็พูดไม่ออกเหมือนกันว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี เพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องมาอยู่กับเจ้านายตัวน้อยในสถานการณ์แบบนี้ถึงจะไม่กล้าพูดว่าเข้าใจความรู้สึกนั้นเพราะเขาเองก็ไม่เคยเจอกับเรื่องราวแบบนี้ แต่ถ้าใครมาว่าแม่ผู้ให้กำเนิดของเขาละก็เขาก็คงไม่ชอบเช่นเดียวกัน
“อาชาติ คุณพ่อกับคุณแม่จะได้กลับมาอยู่ด้วยกันไหมเกรทอยากอยู่กับคุณพ่อคุณแม่”
โธ่ คุณหนูของชาติ หน้าแดงตาช้ำไปหมดแล้ว เขาได้แต่พูดออกมาในใจแต่เมื่อกำลังจะอ้าปากพูดเสียงของคุณหญิงใจร้ายก็ดังแทรกมาเสียก่อน
“ฉันไม่มีวันยอมรับไอ้เด็กนั้นแน่ แกได้ยินไม แกกับมันไม่มีวันจะได้อยู่ด้วยกันจำเอาไว้!!!”
“ฮึก แงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง”
เขาแทบประสาทเสียกับคำพูดที่อะไรมันจะเหมาะเจาะเจาะจงแบบนี้ แล้วยิ่งเกรทร้องไห้หนักขนาดที่ไม่ว่าเขาจะพูดอะไรเด็กน้อยก็ไม่ยอมรับฟังแบบนี้ คนดูแลอย่างเขาก็ทำอะไรไม่ถูกเหมือนกันคงจะทำได้แค่กอดเจ้านายตัวน้อยไว้แล้วลูบหลังเบาๆเท่านั้น
สักพักหนึ่งบานประตูห้องนอนของเกรทเปิดออกเจ้าของหัวตัวน้อยมีอาการสะดุ้งเล็กน้อยแต่เมื่อพอเห็นว่าเป็นใครที่เปิดประตูนั้นเข้ามาแล้ว เกรทก็เบาะปากร้องไห้ออกมามากกว่าเดิมพร้อมอ้าแขนออกกว้างให้ผู้เป็นพ่ออุ้ม
“คุณพ่อ ฮือฮือ”
เกรทตัวลอยขึ้นจากเตียงเข้าไปซุกหน้าเล็กๆของตนลงกับไหล่กว้างของพ่ออย่างหาที่พึ่งพิง ใครว่าเด็กฟังไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจไม่จริงเลย เด็กสามารถรับรู้ได้ว่าใครเป็นใครและเกิดอะไรขึ้นแต่เพราะเป็นเด็กการแสดงออกจึงอาจไม่ประสีประสา แต่นี้คือผ้าขาวที่ถูกทาร้ายมากๆก็ต้องบางลงและขาดง่ายเป็นเรื่องธรรมดา
“อย่าไปฟังที่คุณย่าท่านพูด ยังไงพ่อก็จะพาคุณแม่กลับมาอยู่กับเราให้ได้แน่”
ชิตรัตน์พูดกับลูกชายเบาๆที่ข้างหูของเกรทที่ซบหน้าร้องไห้จนตัวสั่นเพื่อปลอบโยน เขาเป็นห่วงลูกการที่เด็กตัวแค่นี้ต้องมารับรู้ความรู้สึกเกลียดชังของผู้ใหญ่แบบนี้มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ไหนจะสภาพจิตใจของเด็กอีก
“แต่คุณย่า” เกรทสะอื้นเบาๆ
“พ่อสัญญา ต่อให้คุณย่าจะพูดอย่างไรพ่อก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้เราได้อยู่กับคุณแม่”
ต่อให้ต้องแตกหักกันเขาก็คงต้องยอมรับมัน เพราะยังไงตอนนี้สิ่งที่เขาเป็นห่วงมากที่สุดก็คือลูก เกรทจิตใจย้ำแย่มามากเกินไปแล้วเขาผิดเอง ที่ลูกเป็นแบบนี้ก็เพราะเขา พ่อขอโทษ.........................
ชิตรัตน์เดนอุ้มลูกชายไปรอบๆห้องอยู่ครู่หนึ่งจนแน่ใจว่าแรงสะอื้นนั้นเริ่มเบาลงเขาจึงหันไปโบกมือให้ชาติที่ยังมองตรงมาที่พวกเขาด้วยสีหน้าเป็นห่วงคลายกังวลลงแล้วออกไปก่อน
เขาพาเด็กน้อยตาบวมช้ำกลับมานอนรอที่เตียงก่อนที่เขาจะจัดการเอาผ้าชุบน้ำที่ชาติวางเอาไว้ที่ข้าวเตียงมาเช็ดหน้าเช็ดตาให้ลูกเสียใหม่พร้อมเปลี่ยนเสื้อผ้าเตรียมนอนให้ โดยเขาตั้งใจว่าจะอยู่เป็นเพื่อนจนกว่าลูกชายของเขาจะหลับเพื่อให้แน่ใจว่าแม่ของเขาจะไม่เข้ามาวอแวอะไรหลานในคืนนี้อีก
“คุณพ่อ..สัญญากับเกรท...แล้ว...นะ”
ชิตรัตน์ยิ้มชื่นให้ลูกชายที่ละเมอพูดออกมาอย่างเจ็บลึกในใจ ในฝันลูกเขาจะยังร้องไห้อยู่อีกหรือเปล่านะ เขาคิดก่อนจะจับมือคู่น้อยของเกรทขึ้นมาแล้วจูบลงไปเบาๆ
“พ่อรักลูกนะเกรท”
.....................................................................................
ความมืดยามค่ำคืนถูกแทนที่ด้วยแสงสว่างยามเช้าที่บอกถึงการเริ่มต้นของวันใหม่และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในตอนเช้านั้นก็คือมื้อแรกของวันที่สำคัญที่สุด กลิ่นข้าวต้มหมูแสนอร่อยของแม่ครัวประจำบ้านหลังโตส่งกลิ่นยั่วน้ำลายรอให้ผู้ที่เดินเข้ามาใหม่อยากลิ้มลอง
“คุณพ่อ!!”
เสียงแจ้วจ้าวของเกรทดังขึ้นพร้อมเจ้าตัวเล็กที่วิ่งนำชาติเข้ามายังห้องอาหารเรียกความสนใจของเขาที่กำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับธุรกิจยามเช้าให้หันไปมอง
“ไงครับคนเก่ง”
เขาเอี้ยวตัวอุ้มลูกชายขึ้นนั่งที่ตักก่อนจะหอมแก้มยุ้ยนั้นอย่างเคยก่อนจะวางลูกชายลงกับเก้าอี้กินข้าวข้างตัวที่วางเบาะรองเอาไว้เพิ่มความสูงให้เจ้าตัว
“ทานข้าวกันเลยดีกว่าครับเดี๋ยวจะไปโรงเรียนสาย”
ชิตรัตน์พูดขึ้นพร้อมเรียกให้แม่บ้านที่ยืนอยู่ตักข้าวต้มใส่ชามให้พวกเขาได้เลย โดยไม่รอเจ้าของบ้านอีกคนหนึ่งที่ยังคงปรับตัวเขากลับเวลาของไทยไม่ได้เลยเจ็ทแล็กอยู่บนห้อง ซึ่งนั้นก็ดีเพราะเขากับลูกเองก็คงยังไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายตอนนี้แน่
หลังจากกินข้าวเช้ากันเรียบร้อยแล้ว เขาก็พาลูกชายขึ้นรถเพื่อจะไปส่งที่โรงเรียนก่อนจะเลยไปที่ทำงานของเขา ชิตรัตน์ทำแบบนี้ทุกวันในตอนเช้าคือการไปส่งลูกชายถึงหน้าห้องเรียนไม่ใช่ว่าไม่ไว้ใจให้ชาติมาส่งเองแต่เพราะอย่างน้อยเขาก็รู้สึกอุ่นใจว่าลูกเขาอยู่ในมือของคุณครูเรียบร้อยและเพื่อไม่ต้องการให้เกรทรู้สึกขาดอะไร ถึงในความเป็นจริงจะไม่ใช่แบบนั้น...
“นี่ คุณพ่อ”
“ครับ”
“ทำไมคุณแม่ไม่มารับเกรทที่โรงเรียนบ้าง”
นี่ไง คำถามตั้งแต่กลับมาจากใต้ที่เขามักจะได้ยินเป็นประจำ จนเหมือนเป็นคำถามประจำก่อนเข้าเรียนของเจ้าตัวเล็กไปเสียแล้ว
“เมื่อคืนคุณแม่ก็บอกแล้วไงครับ ว่าตอนนี้คุณแม่ช่วยคุณลุงทำงานอยู่เลยมารับเกรทไม่ได้”
เขาตอบออกไป เพราะมันไม่ใช่แค่เขาหรอกที่โดนถาม เกลเองก็โดนถามด้วยเช่นกัน เกรทเบาะปากเหมือนจะร้องไห้ก่อนจะซบลงกับไหล่กว้างของพ่อแล้วเงียบไปตลอดทานจนเข้าห้องเรียน
ท่าทีเซื่องซึมของเกรทแสดงออกมาชัดจนเอาได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าเด็กๆต้องการความรักจากครอบครัว โดยเฉพาะเด็กอย่างเกรทที่เพิ่งได้เจอกับแม่แท้ๆ อีกทั้งปมในใจที่มีอยู่เดิมจึงไม่แปลกอะไรถ้าเกรทจะมีปฏิกิริยาเช่นนั้นออกมา
“คิดเรื่องอะไรอยู่หรือครับ”
ชาติที่รับหน้าที่ขับรถอยู่ถามขึ้นหลังจากลอบมองสีหน้าหนักใจของเจ้านายมาได้พักใหญ่ๆแล้วตั้งแต่ออกจากโรงเรียนมา
“หลายเรื่องนะ แล้วก็คิดไม่ตกเลยสักเรื่อง” เขาพูดอย่างปลงๆ
“รวมถึงเรื่องที่คุณหนูพูดเมื่อตอนนั้นด้วยใช่ไหมครับ”
“นั้นก็ด้วย ตาเกรทน่ะคงอยากให้เกลมาส่งมารับบ้าง ไหนๆ ก็เจอแม่แล้วทั้งทีนี่ ก็คงอยากอวดเพื่อนๆ บางตามประสาเด็กนั่นแหละ” เขาพูดยิ้มๆ กับอาการเด็กอยากอวดแม่ของลูกชาย
“หรือฉันจะลองไปของให้เกลมารับตาเกรทเย็นนี้เลยดีไหม” ถึงจะไม่รู้ว่าอีกคนจะว่างหรือเปล่าแต่ก็น่าจะลองดูสักหน่อย
“ก็ดีนะครับ แต่ว่าคุณธานจะยอมหรือครับ”
“น่าจะได้อยู่นะ” นั้นแหละคือสิ่งที่ทำให้เขาคิดอย่างหนัก เพราะไม่ใช่ว่าไม่รู้ว่าคนที่กำลังพูดถึงนั้นห่วงน้องขนาดไหนถ้าเขาของฝ่ายนั้นต้องไม่ยอมง่ายๆแน่
ทั้งสองคุยกันเรื่องนี้จนถึงที่ทำงานชาติส่งเจ้านายของตนลงที่หน้าประตูทางเข้าก่อนที่ตนเองจะนำรถเข้าไปจอดที่ช่องจอดรถของผู้บริหาร
ชิตรัตน์ทักทายรปภ.ที่เปิดประตูให้พูดคุยเรื่องแขกกับพนักงานตอนรับ ถามความต้องการและความพอใจกับลูกค้าที่เข้าพักที่โรงแรมของตนที่เขามักจะทำจนติดเป็นนิสัยตั้งแต่เข้ามาเริ่มทำงานที่นี้จนกลายเป็นสิ่งที่เขาต้องทำในทุกๆครั้งเนอย่างแรกที่เข้าโรงแรม
“แหม่ คุณแก้วเนี่ยน่าอิจฉาจังเลยเนอะแก คนเก่าก็ว่าดีแล้วนะ คนใหม่นี่โคตรดีเลย ดูสิมีประคองกันด้วย”
“นั่นสิ ดูแลดีขนาดนี้ฉันล่ะอยากได้บ้าง คุณแก้วนี่ทำบุญด้วยอะไรนะ อยากรู้จริง”
เสียงของพนักงานสาวสองคนที่ยืนอยู่ไม่ไกลเรียกความสนใจของเจ้านายที่ไม่เคยมีเวลาจับกลุ่มนินทาคนอื่นอย่างเขาได้อย่างจัง จนเขาต้องหันไปมองตามสายตาของสองสาวนั้น จึงได้เห็นเลขาคนสวยของตนที่กำลังเดินเข้ามาในตัวโรงแรมพร้อมด้วยหนุ่มลูกครึ่งที่คุ้นหน้าคุ้นตาดีคอยช่วยพยุงทามกลางสีหน้ากึ่งขำกึ่งแซวของพนักงานโรงแรมของเขาที่กำลังมองภาพคู่รักคู่กัดที่กำลังเดินเข้ามา ความหมายของคำพูดเมื่อคืนคงจะเป็นสิ่งนี้สินะ
“เขามาส่งแบบนี้ทุกวันเลยเหรอ”
“ว้าย!! ท่านประธาน” เพราะไม่คิดว่าเจ้านายของตนจะเข้ามาร่วมวงด้วยทำเอาสาวเจ้าตกใจกันยกใหญ่
“ว่าไงล่ะ” ถามอีกครั้ง โดยยังไม่ละสายตาไม่จากคนทั้งคู่
“ทุกวันเลยค่ะ เนี่ยประคองคุณแก้วตลอดเลย สงสัยกลัวหาย อิอิอิ” หนึ่งในนั้นบอก
“จริงค่ะ ขนาดท้องอยู่นะคะยังเสน่ห์แรงขนาดนี้ อยากรู้จริงค่ะว่าถ้าไม่มีเจ้าตัวเล็กคุณแก้วจะเสน่ห์แรงขนาดไหน” อีกคนกล่าวเสริม
“นั่นสินะ” เขาตอบอย่างเห็นด้วย ดูคุณธานแกจะหลงเลขาเขาเป็นอย่างมากเหมือนที่สองสาวนี้ว่าจริงๆนั้นแหละ
“แต่ว่านะคะท่านประธานนิดว่า นิดคุ้นๆหน้าแฟนใหม่คุณแก้วจังเลยค่ะ เหมือนว่าเขาเคยมาที่โรงแรมเราก่อนหน้าที่จะเริ่มจีบคุณแก้วด้วย” หญิงสาวเอ่ยพลางทำหน้าคิดตามไปด้วย
“หึหึหึ” เขาหัวเราะในลำคอกับความช่างสังเกตของพนักงาน
“ท่านประธานหัวเราะทำไมคะ” หญิงสาวอีกคนถามขึ้น
“อยากรู้ก็ลองถามเจ้าตัวเองสิ นั่นไงมานู้นละ” เจ้านายหนุ่มพูดพลางชี้ไปที่คู่รักซึ่งกลายเป็นหัวข้อสนทนาเมื่อครู่
“แก้ว!”
เขาตะโกนเรียกคนที่กำลังเดินเข้าประตูมาพร้อมโบกมือเรียกให้เจ้าของชื่อเดินเขามาหา ทำให้แก้วกล้ารู้สึกตกใจไม่น้อยที่เห็นว่าชิตรัตน์มาถึงที่ทำงานก่อนตน
“เอ่อ คุณชินมาถึงนานแล้วหรือยังครับ” เขาถามขึ้นพร้อมพยายามบิดตัวออกจากช่วงแขนหนาของธานที่พยายามโอบเขาเอาไว้ออก
“เพิ่งมาถึงได้ไม่นานนี้เอง สวัสดีนะครับคุณธาน”
ชิตรัตน์ตอบก่อนจะหันไปทันทายคนที่ทำเมินเฉยต่อตัวตนของเขาเมื่อครู่ เพิ่งพูดถึงอยู่หยกๆเมื่อกี้นี้ตอนนี้เจอมาเป็นตัวเป็นตนเลย ก็ดีเหมือนกันจะได้พูดกันให้รู้เรื่องไปเลย
“ไหนๆก็ไหนๆแล้วผมขอคุยกับคุณเรื่องสำคัญด้วยสักครู่จะได้ไหมครับ”
“ฉันไม่ว่าง มีงานที่ต้องรีบไปทำ” ธานตอบเสียงนิ่งโดยไม่มองหน้าเขา ซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างจากสิ่งที่เขาคิดเสียเท่าไรกับการปฏิเสธหน้าตายของธาน
“แต่ผมมี”
ธานหรี่ตามองคนตรงหน้าที่อยู่ๆก็กล้าที่จะหือกับเขาขึ้นมาทั้งทีก่อนหน้านี้แทบจะขอโทษเขาทุกคำพูดเลยด้วยซ้ำไปแล้วทำไมอยู่ๆถึงทำหน้าเครียดแล้วมันมือชกเขาแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องใหญ่เรื่องสำคัญพ่อจะต่อยให้หน้าหงายเลย
“ฉันให้เวลาสิบนาที”
เขาว่าแล้วเดินนำอีกฝ่ายไปนั่งที่เก้าอี้รับแขกตรงหน้าล็อบบี้ ชิตรัตน์ยิ้มกว้างอย่างพอใจก่อนจะฝากฝั่งแก้วกล้าเอาไว้ให้สองสาวเมื่อครู่ดูแลเพื่อรอชาติมาแล้วค่อยขึ้นไปด้านบน
“มีอะไรก็รีบพูดมาฉันต้องรีบกลับไปทำงาน” ธานว่าเสียงห้วน
“คือวันนี้ผมอยากขอพาเกลไปรับลูกโรงเรียนหน่อยนะครับ” ชิตรัตน์เองก็ไม่ปล่อยให้เวลาที่ได้มาต้องเสียเปล่า เขาจึงพูดในสิ่งที่เขาหมายมั่นเอาไว้ในใจออกไป
“นี่น่ะเหรอเรื่องสำคัญที่นายว่า เสียเวลา” ธานเมินคำพูดนั้นก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้นุ่มนั้นเพื่อจะออกไปจากตรงนี้ เพราะอย่างไรคำตอบที่เขาจะให้ไป ชิตรัตน์ก็คงรู้อยู่แก่ใจแต่ขนาดมาขอเขาตรงๆแบบนี้ถือว่ากล้ามา
“สำคัญสิครับ” ชิตรัตน์พูดขึ้นไล่หลังให้คนที่ตัวโตกว่าหยุดเดิน ธานหันกลับมามองคนพูดอีกครั้ง เพื่อรอฟังคำพูของอีกคนต่อแม้ตัวเขาเองจะไม่พอใจอยู่บ้าง
“ความรู้สึกของลูกชายผมก็ถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างหนึ่งเหมือนกัน แล้วการที่แม่กับลูกเขาจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันมันไม่ใช่เรื่องที่ดีหรือยังไงครับ”
“แล้วยังไง ตอนเย็นแกก็พาเกรทมาหาน้องฉันอยู่แล้วไม่ใช่หรือยังไง แล้วจะพาเกลออกไปตากแดดตากลมให้ป่วยเล่นทำไม”
“คุณไม่เคยเป็นพ่อคน คุณไม่เข้าใจหรอกครับ”
!!
“นี่..แก..” ธานข่มกรามแน่นอย่างเหลืออดที่ถูกพูดจี้ใจเช่นนั้น
“คุณไม่เข้าใจความรู้สึกของผมที่ต้องมองดูลูกชายที่เอาแต่ถามหาแม่ทั้งน้ำตามาตลอดห้าปีหรอกครับว่ามันเจ็บปวดขนาดไหน และดีใจขนาดไหนที่เห็นเขายิ้มได้อีกครั้งตอนเจอแม่ และตอนนี้ความปรารถนาที่เกรทต้องการมากที่สุดผมเองในฐานะที่เป็นพ่อคงนิ่งดูดายเห็นลูกเศร้าโดยไม่ทำอะไรไม่ได้หรอกครับ”
ธานนิ่งเงียบไปกับคำพูดของชิตรัตน์ที่พูดออกมา ก็จริงอยู่ที่เขาไม่ใช่พ่อคนเขาไม่มีทางรู้เรื่องพวกนี้หรอก แล้วมันเป็นความผิดของเขาหรือยังไงที่ไม่ได้เป็น พ่อ นะ
“แต่ฉันไม่ยอมให้น้องฉันออกไปกับคนอย่างแกแน่” เขาพูดทิ้งไว้แต่นั้นก่อนจะหันหลังเดินกลับไปทานเดิม แต่เสียงของชิตรัตน์ก็ดังขัดเขาขึ้นมาอีกครั้ง
“ผมไม่ได้พูดเพราะต้องการขออนุญาตคุณ แต่ผมแค่มาบอกคุณเอาไว้ก่อนเพราะผมจะไปรับเกลเย็นนี้เลย”
ชิตรัตน์พูดทิ้งท้ายเอาไว้แล้วเดินสวนธานขึ้นไปหาเลขาทั้งสองของตนแล้วเดินเข้าลิฟต์ไปโดยไม่หันมามองคนที่ยังยืนอยู่กับที่เลยแม้แต่น้อย
สรุปคือถ้าเขาไม่ยอมปล่อยให้อีกคนพาน้องเขาไปด้วยเขาจะเข้าข่ายเป็นพวกไร้จิตสำนึกด้วยใช่ไหม? บ้าที่สุด ธานสบถออกมาเบาๆแล้วเดินออกจากตัวโรงแรมกลับไปทำงาน
...
อากาศตอนช่วงสายๆของประเทศไทยนั้นขึ้นชื่ออย่างยิ่งในเรื่องของแดดที่แรงกล้าความร้อยที่ถึงจะอยู่ในร่มก็ยังคงสัมผัสได้ดี เช่นเดียวกับคุณหญิงโฉมฉวีที่ถึงแม้จะซุกตัวอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาเปิดแอร์ให้เย็นจับใจเช่นไรแต่แสงที่ส่องรอดผ่านผ้าม่านมานั้นก็แสบตายู่ดี จนปลุกให้คนที่ยังปรับตัวให้เข้ากับเวลาบ้านเกิดไม่ได้จำต้องลืมตาตื่นด้วยความหงุดหงิดใจ ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาตั้งโต๊ะที่ทำจากไม้รูปต้นไม้ใหญ่ที่มีนกตัวน้อยๆสองตัวเกาะอยู่ที่บอกว่าให้หล่อนได้รูปว่าอีกไม่น่าก็จะสิบเอ็ดโมงแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นนายหญิงใหญ่ของบ้านก็ยังไม่อยากจะลุกขึ้นจากเตียงไปไหนนอกจากเอื้อมมือไปกดรีโมทที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงเพื่อปิดแอร์แทนเพราะยังรู้สึกเวียนหัวอยู่หน่อยๆจึงยังไม่อยากลุกไปไหน สักพักเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นพร้อมบานประตูที่เปิดออกโดยร่างท้วมๆของแม่บ้านมากด้วยอายุที่ทำงานรับใช้บ้านหลังนี้มาตั้งแต่ยังสาวๆ
“คุณหญิงตื่นแล้วหรือคะ ป้าเอาน้ำขิงร้อนๆมาให้ ดื่มแล้วจะได้รู้สึกดีขึ้น” แม่บ้านบอกพร้อมยกแก้วชาใสที่มีน้ำสีออกน้ำตาลใสๆบรรจุอยู่ ยื่นมาตรงหน้าของคุณหญิงที่ยังคงมีอาการมึนงงอยู่เล็กน้อย
“ขอบใจ” คุณหญิงรับแก้วนั้นมาก่อนบรรจงดื่มช้าๆ จนหมด แล้วส่งแก้วคืนแกคนที่ยื่นรออยู่
“เดี๋ยวฉันว่าจะเข้าไปที่โรงแรมเสียหน่อย บอกให้คนรถเอารถออกด้วย” ไม่ได้เข้าไปดูมาเกือบเดือน เข้าไปสักหน่อยแล้วกัน หล่อนพูดขณะลุกขึ้นเตรียมจะไปอาบน้ำ
“ได้ค่ะ เดี๋ยวป้าลงไปบอกเด็กๆให้เตรียมรถให้นะคะ เอ่อ แล้วไม่ทราบว่าคุณหญิงจะรับอาหารด้วยไหมคะป้าจะได้ไปอุ่นไว้รอให้” คุณหญิงชั่งใจว่าจะไปกินพร้อมลูกชายดีไมแต่เมื่อมองไปทีนาฬิกาอีกทีกว่าจะไปถึงก็คงจะเที่ยงกว่า จึงหันไปพยักหน้ารับให้แม่บ้านแล้วเดินหายเข้าไปในห้องน้ำ
ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งคุณหญิงโฉมฉวีก็เดินลงมาที่ห้องทานอาหารด้วยเสื้อผ้าเรียบๆที่ดูสมฐานะพร้อมเครื่องเพชรชุดโปรดที่ใส่ประจำ เพื่อนั่งกินข้าวต้มที่ป้านวลลงมาอุ่นให้ใหม่พร้อมกับจิบกาแฟอ่านหนังสือพิมพ์ไปด้วย
“คุณหญิงจะไปเลยไหมครับ” เสียของคนขับรถที่เดินเข้ามาเอ่ยถามเมื่อเห็นว่านายหญิงของตนกินข้าวต้มเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“อืม ไปเลยก็แล้วกันให้เด็กเอากระเป๋าไปไว้ที่รถรอเลยเดี๋ยวฉันตามไป” คนขับรถก้มหัวรับแล้วเดินไปรอที่รถตามหน้าที่
ใช้เวลาบนท่องถนนอยู่พอควรเนื่องจากเวลานี้เป็นเวลาที่เหล่าคนทำงานออกมาหาอะไรกินกันจึงทำให้กว่าจะถึงที่หมายก็ให้เวลาเกิดกว่าที่หล่อนคาดเอาไว้แต่ก็ไม่มากเท่าใดนัก ดีเหมือนกันจะได้รู้บ้างว่าเวลาแบบนี้พวกพนักงานทำอะไรกัน ถ้าทำเรื่องงามหน้าล่ะก็จะได้ไล่ออกยกชุดเลย
ร้องเท้าส้นสูงราคาแพงเหยียบเข้าที่หน้าประตูทางเข้าโรงแรมนั้นเรียกสายตาของเหล่าพนักงานชายหญิงที่อยู่แถวนั้นให้หันกลับไปมองทางประตูทันทีอย่างหวาดระแวงหลังจากที่ลุงยามที่อยู่ป้อมหน้าโรงแรงวอเข้ามาบอกว่ารถยนต์ส่วนตัวของคุณหญิงโฉมฉวีแล่นเข้ามาเขตโรงแรม และนั้นแหลคือสาเหตุที่ทำให้เหล่าพนักงานก็วิ่งวุ่นออกมาตอนรับเป็นการใหญ่เพราะนานๆครั้งคุณหญิงสุดเฮี้ยบจะเข้ามาที่โรงแรมและหากว่าใครทำอะไรได้ไม่พอใจละก็เตรียมตัวเปลี่ยนงานได้เลย เคสตัวอย่างมีให้เห็นเยอะ
“คุณหญิงสวัสดีค่ะ” ฤดีมาศหัวหน้าฝ่ายบุคคลวัยกลางคนรีบปรี่เข้าหาคุณหญิงทันทีที่อีกคนเดินเข้ามา ที่รีบเดินเข้ามาเนี่ยไม่ใช่หวังประจบหรือเอาหน้าแต่อย่างใด แต่เพราะลูกน้องของหล่อนบางคนที่ยังไม่ถึงการมาของคุณหญิงนั้นมีมากถ้าไม่ส่งสัญญาณเตือนคงจะไม่ดี
“ดิฉันไม่ทราบว่าคุณหญิงจะเข้ามาวันนี้เลยไม่ได้ให้คนเตรียมของว่างไว้ให้ต้องขอโทษด้วยนะคะ” หญิงวันกลางคนเอ่ยออกมาอย่างสำนึกผิด
“ไม่เป็นไร ฉันก็แค่เข้ามาดูความเรียบร้อยเฉยๆ ว่าแต่แล้วตาชินละอยู่ไหม” คุณหญิงตอบอย่างไม่สนใจก่อนมองไปรอบๆโถงทางเดินกว้างเพื่อถามหาบุคคลที่ตนต้องการพบ
“ท่านประธานออกไปกับคุณชาติเมื่อช่วงสายน่าจะออกไปตรวจดูการก่อสร้างคอนโดนะคะ” ฤดีมาสตอบตามที่ตนรู้ แต่ว่าสิ่งที่หล่อนพูดออกไปกลับทำให้คุณหญิงหันกลับมามองหน้าคนพูดใหม่อีกครั้ง
“ทำไมแม่เลขานั้นถึงไม่ไปด้วย”
“เออ อันนี้ดิฉันก็ไม่ทราบค่ะ แต่เห็นออกไปทานข้าวเมื่อครู่เดี๋ยวก็คงกลับล่ะมั้งคะ” อยู่ๆฤดีมาสก็รู้สึกเหมือนตนพูดในสิ่งที่ไม่สมควรพูดออกไปจนอยากยกมือขึ้นปาดเหงื่อเป็นอย่างยิ่ง ขอโทษนะคะคุณแก้ว.............
“หึ เห็นว่าท้องอยู่เลยคิดจะละเลยหน้าที่หรือไงกันไม่ได้เรื่องกลับมาจะต้องสั่งสอนให้รู้หน้าที่เสียบ้าง นี้! เดี๋ยวฉันจะขึ้นไปรอตาชินที่ห้องพวกหล่อนมีอะไรจะทำก็ไปทำ”
คุณหญิงเบาะปากอย่างไม่พอใจก่อนจะหันมาพูดแขวะออกมาให้อีกคนได้ยินแล้วจึงหมุนตัวเดินเข้าไปในลิฟต์เพื่อที่จะไปรอลูกชายที่ห้องทำงานของเจ้าตัว
ลับหลังคุณหญิงไปได้ไม่ทันไรเหล่าพนักงานที่แอบมองดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆก็รีบปรี่เข้าหาหัวหน้าของตนอย่างไม่รอช้า
“พี่มาศเป็นไงมั่ง โดยไรไหม” เสียงสาวขาประจำอย่างนิดที่อยากรู้อยากเห็นไปทั่วถามขึ้นพร้อมกวาดสายตามองหัวหน้าตนเองไปด้วยอย่างเป็นห่วง
“พี่นะไม่เป็นไรหรอก แต่คนที่จะซวยนะคือคุณแก้ว” พูดพรางเอามือทาบอก ก็พอจะรู้หรอกว่าคุณหญิงไม่ชอบหน้าคุณแก้วกล้าเลขาของท่านประธานแต่ไอ้ขนาดที่ว่าพร้อมหาเรื่องขนาดนี้หล่อนว่ามันก็เกินไป
“หมายความว่าไงพี่ คุณแก้วจะโดนอะไรไหมพี่มาส”
“โอ๊ย! อย่างเพิ่งมาถามฉันตอนนี้เลย หาใครก็ได้ไปเอาน้ำส้มไปให้คุณหญิงที่ห้องท่านประธานด้วยเร็วๆเลยนะเดี๋ยวโดนกันหมดนี้” ฤดีมาศพูดปรามคนชั่งถามนั้นก่อนจะฝ่าฝูงชนตรงไปที่ล็อบบี้โรงแรมแทน
“เธอต่อสายหาท่านประธานให้ฉันเดี๋ยวนี้เลยด้วย!”
“ค่ะๆ”
“โทรหาท่านประธานทำไมหรอพี่” นิดถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของฤดีมาสดูจะเป็นกังวลและร้อนใจเป็นอย่างมาก
“เพื่อต่อชีวิตให้คุณแก้วนะสิ พวกเธอด้วยถ้าคุณแก้วมาอย่าพึ่งให้ผ่านขึ้นไปนะกักตัวเอาไว้ก่อน”
“ไม่ทันแล้วพี่คุณแก้วเดินมาโน้นแล้ว” คนที่สายดีเอ่ยขึ้นทำเอาฤดีมาศลมแทบจับ อะไรมันจะซวยขนาดนี้คุณแก้ว หล่อนลอบบ่นออกมาในใจก่อนจะหันไปเร่งให้คนที่ล็อบบี้จัดการโทรหาเจ้านายให้ไวที่สุด
“ยายนิดแกไปดักคุณแก้วไว้นะ” ฤดีมาศพูดขึ้นก่อนหันไปรับโทรศัพท์เมื่อพนักงานส่งให้เชิงว่าต่อติดแล้ว
“ได้พี่ ไปนุ่น”
นิดรับคำก่อนจะลากเอาเพื่อสนิทของตนวิ่งไปทางประตูทางเข้าเพื่อหวังเบรกทางแก้วกล้าเอาไว้ก่อนตามที่ได้รับคำสั่งมา
“คุณแก้วว”
คนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่หันมองสองสาวที่วิ่งหน้าตั้งตรงมาหาเขาอย่างแปลกใจ รู้สึกวันนี้เขาจะเจอเรื่องแปลกใจบ่นน่ารำคาญมาตั้งแต่เช้าแล้วนะเนี่ย
“หือ มีอะไรกัน” เขาถามขึ้น จนสองสาวจะมีอาการลุกลี้ลุกลนแปลกๆ
“เอ่อ คุณแก้วออกไปไหนมาหรอคะ”
“ฉันหรอ ก็ออกไปเอาของให้คุณชินไงแล้วก็ไปกินข้าวกับ.......” กับตัวปัญหาที่มาดักรอเขาอยู่ข้างล่างไง
“กับคุณคนเมื่อเช้าใช่ไหมคะ” นิดที่ได้โอกาสจึงพูดขึ้นมาเพื่อไม่ให้บทสนทนาขาดต่อจนลายเป็นช่องว่างให้เป้าหมายไหวตัวทัน
“แล้วพวกเธอมีอะไรหรือเปล่า”
แก้วกล้าไม่ตอบแต่ใช่กรถามย้อนกลับไปแทน เรื่องที่ธานมารับเขาไปกินข้าวใครๆเขาก็เห็นกันแล้วอยู่ดีๆสองสาวคู่นี้กลับมาถามเขาในสิ่งที่ตนเองรู้อยู่แล้วแบบนี้มันดูน่าสงสัย
“เอ่อ...คือ..”
เขามองท่าทีน้ำท้วมปากของคนทั้งคู่ก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วพยายามจะเดินเลี่ยงออกจากคนทั้งคู่ไป จนนุ่นที่เห็นท่าไม่ดีจึงรีบคว้าข้อมือเล็กเกินชายนั้นไว้อย่างไว จนคนที่ไม่ชอบการสัมผัสหันขวับมามองอย่าไม่พอใจเล็กจนสาวเจ้าต้องรีบปล่อยมือทันทีที่เพิ่งรู้ตัว
“พี่ไม่รู้ว่าเราสองคนมีเรื่องอะไรจะพูดกับพี่หรอกนะ แต่ตอนนี้กำลังหงุดหงิดอย่างเพิ่งทำให้พี่โกรธขอตัวนะ”
เขาเพิ่งปวดหัวมาจากคนบ้าที่เอาแต่จะพยายามยัดเยียดความเป็นพ่อของลูกให้เขามาแล้วนี้ยังจะเจอคนพูดไม่รู้เรื่องแบบนี้อีกหรอ ขอเถอะ แก้วกล้าทิ้งท้ายไว้แค่นี้แล้วเดินเข้าไปในลิฟต์ทันทีโดยไม่อยู่ฟังคำทักท้วงใดๆจากสองสาวหรือใครก็ตามที่พยายามเข้ามาชวนเขาคุยจนเริ่มมีพิรุธ
ทิ้งให้สองสาวเมื่อครู่ได้แต่ยืนทำหน้าซีดทันทีที่ไม่สามารถรั้งเป้าหมายเอาไว้ได้ ได้แต่หันไปหาหัวหน้าสาวที่ยืนทำหน้าไม่ต่างไปจากพวกตนเท่าไรนัก งานนี้พวกเขาคงจะได้แต่สวดภาวนาของอย่าให้คุณแก้วเป็นอะไรเลยหรือไม่ก็ขอให้คุณชินกลับมาไวๆก็พอ
..............................................................