เขยช่างไฟสะใภ้ช่างยนต์
{48}
“กรี๊ด~~~~~ ทะเล๊~~~~~~~~”
อย่าคิดว่าพี่โซ่จะเสียจริตหลุดกรี๊ดออกมาเชียว เพราะเจ้าของเสียงกรีดร้องที่แท้จริงคือเด็กแสบจอมซนลูกชายคุณป๋าโน่นที่อุ้มพี่มณีวิ่งลงรถไปทันทีที่ได้เห็นผืนน้ำสีครามเบื้องหน้า
“กลับมาก่อนน้องซน เดี๋ยวพี่มณีวิ่งหนี” โซ่พยายามที่จะร้องเรียกให้ลูกชายทั้งสองกลับขึ้นฝั่งมาเพราะกลัวจะเป็นอันตราย ถึงแม้ว่าจอมซนจะว่ายน้ำเป็นก็ตาม แต่ยังไงพี่มณีก็ยังเป็นแมว สำคัญเลยคือ…แมว(ทั่วไป)มักกลัวน้ำ
แต่เหมือนโซ่จะหลงลืมไปว่าแท้จริงแล้วพี่มณีไม่ใช่แมวธรรมดาที่หาได้ทั่วไป หลังจากที่พี่เขากลายเป็นแมวเซเลปขึ้นแท่นแมวไฮโซติดลมบนของสังคมโซเซียลไปแล้ว
ก็นะ…พอพ่อมันยกกล้องขอถ่ายรูปไอ้ตัวลูกมันก็เต๊ะท่าเชิดหน้าให้ถ่ายแบบไม่มีอิดออดจนกว่าพ่อมันจะพอใจโน่นแหละ สุดท้ายก็ไปจบที่การอวดลูกลง Facebook และ IG อย่างทุกที
“ไม่หนีฮะ! พี่มณีชอบเล่นน้ำกับน้อง”
อาห้ะ! เข้าใจตรงกันนะครับพ่อจ๋าว่านอกจากพี่มณีจะไม่หนีเพราะกลัวน้ำแล้วพี่ท่านก็ยังลอยคอว่ายน้ำท่าลูก(แมว)หมาตกน้ำกับน้องชายแบบจอมซนอย่างหน้าตาเฉย
“ไปลากพวกมันขึ้นมาก่อน เล่นน้ำตอนพระอาทิตย์ตรงหัวแบบนี้เดี๋ยวพากันป่วยอีก กูจะไปเช็คอินห้อง” พอร์ชเดินแยกออกไปพร้อมกับทิ้งภาระอันยิ่งใหญ่ไว้เบื้องหลังปล่อยให้โซ่เป็นคนจัดการเพราะความดื้อไอ้สองแสบในเลเวลนี้นั้นมีแค่พ่อจ๋าของมันเท่านั้นแหละที่เอาอยู่
“เรื่องปวดประสาทนี่ยกให้กูตลอด” บ่นไปก็เท่านั้น สุดท้ายแล้วโซ่ก็วางเป้บนบ่าลงไปลากพี่น้องสองแสบขึ้นจากน้ำอยู่ดี ถึงจะเต็มไปด้วยความยากลำบากก็ตาม เพราะกว่าไอ้สองแสบจะยอมอยู่เฉยตามคำขู่ทำเอาโซ่แทบคลั่ง แบกหนึ่งคนอุ้มหนึ่งแมวขึ้นฝั่งด้วยความอ่อนแรง
“ไม่เหนื่อยรึไงทำไมไม่นอนพัก” พอร์ชเดินเข้ามาสวมกอดโซ่ที่ยืนชื่นชมธรรมชาติรอบกายอยู่หน้าบ้านพักติดกับชายหาด
“มึงหรือเปล่าที่ต้องพัก” เพราะพอร์ชเป็นคนขับรถส่วนโซ่ก็นอนหลับๆ ตื่นๆ มาตลอดทางเลยไม่รู้สึกเหนื่อยในการเดินทางไกลอย่างที่ควรจะเป็น
“ไม่อยากนอน แต่…อยากกอดมึงมากกว่า” โซ่ได้บอกหรือยังว่านอกจากความหึงโหดที่โคตรจะหวงของพอร์ชเพิ่มขึ้นแล้วก็มีอีกอาการที่เรียกว่าออดอ้อนนี่แหละตีคู่กันมาอย่างสูสี
“ทำเป็นพูดดีว่าแต่…ทริปนี้ทุ่มทุนดีนะ” เหลียวหน้ามาหรี่ตาถามอย่างจับผิด เพราะครั้งนี้พอร์ชเลือกจองที่พักเป็นแบบ pool villa ติดชายทะเลหาใช่ห้องพักทั่วไปเหมือนทริปที่แล้วมา
“ก็…เพราะต้องพาอีมณีมาด้วยไงก็เลยเลือกแบบส่วนตัว ขืนไปพักรวมบนตึกใหญ่กับครอบครัวอื่นไปเจอหมาแมวคนอื่นลูกมึงได้คลั่งแน่…ยิ่งไม่เหมือนใครอยู่” อ้ำอึ้งอยู่พักหนึ่งก่อนที่พูดบอกออกมาถึงเหตุผลที่คิดขึ้นได้แบบสดๆ ร้อนๆ ทั้งที่ความจริงมันมีอะไรที่สำคัญกว่านั้นซ่อนอยู่…เหตุผลที่พอร์ชลงทุนเสี่ยงตายเม้มเงินเมียมาเป็นปี
“เหรอ” พยักหน้าลากเสียงยาวตอบรับคำสารภาพหลอกลวงของคนรัก ถามว่าเชื่อไหม? บอกเลยว่าเชื่อ…แต่ไม่ทั้งหมด เพราะข้อเสียของพอร์ชคือโกหกไม่เนียน โดยเฉพาะสายตาอันซื่อตรงของเจ้าตัวที่มักจะทรยศเจ้าของร่างกายทำหน้าที่สารภาพบาปออกมาก่อนทุกครั้งที่พอร์ชโกหกหรือมีเรื่องปิดบังโดยที่โซ่ไม่ต้องเสียเวลาหาทางจับผิดเลยคนรักเลยสักนิด
ครืด~
“พ่อจ๋า~ คุณป๋า~”
เสียงเรียกที่ดังมาพร้อมกับเสียงเปิดประตูของลูกชายที่ดังมาจากทางด้านหลังทำให้พอร์ชโซ่ที่ยืนกอดกันอยู่ข้างสระน้ำผละออกจากกัน
“ทำไมตื่นเร็ว”
พอร์ชก้มดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาที่ข้อมือทันทีเมื่อได้ยินทำอุทานของคนรักที่เดินเข้าไปหาลูกชายคนเล็กที่ยืนขยี้ตางัวเงียอยู่ตรงประตู
ครึ่งชั่วโมงไม่ขาดไม่เกินแต่เป็นเวลาที่น้อยเกินไปสำหรับการพักผ่อนของเด็กขี้เซาอย่างจอมซนที่ชอบนอนกลางวันมากกว่าหนึ่งหรือสองชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ
“น้องซนฝันร้าย…พ่อจ๋ากับคุณป๋าอย่าทิ้งน้องซนนะฮะ” ผวาเข้ากอดผู้ปกครองชั่วคราวของตนเองทันทีที่พอร์ชและโซ่ดินเข้ามาหาเพราะฝันร้ายที่ต้องเผชิญมาก่อนหน้านี้นั้นมันน่ากลัวเหลือเกิน…กลัวว่าจะต้องกลับไปอยู่โดดเดี่ยวเดียวดายแบบไม่มีใครเหมือนอย่างที่ผ่านมา
เป็นครั้งแรกเลยที่พอร์ชได้เห็นมุมอ่อนแอของจอมซนเด็กแสบที่มักจะทำตัวกล้าแกร่งเกินเด็กวัยเดียวกันไปมาก แต่ไม่ใช่สำหรับโซ่ที่เคยได้สัมผัสกับมุมนี้ของจอมซนมาตั้งแต่เจอกันครั้งแรกเมื่อสี่ปีที่แล้ว
โซ่ยังจำได้ดีตอนที่โดนอาม่าเรียกตัวกลับบ้านใหญ่หลังจากที่สูญเสียบิดาผู้ให้กำเนิดไปได้ไม่นาน บรรยากาศภายในบ้านเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเคล้าความสุขใจเล็กๆ ของกลุ่มญาติห่างๆ ปลายสายหลายคนที่ได้สมดั่งใจหวังเพราะเสียตัวหารสมบัติโดยเฉพาะทายาทคนโตสายตรงอย่างพ่อของโซ่ที่มีแนวโน้มว่าจะกลับมาสานต่อกิจการที่บ้านในอีกไม่ช้าเพราะเบื่ออาชีพหมอที่อุตส่าห์ดันด้นไปเรียนไกลถึงต่างประเทศโดยที่ไม่ฟังเสียงคัดค้านจากครอบครัว แต่โซ่ก็หาได้สนใจความวุ่นวายหรือสายตาหยามเหยียดเหล่านั้นไม่ เพราะสิ่งเดียวที่สะกดสายตาของเขาได้คือเด็กฝรั่งหัวทองที่กำลังนั่งกอดเข่าสะอึกสะอื้นอยู่ใต้ซุ้มต้นเล็บมือนางสีชมพูขาวที่อาม่าทำไว้นั่งรับลมเล่นยามเช้าและตอนเย็น
เด็กชายจอมซนในวัยสี่ขวบที่เพิ่งจะมีโอกาสได้มาเยือนบ้านเกิดเมืองนอนของบิดาผู้ให้กำเนิดเป็นครั้งแรกด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าจะได้พบเจอกับคนเป็นพ่อ หลังจากที่ต้องแยกจากกันมานานกว่าสองปี แต่ก็ต้องผิดหวังที่อีกฝ่ายไม่สามารถมาหาได้เพราะคำสั่งห้ามจากศาล
โซ่ยืนจ้องเด็กชายอยู่นานหลายนาทีจนกระทั่งอีกฝ่ายตกใจกลัวเพราะสายตาของโซ่ในตอนนั้นไม่ได้เป็นมิตรอย่างในวันนี้ มีเพียงแววตาแข็งกร้าวเย็นชาที่ทำให้คนหวาดผวาได้เพียงแค่พบสบตา หลังจากที่เจ้าตัวสะสมความรู้สึกด้านลบติดกันมาหลายเหตุการณ์ยาวนานหลายปี
“มาจากไหน?” เอ่ยถามพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ด้วยท่าทางที่คิดว่าเป็นมิตรที่สุดแล้วแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือสายตาแห่งความหวาดกลัวของเด็กน้อยที่ถัดตัวถอยห่างออกไปไกลกว่าเดิม
“!#^*I%(#^#@(^&%#” พอโดนความหวาดกลัวเข้าครอบงำภาษาไทยที่พยายามฝึกฝนมาด้วยความยากลำบากก็ไร้ความหมาย รัวภาษาบ้านเกิดใส่คนแปลกหน้าจนแทบลืมหายใจ
“ไม่ต้องกลัว พี่ชื่อโซ่ เราชื่ออะไร?” เปลี่ยนการสื่อสารเป็นภาษาสากลเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจชัดเจนยิ่งขึ้นก่อนที่จะค่อยๆ ตีเนียนขยับเข้าไปใกล้กับเด็กน้อยอีกนิด
“เจเรมี่ ฮึก…น้องซนชื่อเจเรมี่ฮะ” โซ่ถามด้วยภาษาอังกฤษแต่น้อยฝรั่งน้อยกับตอบกลับด้วยภาษาไทยแบบลุ่มๆ ดอนๆ ที่พอจะนึกได้ แต่ที่น่าเอ็นดูยิ่งกว่านั้นคือใบหน้าจิ้มลิ้มที่เปื้อนเปรอะคราบน้ำตาไปทั่วทั้งใบหน้า ไหนจะดวงตากลมที่ฉายแววหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลานั้นอีก คิดดูสิว่าจอมซนในตอนนั้นน่าขย้ำสักแค่ไหน
หึ! นานแค่ไหนแล้วนะที่โซ่ไม่ได้ยิ้มเต็มปากอย่างนี้ เด็กอะไรนอกจากหน้าตาจะน่ารักน่าเอ็นดูแล้วยังมีเสน่ห์เหลือล้นแบบไม่ต้องเสียเวลาประดิดประดอยอย่างที่ใครหลายคนพยายามฝืนความเป็นตัวเองเพื่อที่จะได้มันมา
“คุณน้องซน! คุณน้องซนอยู่ไหนคะ? คุณย่าเรียกแล้วนะคะ…น้องซน!”
ยังไม่ทันที่โซ่จะได้ถามอะไรต่อเสียงเรียกชื่อเด็กน้อยตรงหน้านี่ก็ดังไปทั่วทั้งบริเวณเพราะสาวใช้คนสนิทของคุณย่าเจ้าตัวเล็กนี่กำลังตามหาอยู่
“นะ..น้องซนอยู่ตุงนี้ฮะพี่ชู” ส่งเสียงรับตอบกลับไป ก่อนจะค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แต่ก็ต้องเสียหลักเกือบหน้าทิ่มเพราะเส้นยึดจากการนั่งท่าเดิมเป็นเวลานาน แต่ดีที่ว่าโซ่รับไว้ทัน
“คุณโซ่จะทำอะไรน้องซนคะ!” สาวใช้ที่มาเห็นภาพชวนเข้าใจผิดแหวใส่โซ่ทันทีอย่างไม่มีความเกรงใจว่านั่นคือลูกเจ้านายเพราะรู้กันดีอยู่ว่านิสัยโซ่เป็นยังไงทำไมใครต่อใครต่อถึงมองว่าเป็นอันธพาล หลังจากที่เจ้าตัวคว่ำโต๊ะอาหารและขว้างปาถ้วยจานข้าวใส่อาสะใภ้ของตนเองหรือก็คือภรรยาของทายาทสายตรงคนสุดท้องของตระกูล
โซ่กรอกตาขึ้นฟ้าด้วยความเบื่อหน่าย นานแค่ไหนแล้วนะที่คนในบ้านนี้มองว่าเขาพวกหน้าตัวเมียเพราะทำร้ายผู้หญิง และมีใครบ้างที่คิดจะถามไถ่หาความว่าแท้จริงแล้วเรื่องนั้นมันเกิดขึ้นได้อย่างไรนอกเสียจากก๋งและอาม่าที่บุกเข้ามาปลอบโยนเขาถึงในห้องนอนโดยที่ไม่มีการดุด่าหรือถามหาความจริงอันใดเพราะท่านทั้งสองรู้ดีว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นคนเช่นไร ต่างจากคนอื่นที่เอาแต่ตั้งท่ารังเกียจ ใส่ร้าย และกลั่นแกล้งตลอดเท่าที่เวลาและสถานการณ์เอื้ออำนวย ซึ่งดูจากหน้าแหยๆของไอ้เด็กนี่แล้วก็คงจะไม่ต่างจากลูกหลานคนอื่นสักเท่าไหร่หรอก…มั้ง?
“เปล่าฮะ! พี่โซ่ไม่ได้แกล้งน้องซน พี่โซ่ช่วยโอ๋เอ๋น้องซน”
หือ? เป็นอีกครั้งที่ฝรั่งน้อยตรงหน้าทำให้โซ่รู้สึกดีด้วยเพราะเจ้าตัวทำใจกล้ากางแขนเล็กๆ ปกป้องเขาจากการโดนสาวใช้ตำหนิทั้งที่ก่อนหน้ายังตัวอ่อนปวกเปียกเหมือนกับจะแตกสลายได้ในทันทีถ้าหากโดนใครจับแรงๆ
“จริงหรอคะ?” เธอถามเหมือนไม่แน่ใจ แต่ก็ไม่กล้าจะพูดอะไรไปมากกว่านั้นเพราะว่ายังไงโซ่เองก็อยู่ในฐานะเจ้านาย ถึงแม้ว่าจะเป็นเจ้านายที่ไม่มีใครนับถือก็ตาม
“จริงฮะ” ฝรั่งน้อยพยักหน้าตอบรับด้วยความแข็งขัน
“ถ้าอย่างนั้นก็เข้าบ้านกันดีกว่าค่ะ คุณย่าเรียกนานแล้ว” เธอพูดบอกกับเจ้านายตัวน้อยของเธอโดยที่ไม่แม้แต่จะบอกลาเจ้านายน้อยอีกคนทำเหมือนโซ่เป็นหัวหลักหัวต่อไม่มีค่าพอที่จะให้ความสำคัญ
“เดี๋ยว” แต่ยังไม่ทันที่จะได้ก้าวไปไหนไกลถูกโซ่เรียกรั้งไว้ก่อน
“คุณโซ่มีอะไรหรือเปล่าคะ?” เธอเลิกคิ้วถามอย่างไร้มารยาท แต่โซ่ก็หาได้สนใจ
“เด็กนี่ใคร?” กลั้นใจถามออกไปอย่างลุ้นๆ แม้ว่าจะมีคำตอบให้ตัวเองอยู่แล้วก็ตาม แต่โซ่ก็อยากจะให้แน่ใจอีกนิดว่ามันจะตรงกับสิ่งที่ตนเองคิดไว้หรือไม่
“ลูกคุณเซนค่ะ”
“เฮียกลับมาแล้วหรอ?” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นปิดความดีใจไว้ไม่มิดเพราะตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วคนที่ให้ยอมนับญาติและให้เกียรติเขาที่สุดก็คือเฮียเซน พี่ชายคนเดียวที่คอยปลอบโยนและช่วยเหลือในยามที่เขามีช่วงเวลาที่ยากลำบากในบ้านนี้
“น้องซนกลับมาคนเดียวค่ะ” เธอตอบกลับสั้นๆ ก่อนที่จะสะบัดหน้าหนีและกึ่งลากกึ่งจูงจอมซนเดินออกไป
“พี่พลก็ไม่อยู่แล้วเฮียยังจะทิ้งโซ่ไปอีกคนหรอ” สุดท้ายแล้วเด็กที่ซื่อโซ่ก็เหลือเพียงแค่ตัวคนเดียวอยู่ในดงสัตว์มีพิษที่จ้องจะทำลายเพราะความแกร่งแย่งชิงดีโดยไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่มีเหลือแม้แต่คำว่าครอบครัว
“#&(*&%$#!#$_)(*@!$#%((*@#%$%^@#!$@%^$*$”
มื้อเย็นคือช่วงเวลาที่โซ่เบื่อมากเป็นพิเศษเพราะทุกคนในบ้านจะมารวมตัวกันที่โต๊ะอาหารประหนึ่งว่าจะพากันไปเดินประท้วง แต่เป้าหมายในกลายทำลายมีหนึ่งเดียวก็คือโซ่
“น้องซนให้พี่โซ่ฮะ” ฝรั่งน้อยผู้ซึ่งไม่รู้ถึงสงครามประสาทในโต๊ะอาหารอันอบอุ่นทำใจกล้าเอื้อมมือไปตักปีกไก่ทอดตรงหน้ามาวางบนจานพี่ชายแปลกหน้าที่นั่งข้างกัน เมื่อสังเกตเห็นว่าโซ่เอาแต่เขี่ยข้าวในจานไปมาไม่ยอมตักหารสักทีแม้ว่ามื้ออาหารจะเริ่มมาได้สักพักแล้วก็ตาม
“ขอบใจ” โซ่ตอบรับความหวังดีของเด็กน้อยด้วยรอยยิ้มจางๆ แต่ก็ยังไม่ยอมทานอะไร
“หม่ำๆกันฮะ! คุณไก่อร่อยน้องซนชอบ” ทำตัวเจ้ากี้เจ้าการจับปีกไก่ทอดยัดใส่มือพี่ชายก่อนที่จะคว้าน้องไก่ทอดในจานตัวเองขึ้นมาชนกันแล้วจัดการส่งเข้าปากงับเข้าเต็มคำเคี้ยวแก้มตุ่ยด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยยิ่งนักทำเอาโซ่หลุดยิ้มออกมาได้
“อาโซ่เป็นน้องชายของอาเซนน้องซนต้องเรียกอาโซ่ว่าอาโซ่…เรียกพี่โซ่ไม่ได้” อาม่าที่เฝ้าดูความสัมพันธ์อันดีของสองอาหลานมาเงียบๆ อยู่นานก็พูดขึ้นมาบ้าง
“ก็แค่ลูกพี่ลูกน้อง จะยุ่งยากทำไม เรียกอะไรก็เรียกไปเถอะ…ไม่สำคัญหรอก” ยังไม่ทันที่ใครจะได้พูดอะไรลูกชายคนเล็กหรือก็คืออาแท้ๆของโซ่พูดแทรกขึ้นมาทำนองว่าโซ่ไม่ได้มีความสำคัญอะไรในบ้านหลังนี้ ก่อนที่อีกหลายๆ คนจะพากันหัวเราะเยาะออกมาอย่างสนุกสนาน ก่อนที่ทุกอย่างจะหยุดชะงักลง
เมื่อนายใหญ่ของบ้านหรือก๋งของโซ่พูดขึ้นมาว่า…
“หัวเราะกันเข้าไป สนุกกันให้ถึงที่สุด เหยียบกันให้จมดิน ฉันอนุญาต แต่จงจำไว้นะว่าอาโซ่คือคนที่ถือหุ้นมากที่สุดในกงสี ถ้าฉันเป็นอะไรไปอาโซ่ก็เข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้แทน หลังจากนั้นใครจะตกนรกจะขึ้นสวรรค์ก็อยู่ที่อาโซ่จะชี้นำเพราะคนแก่อย่างฉันจะหลับหูหลับตาเชื่อหลานอย่างเดียว!”
โมโห! บอกเลยว่าโมโหมากที่ลูกหลานเหยียบย่ำกันต่อหน้าผู้นำตระกูลอย่างเขาแบบไม่มีความเกรงใจ เพราะที่ผ่านมาเขาหลับหูหลับตาทำเป็นไม่สนใจ ด้วยเพราะไม่อยากจะทำตัวลำเอียงเข้าข้างใคร แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ใส่ใจเพราะทุกครั้งที่เกิดเรื่องแบบนี้เขากับภรรยาจะแอบเข้าไปพูดปลอบและให้กำลังใจกับโซ่ในห้องนอนของเจ้าตัวอยู่เสมอ เพื่อไม่ให้หลานทุกข์ใจไปมากกว่าที่เป็นอยู่ ลำพังแค่เสียพ่อ ขาดแม่ไปมันก็มากพอแล้ว จะมาตรอกย้ำอะไรกันหนักหนา แต่ที่ต้องกางปีกปกป้องโซ่ในครั้งนี้ก็เพราะว่าถ้อยคำการกลั่นแกล้งที่โซ่โดนทั้งต่อหน้าและลับหลังของเขามันทวีความรุนแรงขึ้นทุกที
ส่วนที่บอกว่าโซ่คือผู้ที่ถือหุ้นมากที่สุดในกงสีก็เป็นความจริงเพราะหนึ่งส่วนเป็นของโซ่เองที่ลูกหลานทุกคนจะได้รับเป็นขวัญถุงตอนแรกเกิด อีกหนึ่งส่วนคือสิ่งที่โซ่ได้รับการถ่ายโอนมรดกมาหลังจากที่พ่อตาย และส่วนสุดท้ายที่มีค่ามากที่สุดคือหุ้นของผู้นำตระกูลอย่างเขาที่คิดดีแล้วว่าจะยกให้โซ่แต่เพียงผู้เดียว หลังจากที่ได้ทดสอบและเฝ้าดูพฤติกรรมทั้งดีและร้ายของลูก หลาน และเหลนทุกคนในตระกูลมาหลายสิบปี
“อากง! ก๋ง! อาป๊า! เตี่ยล้อผมเล่นใช่ไหม!” ลูกหลานหลายคนที่ตั้งท่าเป็นปรปักษ์ต่อโซ่หวีดร้องเสียงหลง แต่หนักสุดคงจะไม่พ้นทายาทคนเล็กของก๋ง
“ฉันพูดจริง…ป่านนี้อาทนายอีคงร่างพินัยกรรมฉบับใหม่เสร็จแล้วล่ะ”
ไม่หรอกความจริงแล้วพินัยกรรมฉบับเก่ายังคงเดิมเพิ่มเติมคือมีชื่อของโซ่ถูกสลักลงไปในส่วนของผู้รับหุ้นแต่เพียงผู้เดียวจากที่เคยเป็นของลูกชายหญิงทั้งแปดคนของตนเอง หลังจากที่เฝ้าดูพฤติกรรมของลูกหลานคนอื่นจนตกตะกอนทางความคิดแล้ว ถ้าผู้นำรุ่นต่อไปไม่ใช่โซ่ที่เขาพร่ำสั่งสอนมากับมือกงสีแห่งนี้คงเหลือไว้แค่ความทรงจำ
หลังจากประกาศข่าวเรื่องผู้ถือหุ้นได้เพียงไม่นานก๋งของโซ่ก็ประสบอุบัติเหตุลื่นล้มในโรงสีข้าวจนเป็นอัมพาตครึ่งซีกจนพูดและช่วยเหลือตนเองไม่ได้มาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนต้นสายปลายเหตุที่ทำให้ก๋งล้มคืออะไรก็ไม่มีใครพูดถึงเพราะตอนที่เกิดเหตุคือช่วงเย็นหลังเลิกงานอีกทั้งกล้องวงจรปิดก็ไม่มีบวกกับที่ก๋งเองก็อายุมากแล้วคนในบ้านจึงไม่คิดสงสัยหรือจงใจปล่อยปะละเลยก็ไม่รู้ที่ทำให้เรื่องอุบัติเหตุของก๋งหายเงียบไปกับสายลม แต่ไม่ใช่คู่ชีวิตอย่างอาม่าหรือหลานชายสายตรงอย่างโซ่ที่พยายามสืบหาตัวต้นเหตุมาตั้งแต่เกิดเรื่อง เพราะทั่งคู่มั่นใจมากว่าคนแข็งแรงที่มีความรอบคอบสูงอย่างก๋งไม่มีทางลื่นล้มเองอย่างแน่นอน
แต่คนร้ายจะเป็นใครก็ต้องรอดูอีกที…รอให้กล้องวงจรปิดและเครื่องดักฟังที่โซ่ใช้อำนาจครั้งแรกในการเป็นประธานใหญ่ที่อายุน้อยที่สุดในกงสีอาศัยช่วงที่ทุกคนในบ้านไปเที่ยวพักร้อนประจำปีทางภาคเหนือเหลือไว้แค่ก๋ง อาม่า แม่บ้านคนสนิทอาม่า พยาบาลพิเศษที่โซ่เป็นฝ่ายจัดหาเข้ามาดูแลก๋งกับยามหน้าโรงสีอีกหนึ่งคนแอบเข้าไปติดตั้งตรงมุมอับลับสายตาทั้งในส่วนของโรงสีและสำนักงานทำหน้าที่จับสายลับจับโจรของมันไปอย่างใจเย็น
ถึงวันนั้นเมื่อไหร่โซ่จะทำให้รู้ทั่วกันว่าเศษดินที่ทุกคนเคยเหยียบย่ำก็เป็นสายเลือดมังกรคนหนึ่งเหมือนกันและไม่ได้ด้อยไปกว่าลูกหลานคนไหนเลย แม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ประจำที่นี่ก็ตาม แต่การคายตะขาบทางธุรกิจหรือความผูกพันระหว่างครอบครัวสมัยนี้ไม่จำเป็นต้องอยู่ใกล้ชิดกันมากก็ได้ในยามที่ยุคสมัยเปลี่ยนไปเช่นนี้เพราะเราโทรทางไกลหากันได้ตลอดเวลา
ระหว่างโซ่กับก๋งและอาม่าเองก็มอบความรักความห่วงใยตามประสาครอบครัวผูกพันผ่านช่องทางการสื่อสารพวกนี้มาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน
ฉะนั้นแล้วใครก็ตามอย่าได้มากล่าวหาว่าโซ่เป็นหลานนอกคอกอีกเป็นอันขาด เพราะเขาคือทายาทสายมังกรตัวจริงที่ถูกวางตัวไว้ตั้งแต่แรกที่จะไม่ยอมให้ธุรกิจที่ก๋งกับอาม่าช่วยกันวางรากฐานมาด้วยความลำบากจากเสื่อผืนหมอนใบมาเป็นโรงสีใหญ่โตอย่างทุกวันนี้ล้มลงเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวของคนโลภมากเป็นเด็ดขาด…จำไว้!
TBC.
ตอนหน้าเรามาเล่นน้ำกัน ตอนนี้ขอย้อนอดีตน้องซนกับพ่อจ๋านิดนึง! จะได้รู้ความเป็นมาเป็นไป
อ่านนิยายเราต้องทำใจนึดหนึ่งว่าเราจะค่อยๆ เฉลยปมไปเรื่อยๆ ไม่ได้มาโครมครามในตอนเดียว
ซึ่งปมบางอย่างในภาคนี้อาจจะไปคลี่คลายในภาคหน้าก็เป็นได้...#ด้วยรัก
ปล.ที่หายหัวไม่ได้ไปไหนไกล แต่เป็นเพราะมีหน้าที่หลายอย่างที่ต้องทำ อย่างเช่นครั้งนี้ที่หายไปถึงสองอาทิตย์ก็เพราะว่ามัวหมกมุ่นแต่กับการเป็นนางมารพิทักษ์แมวอยู่...#เป็นเรื่องที่น่าเศร้า
ปล2. ปกติมีแต่นางฟ้า แต่ที่เราต้องเป็นนางมารพิทักษ์หมาแมวก็เพราะว่าเราไม่ใช่คนดี แต่เราพร้อมที่จะช่วยเหลือทุกคนที่มีเดือดร้อนโดยมีข้อแม้ว่าไม่ใช่เรื่องเงิน และเรื่องนั้นจะต้องไม่มีผลกระทบต่อตนเอง...รักน้า~