┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดที่ 20
อุตส่าห์ได้ร่วมชายคากันอีกครั้ง ด้วยความสัมพันธ์อันชัดเจนกว่าเก่า ภูเมศย่อมอยากใช้เวลากับ ‘ครอบครัว’ ของตนให้มากที่สุด
แต่อย่างกับฟ้าจะกลั่นแกล้ง ไม่รู้เพราะเห็นเขาทำตัวมีความสุขจนหน้าบานมากเกินไปหรือเปล่า พักนี้เรื่องงานจึงติด ๆ ขัด ๆ พิกล แทนที่จะได้รีบจัดการงานให้เสร็จเรียบร้อยโดยไวอย่างทุกทีแล้วรีบแจ้นมาเจอหน้าคนที่รออยู่บ้าน กลับพบว่ามีอุปสรรคตรงโน้นตรงนี้โผล่มากะทันหันให้ต้องแก้ไขอย่างงุนงงกันอยู่เรื่อย พูดอย่างไม่หลงตัวเองเกินไปนัก ปกติเขาก็ใช่จะเป็นพวกทำงานสะเพร่าเสียเมื่อไร แต่ความติดขัดน่าหงุดหงิดใจที่เกิดก็เป็นเหตุสุดวิสัยซึ่งไม่รู้จะโทษใครนอกจากความโชคร้าย
สุดท้ายทั้งสัปดาห์นี้ กว่าจะได้กลับบ้านก็ปาเข้าไปค่ำมืดตลอด วันไหนอยากกลับเร็วกว่าเดิมจริง ๆ ยังต้องขนงานกลับมาแก้อีกเป็นกองพะเนิน
ยิ่งวันนี้ด้วยแล้ว ไม่รู้เกิดพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกอะไร หลังจากจัดการสารพัดงานที่ประดังประเดเข้ามาจนหัวหมุน สุดท้ายแผนงานที่นำเสนอไปล่าสุดกลับถูกส่งคืนมาแก้ ด้วยเหตุผลว่ามันยังไม่เรียบร้อย พร้อมคำตำหนิว่าส่งฉบับที่ยังไม่สมบูรณ์ไปให้เบื้องบนดูได้อย่างไร
ภูเมศได้แต่รับกลับมางง ๆ มั่นใจว่าตนใช้ไฟล์สุดท้ายซึ่งผ่านการตรวจสอบแล้วพิมพ์ออกมาบนกระดาษ ทำเป็นรูปเล่มอย่างดีเช่นทุกคราว ทว่าผลงานที่ถูกตีกลับมา เมื่อลองเปิดไล่ดูทีละหน้า กลับพบว่าเป็นฉบับที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข มีจุดผิดและตกหล่นอยู่เต็มไปหมด
มือเขาพลิกกระดาษกลับไปกลับมาทั้งสีหน้างงงัน ได้แต่พึมพำว่าประหลาด...ประหลาด...เขาตรวจสอบอย่างดีแล้วแท้ ๆ เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้
แม้จะแปลกใจอย่างไร แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่าชิ้นงานที่อยู่ในมือนี้ยังไม่สมบูรณ์จริง ๆ เปล่าประโยชน์จะมัวตีอกชกหัว ความผิดพลาดอาจเกิดขึ้นได้บางครั้งบางคราว ควรรีบแก้ไขสถานการณ์และระมัดระวังในครั้งหน้ามากกว่ามานั่งตัดพ้อ
เขาเปิดคอมพิวเตอร์ประจำตัวขึ้นมาใหม่ เรียกไฟล์ที่ต้องการขึ้นมานั่งตรวจสอบอีกครั้งโดยละเอียด ตรวจดูคร่าว ๆ รอบหนึ่งพบว่าเป็นไฟล์ฉบับสมบูรณ์ก็ค่อยพรูลมหายใจโล่งอก คงเป็นแค่ความสะเพร่าของเขาเองที่ปรินต์งานผิดไฟล์ ขอแค่อ่านทวนอีกหนจนแน่ใจ ค่อยพิมพ์ออกมาใหม่ ไม่ใช่เรื่องยากเย็นแต่อย่างใด
ทว่าแม้หาทางออกได้อย่างนั้น แต่กว่าจะเสร็จสมบูรณ์เอาจริง ๆ ก็ดึกเสียแล้ว เย็นวันศุกร์ที่ควรได้ใช้กับครอบครัวหายวับไปต่อหน้าต่อตา กลายเป็นว่าภูเมศยิ่งกลับบ้านค่ำกว่าที่ผ่านมาทั้งสัปดาห์เสียอีก
ชายหนุ่มพาร่างเหนื่อยล้าขับรถกลับถึงบ้าน จนถึงตอนได้เหยียบย่างลงบนพื้นโรงจอดรถ สายตาก็เหลือบเห็นเข็มบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือบอกเวลาสี่ทุ่มครึ่ง
เขาเงยขึ้นมองตัวบ้าน แสงไฟยังสว่างออกมาให้เห็น ครั้นสาวเท้าเข้าไปใกล้ พบร่างหนึ่งนั่งจ๋องอยู่บนพื้นต่างระดับตรงหน้าประตูคล้ายกำลังรออยู่ เดินไปอีกเพียงสองสามก้าวหลังจากนั้น ก็เห็นดวงตาดำสนิทกำลังจ้องเป๋งมาทางเขา บนพื้นข้าง ๆ มีแมวส้มนอนกลิ้งให้เกาคางด้วยท่าทางออดอ้อน
“กลับมาแล้วหรือครับ”
เมื่อเขาเดินมาจนประชิดตัว ธัญญ์ก็ผละจากแมว ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ริมฝีปากคล้ายระบายรอยยิ้มน้อย ๆ ทว่าเพ่งมองให้ดีอีกทีก็พบว่าอาจเป็นเพียงแสงเงาที่หลอกตา ดวงหน้าหล่อเหลานั้นไม่ได้ฉีกยิ้มแต่อย่างใด แต่แววตาที่ทอดมองมากลับชวนให้ใจสั่นอย่างประหลาด
เขาตั้งสติ โคลงศีรษะอ่อนใจ ให้จับมาฟัดหน้าบ้านตอนนี้คงดูไม่งามนัก
“ดึกแล้ว มานั่งเล่นแมวอะไรตรงนี้”
“คุณกินข้าวมาหรือยัง” คนฟังตอบมาคนละอย่าง
“ยัง” เขาตอบเรียบ ๆ ยิงคำถามใหม่ “ยุงไม่หามเอาหรือนั่น”
“หิวไหมครับ” เจ้าเด็กหน้านิ่งยังนึกอยากพูดอะไรก็พูดตามใจโดยไม่สนคำถามเขาเช่นเคย “อยากกินอะไรไหม”
เขาโบกมือไปมาอย่างไม่จริงจังนัก ถึงจะคำพูดคำจาจะดูอินดี้ไปหน่อย แต่กลับยิ่งทำให้นึกเอ็นดูอยู่ไม่น้อย
“ไม่เป็นไรหรอก ดึกแล้ว” เขาเผลอปฏิเสธด้วยความเกรงใจ อีกอย่างหนึ่งคือทั้งที่ท้องว่าง แต่กลับรู้สึกเหนื่อยจนกินอะไรไม่ลง มองคนหนุ่มรูปงามแม้อยู่ในชุดลำลองแสนธรรมดาตรงหน้าก็ให้อนาถใจกับตัวเองเล็กน้อย พออายุมากขึ้นหน่อยแล้วมันเป็นอย่างนี้เอง
“เจ้าภูมิล่ะ” ถามพลาง ชะเง้อมองไปในตัวบ้าน “หลับแล้วหรือ?”
“ส่งเข้านอนแล้วครับ เด็ก ๆ นอนดึกไม่ดี แต่พรุ่งนี้คุณอาจต้องง้อเขาหน่อย”
เขาพยักหน้าเบาใจ คิดไปด้วยว่าโชคดีจริง ๆ ที่มีธัญญ์อยู่
“ผมทำมื้อเย็นไว้” ธัญญ์พึมพำ เดินนำเขาเข้าไปด้านใน สังเกตว่ามีแอบเหลือบมองอยู่นิดหน่อยว่าเขาเดินตามมาหรือเปล่า เมื่อถึงหน้าโต๊ะอาหารว่างเปล่า ยังถึงกับลากเก้าอี้ออกมาให้เขาด้วย “จะกินหรือไม่กินก็นั่งก่อนเถอะครับ”
ภูเมศยืนเหวอ รู้สึกขัดเขินแปลก ๆ ไอ้การลากเก้าอี้ให้อีกฝ่ายอย่างนี้ นึกดูอีกทีก็รู้สึกว่าควรเป็นหน้าที่เขามากกว่า ยังไม่ทันได้อ้าปากพูดอะไรต่อ กลับรู้สึกได้ถึงความร้อนของฝ่ามือที่วางลงระหว่างไหล่และต้นคอ ตามด้วยแรงบีบนวดด้วยน้ำหนักมือกำลังดี ทำเอาถึงกับเคลิ้มไปวูบใหญ่ ไม่ทันไรก็เผลอหลับตาพริ้ม หากไม่ติดว่ารู้สึกฟุดฟิดที่จมูกอยู่นิดหน่อย สงสัยจากที่ธัญญ์เล่นกับแมวอยู่เมื่อครู่ ตอนนี้อาจผล็อยหลับคามืออีกฝ่ายไปแล้วก็ได้
“ต้นคอคุณตึงเปรี๊ยะเลย” ได้ยินเสียงธัญญ์พึมพำเนิบนาบ ดังอยู่ใกล้ระดับเกือบชิดใบหู
เมื่อลืมตาขึ้นมอง ก็พบว่าใบหน้าอีกฝ่ายกลายเป็นภาพมัว ๆ ด้วยอยู่ใกล้เกินไป ไม่รู้ว่าธัญญ์ก้มลงมาชิดขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน แต่ก็เป็นระยะห่างกำลังดีที่จะผงกศีรษะขึ้นฉกจูบเบา ๆ ตรงมุมปากอีกฝ่ายได้ง่ายดาย
ฝ่ายนั้นทำหน้าเหวอไปวูบหนึ่ง ดูน่ารักเหมือนอยู่ในโหมดลูกแกะน้อยที่นานครั้งก็โผล่มาที ก่อนสีหน้าจะกลับเป็นก้อนหินรูปงามในเวลาอันรวดเร็ว
“เธอนี่น้า” เขายิ้มบาง อดไม่ได้จะหยิกแก้มเด็กขี้เก๊กเบา ๆ “ฉันกลับบ้านมาทั้งที ยิ้มให้ดูให้ชื่นใจหน่อยไม่ได้หรือ”
ว่าพลาง ดึงแขนธัญญ์ให้เดินอ้อมมาด้านหน้า แล้วเกี่ยวเอวรั้งเข้ามาจนอีกฝ่ายต้องย่อตัวลงนั่งบนต้นขาเขา สองแขนโอบรอบต้นคอเขาไว้หลวม ๆ เพื่อพยุงตัว คล้ายไม่กล้าทิ้งน้ำหนักลงมาเต็มที่
“นั่งมาเถอะ” เขาว่าเสียงนุ่มนวล “ไม่หนักหรอก”
วงแขนเขาโอบแผ่นหลังธัญญ์ไว้เต็มไม้เต็มมือ วางคางเคยไว้บนไหล่อีกฝ่ายอย่างอ่อนล้า ได้กลิ่นหอมจาง ๆ ของสบู่อย่างคนเพิ่งอาบน้ำก็เผลอสูดลมหายใจเสียเฮือกใหญ่ เอียงหน้ากดครึ่งปากครึ่งจมูกลงฟอดหนึ่งตรงต้นคออย่างอดใจไม่อยู่
“เหนื่อยหรือครับ”
เขาไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเป็นห่วง แต่จะปฏิเสธไปเลยก็คงไม่น่าเชื่อถืออยู่ดี จึงได้ตอบแบ่งรับแบ่งสู้ “นิดหน่อยเท่านั้น”
“ช่วงนี้คุณทำงานหนัก”
“มันก็ต้องมีเวลาอย่างนี้บ้าง”
ธัญญ์เงียบไปครู่หนึ่ง ปล่อยเขากอดอยู่เช่นนั้น ผ่านไปพักใหญ่จึงรู้สึกได้ว่านิ้วมือของอีกฝ่ายกำลังสางแผ่วเบาบนเส้นผมเขา ทุกการเคลื่อนไหวอ่อนโยนจนแทบตัวลอย ทว่าสุ้มเสียงหลังจากนั้นกลับนุ่มนวลยิ่งกว่า
“ถ้ามีอะไรไม่สบายใจตอนอยู่ที่ทำงาน คุณเล่าให้ผมฟังได้” ธัญญ์ว่าอย่างนั้น ประโยคคุ้น ๆ อย่างไรพิกล “ผมเป็นผู้ฟังที่ดีใช้ได้ ไม่เอาไปแพร่งพรายที่ไหน”
ภูเมศถึงกับหัวเราะออกมาในลำคอด้วยความเอ็นดู นึกถึงตอนพวกเขาเจอกันครั้งแรก...ไม่สิ...ครั้งที่สองต่างหาก ตอนปีนขึ้นร่วมเตียง ธัญญ์ก็เคยพูดจาทำนองนี้กับเขาอยู่เหมือนกัน
“เธอจะควบตำแหน่งที่ปรึกษาของฉันหรือ”
“ถ้าคุณอยากให้เป็น ผมก็ไม่รังเกียจ”
“สารพัดประโยชน์งั้นสิ”
“ผมเป็นได้มากกว่าที่คุณคิด”
ภูเมศฟังไปได้แต่ทำตาปริบ ๆ ดูพูดเข้านั่น จะถ่อมตัวสักนิดละไม่มีเลย
“เอางี้ดีไหม” เขาลองยื่นข้อเสนอทีเล่นทีจริง “เราผลัดกันเล่าเป็นไง เรื่องของเธอ เรื่องของฉัน อะไรที่ไม่สบายใจ อะไรที่อยากบอก อะไรที่ยังไม่เคยบอก ผลัดกันเล่าไปเรื่อย ๆ ทีละอย่าง”
คราวนี้ธัญญ์กลับมองเขานิ่ง ไม่ตอบคำอยู่นาน คล้ายกำลังชั่งใจกับข้อเสนอ สุดท้ายค่อยผละจากอ้อมแขนเขา ลุกขึ้นยืนตรงหน้า ทำท่าเหมือนตัดสินใจได้ ค่อยเอียงคอทำตาใสอย่างน่ารัก ด้วยองศากำลังเหมาะขนาดที่เขาคิดว่าต้องจงใจยั่วหยอกเขาแหง ๆ
“เอางั้นก็ได้ครับ”
เหลือเชื่อเลย เขาใจเต้นตึกตัก ลืมเหนื่อยไปส่วนหนึ่ง ปกติฝ่ายนั้นไม่ยักมีท่าทางอยากพูดถึงเรื่องตัวเองแท้ ๆ
“แต่หลังคุณกินข้าวอิ่มแล้วนะ”
พูดจบก็หันหลังเดินหายเข้าไปในห้องครัว ได้ยินเสียงจานชามกระทบกันเบา ๆ ดังแว่วมา ภูเมศจะเครียดก็ทำไม่ได้ จะขำก็ขำไม่ออก ไม่รู้ฝ่ายนั้นเลี้ยงลูกชายเขานานเกินไปหรืออย่างไร จึงทำเหมือนเห็นเขาเป็นเด็กน้อยไปด้วยอีกคน ถึงกับล่อหลอกให้กินข้าวกินปลาด้วยลูกไม้พรรค์นี้
ได้กลิ่นหอมน่ากินของอาหารโชยมา ท่าทางว่าธัญญ์คงเตรียมไว้อยู่แล้ว เหลือแค่เอาไปอุ่น
ไม่นานนัก ข้าวต้มและกับข้าวสองสามอย่างก็ถูกยกมาวางตรงหน้า เห็นแล้วขนาดว่ารู้สึกเหนื่อยจนกินไม่ลงอยู่เมื่อครู่ ท้องไส้ยังทรยศด้วยการส่งเสียงร้องประท้วงขึ้นมาเสียอย่างนั้น
“ดึกแล้ว ข้าวต้มเบา ๆ แล้วกันนะครับ จะได้ไม่แน่นท้องจนนอนไม่สบาย” ธัญญ์ว่าอย่างนั้น พลางย่อตัวลงนั่งฝั่งตรงข้าม เตรียมจัดการข้าวต้มของตัวเองบ้าง แต่เมื่อเห็นเขามัวแต่นิ่งมอง เจ้าตัวจึงได้เงยขึ้นมาถาม
“คุณไม่กินหรือ?” แววตาดูสงสัยเอาจริง ๆ หากไม่ติดว่าประโยคถัดมากลับฟังดูเชิญชวนจนคนฟังคิดไปไกลจากเรื่องอาหารอย่างไรพิกล “ผมป้อนดีไหม?”
ภูเมศกลบเกลื่อนอาการสำลักด้วยการทำเป็นกระแอมเบา ๆ ทีหนึ่ง จากนั้นฟึดฟัดเล็กน้อยแก้เก้อ “ฉันแค่กำลังสงสัยว่าทำไมเธอถึงเพิ่งมากินเอาป่านนี้ต่างหากล่ะ”
“ผมรอกินพร้อมคุณ” ธัญญ์พึมพำเบาจนแทบไม่ได้ยิน ก้มหน้าคีบเนื้อปลาชิ้นใหญ่ใส่ถ้วยข้าวต้มเขา พูดต่อเหมือนไม่มีอะไรสลักสำคัญนัก แต่พวงแก้มกลับขึ้นสีแดงจาง ๆ “อยากนั่งมองเวลาคุณทำท่ากินแบบเอร็ดอร่อย”
ความอุ่นวาบแผ่ซ่านอยู่ในอก ให้ก่อนนี้แกล้งทำกระฟัดกระเฟียดหรือใจแข็งขนาดไหนก็ได้อ่อนยวบยาบกันตรงนี้เอง ถ้าบอกว่าอยากจับคนตรงหน้าเคี้ยวกลืนยิ่งกว่าข้าวต้มบนโต๊ะเสียอีก จะถูกหาว่าหมกมุ่นเกินไปหรือเปล่า
“บางทีฉันก็คิดนะ ว่าอย่างเธอเนี่ย ต้องเป็นประเภทเที่ยวหักอกคนอื่นไปทั่วแหง ๆ”
ธัญญ์เงยขึ้นมองเขา สายตาคล้ายไม่คาดคิด “ทำไมล่ะครับ”
ก็เล่นทำตัวน่ารักช่างเอาใจไปเรื่อยเปื่อย แต่เอาเข้าจริงกลับไม่ค่อยยอมให้ใครเข้าถึงง่าย ๆ นี่สิ
เขาข่มคำพูดนั้นไว้ เกิดรู้สึกเขินเกินกว่าจะโพล่งออกมาดื้อ ๆ ฝ่ายนั้นเองเห็นเขานิ่งไปพักใหญ่ก็ไม่พูดอะไรต่อ เพียงแต่จัดการอาหารตรงหน้าเงียบ ๆ แม้ยังพอจับได้บ้างว่าเหลือบตามองเขาเป็นระยะ เหมือนมีอะไรอยากพูดแต่ยังละล้าละลัง
ที่สุดแล้ว หลังตักข้าวต้มคำสุดท้ายเข้าปาก จ้องเครื่องหน้าชวนมองของคนฝั่งตรงข้ามอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็อดรนทนไม่ไหว เป็นฝ่ายเอ่ยออกมาเองด้วยสีหน้าเหมือนผู้ใหญ่อบรมเด็ก
“อยากพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะ เห็นเธอทำท่าอ้ำอึ้งแต่ไม่ยอมปริปากอะไรเกี่ยวกับตัวเองสักอย่าง ฉันรู้สึกเหมือนเป็นคนรักที่...อืม..เป็นผู้ใหญ่ที่...” เขาแก้คำใหม่ แต่แล้วก็ตัดสินใจข่มความเคอะเขิน ย้อนกลับไปใช้คำเดิม “เหมือนเป็นคนรักที่ใช้ไม่ได้เลย”
ธัญญ์มองเขานิ่ง เผลอเอียงคอน้อย ๆ ส่งสายตาอ่านไม่ออกกลับมา แต่เขาเดาว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นความงงงัน
ภูเมศสูดลมหายใจเข้าลึก ถามเสียงอ่อน “เอาตรง ๆ นะ เธอเชื่อใจฉันไหม”
“เชื่อครับ” อีกฝ่ายตอบกลับมาเสียงเรียบแทบจะในทันที เหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดาจนไม่ต้องเสียเวลาคิด
ได้รับคำตอบเรียบง่ายแต่จริงใจออกปานนั้น เขาเองก็พูดไม่ออกขึ้นมาดื้อ ๆ
“อา..โทษทีนะ” ชายหนุ่มยกมือขึ้นกุมขมับ รู้สึกตัวเองทำอะไรงี่เง่าเป็นบ้า “ขอโทษที ฉันคงเหนื่อยไปหน่อย”
“ผมเข้าใจ” ธัญญ์พยักหน้าน้อย ๆ คราวนี้ยังคลี่ยิ้มบางเบาให้เขาด้วยซ้ำ ท่าทางคงอยากให้สบายใจ ดูเป็นคนที่รู้ประโยชน์จากรูปลักษณ์ตัวเองเป็นอย่างดี ตอนไหนควรวางสีหน้าอย่างไร อยู่ที่ว่าจะทำหรือเปล่าเท่านั้นเอง “คุณอาบน้ำแล้วพักผ่อนเถอะครับ”
ชายหนุ่มส่งยิ้มกลับ พยายามไม่ให้ดูเหนื่อยล้าเกินไปนัก ท่าทางสัปดาห์ที่ผ่านจะสูบพลังเขาไปมากเอาการโดยไม่รู้ตัว วันนี้จึงได้ทำตัวแปลก ๆ หลุด ๆ ผิดจากทุกที
“ฉันพูดไร้สาระไปเรื่อย" เขาพึมพำซ้ำอีกหน "ขอโทษนะ”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกครับ” ธัญญ์ตอบเสียงนุ่ม ยิ้มจนนัยน์ตาหยีลงน้อย ๆ อย่างหาดูได้ยาก “คุณแค่เหนื่อย”
ภูเมศพยักหน้า อาจจริงอย่างธัญญ์ว่า
เขาช่วยอีกฝ่ายเก็บโต๊ะอาหาร แต่ธัญญ์กลับมือไวกว่า รวบจานชามใส่ถาดแล้วยกมาถือไว้เอง พยักพเยิดให้เขาไปอาบน้ำเสียที
เขายืนเก้ ๆ กัง ๆ ครู่หนึ่ง จึงค่อยหันหลังกลับอย่างยอมจำนน เห็นธัญญ์ยืนยิ้มส่งจนพ้นจากลานสายตา
ไม่ทันได้เห็นว่าทันทีที่หลุดจากระยะซึ่งมองเห็นหน้ากันและกันแล้ว รอยยิ้มตาหยีนั้นพลันเลือนหายไปจากดวงหน้าหมดจด คงเหลือเพียงแววตานิ่งสนิทที่หลุบลงต่ำ ทอดมองพื้นเงียบ ๆ
ตอนที่เขาอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ เดินเข้าไปในห้องนอน ก็พบว่าในห้องเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นฉ่ำไว้อยู่แล้ว
เหลียวมองบนเตียงหลังกว้าง มีร่างของธัญญ์นอนตะแคงไปอีกทางจึงไม่เห็นใบหน้า แต่นิ่งมากจนคิดว่าอาจหลับไปแล้ว
ภูเมศระวังฝีเท้าให้เงียบเชียบกว่าเก่า
กลับมาหนนี้ ธัญญ์ย้ายเข้ามานอนร่วมเตียงกับเขาเป็นการถาวร ไม่จำเป็นต้องแอบย่องมาหลังลูกชายหลับ และลอบออกไปก่อนลูกชายตื่นอีกแล้ว ส่วนห้องเดิมของธัญญ์ กลายสภาพเป็นห้องทำงาน (ที่ภูเมศก็ยังไม่แน่ใจนักว่างานอะไรกันแน่) และเก็บของส่วนตัวบางอย่างของอีกฝ่าย
ชายหนุ่มปิดไฟในห้อง สาวเท้าแผ่วเบาเดินไปที่เตียง ทิ้งตัวลงนอนข้างกายธัญญ์ ตามด้วยปิดโคมไฟหัวเตียงให้เรียบร้อย จากนั้นดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างพวกเขาทั้งคู่ ก่อนจะค่อยขยับเข้าไปใกล้อีกหน่อย นอนตะแคงซ้อนจากด้านหลัง คล้องแขนรอบเอวฝ่ายนั้นไว้หลวม ๆ กดจมูกลงแผ่วเบาบนต้นคอตรงหน้า
พอได้สัมผัสอุณหภูมิอุ่น ๆ ของร่างกายคน ก็รู้สึกทั้งสบายและง่วงงุนขึ้นมา เปลือกตาหนักอึ้งหย่อนลงช้า ๆ คงถูกดึงให้เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว หากไม่ได้ยินเสียงทุ้มต่ำของคนที่คิดว่าหลับไปตั้งนานลอยมาเข้าโสตประสาท
“ผมไม่ได้มีเจตนาทำตัวลึกลับเพื่อให้คนอื่นมาสนใจ”
เขาเลิกคิ้วในความมืด เพราะสะลืมสะลืออยู่เมื่อครู่ ทำให้จับต้นชนปลายได้ไม่ถนัดนัก
“หืม?”
“ผมไม่ได้ชอบหักอกคนอื่นด้วย” ฝ่ายนั้นพึมพำไม่มีที่มาที่ไป ฟังแล้วอย่างกับคนละเมอ
ภูเมศไม่แน่ใจนักว่าคนในอ้อมแขนกำลังหลับหรือตื่น ลองชะเง้อดูแต่สายตายังไม่ชินกับความมืดจึงมองไม่เห็น
เขากระชับวงแขนขึ้นอีกหน่อย รวบร่างฝ่ายนั้นไว้ในกอดคล้ายจะปลอบ เงี่ยหูฟังไม่พบว่าพูดอะไรต่อ จึงเดาว่าท่าทางจะละเมอแน่แล้ว ถึงกับส่ายหน้าอย่างนึกขำ โตป่านนี้ยังละเมอพูดเป็นตุเป็นตะ คิดเช่นนั้นก็เบาใจ เอนตัวลงนอนในท่าที่สบาย ตระกองกอดคนข้างกายอย่างแสนรักจนผล็อยหลับไปในเวลาอันรวดเร็ว
นานทีเดียว กว่าธัญญ์จะรวบรวมความกล้า พูดต่ออีกครั้งเสียงเบากว่าเก่า
“ที่จริงแล้ว..ผม...”
ทว่าคราวนี้ภูเมศที่อ่อนล้ามาทั้งสัปดาห์ไม่ตื่นเอาจริง ๆ
ได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ พร้อมอ้อมแขนที่คลายลงเล็กน้อย ธัญญ์ถึงได้รู้ว่าประโยคเมื่อครู่ เขาคงพูดให้อากาศฟังเป็นแน่แล้ว เหลียวกลับมามองคนข้างหลังช้า ๆ อย่างระมัดระวัง สายตาที่เริ่มชินกับความมืดช่วยยืนยันว่าคุณเจ้าบ้านหลับปุ๋ยไปเรียบร้อย
ธัญญ์เผลอส่งเสียงในลำคอพยางค์หนึ่ง ฟังไม่เป็นภาษา ก้ำกึ่งแยกไม่ออกระหว่างหัวเราะกับสะอึก ค่อยขยับตัวหันหน้าเข้าหาภูเมศ ยกนิ้วหัวแม่มือขึ้นลูบหางตาชายหนุ่ม
รอยยิ้มละมุนวาดขึ้นบนริมฝีปาก หากนัยน์ตากลับเจือความเศร้าสร้อยบางเบา
เกือบหลุดปากไปแล้ว..
เขามองมือของภูเมศที่ร่วงตกลงข้างลำตัวตอนเขาพลิกตัวเข้าหาเมื่อครู่ ลังเลอยู่อึดใจ จึงค่อย ๆ เอื้อมไปคว้ามือนั้นขึ้นมา วางพาดไว้บนไหล่ตัวเอง ให้กลับมาอยู่ในท่าทางที่เขาอยู่ในอ้อมแขนอีกฝ่าย
ขยับอีกนิดให้แก้มตัวเองแนบลงกลางอกกว้าง หลับตาลง ฟังเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของภูเมศ
เขาเชื่อใจอย่างไร้ข้อกังขา คนซื่อ ๆ อย่างภูเมศ จะทำร้ายใครได้
ที่ไม่ไว้ใจคือตัวเองต่างหาก
“คุณวางใจเถอะ”
เขาแค่ขอเวลาอีกสักหน่อย
ธัญญ์กระซิบใต้ปลายจมูก คล้ายพูดให้ก้อนเนื้อที่เต้นอยู่ในอกที่ตนแนบใบหน้าอยู่ฟัง
“ผมจะไม่ทำให้คุณกับลูกต้องเดือดร้อนแน่นอน”
เช้าวันรุ่งขึ้น ตอนที่ภูเมศตื่นขึ้นมา ก็เหลือแต่เขาเพียงลำพังบนเตียงหลังกว้างแล้ว
ควานมือไปด้านข้าง พบว่าแม้แต่ไออุ่นจากร่างกายคนก็ไม่เหลือ ดูท่าธัญญ์คงลุกออกไปก่อนตั้งเป็นชั่วโมง ต่อให้อยากตื่นขึ้นมาจี๋จ๋ากันยามเช้าเหมือนในหนังในละครอย่างไร แต่การที่เขาตื่นสายตะวันโด่งผิดวิสัยออกปานนี้ ต้องขอบคุณธัญญ์มากกว่าที่คงลุกไปดูแลลูกชายเขาก่อนแล้ว
เมื่อเดินลงบันได ยังไม่ทันถึงชั้นล่าง เสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากของพร้อมภูมิก็ดังลอยมาจากห้องโถง สดใสและมีชีวิตชีวาจนแค่ได้ยินยังสบายใจบอกไม่ถูก ภูเมศได้แต่นึกทึ่งอยู่ทุกทีไป เรื่องพี่เลี้ยงหน้านิ่งคนนั้นที่ช่างสรรหาอะไรต่อมิอะไรมาล่อเด็กชายให้อารมณ์ดีได้ตลอด ไม่เคยหมดมุกสักที เมื่อลงมาจนเห็นทั้งสองกำลังเล่นกันเกมกระดานกันสนุกสนานอยู่ในลานสายตา ถึงกับฉีกยิ้มกว้างออกมาไม่รู้ตัว
“พ่อครับ!” เจ้าตัวเล็กที่นั่งหันหน้ามาทางบันไดร้องทักขึ้นก่อน ตามด้วยพี่เลี้ยงซึ่งหันมามองตามพลางเอ่ยเสียงเรียบ
“อรุณสวัสดิ์ครับ”
“อืม” ภูเมศยกมือขึ้นลูบท้ายทอยเก้อ ๆ เมื่อมองนาฬิกาแขวนผนัง พบว่าเวลาล่วงเลยไปไกลพอดูสำหรับคำทักทายว่าอรุณสวัสดิ์
“หิวหรือยังครับ”
อีกฝ่ายดูจะใส่ใจปากท้องของเขาเหลือเกิน ช่วงหลังตั้งแต่ไปฝึกปรือมาจากร้านอาหารได้ระยะหนึ่ง ดูธัญญ์จะมีความสุขแบบลับ ๆ กับการเข้าครัว รังสรรค์เมนูใหม่ ๆ มาให้สองคนพ่อลูกได้ลองชิมอยู่เรื่อย ทั้งยังน่าประทับใจที่นับวันฝีมือยิ่งพัฒนา สมกับที่เจ้าตัวเผลอทำหน้าเพลียทุกคราที่เอ่ยถึงระดับการเคี่ยวเข็ญประหนึ่งจะถ่ายทอดวิชาของลุงยศผู้เป็นเจ้าของร้าน
“ปลากะพงทอดน้ำปลาอร่อยสุดยอดครับพ่อ!” ลูกชายร้องเชียร์อย่างออกหน้าออกตา “กุ้งอบวุ้นเส้นก็สุดยอด ผัดผักบุ้งผมก็ทำเองเกือบหมด สุดยอดเหมือนกัน!”
“หืม แล้วมีอะไรไม่สุดยอดบ้างละนี่”
“สุดยอดทุกอย่างครับ!” พร้อมภูมิตอบรับแข็งขัน
“ต้องชิมหน่อยแล้ว” เขาหัวเราะ แสดงความสนใจอย่างจริงจัง ส่วนหนึ่งอยากเอาใจคนทำที่นั่งเล่นกับลูกชายอยู่ อีกส่วนก็เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังหิวมากจริง ๆ นั่นละ ว่าไปก็ใกล้เที่ยงแล้วด้วย
คุณลูกชายเห็นว่าแรงเชียร์ของตัวเองได้ผลก็ทำหน้าระรื่น ฉีกยิ้มกว้างเห็นฟันขาว มือหนึ่งทอยลูกเต๋าไปด้วยไม่ให้เสียเวลาเล่น
“แต่พ่อต้องทนหิวแป๊บนะครับ” คุณลูกชายเก๊กท่าขึงขังขึ้นมา “รอผมเล่นเกมนี้กับพี่ธัญญ์จบก่อน”
ธัญญ์พยักหน้าให้ท้าย ยักไหล่ใส่เขาพร้อมส่งสายตาเป็นเชิงบอกว่า ‘ช่วยไม่ได้นะครับ’
ภูเมศหลุดหัวเราะกับท่าทางน่ามันเขี้ยวนั้น เดิมอ้อมไปด้านหลังธัญญ์ อาศัยจังหวะช่วงพร้อมภูมิกำลังก้ม ๆ เงย ๆ เก็บลูกเต๋าที่กลิ้งไปอยู่ใต้ตู้ ทำตัวหน้าด้านขโมยหอมแก้มพี่เลี้ยงลูกชายฟอดใหญ่
“ได้หกแต้ม!”
เด็กน้อยตบเข่าฉาดเตรียมอวด แต่เมื่อหันกลับมา ก็เห็นเพียงแก้มแดง ๆ ของพี่ธัญญ์ กับแผ่นหลังของพ่อที่เดินฮัมเพลงไปทางห้องน้ำแล้ว
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
v