แหะๆ มาซะเช้าของอีกวันเลย ขอโทษนะก๊าบบบ..
มีช้าดีกว่าไม่มาเน๊าะ....
แต่แอบดีใจมีคนมา reply ต่อจากเราด้วยแสดงว่ามีคนติดตาม ปลื้มมากครับ(ปลื้มแทนน้องเมศ)
ว่าแล้วก็เอาสะเลยแล้วกัน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
INTERMEZZO chapter# 5
ปัง ปัง ปัง!! เสียงทุบประตูโครมๆเพราะกดออดแล้วไม่ทันใจของผู้มาเยือนยามเช้าแทบจะไม่อาจเรียกวิญญาณของคนสามคนที่เมาหลับไปเมื่อก่อนรุ่งสางไม่กี่ชั่วโมงให้กลับเข้าร่างได้ พิรุณาที่นอนอยู่ที่โซฟาหน้าโทรทัศน์เครื่องใหญ่ผวาลุกขึ้นเพราะเจ้าหมายเอาหางแข็งๆของมันฟาดโดนขา แล้วใช้จมูกเย็นๆแตะแก้มจนพิรุณาต้องตื่น มันรีบคาบข้อมือพิรุณาที่ได้จังหวะแล้วออกแรงยื้อนิดๆเช่นทุกครั้ง พิรุณาพลิกกายเตรียมจะลุกแต่โลกดูเหมือนจะหนักอึ้งและเอียงวูบไปเสียอีกทางหนึ่งจนต้องล้มแพละกลับลงไปนอนใหม่ เจ้าหมายังพยายามยื้อร่างเจ้านายให้ลุกขึ้น พิรุณาพยายามต่อสู้กับแรงดึงดูระหว่างโซฟากับแผ่นหลังที่พยายามจะแตะกันให้ได้ไปที่ประตูจนสำเร็จ เขาเปิดช่องเล็กตรงประตูออกดูว่าใครมาซึ่งมักไม่ค่อยทำแบบนี้มากนักในเวลาปรกติ ดวงหน้าคมสันล้อมด้วยเส้นผมสีทอง และดวงตาสีเขียวมรกตที่ทอประกายไม่พอใจหงุดหงิดทำให้พิรุณารู้ว่าคนๆนั้นคือ เคน พิรุณาเปิดประตูรับอย่างเสียไม่ได้ แทบจะทันทีที่ประตูเปิด เคนรีบแทรกกายเข้ามาภายในบ้านอย่างรวดเร็ว แล้วส่งภาษามือให้อย่างเร็วไม่แพ้กัน
‘ไอ้หมอนั่นอยู่ไหน?’ พิรุณาพยายามถ่างตาดูว่าเคนต้องการสื่ออะไรแต่ดูเหมือนร่างกายจะไม่ค่อยให้ความร่วมมือสักเท่าไหร่ เลยได้แต่บอกเคน
‘ครายอ่ะ ไว้ค่อยถามทีหลังนะ’ พิรุณาเดินขยี้ผมตัวเองแล้วกลับไปนอนบนโซฟาตามเดิม
เมื่อไม่มีใครให้ความร่วมมือในการตามหาตัวผู้ต้องสงสัย เคนก็เลยต้องจัดการพลิกศพด้วยตัวเอง เคนเดินตรงเข้าไปหาร่างอีกสองร่างที่นอนไม่ได้สติอยู่บนโซฟาในส่วนห้องรับแขก เคนพลิกร่างแรกที่ใกล้ตัวที่สุดพบว่าเป็นเกรซก็พลิกร่างนั้นกลับไปตามเดิม ก่อนจะย่างสามขุมไปยังอีกร่างที่สภาพแทบไม่ต่างจากร่างเมื่อครู่เลย เขาพลิกศพขึ้นมาพิจารณา
ผู้ชายใช่ แต่หน้าไม่ใช่ คนวันก่อนมันต้องเข้มๆสิ นี่หน้าอ่อนคล้ายๆพิรุณา หรือว่าจะใช่ แต่เวบแคมมันไม่ได้หลอกตาขนาดนั้นนี่นา ไม่ใช่แล้ว....หมอนั่นมันเป็นใครวะ ธีรธรเข้าที่ทำงานของตนแต่เช้าเช่นที่ทำเป็นปรกติทุกวัน คุณลีจะเดินเข้ามาพร้อมกาแฟหนึ่งถ้วยหอมฉุยที่มือซ้าย และสมุดบันทึกที่มือขวา เธอวางกาแฟแล้วเปิดสมุดบันทึกออกแล้วเริ่มบอกกำหนดการของวันนี้ซึ่งตารางงานก็ยังคงแน่นเหมือนเดิม หลังจากหยุดเคลียร์งานที่บ้านหนึ่งวันแล้วก็ตามแต่จำนวนงานก็แทบไม่ลกลงเลยแม้แต่น้อย ธีรธรขยับปมเนคไทให้หลวมก่อนจะเริ่มอ่านรายงานการประชุมสำหรับเช้านี้ ธีรธรเหลือบไปเห็นโน้ตที่แปะไว้ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ลายมือภาษาอังกฤษแบบตัวเขียนที่เขียนไว้ด้วยตัวหนังสือค่อนข้างใหญ่ทำให้ธีรธรสงสัย มันไม่ใช่ลายมือของเลขาสาวแน่นอน ข้อความในกระดาษโน้ตบอกนัดหมายคืนนี้ที่ร้านอาหารระดับหรูใจกลางเมืองที่เขาเห็นแล้วยิ้ม
เงินทองไม่รั่วไหล พอเหลือบไปดูลงชื่อบอสหนุ่มก็ถึงบางอ้อ ของแม่สาวคริสติน่า มิลเลอร์ที่พักนี้เขาไปพัวพันด้วยนั่นเอง ธีรธรอยากปฎิเสธที่จะไปพบแต่คิดอีกที นี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะจบความสัมพันธ์กับหล่อนเสียที หลังจากควงกันไปงานสังคมเพียงไม่กี่งานจนเป็นข่าวขึ้นมา เขาจำได้ว่าต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อรับโทรศัพท์เจ้ากรรมของรันดาที่โทรมาซักไซ้ไล่เรียงเสียหมดจด
ธีรธรเดินผ่านฝ่ายต้อนรับของภัตรคารหรูกลางเมืองเข้ามาโดยมีพนักงานต้อนรับคนหนึ่งเดินนำหน้าไปยังโต๊ะที่จองไว้ ไม่ว่าจะมองทางไหนก็พบแต่คนดังทั้งนั้น ไม่ว่าจะนักธุรกิจชื่อดัง ดารานักร้อง หรือแม้แต่นางแบบร่างอวบอัดในชุดรัดรูป ที่โต๊ะในส่วนที่ราคาแพงที่สุดของร้านมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งคอยเขาอยู่แล้ว เธอคือคริสตินา มิลเลอร์ในชุดผ้าซาตินสีดำเนื้อบางเบา คว้านคอลึกจนเห็นเนินอกอวบรำไร บนคอระหงมีสร้อยเพชรเส้นเล็กๆกำลังล้อแสงไฟวูบวาบ ธีรธรจูบมือเรียวบางที่ส่งให้ก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้ามเธอ
“มาช้าจริงนะคะ นึกว่าจะต้องคอยเก้อเสียแล้ว”หล่อนพูดหลังจากบริกรรับออเดอร์เรียบร้อยแล้ว
“ผมติดงานน่ะครับ”ธีรธรตอบอย่างสงวนคำ อยากให้บรรยากาศน่าอึดอัดนี่หมดไปเสียโดยเร็ว
“เรื่องสาขาใหม่ที่ปักกิ่งเป็นอย่างไรบ้างคะ คริสตี้ได้ข่าวว่าจะจัดคอนเสิร์ตเป็นการประชาสัมพันธ์ด้วย”
“ครับ ก็เรียบร้อยดี เหลือแค่เรื่องการประชาสัมพันธ์เท่านั้นแหล่ะครับ”
“ผูกพันธมิตรกับประเทศแบบนั้นเป็นวิธีที่ฉลาดดีนะคะ”หญิงสาวพูดแล้วจิบเครื่องดื่มในแก้วก้านสูง ธีรธรลอบมองหล่อนอย่างชั่งใจ
“คุณพ่อคุณก็ทำนี่ครับ”
“อุ้ย คริสตี้ไม่ค่อยทราบหรอกค่ะว่าคุณพ่อทำอะไรบ้าง” ความเงียบอันน่าอึดอัดโรยตัวลงอย่างช้าๆ หลังจากบริกรนำอาหารมาเสิร์ฟก็มีเพียงการพูดคุยกันด้วยเรื่องจิปาถะเล็กน้อยเท่านั้น จวบจนการทานอาหารค่ำจะจบลงธีรธรจึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง
“คุณคริสติน่าคิดอย่างไรเกี่ยวกับข่าวของเราครับ?”
“ทำไมหรือคะ คริสตี้ก็คิดว่ามันก็เป็นความจริงนี่คะ” ธีรธรนึกในใจ จริงกะผีเดะ
เขาไม่เคยคบผู้หญิงตรงหน้าเป็นแฟน แค่ควงเล่นเฉยๆเหมือนคนอื่นๆนั่นแหล่ะเบื่อแล้วก็ทิ้งไป ยิ่งผู้หญิงที่ไม่ค่อยมีสติอย่างคนนี้ด้วยแล้วยิ่งไม่น่าเป็นแฟนด้วยอย่างแรง หล่อนผิดจากผู้เป็นบิดามากมาย หล่อนไม่สนใจว่าโลกเป็นอย่างไรไปถึงไหนแล้ว คำพูดง่ายๆก็ส่อถึงระดับความรู้ของเธอแล้ว
“แต่ผมคิดว่ามันออกจะเกินไปหน่อยนะครับ” ธีรธรกล่าวเสียงเรียบ
“คุณไม่คิดอย่างนั้นหรือ? เราแค่ไปงานด้วยกันไม่กี่ครั้งก็ลงพาดหัวทุกฉบับแล้วว่าเป็นแฟนกัน ทั้งที่ผมไม่ได้คิดอะไรกับคุณเลย” คริสติน่า มิลเลอร์ ตะลึงงัน ริมฝีปากอิ่มสวยที่เคลือบด้วยสีแดงเม้นเข้าหากัน เธอไม่คิดว่าจะมีผู้ชายคนไหนกล้าปฎิเสธเธอ ธีรธรเป็นคนแรกที่กล้า
“คุณว่าอะไรนะคะ?” ธีรธรมองเธออย่างใจเย็นก่อนจะตอบเสียงเบาหากหนักแน่น
“ผมว่าเราควรจะจบข่าวพวกนี้สักทีนะครับ”ดวงตาสีนิลเป็นประกายคมกล้าหรี่มองหล่อน คริสตินา มิลเลอร์กำลังตัวสั่นด้วยความโกรธ
“คุณช่างกล้าอะไรแบบนี้ ฉันไม่เคยอับอายขนาดนี้มาก่อนในชีวิตถ้าเรื่องนี้ถึงหูคุณพ่อ ธุรกิจของคุณก็จบรู้ไว้เสียด้วย!!” หล่อนกระแทกเสียงก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ครับ แต่ผมไม่ค่อยแคร์” ธีรธรตอบแล้วยิ้มที่มุมปาก หญิงสาวตรงหน้า สั่นด้วยความโกรธแต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากกว่านั้น เพราะคนรอบข้างเริ่มหันมาสนอกสนใจว่าเกิดอะไรขึ้น เธอจึงได้แต่ฮึดฮัดแล้วเดินปึงปังออกไป
ธีรธรที่นั่งอยู่เพียงคนเดียวที่โต๊ะเสยผมอย่างเซ็งนิดๆ ท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของคนในที่แห่งนั้น เขาไม่แคร์ที่จะถูกมองว่าไปเป็นผู้ชายเห็นแก่ตัว แต่เขาไม่ชอบการถูกผูกมัดมันน่าเบื่อเกินไป แม้กระทั่งคำสาบานคนเราที่เคยสาบานไว้ต่อหน้าสิ่งที่ตนเคารพศรัทธายังไม่อาจรักษามันไว้ได้ประสาอะไรกับการผูกมัดบ้าๆนี่ที่เพียงไม่กี่วันกี่เดือนก็จืดจาง ผู้หญิงสวยน่ารื่นรมย์ แต่ผู้หญิงสวยที่ไม่มีสมองไร้ประโยชน์ เป็นได้แต่เพียงเครื่องบำบัดความกระหายมันก็เท่านั้น
ธีรธรจิบเครื่องดื่มในมือ พลางมองไปรอบข้าง ที่โต๊ะริมหน้าต่างในมุมสงบจุดหนึ่งของร้าน ชายคนหนึ่งผมสีเทาด้วยอายุ กำลังนั่งหัวเราะร่ากับคนฝั่งตรงข้าม ธีรธรเหลือบมองคู่สนทนาของชายสูงวัยคนนั้น ร่างโปร่งบางกับเสื้อเชิ้ตขาวโดยมีเสื้อตัวนอกสีน้ำตาลพาดกับพนักเก้าอี้เบื้องหลังทำให้เขานึกถึงคนบางคน
พิรุณากำลังคุยกับอาจารย์ของตนที่ไม่เจอกันมานานอย่างออกรส ท่านกำลังเล่าถึงเรื่องตลกๆที่เกิดขึ้นในวงออเครสตาที่ทำควบคุมอยู่ พลันสายตาพิรุณาก็เหลือบไปเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินกระแทกส้นเท้าออกไป ซึ่งโต๊ะที่เธอเดินจากมามีชายคนหนึ่งท่าทางคุ้นหน้าคุ้นตาเขานัก นั่งทำหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นหน้าชัดๆพิรุณาถึงกับอ้าปากค้างก่อนจะรีบตะปบรายการอาหารใกล้มือมาเปิดบังหน้าตัวเองไว้จนอาจารย์สงสัยว่าอยู่เขาเป็นอะไร ท่านเคาะนิ้วลงบนเมนูที่พิรุณายึดไว้พลางตัวอย่างเหนียวแน่น พิรุณายื่นหน้าออกมาจากหลังเมนูแบบเสียไม่ได้ แล้วส่งภาษามือให้
‘เราเปลี่ยนร้านกันตอนนี้จะยังทันไหมฮะอาจารย์’ เอ็ดเวิร์ด ฮอร์นทำหน้าสงสัย
‘ร้านนี้บรรยากาศไม่ค่อยดี ผมอึดอัดน่ะฮะ’ คนเป็นอาจารย์ส่งภาษามือตอบศิษย์ แม้จะผิดๆถูกๆอยู่บ้างแต่ก็พอรู้เรื่อง
‘แต่เธอเป็นคนเลือกร้านนี้เองนะ’
‘ก็ตอนแรกตั้งใจจะหลอกอาจารย์ให้เลี้ยงข้าวแพงๆนี่นา แต่ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจแล้ว เราไปหาร้านถูกๆแต่อร่อยๆกินกันดีกว่า’
‘เอ้า แล้วแต่ฉันเป็นคนขอให้เธอพาเที่ยว ก็ต้องยอมเธอล่ะ’ชายสูงวัยลุกขึ้นแล้วหยิบเสื้อตัวนอกของตัวพาดแขน พิรุณารีบคว้าเสื้อตัวเองมาถือบ้างแล้วเดินออกไปพร้อมกัน พลางนึกไชโยโห่ฮี้วในใจว่ารอดแล้ว
พิรุณาและอาจารย์ของตนกำลังยืนคุยกันอยู่หน้าลิฟท์เพื่อรอที่จะลงไปชั้นล่างสุด พิรุณาเหมือนจะเห็นที่หางตาว่ามีคนยืนเมียงๆมองๆอยู่ตรงนั้น พิรุณาจึงหันไปมองอย่างเต็มตา เธอคือคุณลีนั่นเอง พิรุณาออกจะแปลกใจที่พบเธอที่นี่ ไม่ใช่เพราะคิดจะดูถูกเธอ แต่คิดว่าเวลาขนาดนี้เธอน่าจะอยู่บ้านกับลูกและสามีของเธอแล้วต่างหาก ลีแอนยิ้มให้พิรุณา เขาจึงยิ้มตอบอย่างยินดี แล้วแนะนำเธอให้อาจารย์รู้จัก
“คุณนี่เองที่พิรุณาเล่าให้ฟังบ่อยๆ” ลีแอนยิ้มกว้างดวงหน้าเริ่มซับสีเลือดอย่างเขินๆ เธอเองก็ไม่นึกว่าวาทยากรผู้ยิ่งใหญ่ระดับโลกจะทักทายเธออย่างเป็นมิตรถึงเพียงนี้
“ขอบคุณที่คอยดูแลลูกศิษย์งี่เง่าของผมนะครับ”ชายสูงวัยพูดอย่างสุภาพ
“มิได้ค่ะ จริงๆแล้วดิฉันก็ไม่ได้ดูแลอะไรเท่าไหร่เลย คุณปองผู้ช่วยคุณพิรุณาต่างหากละคะที่เป็นคนจัดการอะไรๆเสียส่วนใหญ่”
‘อาจารย์ ลิฟท์มาแล้วฮะ’ พิรุณาส่งภาษามือให้ชายสูงวัย แล้วหันมาโบกมือบ๊ายบายให้ลีแอนที่โบกมือตอบอยู่ไหวๆเช่นกัน คนทั้งคู่ก้าวเข้าไปในลิฟท์แล้วประตูลิฟท์ก็ค่อยปิดลง พิรุณากดปุ่มที่มีเครื่องหมายตัวGแล้วถอยมายืนข้างอาจารย์ ทันใดนั้นประตูก็กลับเปิดขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ในสูตรสีดำสนิทเข้ากับสีผมและดวงตาคมกล้าก้าวเข้ามาในลิฟท์ โดยมีคุณลีแอนก้าวยาวๆตามมา พิรุณารีบซุกกายหลังผู้เป็นอาจารย์ทันทีที่เห็นชายคนนั้นอย่างถนัดตา
มันจะตามมาทำไมฟะ“สวัสดีครับมิสเตอร์ ฮอร์น คุณพิรุณา” น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลกล่าวอย่างสุภาพกับชายสูงวัยกว่า โดยที่คำว่าพิรุณาออกจะเน้นหนักอยู่เล็กน้อย
“สวัสดีครับ คุณคือ...”
“ผม ธีรธร พาณิชยกิจวิโรจน์ ประธานกลุ่มบริษัท PVK.ครับ”
“อ้อ คุณคือสปอนเซอร์ คอนเสิร์ตที่เราจะจัดสินะครับ”ธีรธรได้ฟังก็ยิ้มน้อยๆ เป็นรอยยิ้มเพื่อธุรกิจโดยแท้ ดวงตาสีม่านราตรีมองกลุ่มเส้นผมสีออกน้ำตาลแดงที่ซ่อนอยู่หลังชายสูงวัยอย่างเงียบเชียบ
“นี่คือลูกศิษย์ของผมเองคุณคงรู้จักกันแล้ว”ชายสูงวัยเบี่ยงกายออกจากการเป็นที่กำบังให้พิรุณา ดวงหน้าขาวใสนั้นงอง้ำ
ไม่ได้อยากจะเจอเล๊ย ไอ้คนเนี้ย อาจารย์ใจร้าย“สบายดีนะครับคุณพิรุณา” จากการอ่านปากของพิรุณาทำให้พอจะรู้ว่าธีรธรถามอะไร จึงได้แต่พยักหน้ารับทั้งที่ในใจตะโกนดังๆว่า
สบายดีกะผีดิ“ไม่ทราบว่าทางร้านเราทำอะไรให้คุณไม่พอใจหรือเปล่าครับ? ผมเห็นพวกคุณเดินออกมาทั้งๆที่ยังไม่ได้สั่งอะไรเลย เลยอยากสอบถามไว้ปรับปรุงน่ะครับ”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่เจ้าพิรุณาบอกว่าอึดอัด เลยอยากเปลี่ยนร้านเสียดื้อๆเท่านั้นเอง” ดวงตาคมกล้าหรี่มอง
อึดอัดอย่างนั้นหรอ? พิรุณาหลบไปอยู่หลังอาจารย์ตัวเองอีกครั้ง แล้วเริ่มเขียนบางอย่างในกระดาษโน้ตสีนวลๆที่มักพกติดตัวเสมอ
ก็อึดอัดเพราะนายนั่นแหล่ะรู้ไว้ซะด้วย
ธีรธรอ่านตัวอักษรในกระดาษสีนวลๆที่โผล่พ้นไหล่ผู้สูงวัยที่สุดในที่นี้แล้วมันคันปาก หมู่นี้ไม่ค่อยได้ต่อปากต่อคำกันเท่าไหร่เลย ธีรธรยิ้มให้มิสเตอร์ฮอร์น พอผู้สูงวัยเผลอ เขาก็ถลึงตาให้คนตัวเล็กที่ซ่อนอยู่ข้างหลังเสียทีหนึ่งอย่างหมั่นไส้ สิ่งที่ได้กลับมาคือดวงหน้าขาวนวลๆนั้นกำลังทำลอยหน้าลอยตามาราวกับเด็กเล็กๆ ลีแอนที่ลอบสังเกตการณ์อยู่นานหลุดขำออกมา ทำให้มิสเตอร์ฮอร์นสงสัย
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่คันคอนิดหน่อย”
“หากว่ามิสเตอร์ฮอร์นว่างละก็คืนนี้เชิญไปดื่มที่คลับของเราก็ได้นะครับ”ธีรธรเอ่ยด้วยดวงตาเป็นประกายอย่างมีแผน พิรุณารีบดึงชายเสื้อของอาจารย์แล้วรีบส่ายหน้า
‘คืนนี้อาจารย์บอกว่าจะอยู่ดูผมซ้อมเปียโนนี่ฮะ ลืมแล้วหรอ?’
‘ไว้วันหลังก็ได้’
‘จะก๊งละสิ ผมจะโทรไปฟ้องคุณนาย’ พิรุณาส่งภาษามือให้อย่างเป็นต่อ เพราะอะไรในโลกนี้อาจารย์ก็ไม่กลัว กลัวคุณนายคนเดียวนี่แหล่ะ
‘คุณนายไม่อยู่หรอก ไปฝรั่งเศสโน่น’
“เอาสิครับผมกำลังนึกอยากดื่มอยู่พอดี คงจะดีมากถ้าคุณจะให้เกียรติเป็นเพื่อนดื่มให้ผม”
“ยินดีครับ เชิญ” ธีรธรผายมือให้ผู้สูงวัยกว่าออกจากลิฟท์ก่อนเมื่อมีเสียงสัญญาณบอกว่าถึงชั้นเป้าหมายแล้ว
พิรุณานั่งทำหน้ากระเง้ากระงอดอีกครั้งหลังจากวันก่อนถูกบังคับให้นั่งหน้าคู่กับธีรธรเมื่อวันที่ย้ายเข้าบ้านใหม่ แต่คราวนี้เป็นการนั่งในคลับหรูระดับไฮโซห้าดาวและแน่นอนว่ามื้อนี้ไม่ต้องจ่าย เพราะเจ้าของคลับ เอ๊ย โรงแรมนี่เลยต่างหาก นั่งดื่มเครื่องดื่มสีอำพันคุยกับอาจารย์อย่างออกรส ราวกับว่าพิรุณาและลีแอนไม่มีตัวตน พิรุณาเบื่อเต็มทีที่จะต้องนั่งอยู่ตรงนี้โดยที่มีธีรธรอยู่ใกล้ๆ นัยน์ตาสีม่านราตรีนั้นเมื่อไหร่ที่มองมายังตัวเขา มันทำให้รู้สึกอึดอัด คุณลีก็เช่นกัน อยากกลับไปหาลูกจะแย่อยู่แล้ ว พิรุณาจึงแอบตกลงกับลีแอนว่าหลังจากนี้ไปยี่สิบนาทีถ้าสองคนนี้ยังก๊งไม่เลิกเขาจะกลับแล้ว อาจารย์ก็อาจารย์ บอสก็บอส จะทิ้งให้เหมือนขยะเลย คอยดู! พิรุณาที่กำลังเซ็งเต็มแก่ดื่มน้ำเมาในแก้วตัวเองไปเรื่อยโดยที่รู้สึกว่ามันไม่พร่องไปเลยแม้แต่น้อย แล้วหยิบมือถือขึ้นมากดพิมพ์ข้อความหยอกล้อคุณลีที่ท่าทางจะเบื่อพอๆกันจนหัวเราะคิกคัก เวลาน่าเบื่อเริ่มไหลผ่านไปเรื่อยๆ จนธีรธรสังเกตเห็นจึงเอ่ยกับคู่สนทนา
“ดึกขนาดนี้แล้วหรอเนี่ย”
“นั่นสิครับ ผมเห็นทีต้องขอตัว”ผู้สูงวัยที่ดวงหน้าแดงซ่านด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ลุกขึ้นยืน ทำให้ทั้งสามคนยืนตาม พิรุณาทำท่าจะเก็บของเตรียมตามอาจารย์ไป
‘ไม่ต้องขึ้นไปส่งหรอกพิรุณา ขึ้นลิฟท์ไปก็ถึงห้องแล้ว กลับบ้านเถอะ’ พิรุณาพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย ช่างเป็นภาพที่น่าประหลาดสำหรับธีรธร
“เดี๋ยวผมไปส่งคุณพิรุณาให้ครับ มิสเตอร์ฮอร์นไม่ต้องห่วงครับ”ธีรธรกล่าวอย่างสุภาพ ชายสูงวัยยื่นมือขวามาให้ชายหนุ่มจับมือ พิรุณากอดอาจารย์ของตนทีหนึ่ง อาจารย์กล่าวราตรีสวัสดิ์แก่คนทั้งหมดแล้วจากไป
“ดิฉันขอตามไปส่งมิสเตอร์ฮอร์นแล้วตรงกลับบ้านเลยนะคะ” ลีแอนรีบเสนอตัวก่อนจะก้าวยาวๆตามวาทยากรชื่อดังไปติดๆ เหลือเพียงพิรุณาและธีรธรยืนอยู่เบื้องหลัง
“มองตาเยิ้มเชียวนะ” ธีรธรค่อนคนตัวเล็กกว่า ถึงไม่ได้ยินพิรุณาก็รู้ได้ว่าชายคนนี้สื่ออะไร พิรุณากดข้อความลงในมือถือแบบแค้นๆแล้วยื่นให้ธีรธรดู
คิดอกุศล ขนาดหูไม่ได้ยินยังรู้เลย
ธีรธรยิ้มขัน ก่อนจะหยิบมือถือของตัวเองมากดบ้าง
รู้ใจจริงๆ อยู่ดื่มต่ออีกหน่อยไหม?
ไม่ ผมจะกลับบ้านนอน เมื่อคืนก่อนกลับมาตอนตี3แถมไม่ได้เมาอีกตะหาก
ก็นี่ไง อยู่เมาเสียด้วยกันคืนนี้ พรุ่งนี้จะได้นอนยาว
พิรุณาส่ายหัวดุ๊กดิ๊กอย่างเสียมิได้ แล้วนั่งลง พับฝามือถือตัวเองเก็บ พลางมองมือใหญ่ๆของธีรธรรินน้ำสีอำพันใส่แก้วแล้วส่งให้ ก่อนจะรินของตัวเองพิรุณารับมาจิบ ธีรธรยกแก้วของตนจิบบ้างเช่นกัน แล้วหยิบปากกาออกมาเขียนลงกับกระดาษรองแก้ว ลายมือหนักเขียนด้วยปากกาหมึกแห้งสีดำสนิทตวัดหางแต่พองามถูกเลื่อนเข้ามาใกล้พิรุณา
คุณคงไม่ได้ดื่มแล้วล่ะ...มาโน่นแล้ว
พิรุณาอ่านแล้วสอดส่ายสายตาไปทั่วบริเวณ ร่างโปร่งของปองเดินเข้ามาในคลับนี้อย่างคุ้นเคย เสียงทักทายจากพนักงานรอบข้างทำให้ปองหยุดสนทนาด้วยบ้าง ก่อนจะเดินมายังมุมที่พิรุณาและธีรธรนั่งอยู่ก่อนแล้ว พิรุณาเห็นปองก็ยิ้มให้ ก่อนจะเห็นคนที่เดินตามปองมา ร่างสูงใหญ่นั้นดูเป็นเงาทะมึนน่ากลัว ดวงตาสีมรกตของเคนออกจะตัดพ้อเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองอีกคนที่อยู่ในที่นั้น เคนขมวดคิ้วอย่างใช้ความคิดว่าเคยเห็นชายชาวเอเชียร่างสูงใหญ่คนนี้จากที่ไหน ดวงตาสีม่านราตรีคมกล้ามองเคนเพียงครู่เดียวก่อนจะหันไปสนใจกับเครื่องดื่มในมือ ชั่วแวบเดียวนั้นเองทำให้เคนระลึกได้ทันที
ไอ้หมอนี่มัน!“นายใช่คนที่บ้านพิรุณาเมื่อวันก่อนหรือเปล่า?”เคนถามด้วยเสียงต่ำกว่าปรกติ ธีรธรดูจะไม่ใส่ใจกับคำถามมากนัก
“ถ้าใช่แล้วไง”เสียงเข้มๆตอบกลับมาอย่างไม่แยแส
“นายมาอยู่กับพิรุณาได้ยังไง วันนี้พิรุณามากับอาจารย์เอ็ดเวิร์ดไม่ใช่หรอ?” เคนยิ่งคำถามใส่ ปองขยับตัวทำท่าจะเข้าไปตอบแทนอดีตนายจ้างตัวเอง แต่มืออุ่นๆของพิรุณาคว้าไว้ นัยน์ตาสีสวยพราวอย่างนึกสนุก
“ใช่มิสเตอร์ฮอร์นมากับพิรุณาวันนี้ แต่มันเกี่ยวอะไรกับคุณด้วยถ้าผมจะมาตรวจความเรียบร้อยกิจการของผมเอง” เคนอ้าปากเหมือนจะพูดแต่แล้วก็ชะงักไป
ตะกี้พูดว่ากิจการของตัวเอง....ไอ้โรงแรมนี้มันของ PVK.ไม่ใช่หรอวะเนี่ย? พิรุณาเห็นปองทำหน้ายุ่งๆกับบทสนทนาระหว่างเคนกับธีรธรก็เลยนึกขำพลางเผลอซดโฮกน้ำสีอำพันในมือจนหมดแก้วอีกครั้งซึ่งพิรุณาเองก็ดูจะไม่ได้นับเหมือนกันว่าแก้วนี้เป็นแก้วที่เท่าไหร่แล้ว รู้เพียงว่าเริ่มรู้สึกมึนๆ และร้อนที่หน้า ดวงตาสีน้ำตาลแดงฉ่ำด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์ ใบหน้าแตะแต้มไว้ด้วยรอยยิ้ม ปองหันมาเป็นท่าทางพิรุณาที่ดูแปลกไปจากปรกติก็รู้เลยว่าคนที่บ่นเมื่อตอนบ่ายว่ายังไม่ทันได้เมา ตอนนี้เมาสมใจอยากแล้ว ปองดึงแก้วในมือพิรุณาออกเป็นเชิงว่าอย่าดื่มอีกเลย แต่พิรุณาที่ดูจะรื่นรมย์ต่อทุกสิ่งยังต้องการดื่มมากกว่านี้ จึงคว้าแก้วใสใบนั้นกลับมาแล้วเติมน้ำสีอำพันนั้นลงไปอีก ก่อนจะจรดที่ริมฝีปากดื่มต่อไป
“คุณคือ ประธานกลุ่มPVK!!.”เคนพูดด้วยเสียงแผ่วเบาราวกับจะหมดแรง ธีรธรมองเคนอย่างนึกเยาะในใจ
“คุณคงเป็น ทายาทของอานิโมโต”ธีรธรกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย ปองเริ่มทนไม่ได้กับบทสนทนาที่หาสาระไม่ได้
มัวแต่ถามชื่อแซ่กันอยู่นั่น คุณพิรุณาเมาเละแล้ว “ว่าแต่คุณมาทำอะไรที่นี่ล่ะครับ?” ธีรธรถามอย่างใจเย็นมองเคนอย่างประเมิน จนเคนรู้สึกได้และเริ่มกรุ่นๆขึ้นมาแล้ว
“ผมมาตามเพื่อนกลับ”เคนตอบเสียงห้วนพยายามระงับอารมณ์ตัวเองให้สงบไว้ การเป็นฝ่ายปะทุก่อนจะทำให้เสียเปรียบ...ซึ่งตอนนี้ก็เสียเปรียบมากอยู่แล้ว
“แค่เพื่อนเท่านั้นหรอกหรอ?” น้ำเสียงของธีรธรฟังดูเหมือนเยาะเสียมากกว่าจะถาม ทำให้เคนหงุดหงิดมากขึ้น รู้สึกอยากต่อยกับไอ้ประสาทตรงหน้านี่เต็มแก่
“ แล้วคุณล่ะ คงไม่ใช่แฟนพิรุณาแน่!!!”
“อนาคตตะหากล่ะเด็กน้อย”ธีรธรกล่าวกลั้วหัวเราะ
“มันจะมากไปแล้วนะคุณ!!” เคนเสียงแข็งเตรียมจะโดดเข้าใส่ธีรธร ปองจึงรีบเข้าไปห้ามทัพ
“พอเสียทีเถอะครับ คุณพิรุณาเมาจะแย่แล้ว ทะเลาะกันเป็นเด็กๆไปได้ ไม่อายคนเขามั่ง” ปองพูดเสียงดังทำให้เคนและธีรธรเลิกแยกเขี้ยวใส่กัน เคนจึงได้แต่หงุดหงิดงุ่นง่าน ส่วนธีรธรก็ทำหน้าเซ็งๆแบบเสียเส้น
พิรุณายิ้มหวานให้คนทั้งสาม ร่างโปร่งบางๆนั้นลุกขึ้นกระโดดเกาะคอเคนซึ่งเป็นคนที่ยืนใกล้ตนที่สุด ดวงหน้านวลใสนั้นวนเวียนอยู่ใกล้ๆจมูกโด่งสวยของเคน เคนยิ้มน้อยๆที่มุมปากอย่างเอ็นดูพลางใช้มือโอบคนตัวเล็กให้ยังทรงตัวอยู่ได้ ช่างเป็นภาพบาดตาบาดใจธีรธรนัก โดยลืมไปแล้วว่าปองอยู่แถวนี้และกำลังพยายามปลดแก้วเครื่องดื่มออกจากมือพิรุณา ธีรธรมองดวงหน้านวลสวยนั้นคลอเคลียอยู่ใกล้ริมฝีปากของเคน ช่างเหมือนลูกแมวน้อยที่คลอเคลียอยู่กับเจ้าของเสียเหลือเกิน
ช่างน่ารักน่าชังเสียจนอยากชิงมาไว้ในอุ้งมือตัวเองเสียให้รู้แล้วรู้รอด!“บอสครับ ผมคงต้องพาคุณพิรุณากลับบ้านแล้วล่ะครับ คุณเคนครับผมขออาศัยรถคุณกลับนะครับ คุณพิรุณาเมามากแล้ว”ปองรีบพูดก่อนที่จะยืดเยื้อไปกว่านี้พลางประคองพิรุณาให้ยืนตรงๆ เคนพยักหน้ารับ
“ขอตัวนะครับ”เคนกล่าวอย่างสุภาพให้ธีรธร ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของเคนก็กรีดเสียงร้องขึ้น เคนรับก่อนจะชะงักนิ่ง แล้วเลี่ยงออกไปคุยยังมุมสงบและกลับมาสมทบกับปอง ดวงหน้าคมสันนั้นซีดอย่างน่ากลัว
“คุณปองผมคงส่งไม่ได้ ผมต้องรีบกลับอิตาลี เลขาผมโทรมารายงานว่าคุณแม่ของผมประสบอุบัติเหตุ ต้องกลับเที่ยวบินห้าทุ่มสิบห้า” ปองยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู
สี่ทุ่มสามนาที “คุณไปเถอะครับ ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมเรียกแท็กซี่ก็ได้” ปองกล่าวพลางหยิบเสื้อตัวนอกของพิรุณามากางออกแต่เมื่อเห็นว่าเคนทำท่าลังเลจึงรีบเอ่ยออกไปว่า
“ถ้าไม่รีบคุณจะไปไม่ทันนะครับ ผมจัดการทางนี้ได้”ปองกล่าวเสียงเรียบ แล้วสวมเสื้อตัวนอกให้พิรุณาได้สำเร็จ เคนสูดหายใจแรงๆครั้งหนึ่งแล้วหันหลังเดินก้าวยาวๆจากไป ปองมองตามเพียงครู่เดียวก็รู้สึกว่าแขนของพิรุณากำลังเกาะคอตนเองบ้าง ดวงหน้านวลใสนั้นเคล้าเคลียอยู่ใกล้ๆ ธีรธรเห็นแล้วขัดตาจึงรั้งแขนพิรุณามาใกล้
“คุณปองถือของตามมา” ธีรธรบอกเสียงเข้มแล้วลากตัวพิรุณาเดินลิ่วๆออกไป ปองจึงทำได้เพียงโกยของทุกอย่างของพิรุณามาถือไว้แล้วกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไป
ธีรธรจัดแจงให้พิรุณานั่งหลังแล้วกำชับปองให้คาดเข็มขัดนิรภัยให้พิรุณาด้วย ก่อนจะเข้าประจำที่คนขับ ปองเอื้อมมือมาจัดท่าให้พิรุณาซึ่งขณะนี้ดูจะสิ้นฤทธิ์กับการเลื้อยเกาะคนอื่นไปแล้วให้นอนสบายขึ้น ปองเห็นบางอย่างที่ดวงหน้าขาวนวลๆนั้น มันคือน้ำตาที่หยาดหยดลงอย่างเงียบเชียบ ปองควานหาทิชชูออกมาแล้วซับให้อย่างเบามือ ธีรธรที่มองจากกระจกมองหลังเห็นปองทำบางอย่างจึงถาม
“คุณพิรุณาเป็นอะไรหรือ หรือว่าจะอ้วก”
“เปล่าครับ แค่...น้ำตาไหล”ปองตอบด้วยเสียงเรียบๆ พลางซับน้ำตาที่ยังคงหยาดหยด
“ร้องไห้หรือ?” ปองรับคำสั้นๆ
หลายครั้งตลอดการเป็นโฮสต์ของปองเคยเห็นคนเมามาแล้วก็หลายรูปแบบ แต่นี้เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นคนเมาแล้วร้องไห้กับตาตัวเอง ว่ากันว่าคนที่เมาแล้วร้องไห้ แสดงว่าเขาซ่อนบางความทุกข์บางอย่างไว้ในใจ พิรุณาเป็นคนร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใสทำให้ปองแปลกใจว่าดวงหน้าที่แย้มยิ้มอยู่เสมอนั้นทำไมถึงได้ร้องไห้แบบนี้ แต่อีกใจหนึ่งก็หวนคิดถึงเหตุการณ์เรื่องร้ายๆของเขาที่พิรุณาเป็นคนประคับประคองให้ปองยืดหยัดได้ บางเวลาพิรุณาก็เด็กอย่างน่าเอ็นดู แต่ในทางกลับกันนั้นก็เป็นผู้ใหญ่จนน่ากลัว นัยน์ตาคู่สวยนั้นสะท้อนแววบางอย่างที่เหมือนผ่านอะไรๆมามากมาย
“ผมต้องลงไปดูหรือเปล่า?”เสียงของบอสหนุ่มฟังนุ่มนวลกว่าทุกครั้งทำให้ปองยิ้มน้อยๆ
“ไม่เป็นไรครับ ขับให้ถึงบ้านอย่างปลอดภัยก็พอ”