“ทำอะไรน่ะ เข้ามาเร็ว” คนตัวสูงที่เปลือยท่อนบนเรียบร้อยแล้วกวักมือเรียกหลังจากย้ายลงไปนั่งในอ่างอาบน้ำด้วยตัวเอง แถมมือยังทำท่าจะถอดกางเกงโดยไม่สนใจว่าจะมีใครมองอยู่หรือเปล่าด้วย
“พี่...พี่จักรอาบก่อนเลย” ภีมภัทรโบกมือปฏิเสธ เตรียมตัวชิ่งออกไปด้านนอกในทันทีที่พูดจบ แต่ยังไม่ทันได้ขยับก็โดนเอ่ยแทรกขึ้นมาอีกประโยค
“พี่ปวดแขน”
“…”
ภีม...ไอ้คนขี้ห่วงเกินเหตุ รู้ทั้งรู้ว่าเขาโกหกเพื่อหลอกล่อให้ไปติดกับก็ยังจะเดินไปหากับดักด้วยตัวเองอีก
“มาอาบน้ำกับพี่ เสร็จแล้วจะให้รางวัล”
“พี่จักรอย่ามาหลอกภีม” ปากว่าแบบนั้นแต่เท้าก้าวเข้าไปในห้องน้ำตั้งแต่ได้ยินอีกฝ่ายบ่นว่าปวดแขน บางทีก็นึกเกลียดความอะไรๆ ก็พี่จักรของตัวเองเหลือเกิน
“ถอดเสื้อแล้วลงมานี่” จักรพรรดิตีฟองจนล้นอ่างเพราะมั่นใจว่าเด็กน้อยต้องไม่กล้าเปลือยให้เขาเห็นทั้งตัวแน่ จากนั้นคนไร้ยางอายจึงจัดการโยนกางเกงออกมาจากอ่างต่อหน้าต่อตาภีมภัทร ทำเอาคนมองเบิกตากว้างหน้าแดงเป็นแถบจนแทบไม่เหลือพื้นที่ว่าง
“ภีมว่า...”
“ปวดแขนจัง...” คราวนี้ไม่ได้มาเพียงคำพูด แต่พี่จักรคนหน้าตายยังอุตส่าห์ขมวดคิ้วน้อยๆ เหมือนจะบอกว่าเจ็บจังเลย เพียงเท่านั้นภีมภัทรก็ไปไม่เป็น ชายหนุ่มถอดเสื้อไว้ที่อ่างล้างหน้า ก่อนจะก้าวเท้าลงไปในอ่างแล้วนั่งลงอย่างรวดเร็ว มารู้สึกเกลียดความกว้างของอ่างน้ำที่เลือกเองกับมือก็ตอนนี้
“ถอดกางเกงสิ ไม่อาบน้ำหรือไง”
ภีมภัทรหน้าบูดแต่ก็ยอมยกขาถอดกางเกงออกจนร่างกายเปล่าเปลือย อย่างน้อยฟองฟูๆ พวกนี้ก็ช่วยปิดอะไรต่อมิอะไรได้บ้าง ขอแค่คนขี้แกล้งไม่กวักน้ำแรงๆ จนฟองกระจายก็พอ
“พี่จักรรีบๆ หันหลังมาสิ”
“หืม”
“ปวดแขนไม่ใช่หรือไง”
จักรพรรดิร้องอ๋อออกมาเบาๆ คำหนึ่ง มุมปากยกยิ้มจางเหมือนจะขำอยู่ในที เขายอมหมุนตัวหันหลังให้โดยไม่ได้ปฏิเสธอะไร สัมผัสแรกเริ่มที่แตะโดนแผ่นหลังนั้นทั้งร้อนผ่าวและสั่นเทา ปลายนิ้วเล็กๆ วางแตะลงมาเหมือนกลัวเขาเจ็บ คนขี้แกล้งพยายามอดทนแล้วแต่ก็อดไม่ไหวจนต้องหัวเราะออกมาในที่สุด
“นี่จะอาบน้ำให้พี่หรือจะเอานิ้วลูบไปลูบมากันแน่” คนพูดหมุนตัวกลับไปเผชิญหน้า แม้ต้องใช้มือยกขาทั้งสองข้างก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เพราะเขาเคยชินกับการทำเช่นนี้แล้ว
“ภีม…” ภีมภัทรทำหน้าไม่ถูก สายตามองไปทุกทิศทางยกเว้นใบหน้าของคู่สนทนา เห็นดังนั้นจักรพรรดิจึงฉวยโอกาสดึงมือเรียวมาจับไว้เอง
“เอาแบบนี้แล้วกัน”
“อะ...อะไร”
แทนคำตอบ เขาใช้แรงบังคับให้มือขาวๆ ที่จับไว้วางแปะลงบนแผงอกกว้างของตนเองแล้วออกแรงลากให้ถูไปถูมา ทั้งยังอาศัยจังหวะที่เด็กน้อยกำลังอึ้งลากมือลงต่ำจนสัมผัสหน้าท้องแกร่งเข้าอย่างจัง เพียงเท่านั้นภีมภัทรก็สะดุ้งเฮือกใหญ่จนน้ำกระจัดกระจาย ขยับถอยหลังอย่างแรงจนแทบกระแทกกับขอบอ่างหากไม่ได้คนแรงเยอะช่วยดึงรั้งแขนผอมไว้ทัน
“ตกใจอะไรขนาดนั้น มาช่วยพี่อาบเร็วเข้า” ไม่ว่าเปล่า เขายังขยับตัวเข้าไปหาคนที่นั่งกอดเข่าตัวแดงอยู่เกือบติดขอบอ่าง ขาพาดไปด้านข้างให้ตัวเด็กน้อยอยู่ตรงกลางเหมือนจะบังคับไม่ให้ขยับ เพราะหากขยับเมื่อไหร่...คงได้แตะโดนส่วนอ่อนไหวที่อยู่ใต้น้ำเข้าให้แน่ “ถ้ายังไม่ช่วยอีก พี่จะขยับเข้าไปใกล้กว่านี้นะ”
“หยุดเลยนะ!” ภีมภัทรยื่นมือออกไปดันแผงอกแกร่งเมื่อคนพูดทำท่าจะขยับเข้ามาอีกจริงๆ ตามที่ว่า เพียงแค่สัมผัสของขาทั้งสองข้างที่แตะโดนตัวเขาอยู่ใต้น้ำในตอนนี้ก็แทบทำให้หัวใจวายตายอยู่แล้ว ขืนขยับเข้ามาใกล้กว่านี้...อะไรๆ ก็ต้องใกล้เข้ามาอีกน่ะสิ เขารับไม่ไหวหรอกนะ
“ทีนี้จะช่วยได้หรือยัง”
“ภีมเกลียดพี่จักร”
“เกลียดพี่เหรอ” น้ำเสียงนั้นแฝงความจริงจังลงไปหลายส่วน
“ไม่...ไม่ได้เกลียด” รีบปฏิเสธแล้วก็สบถด่าตัวเองในใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมาสบดวงตาพราวระยับเข้าอย่างจัง
โดนหลอกอีกแล้ว!
“ยังไงกันแน่นะ”
“พี่จักรเงียบๆ เลยภีมจะได้อาบน้ำให้” มือเอื้อมไปกดสบู่เหลวที่ขอบอ่างอีกรอบก่อนจะเอามาละเลงบนลำตัวแกร่งโดยไม่เสียเวลาคิด คราวนี้เขาหลับหูหลับตาถูเอาๆ ทั้งยังพยายามบังคับจิตใจให้สงบแม้มือปัดผ่านไปโดนอะไรก็ตาม “เสร็จแล้ว หันหลังเร็ว”
จักรพรรดิเลิกคิ้วคล้ายจะถามว่าเอามือมาลูบๆ แบบนี้คือเสร็จแล้วเหรอ แต่พอเห็นหน้าแดงๆ นั่นแล้วก็เริ่มสงสารขึ้นมา
“เดี๋ยว! พี่จักรขยับเข้ามาใกล้ทำไม ภีมบอกให้หันหลังไม่ใช่เหรอ” ภีมภัทรพูดเสียงตื่นพลางขยับกายถอยหลังจนชิดขอบอ่างหมดทางหนี แต่ผู้บุกรุกก็ยังไม่ยอมหยุดเคลื่อนตัวเข้ามาหาเสียที
“กลัวอะไรขนาดนั้น...พี่แค่จะให้เอื้อมมือไปถูหลังให้ หมดแรงจะหมุนตัวแล้ว หรือถ้าภีมอยากลุกแล้วเดินข้ามไปอยู่หลังพี่ก็ได้นะ” คนพูดเอ่ยกลั้วหัวเราะ แต่ข้อเสนอเล่นเอาภีมภัทรหน้าบูด
ใครจะกล้าลุกเล่า ในเมื่อตัวเปลือยเปล่าอยู่แบบนี้
“พี่จักรนิ่งๆ เลยนะ” ออกคำสั่งเสร็จแล้วจึงโน้มตัวไปด้านหน้าเพื่อเอื้อมไปถูหลังให้ แม้พยายามที่จะไม่มองอีกคนยังไงเขาก็ยังรับรู้ได้ถึงสายตาที่จับจ้องมาที่ตัวเองอยู่ดี ไม่รู้ไปทำอีท่าไหน ถูไปถูมาชักเริ่มรู้สึกว่าหน้าเข้าใกล้กันมากขึ้นเรื่อยๆ และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ลมหายใจอุ่นร้อนจากคนตัวสูงเป่าลดลงมาที่ข้างแก้มอย่างจงใจ
“ภีม…”
“เสร็จ...เสร็จแล้ว” ภีมภัทรถอนตัวออกมาจากระยะอันตรายทั้งที่ใจยังเต้นกระหน่ำไม่มีทีท่าว่าจะลดความเร็วลง
“ให้พี่ช่วยอาบให้บ้างไหม”
“ไม่ต้อง!” ปฏิเสธเสียงแข็งแต่ตากลับทอประกายขอร้องเหมือนจะออดอ้อนให้หยุดแกล้งกันเสียที เพียงเท่านั้นจักรพรรดิก็ยกมือยอมแพ้ ชายหนุ่มขยับกายถอยไปด้านหลังเพื่อให้พื้นที่แก่เด็กน้อย สายตามองมือเรียวที่ถูไปถูมาตามเนื้อตัวของตนเองอย่างพิจารณา เห็นความเร็วในการอาบน้ำของอีกฝ่ายแล้วนึกอยากหัวเราะออกมาดังๆ
“เสร็จแล้วเหรอ”
“อือ แล้วจะล้างตัวยัง...” ไม่ทันได้พูดจนจบประโยคภีมภัทรก็เริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลง เขามองระดับน้ำที่ลดต่ำลงเรื่อยๆ ด้วยใบหน้าเหวอสุดขีด และในเวลาที่น้ำลดต่ำลงจนถึงระดับเอว ชายหนุ่มรีบหมุนตัวหันหลังให้คนที่นั่งอยู่อีกฝั่งของขอบอ่างโดนอัตโนมัติ “ทำไมน้ำ...”
“พี่ดึงออกเอง เห็นว่าภีมอาบเสร็จแล้ว” คนด้านหลังยอมรับง่ายๆ แล้วปิดจุกปล่อยน้ำกลับที่เดิม เขาทอดสายตามองแผ่นหลังขาวด้วยความพอใจ อดขำเบาๆ ไม่ได้เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยเปลือยทั้งตัวจริงๆ สงสัยเจ้าตัวคงคิดว่าเขาถอดหมดตัวเหมือนกัน ไม่รู้ว่าถ้าหันมาเห็นว่าเขายังใส่กางเกงขาสั้นอยู่จะโกรธขนาดไหน คิดแบบนั้นแล้วชายหนุ่มจึงกดปล่อยน้ำลงอ่างอีกครั้งพร้อมกับถอดกางเกงตัวสุดท้ายออกอย่างเงียบงัน
แค่นี้ก็เท่าเทียมกันแล้ว...
ภีมภัทรรีบล้างตัวออกอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้เลยว่าคนด้านหลังทำอะไรอยู่ เขาคว้าผ้าขนหนูจากข้างอ่างลงมาพันตัวทั้งที่ยังอยู่ใต้น้ำ ก่อนจะผุดกายลุกขึ้นยืนโดยไม่คิดจะโดนแกล้งมากไปกว่านี้
“ไปแล้วเหรอ”
ยัง...ยังกล้าถามอีก
“ภีมจะไปรอของรางวัลที่เรือนกุหลาบ” ว่าจบก็สะบัดหน้าเดินออกไปในทันที ทิ้งให้คนมองตามหลังหัวเราะอยู่กับตัวเอง ถึงจะโดนแกล้งมากแค่ไหนก็ยังไม่ลืมของรางวัล นี่ล่ะนะเด็กน้อยของเขา จักรพรรดิหลับตาลงอย่างผ่อนคลาย
หวังว่าภีมจะดีใจกับรางวัลนี้เหมือนที่พี่ดีใจนะ...
ภายในเรือนกุหลาบที่ดูเงียบเหงากว่าทุกครั้งเมื่อเป็นช่วงเวลาปลายปีที่คนในสวนทุกคนต่างพากันกลับบ้านไปหาครอบครัว ร่างโปร่งของภีมภัทรกำลังเดินไปเดินมาอยู่หน้าต้นกุหลาบสีน้ำเงินต้นโปรด บนหน้าคล้ายมีความตื่นเต้นผสมปนเปไปกับความอับอาย สำหรับความรู้สึกแรกมันเกิดขึ้นเพราะเขากำลังตื่นเต้นที่จะได้รับของขวัญจากพี่จักร ถึงจะไม่รู้ว่าคืออะไรแต่ก็ตื่นเต้นไปก่อนแล้ว ส่วนความรู้สึกที่สองนั้นเป็นผลมาจากเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นในห้องน้ำ และแน่นอนว่าจะไม่มีการพูดถึงมันขึ้นมาอีกเด็ดขาด
“พี่จักรยังเก็บเจ้านี่ไว้...” เครื่องบินกระดาษในมือถูกหยิบขึ้นมาดูอีกครั้งหลังจากฉวยโอกาสเอามันมาโดยไม่บอกเจ้าของ หากจะโทษคงต้องโทษที่พี่จักรหยิบมันมาวางไว้บนเตียงเหมือนต้องการให้เขาเห็น รู้ตัวอีกทีก็หุบรอยยิ้มไม่ได้แถมยังถือมาที่นี่ด้วยแล้ว
วันที่พับเครื่องบินกระดาษลำนี้ให้พี่จักรคือวันที่ภีมภัทรเข้าใจว่าเครื่องบินมีเอาไว้ทำอะไรเป็นครั้งแรก จำได้ว่าเพื่อนในห้องพูดถึงเรื่องนี้เพราะมีคนไปเรียนรู้วิธีพับกระดาษมาจากชมรม จากนั้นก็บอกว่าเครื่องบินจะพาเราไปเที่ยวในสถานที่ที่อยู่ไกลๆ ได้ ทุกคนต่างพากันไปเรียนรู้วิธีพับเครื่องบินจากเพื่อนคนนั้น...รวมถึงตัวเขาเองด้วย
“เครื่องบินของพี่ทำให้คนขี้อายยิ้มได้จริงด้วย”
“เครื่องบินของภีมต่างหาก” ภีมภัทรเถียงแล้วหันไปมองคนมาใหม่ เขาเกือบจะกลับไปยิ้มอีกรอบเมื่อเห็นว่าพี่จักรที่นั่งอยู่บนวีลแชร์ห่างออกไปเกือบสิบก้าวกำลังสวมชุดที่ตัวเองเตรียมไว้ให้
เสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีชมพูกับกางเกงขาสั้นสีขาวเข้ากับพี่จักรแบบที่คิดเลย...
“ภีมให้พี่มานานแล้ว เพราะงั้นตอนนี้มันต้องเป็นของพี่สิ”
หากนับตามเวลาคงต้องบอกว่ายาวนานจนแทบนึกไม่ถึง ระยะเวลาสิบกว่าปีต้องห่างกัน พวกเขาพบเจอทั้งความสุขและความทุกข์ ก้าวข้ามผ่านอุปสรรคและความเจ็บปวดมากมายกว่าจะได้กลับมาเจอหน้ากันอีกครั้ง ท้ายที่สุดแล้วยังต้องเสียน้ำตาให้กับเรื่องราวต่างๆ กว่าจะได้ยืนเคียงข้าง หากยังปล่อยเวลาให้ผ่านไปอีกก็ไม่รู้ต้องพบเจอเหตุการณ์ใด ดังนั้นถ้าได้อยู่ด้วยกันจากวันนี้ อย่างน้อยเมื่อต้องพบเจออะไรก็คงไม่ต้องแอบไปนั่งเสียใจเพียงลำพังอีก
สิ่งที่ต้องทำในยามนี้...คือการพูดให้ชัด
“พี่จักร...”
“อย่าเพิ่งเดินเข้ามา”
“…”
“จำได้ไหมว่าระยะห่างของเรามันเคยกว้างกว่านี้...เป็นล้านเท่าเลยล่ะมั้ง” จักรพรรดิมองระยะห่างระหว่างเขากับภีมภัทรอย่างพิจารณา ในใจกำลังคำนวณว่าต้องใช้แรงเท่าไหร่กันกับการพยายามเดินไปด้านหน้า “เพราะภีมไม่รู้ว่าพี่อยู่ที่ไหน ภีมถึงได้แต่รออยู่ตรงนี้ จะหาว่ามั่นใจในตัวเองก็ได้นะ แต่พี่คิดว่าถ้าภีมโตกว่านั้นและรู้ว่าควรหาพี่ยังไง ดูท่าภีมคงจะตามไปหาพี่จริงๆ พี่พูดถูกไหม”
ภีมภัทรอมยิ้มโดยไม่ตอบอะไร เพราะเขาคงจะทำตามที่พี่จักรพูดจริงๆ น่าเสียดายที่ตอนนั้นเขาเด็กเกินกว่าจะรู้ว่าควรถามใครหรือทำอย่างไรเพื่อให้ตามหาพี่จักรของตัวเองเจอ
“การที่ภีมยังรออยู่ที่เดิมเป็นสิบปีมันคือการพยายามทำเพื่อพี่ที่แทบจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเด็กผู้ชายคนนั้นคือใคร ภีมก้าวข้ามระยะห่างระหว่างเรามาได้ แล้วภีมยังบอกรักพี่ก่อน...ถึงจะไม่รู้ตัวก็เถอะ” เขาหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นใบหน้าตกอกตกใจของคนฟัง “พี่ไม่รู้จะตอบแทนยังไง แต่อยากจะขอร้องให้ภีมช่วยรออยู่ตรงนั้นอีกสักนิด...”
“…”
“คราวนี้พี่จะเดินเข้าไปหาภีมเอง”
ถ้อยคำหนักแน่นดังขึ้นพร้อมกับที่ผู้พูดใช้แรงพยุงกายขึ้นจากเก้าอี้โดยไม่มีราวช่วยจับหรืออุปกรณ์อื่นใดช่วยเหมือนเคย เขาค่อยๆ ปล่อยมือออกจากแขนวีลแชร์แล้วยืนตัวตรงด้วยตนเอง ดวงตาคู่คมทอประกายมุ่งมั่นไม่ยอมแพ้แบบที่ทำให้คนมองต้องเม้มริมฝีปากแน่นเพื่อสะกัดกลั้นอารมณ์
ก้าวแรก...เกิดขึ้นอย่างยากลำบากเมื่อร่างสูงใหญ่รู้สึกเหมือนกำลังจะล้มลงได้ทุกเวลา หากเขาก็ยังทรงตัวไว้ได้เมื่อได้สบดวงตาคู่สวยที่มีหยาดน้ำใสเอ่อคลอ
ก้าวที่สอง...เขารู้สึกเหมือนขาไม่ใช่ของตัวเอง มันทั้งไม่ชินและรู้สึกแปลก
ก้าวที่สาม...คล้ายความรู้สึกยามตื่นขึ้นมาในโรงพยาบาลครั้งแรกและพบว่าตัวเองเดินไม่ได้กลับมาหลอกหลอนอีกครั้ง
ก้าวที่สี่...เสียงเหยียดหยามของมินตราที่คอยบอกว่าไร้ประโยชน์ดังซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว
ก้าวที่ห้า...มันสงบ รู้สึกเหมือนชีวิตนี้ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว บางทีเขาอาจแค่ต้องรอวันตายมาถึงเฉยๆ
ก้าวที่หก...จักรพรรดิตัวเซจนเกือบล้ม เขามองเห็นขาสองข้างของคนที่ยืนรออยู่ขยับ แค่มองก็รู้ว่าเด็กน้อยตรงหน้าอยากเดินเข้ามาช่วยขนาดไหน และนั่นทำให้เขากัดฟันจนกลับมาทรงตัวได้อีกครั้ง
ก้าวที่เจ็ด...มันคือจุดเปลี่ยน เท้าของเขาเหยียดลงบนพื้นอย่างมั่นคง จิตใจจดจ่อเพียงใบหน้าที่มีน้ำตาคลอหน่วยของคนสำคัญ
ก้าวที่แปด...อย่าร้อง อย่าร้องไห้ ใจเขาพร่ำบอกคนตรงหน้า มือเอื้อมเข้าไปหา อีกเพียงนิดเดียวก็จะแตะแก้มขาวนั้นได้
ก้าวที่เก้า...ขาทั้งสองข้างสั่นเทา คราวนี้มันกลับไปไร้เรี่ยวแรงอีกครั้ง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าร่างกายกำลังจะล้มลง เขาฝืนตัวเองเพื่อก้าวเท้าอีกครั้ง
ก้าวสุดท้าย...
ร่างสูงใหญ่ล้มลงในอ้อมแขนของคนตัวเล็กกว่า เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีจางหายไปไม่เหลือแม้แต่น้อย แล้วภีมภัทรก็ล้มตามลงไปทั้งที่ยังกอดอีกคนไว้แน่น เขาปล่อยให้หยาดน้ำตาไหลออกมาแล้วสะอึกสะอื้นซุกอยู่กับไหล่ของคนตัวโต
“รางวัลของภีมก็คือพี่...ทั้งจากนี้และตลอดไป” จักรพรรดิผละตัวออกเล็กน้อยเพื่อเช็ดน้ำตาให้คนขี้แง แต่ยิ่งเช็ดมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งไหลมากขึ้นเท่านั้น สุดท้ายเขาจึงยอมแพ้แล้วใช้วิธีโน้มลงจูบหน้าผากมนแผ่วเบา ลากลงมายังดวงตาทั้งสองข้าง และสิ้นสุดอยู่ที่ปลายจมูกรั้น
“พี่จักร...ฮึก...”
“พี่รักภีม”
สิ้นคำสารภาพ ริมฝีปากหยักกดจูบลงบนริมฝีปากบางนิ่งงันโดยไม่รุกล้ำ ความอ่อนโยนและความรู้สึกทั้งหมดถูกถ่ายทอดให้กันและกันจนหมด มันเป็นจูบที่เนิ่นนานและชัดเจนในความรู้สึกของคนทั้งคู่
“ภีมก็รักพี่จักร...รัก...รักนะครับ”
“รู้แล้วครับ...เด็กน้อยของพี่”
จักรพรรดิยิ้มอ่อนโยน เขากดจูบย้ำลงบนริมฝีปากบางเบาๆ อีกครั้งก่อนผละออก สายตาเหลือบเห็นตัวอักษรที่เขียนอยู่บนหางของเครื่องบินที่ตกอยู่ข้างกายเข้าพอดี
'พี่จักรกับน้องภีม’
มีเรื่องราวชวนยิ้มและชวนหัวเราะมากมายเกิดขึ้นในอดีต หากนึกขึ้นได้ก็คงทำให้มีความสุข แต่ว่าตอนนี้จักรพรรดิคิดว่าหากจำไม่ได้ก็คงไม่เป็นไร เพราะเขาเชื่อว่าทุกคนจะช่วยกันสร้างความทรงจำครั้งใหม่ที่ดีกว่าเดิมขึ้นมาได้แน่นอน
อดีตก็คืออดีต ต่อให้มีความสุขหรือทุกข์แค่ไหนมันก็เป็นเพียงอดีต ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าอดีตคือปัจจุบัน...
ปัจจุบันที่เราเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างไร
ปัจจุบันที่เราเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตเพื่อใคร
และจักรพรรดิก็เลือกแล้วที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุข...เพื่อตัวเอง
END
TALK: จบแล้วค่ะ จบจริงๆเลย ระหว่างที่เราเขียนเรื่องนี้เกิดปัญหาขึ้นหลายอย่างมาก ตอนแรกยังกังวลว่าจะเขียนได้จนจบไหม เพราะเริ่มไปแล้วแล้วดันติดฝึกงานพอดี กลายเป็นว่าต้องหายหน้าหายตาไปเกือบห้าเดือน แต่สุดท้ายก็เข็นมาจนจบจนได้ ต้องขอบคุณคุณคนอ่านทุกท่านจริงๆค่ะที่ช่วยสนับสนุนและทำให้เรามีแรง ที่ขาดไม่ได้เลยคือคุณนักกายภาพบำบัดว. ที่ช่วยให้คำปรึกษาเรื่องเกี่ยวกับการทำกายภาพของผู้ป่วยแบบพี่จักรโดยเฉพาะ ทั้งเรื่องเวลาและพัฒนาการต่างๆของคนไข้ด้วย พออิงความจริงเข้าไปด้วยพี่จักรเลยหายช้า อันที่จริงแม้จะเป็นตอนสุดท้ายแล้วแต่พี่จักรก็ยังไม่สามารถกลับไปเดินได้คล่องเหมือนเมื่อก่อนนะคะ ยังต้องใช้เวลาต่อไปกว่าจะผ่านพ้นแต่ละช่วงไปได้ แต่คงไม่ต้องห่วงอะไรเพราะภีมก็อยู่ด้วยอยู่แล้ว (แต่ถ้าอยากเห็นพี่เดินได้ก็...ในเล่มเนอะ หรือถ้าไม่สะดวกรอเรื่องต่อๆไปของสามพี่น้องน่าจะมีโผล่มาค่ะ)
สุดท้ายนี้เราขอขอบคุณอีกครั้งและขอฝากผลงานเรื่องต่อๆไปด้วยนะคะ สามารถติดตามข่าวสาวและการเปิดจองนิยายได้ทางหน้าแฟนเพจหรือหน้าทวิตเตอร์เหมือนเดิมค่า
ปล.เรื่องนี้จะเปิดจองตั้งแต่สามโมงของวันที่ 27 พฤษภาคมจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2561 นะคะ
รัก
Chesshire.