- บทที่ 22 - มะนาว : ก็คนมันกลัว -
- มะนาว –// ฝันดีนะ //
“อยู่แล้ว เหมือนกันมึง”
// แล้วเจอกัน //
“เออๆ เจอกัน ไปนอนสักที”
// ฮ่าๆๆ //
ผมถือโทรศัพท์ค้างจนได้ยินปลายสายกดวางสายไป
ผมนิ่งถือโทรศัพท์ไว้อย่างนั้นสายตาเหม่อลอย
แต่เสียงแหลมสูงที่แหวกอากาศเข้าหูทำให้ผมตื่น!
“ไง โกหกทำไม ทำไมไม่บอกเขาไปตรงๆ ว่างอนหนีกลับบ้านมา”
“ผมมีสิทธินั้นด้วยเหรอ?” ผมจะเอาอะไรไปงอนเขาครับ แค่เขาโทรมาก็ดีใจจะตายห่า มือไม้สั่นไปหมด ที่น้อยใจอยู่ก็ลืมไปหมfทู้กกกอย่าง ดันเผลอทำตัวปกติจนกลบหัวใจสาวน้อยของผมหมดสิ้น
“เอ้า อะไรของเธอย่ะ ก็เขาไม่กลับห้อง ไปนอนห้องคนอื่น เหมือนหลบหน้าเธอไม่ใช่เหรอ ที่เธอฟูมฟายกับฉันมาทั้งวันเนี่ย อะไร มันคืออะไร” เจ้เฟิร์นผู้รู้ทันผมทุกอย่าง ไล่ต้อนซะผมไม่เหลือทางไป
“ก็ช่วงนี้นะ มีแข่งทุกวัน เมื่อวานไปกินเลี้ยงกลับมาก็กะว่าจะได้อยู่ด้วยกัน แล้วไง แล้วไม่โทรมา ไม่ให้ไปรับ ไปนอนที่อื่นก็ไม่บอก ไม่กลับก็น่าจะบอกจะได้ไม่ต้อง... รอ”
“งอนเป็นตุ้ดเลยน้องฉัน ฮ่าๆๆ”
“เจ้เฟิร์นอ่ะ”
“จ้าๆ ไม่งอนๆ แล้วทำไม เขาโทรมาง้อก็ดีใจแต่ก็ไม่ยอมบอกว่าตัวเองไม่พอใจอะไร ไมเล่นตัวงี้ห่ะแบบนี้เจ้ไม่เคยสอนนะ”
“พูดไปนาวก็กลายเป็นไอ้ขี้งอน ขี้น้อยใจ เรื่องมากเข้าใจยากดิ้”
“จ๊ะ งั้นมีอะไรก็เก็บๆ ไว้นะจ๊ะ จะได้ ตู้ม กลายเป็นโกโก้ครั้ช”
“ฮื้อ ไม่นะ” ผมปิดหน้า แค่คิดก็หน้าซีดตัวเหลืองแล้วครับ
ไม่เลิก ยังไงก็ไม่เลิก นี่คบกับรึยัง ยังไม่แน่ใจเลย จะให้เลิกตอนนี้ไวไปไหม ม่ายยยยยยย
เพราะอย่างนี้ล่ะครับ ผมเคยบอกแล้วใช่ไหมว่าผมไม่เคยคบกับใครเพราะไม่มั่นใจความมั่นคงของตัวเอง กลัวที่สุดคือตัวเองเนี่ยแหละจะทำให้ทุกอย่าง พัง
ผมไม่ได้รักเขาน้อย กลับกันความรู้สึกของผมต่อเขามันมากจนพอถึงเวลาผมกลับควบคุมตัวเองไม่ได้ ทุกอย่างเหมือนถูกตั้งคำสั่ง ลุย! ไว้ข้างใต้ แตะโดนอะไรนิดอะไรหน่อยผมฟิวส์ขาดตลอดเลย ที่กลับมาแบบนี้เพราะเลี่ยงการปะทะ อาจจะดูใช้คำแรง แต่ตรงแล้วล่ะครับ ถ้าได้ปะทะกับผมในอารมณ์ที่ผมยังพร้อมเหวี่ยง มะนาวที่เขาเคยพบเคยเห็นมะนาวที่อยู่ในความคิดเขาคงเปลี่ยนไปตลอดกาล
ทั้งหมดผมไม่ได้สร้างภาพ เพียงแต่ไม่ใช่ทุกด้านของผมที่เขาเคยเห็น
ผมกำลังฝึกครับ ควบคุมจิตใจ ควบคุมอารมณ์ ผมว่าผมทำได้ดีกว่าเมื่อก่อนแล้วนะ แต่จากเรื่องเมื่อคืนทำให้รู้เลยว่ายังไม่ดีพอ แถมสิ่งใหม่ที่ผมเจอที่เข้ามากดดันผมมันมากและมีผลกับผมมากว่าเมื่อก่อนโขเลย
ผมเคยหึงหวง ผมเข้าใจ และรับมือได้
แต่ผมไม่เคยคาดหวัง แล้วผิดหวังอย่างครั้งนี้ ไม่เคยเลยในชีวิต
วันก่อนๆ ผมปลอบใจตัวเองได้ แต่เมื่อคืนมันคือที่สุด ผมคิดว่ามันเป็นปาร์ตี้ เขาต้องดื่ม เขาไปสนุกสนานและรู้ว่าผมจะรออยู่ที่ห้อง เมื่อเขากลับมาเราจะกลับไปเป็นคนที่สามารถเปิดเผยมุมต่างๆ ซึ่งกันและกันได้
แต่มันกลับไม่เป็นอย่างที่ผมรอและหวัง เขาเงียบหายไปเหมือนตั้งใจหลบหน้า ทำไมล่ะ?
ผมวนเวียนอยู่กับคำถามว่าทำไมๆๆๆ จนไม่ได้นอนทั้งคืน พอฟ้าสว่างผมก็หอบร่างกายอ่อนล้ากับใจช้ำๆกลับบ้าน บอกตรงๆว่าโคตรน้อยใจ ไม่รู้รึไงว่าคนเขารอ ไม่รู้รึไงว่าเป็นห่วง ผมคิดไปต่างๆนาๆ ฟุ้งซ่านจนกู่ไม่กลับ วูบหนึ่งผมคิดว่าผมถูกเขาเหม็นขี้หน้าแล้วด้วยซ้ำ เขาที่เป็นคนดีไม่ได้ผลักไส แต่ ไม่หยอกล้อ ไม่จูบ ไม่... กอด ไม่รู้รึไงว่าคนเขารอจนเข้าขั้นโหยหา
ผมรู้ว่าเขาทำให้อย่างที่ผมต้องการไม่ได้ เพราะรู้ผมจึงอดกลั้นไม่วอนขอ แค่สิ่งเล็กๆน้อยๆที่เขาแสดงออก แค่จูบเบาๆก่อนนอน ผมก็พอใจมากแล้ว แต่พอรู้ว่าเป็นวันศุกร์ รู้ว่าเขาไม่ต้องกังกลเกี่ยวกับการแข่งขัน ผมก็เริ่มตั้งความหวังถึงเวลาที่เขาจะกลับมาหาในคืนวันศุกร์
แล้ว ผมก็พบกับความผิดหวังที่ค่อยๆคืนหลานเข้ามา ผ่านมากับเวลาที่ล่วงเลย ผ่านไปกับเวลาที่เขาควรจะกลับ แต่ก็ไม่ กว่าจะรู้ตัว หัวใจผมก็ถูกความผิดหวังเข้าครอบงำจนเกินกว่าจะเข้าใจอะไร
แต่ดูจากสิ่งที่เขาทำหลังจากเห็นผมหายไป ผมก็พอเข้าใจว่ามันเป็นอารมณ์ของผมที่ฟุ้งซ่านคิดมากไปเอง เขายังคงคิดและห่วงใยผมเหมือนเดิม เพียงแต่คงมีเหตุผลบางอย่าง บางอย่างทำให้เขาต้องกันตัวเองออกไป
คงเพราะ วันเสาร์ก็มีแข่ง มั้ง แต่มันก็ตั้งตอนเย็นโน้นเลยนะ
จริงๆ ผมอยากกลับไปหอ ไปหาเขาตอนนี้เลยด้วยซ้ำ แต่ผมก็คิดนะ ว่าถ้ามีอะไรขึ้นมาอีก จะทำไง? ผมควรปล่อยให้เวลาผ่านไป ให้ผมเย็นลง สองวันผมอาจจะไม่ได้โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นหรอก แต่ให้ผมได้มีเวลาทบทวนและคิดถึงความใจร้อนของตัวเองแล้วสำนึกว่ามันทำให้อะไรๆ สะดุด
...
ผมกลับมาอีกครั้งในวันจันทร์ ผมถ่วงเวลาไม่ไปกินข้าวเช้ากับพวกนั้น เข้าห้องเรียนเอาตอนเกือบสายเลือกนั่งปลายแถวถัดจากเมอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน
แม็ตมองมาที่ผม ผมก็ทำเป็นยักคิ้วให้ปกติ แล้วพยายามไม่มองไปที่เขาอีก
ผมไม่ได้งอนแล้วนะ แค่ ไม่รู้จะทำตัวยังไง
ที่โรงอาหารตอนพักเที่ยง เราแยกย้ายกันซื้อข้าวปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือวันนี้มีคนเดินตามมากินข้าวร้านเดียวกับผม เขาไม่ถาม ไม่พูด ไม่ได้เข้ามาใกล้มาก แต่คนอื่นมองก็คงรู้ว่ามาด้วยกัน
แล้วทำไมไม่พูดอะไร ไม่เข้าใจเลย ที่ไม่เข้าใจเนี่ย ผมไม่เข้าใจตัวเองนะ แม็ตไม่ใช่คนพูดมากเหมือนผมรึพงศ์ แม็ตมันก็แค่ไม่พูดฟุ่มเฟือยเป็นปกติ ผมสิปากสงบเกินกว่าปกติ
ผมซื้อข้าวเสร็จ หยิบช้อนส้อมให้ทั้งตัวเองและเขา มาด้วยกันขนาดนี้ จะให้ทิ้งแล้วกลับโต๊ะไปก่อนก็สงสาร... สงสารตัวเองนี่แหละครับคนหล่ออุส่ายอมเดินตามมึงก็อย่าเล่นตัวมากมะนาววววว
ผมรอจนเขาได้จานข้าว ก็ออกเดินนำออกมานิดหน่อย จังหวะที่หมุน ตาเห็นแล้วครับว่ามีคนมองผม แต่ไม่ได้สนใจ รอดูท่าทีเงียบๆดีกว่า
“แม็ต นั่งด้วยกันไหม?”
นั่นไง!
“อ้าว อาร์ม มากินข้าวไกลจังนะ”
หึ ผมอยากจะสะใจให้โลกรู้จริงๆ
นี่มันโรงอาหารฝั่งวิดวะ ส่วนใหญ่ก็มีแต่วิดวะ จะมีถาปัตประปรายเพราะอยู่ใกล้ๆ กัน แต่เด็กวิทยาที่มากินข้าวฝั่งนี้เนี่ย เขาเรียกว่าพวกมาเช็คเรตติ้ง กับหาผัวโว้ย
เสียใจด้วยนะ น้องอาร์มคนพยายามแบ้ว คนที่มึงเล็งอ่ะ เขาเพิ่งตอกมึงกลับอย่างสุภาพ แต่ถ้าแปลเป็นภาษาแบบของพงศ์ล่ะก็ มันแปลว่า ‘มาแรดทำไมถึงฝั่งนี้ครับ?’
ผมไม่ได้สนใจ ถือจานข้าวเดินกลับมานั่งที่โต๊ะ พยายามระวังรอบตัวให้แน่ใจว่าจะไม่โดนประทุษร้ายซ้ำอีก
“มาหาพี่น่ะ อยู่ไหนก็ไม่รู้หาไม่เจอ ติดต่อก็ไม่ได้”
“ไม่โทรหาล่ะ?” จังหวะนี้เอ้กับพงศ์สองคนตรงหน้าผมทำตาโตแบบนกฮูก หันหน้ามองหน้ากันแล้วเบะปาก อยากทำแบบนั้นด้วยจัง แต่ดันหลุดขำพวกมันแทน
“โทรแล้ว ไม่รับ”
“เหรอ งั้นเราไปก่อนนะ ต้องรีบกินรีบไปเรียนแลป”
แม็ตกลับมานั่งที่โต๊ะ พร้อมๆ กับเอ้และพงศ์ที่หัวเราะขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุหรือบทสนทนาก่อนหน้า แต่แค่ผมมองตา ผมก็รู้แล้วว่ามันกำลังคิดเหมือนผม คือสะใจ
“มึงสุภาพแต่แรงมาก” เอ้ชมแม็ตครับ ผมล่ะอยากจะลุกขึ้นปรบมือ
“สุภาพอะไร แรงอะไร?” แม็ตถามเอ้ นางทำหน้าเหนื่อยแล้วกลายเป็นพงศ์ที่ถามต่อ
“ความแบ้วของผัวนี่มีที่สิ้นสุดไหมคะ?”
“มี”
“หื๋อ ยังไง ถามจริงเข้าใจยังเหอะที่เอ้มันว่าเมื่อกี้”
“ไม่เข้าใจ แต่จุดจบความแบ้วอ่ะ มีจริงๆ”
“ตรงไหน”
“ตรงนี้ไง” แม็ตใช้ส้อมจิ้มลูกชิ้นในชามของพงศ์ไปใส่ปากอย่างกวนโอ้ยที่สุด แต่ขอโทษเถอะ ในสายตาผม มันหล่อที่สุด
คนอะไรไม่รู้หล่อจนทำอะไรก็ดูดี
ผมหัวเราะพงศ์ที่มือไม้สั่น คงตกใจจนไม่รู้จะโวยวายยังไง จะแย่งคืนในจานแม็ตก็มีแต่ของที่มันไม่ชอบ อาการพงศ์เหมือนคนตกใจสุดขีดที่สั่นค้าง ฮ่าๆๆ
ผมหัวเราะไป ฟังพงศ์ที่ตั้งสติเริ่มด่าแม็ตได้ไปด้วย แต่พอเงยขึ้นก็สบตากับคนข้างๆ แม็ตมองผมแล้วยิ้มมุมปาก ยังคงเคี้ยวลูกชิ้นต่อเนื่อง แต่ หล่อม้ากกกกกกกกกกกกกก
จะผิดไหมถ้าผมจะเขินอย่างไม่มีสาเหตุ
วันนี้รู้สึกอ่อนไหวกับสายตานี้อย่างที่ไม่เป็นมาสักพัก สงสัยภูมิต้านทานจะตก
ก็เขาไม่เคยตั้งหน้าตั้งตาจ้องผมแบบวันนี้มาก่อนเลยนี่นา
จ้องขนาดนี้เป็นปลากัดคงท้อง
“มองอะไร กูหล่อกว่าทุกวันรึไง” คันปาก อดหาเรื่องไม่ได้จริงๆ
“หึ”
“กวนตีน” คันปาก มั่นไส้ ขอด่าหน่อยเหอะ เผื่อว่าความหล่อของมึงในสายตากูจะลงลงมาให้หายแสบตาได้บ้าง
“นึกว่าไม่ได้เอาปากมา”
“มึง มันกัดกู” ผมฟ้องเอ้กับพงศ์ แต่วินาทีที่พูดออกไปก็รู้เลยว่าตัวเองคิดผิดที่ขอความช่วยเหลือจากสองคนนี้
“กัดมึงกูไม่แปลกใจ แต่สายตามันเนี่ย หันจนคอจะหักแล้วมั้งมึง นี่จานข้าวมึงอยู่ข้างหน้า ไม่ใช่ข้างๆ”
“อ้าวเหรอ ไม่รู้เลย” โอ้ย ให้ตายเถอะ มึงมองอย่างนี้มาจับกูจูบเลยเถอะ
ผมพยายามกินข้าว แต่ที่เคี้ยวอยู่ในปากขอโทษเถอะไม่รับรู้รสชาติอะไรเลย
“นึกยังไงวันนี้มาหวานกันต่อหน้าเพื่อน?” เอ้พยักหน้าเจ็บแค้นกับคำถามพงศ์ คงมั่นไส้พวกผมมาก มึงไม่รู้นี่หว่าว่าเบื้องหลังพวกกู ไม่ปกติ!
“หวานอะไร กูแค่ไม่เห็นหน้ามะนาวหลายวัน หน้ามันดู บวมๆ”
“มันก็ต้องงบวมสิ ก็มันกลั้นยิ้ม โว้ยยยยยย” เอ้ร้องลั้น
“มั่นไส้ อร้ายยยย เมื่อไหร่กูจะหาได้บ้าง”
“หึ”
มึงหึแล้วเอานิ้วมาจิ้มแก้มกูทำฟายอะไร
ฮึ้ย! อยากจะจับนิ้วมันมากัดให้ขาด ผมถอยออกมาปั้นหน้าดุ
“แก้มกูไม่ใช่อุนจิ กินๆไป เข้าแลปสายกูจะเตะมึง”
“ฮ่าๆๆ”
................................
ไม่น่าเชื่อว่าเราจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ หลังจากเพียงแค่หัวเราะด้วยกันครั้งเดียว
แลปฟิสิกส์ในตอนบ่าย เราก็ยังทำงานกันปกติ
ผมพยายามทำตัวปกติ ทำเหมือนเรื่องก่อนหน้านี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้น อยากกลับไปลบความงี่เง่าของตัวเองออกไปจากความจริงซะด้วยซ้ำ ติดอยู่ตรงมันทำกันไม่ได้
“วันนี้มีแข่งแมทซ์แรกหรือแมทซ์สอง”
“สอง คงเริ่มหกโมงกว่า”
“อื้ม”
อุส่าชวนคุย ไอ้บ้าก็เอาแต่ขับรถไม่หันมาแลผมสักนิด หอไม่หนีไปไหนสักหน่อย
รู้งี้กลับบ้านเลย ให้กลับหอเองซะก็ดี ชิ้
“จะรีบไปไหนเนี่ย”
“กลับไปเอาชุดไง”
“ก็ไม่ต้องรีบขนาดนี้ก็ได้นี่”
“ช้าเดี๋ยวรถก็ติด”
“อ้อ” ดูดี มีเหตุผลตลอด
ผมเลยนั่งนิ่งๆไม่ถามอะไรอีก มองการขับรถที่เร็วกว่าปกติของเขาแล้วแอบหวั่นในใจเงียบๆ
ถึงหอ แม็ตปาดเข้าที่จอดรถในเลี้ยวเดียวแบบไม่ต้องถอยไม่ต้องเล็ง เอ่อ คือมันรถกูนะ มึงจะโชว์เก๋าก็แคร์น้องหมูดำกูด้วย
เสร็จแล้วยังถอดกุญแจไปยืนควงหล่อๆรอผมอยู่หลังรถอีก กูว่ากูไม่ได้ช้านะ มึงอ่ะจะรีบไปไหน?
“ป่ะ”
เออ ครับ รู้แล้วว่ารีบไปแข่งบาส แต่มึงช่วยดูสังขารกูด้วย
ผมกำลังเลือกชีทกับหนังสือว่าอันไหนจะเอาขึ้นไปเก็บ อันไหนจะเอาไปอ่านรอมันแข่ง ก็เลยทิ้งทุกอย่างไว้ในรถแล้วออกมาตัวเปล่า
แม็ตใช้ขายาวๆก้าวขึ้นบันไดทีละสองขั้นไปยืนไขกุญแจห้องตัวเองโดยที่ผมเหลืออีกเป็นสิบขั้นต้องปีนขึ้นไป
เมิงงงงง กูขาสั้น ทีละขั้นกูก็หอบแดกแล้ว
แม็ตเปิดประตูทิ้งไว้ ตัวเองหายไปในห้อง ผมล่ะถอนหายใจกับขาสั้นๆ ของตัวเอง
กึก เสียงปิดประตูห้อง อ้าว ผมเพิ่งเข้ามา ยังไม่ทันหันไปปิดเลย แล้วใครปิด?
แกร็ก ล็อกห้องด้วย?
ผมหันไปมองมือหนาๆ ของแม็ตที่กุมลูกบิดประตูห้องค้างอยู่
“มึงกลัวกูลืมปิดประตูห้องขนาดนั้นเลย”
“เปล่า”
“เอ้า?” อะไรของมัน
“กอดหน่อย” แม็ตมันก็เดินเข้ามาใกล้ผมพร้อมๆ กับทำตามสิ่งที่พูด
“หื๋อ?”
ผมถูกดึงแขนเกี่ยวเอวจนเซซบอ้อมกอดพ่อยอดดวงใจ
โฮ... น้ำตาจะไหล
ความรู้สึกของคนที่เป็นที่ต้องการนี่มันช่างซาบซ่านไปถึงส่วนลึกของดวงใจ
ตัวน้อยๆ ของผมสั่นอยู่ในอ้อมกอดชายอันเป็นที่ร้ากกกก
ฮาาาาา ฟิน
ถ้าไม่ติดว่าอีกชั่วโมงมีแข่ง พ่อจะผลักลงเตียงจริงๆ ฮึ้ย ฮึ้บไว้ๆ
“แม็ตตตต แน่นไป” ผมกลั้นใจประท้วงเบาๆ พอเป็นพิธี
“หัวเหม็น นี่ไม่ได้สระผมมากี่วัน”
หอมไม่ว่า แต่กล้าดียังไงมาว่ากูหัวเหม็น กูสระทุกวันเพราะกลัวมึงพูดคำนี้ที่สุดเนี่ยแหละ เพิ่งสระเมื่อเช้า อย่ามาปรับปรำ
“แปะ!”
“โอ้ะ!”
สมน้ำหน้าโดนผมตี ถ้าไม่ติดว่าโดนรัดแขนไว้ จะเหวี่ยงวงสวิงให้สุดความยาวแขนเลยมึง
“เป็นอะไรเนี่ย” ผมไม่ได้ขัดขืนหรอกนะ แค่ยังงงอยู่ เป็นอะไรของมัน แม้จะเขินแรงก็ยังไว้ลายนะ ทำมึนว่าจะกอดอะไรนักหนา
“เฮ้อ ก็คิดถึงไง”
“แหวะ”
“หื๋อ? เขินรึไง”
“ทำไมต้องคิดถึงด้วย” ผมย้อนถาม
“คิดถึงต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ?” แม็ตจับผมโยกซ้ายขวาให้เดินมาทิ้งตัวลงที่เตียง ท่าอะไรของมึงเนี่ย ปัญญาอ่อนชิบหาย >///<
“มีดิ กูยังมีเลย” อยู่ๆ คนเราคงไม่คิดถึงคนที่ไม่คิดอะไรด้วยป่ะวะ
“มะนาว คิดถึงใคร?” มึงจะปั้นหน้าโหดมาทำเสียงเข้มถามกูกลับทำไม จะใครล่ะ ก็มึงนั้นแหละ สาดดดดดดด
“นี่กำลังหลอกให้กูพูดว่าคิดถึงมึง ใช่มะ?” พูดไปคิดไป ผมพูดช้าลงที่ท้ายประโยค แม่งหลงกลมันอีกแล้ว
“อื้ม ได้ผลด้วยนะ” เชี่ย กูไม่เคยตามมึงทัน
“ฮึ้ย” ผมถูกหอมแก้มแล้วทิ้งไว้ที่เตียง ไอ้ตัวดีหัวเราะร่าโฉบไปเก็บชุดบาสที่ตากอยู่ที่ระเบียงมาใส่กระเป๋า ด้วยท่าทีอารมณ์ดีสุดๆ
“วันนี้จะไปดูแข่งรึเปล่า เหนื่อยก็รออยู่ห้องก็ได้นะ”
“ไป ไปดูสักแปป แล้วเดี๋ยวจะกลับบ้าน”
“อ้าว”
“พรุ่งนี้มีทำบุญเลี้ยงพระที่บ้าน แม่จำได้ว่าวันอังคารกูไม่มีเรียนเช้าเลยบังคับให้อยู่ช่วยก่อน”
“อ้อ”
ได้โปรดเถิด อย่าทำหน้าผิดหวังขนาดนั้น กูดีใจมากขอบอก
“มานี่กูเก็บให้ มึงไปอาบน้ำไป”
“นาว”
“หื๋อ อะไร?”
“...”
“มีอะไรก็พูด เรียกแล้วเงียบคืออะไรวะ?” ผมไม่ได้สนใจหันไปมอง ยังคงพับเสื้อ จัดของลงกระเป๋า
แม็ตเงียบไปอีกนาน จนผมหันไปมองที่เขา เขาถึงเริ่มต้นพูดด้วยท่าทีที่แปลกจากเดิม แปลกจริงๆ
“เรามีเรื่องต้องพูดกันนะ”
“เรื่องอะไร?”
ทำไมหัวใจผมดิ่งวูบ เหมือนตกจากเหว ทำไมท่าทีจริงจังของแม็ตทำให้ผมกลัว เขาพูดโดยที่ไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้า เขามองผมอย่างห่างเหิน นิ่งขรึม ผมกลัวทุกครั้งที่เขานิ่งและทำท่าจริงจัง กลัวจนไม่รู้ตัวว่ากำลังแสดงสีหน้ายังไงออกไป
“เอาไว้วันหลังแล้วกัน”
“...” แม็ตเดินมาขยี้หัวผม กลับมายิ้มให้เหมือนเดิม แล้วหยิบผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป
อะไรเหรอที่เขาบอกมีเรื่องจะพูด
แล้วทำไมไม่พูดออกมาเลย
เพราะอะไร แล้วทำไมต้องทำท่าจริงจัง แล้วแป็ปก็กลับมาใจดี
หรือมันเป็นเรื่องไม่ดีถึงต้องพูดทีหลัง?
ผมถามเขาอีกครั้งหลังเขาเปลี่ยนชุดเสร็จ
พูดเลยไม่ได้เหรอ เขาก็ยังยืนยันว่าไม่มีอะไรมาก ไว้พูดทีหลังก็ได้
เอ้า ถ้าไม่มีอะไรมาทำไมไม่พูดๆ ออกมาเลยวะ?
แต่ในเมื่อเขาไม่ตอบ ผมเลยต้องอยู่กับความสงสัยต่อไป
...........................................
“เฮ้ย แม็ตๆ”
“ครับพี่วิท”
“จะมาบอกเรื่องประกวด พรุ่งนี้มีประชุมพวกตาราง คิว กับกติกาตัดสินนะ”
“อ้อ เดี๋ยวผมบอกพี่เสือ”
“ไม่ต้องๆ พี่บอกไอ้พี่เสือให้แล้ว”
“เหรอครับ แล้วที่ไหน”
“ชั้นสาม ตึกอำนวยการ ห้องประชุมใหญ่นะ โนอาให้เบอร์มึงไว้แล้ว พรุ่งนี้โทรหา จะได้ไปพร้อมกัน”
“อ้อครับ”
“วันพฤหัสมีซ้อมคิวใหญ่ ที่สนามกีฬา แต่คงซ้อมดึกๆ ไปด้วยนะ เดี๋ยวให้โนอารับไปพร้อมเมแล้วกัน”
“ครับ”
“พรุ่งนี้ประชุมห้าโมง พฤหัสซ้อมคิว เสาร์แตนบาย 10 โมง ตามนี้นะ”
ผมนั่งฟังจากข้างบน คางเกยแขนท้าวราวเหล็กกั้น สายตามองเหม่อลอยไกลออกไป เหมือนไม่คิดอะไรแต่หวังผลโคตรๆ
จะมีใครสนใจมะนาวผู้แกล้งเหม่อลอยทำเป็นมีเรื่องคิดแต่ความจริงในหัวกลวงโบ๋ไหมนะ...
ทั้งที่รู้นะว่าตอนนี้เขาต้องสนใจการแข่งขันที่กำลังจะเริ่ม แต่ก็ยังจะหวังอะไรลมๆแล้งๆ น่าสมเพชจริง
“ไงนาว” ผมที่กำลังเหม่อเพลิน ถูกขัดจังหวะซะแล้ว
“อ่า พี่ปราณ”
“เหม่อ แปลว่าเรียกร้องความสนใจ” เอ่อะ
“พี่ก็แปลก ทั้งที่รู้จักผมดี แต่ไม่ยักรู้ว่าผมไม่เคยชอบพี่”
“ทำไมโกหกตัวเองแบบนั้นล่ะ รู้อยู่ว่าเราเคยรักกัน”
“อดีตมันก็เป็นแค่อดีต”
“ช่าย แล้วก็สบายใจได้แล้วนะ เราก็กลายเป็นอดีตสำหรับพี่แล้วเหมือนกัน แล้ว...” รู้แล้วครับ ไม่งั้นพี่ไม่กล้าเข้ามาคุยกับผมตรงๆหรอก คิดว่าพี่รู้จักผมฝ่ายเดียวรึไง อย่าลืมว่าผมก็รู้จักพี่โว้ย “คนข้างล่างล่ะ ใกล้เป็นอดีตยัง”
“ไม่มีวัน”
“อะไรทำให้มั่นใจ”
“หัวใจของผมไงที่บอก แต่สมองยังตามไม่ทัน ไม่รู้จะต้องทำยังไง ไม่รูเลยว่าควรหรือไม่ควรทำอะไร” เปลี่ยนเรื่องดีกว่า “พี่ผมเป็นไงบ้าง”
“พี่ไหน?”
“พี่ชนะขาโหดไง”
“ไม่เห็นจะโหดเลย เขาแค่นิ่งๆ”
“ได้ไง กับน้องนี่ดุตลอด ผมว่านะ ดุๆแบบนั้นอยู่สองคนต้องขี้อ้อน”
“หึหึ”
“ยิ้มแบบนี้แปลว่าจริง”
“แล้วหล่อๆ แบบข้างรหัสเราล่ะ เป็นไง?”
ไอ้นี่ก็วกเข้าเรื่องกูตลอด อย่าบอกนะว่าเปลี่ยนใจจากผมไปหาแม็ตแทน
โอ้ยกูก็คิดไปได้ ขี้หึงไม่ลืมหูลืมตาเลยกู
“อบอุ่น” ผมพูดคุณสมบัติแรกอย่างไม่ต้องคิด แต่มันก็มีบางอย่างตามมา “แต่บางทีก็หนาว ใจดีแต่ก็เด็ดขาด เหมือนจะไม่ตามใจ แต่ก็ตามใจ”
“ก็ดีนี่ แล้วทำไมทำหน้าเศร้า”
“ผมออกจะร่าเริงดี” นั้นคือสิ่งที่ผมคิด แต่ใครมาเห็นผมตอนนี้ต้องหาว่าผมท้องผูกมาสามวัน
“รู้อยู่ว่าพี่ดูออก”
“เขาเป็นคนดีมากเลยพี่”
“ดีเกินไปรึไง”
“ก็ เปล่า แค่เขาดีกับทุกคน”
“เข้าใจแล้ว ไอ้ขี้หึง”
“ผมไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้ของตัวเองเลย”
“ความรู้สึกแบบไหนละ”
“เป็นที่รัก แต่รู้สึกว่ามันไม่พอ”
“ดีแค่ไหนแล้วที่เขารัก อยากอยู่แบบเขาไม่รักรึไง? มันเจ็บปวดนะ รักคนที่ไม่รักเราน่ะ”
“ขอโทษนะพี่”
“เรื่องมันแล้วไปแล้ว พี่ไม่คิดมากแล้วน่า”
“แต่จริงๆผมไม่ได้ผิดสักหน่อย พี่มาชอบผมเอง”
“หึ หึหึหึ” ผมกับพี่ชายหัวเราะไปพร้อมๆ กัน เมื่อก่อนตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เราสนิทกันมาก แล้วเมื่อไหร่ก็ไม่รู้เริ่มมีคนคิดเกินเพื่อน พอความคิดเปลี่ยน ความสัมพันธ์ก็เริ่มเปลี่ยน เริ่มห่าง เริ่มมองหน้ากันไม่ติด ผมคอยวิ่งหนี พี่ปราณคอยดักอยู่ทุกทาง เพราะเขารู้จักผมถึงรู้ว่าผมจะหนีไปทางไหน เหมือนวิ่งหนีตัวเองหนียังไงก็หนีไม่พ้น
คิดว่าชีวิตนี้ เราจะกลับมาเป็นเพื่อนกันไม่ได้แล้วซะอีก
ก่อนเราจะไม่พูดกัน เราเคยคุยกันทุกวัน
ก่อนเราจะห่างกัน มันมีมากกว่าความใกล้ชิด
ก่อนพี่เขาจะบอกชอบผม ผมเคยชอบและเคยเลิกชอบพี่เขา มันเป็นความรักแบบเด็กๆ ที่อาจจะแค่เผลอไปชอบคนที่อยู่ใกล้ๆเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วเปลี่ยนไปชอบคนใหม่เมื่อไหร่ก็ได้เช่นกัน
มันไม่ใช่ความรัก
แต่ปัญหาของผมตอนนี้คือ ผมไม่แน่ใจว่าผมโตพอจะมีรัก เป็นของตัวเองรึยัง…
ผมเห็นอาร์มคนนั้นวนเวียนอยู่ใกล้ๆแม็ต เขายื่นอะไรบางอย่างให้แม็ตรับไว้ คนคนนั้นเหมือนรู้ว่าผมมองอยู่ ไอ้เตี้ยอาร์มมองมาทางผม ถึงจะอยู่ไกลคนละฝั่งสนามแต่ผมก็มั่นใจว่ามองไม่ผิด เขามองมาที่ผม
ผมไม่รู้จะอธิบายความรู้สึกในตอนนี้ออกมาเป็นคำพูดได้ยังไง ทั้งที่รู้ว่าไม่ใช่ความผิดคนของผม รู้ว่าแม็ตจะไม่คิดอะไรกับคนอื่น แต่ผมก็ห้ามความรู้สึกตัวเองไม่ได้เลย
ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย
...
..........
.......................................
(มีต่อ)