Vector space ตอนที่ 2“พูดตรง ๆ ดิมร้องเพี้ยนน่ะ เราว่าให้ปุ๊กกับมิ้มร้องดีกว่า เค้าเคยร้องประสานเสียงคู่ตอนม.2 น่ะ”
คำพูดของหัวหน้าห้องทำผมหน้าชา ทำไมต้องพูดกันแบบนี้ต่อหน้าเพื่อน ๆ ทั้งห้อง ถ้าไม่อยากให้ผมร้องก็น่าจะบอกครูตั้งแต่วันแรก
“ก็ได้นะ” ผมตอบออกไปแบบเก็บความรู้สึก
“แต่พวกมันซ้อมมาเยอะแล้วนะ ชื่อวงก็มีชื่อไอ้ดิม” ต๊อบพูดขึ้นบ้าง
“ให้ดิมเป็นคนตัดสินใจดีกว่า” เป้มัดมือชก ก็รู้อยู่แล้วว่ายังไงผมต้องยอมถอย
ผมหันไปมองปิง นายจะไม่พูดอะไรบ้างเหรอ
“ก็แล้วแต่ดิมเลย” ปิงกล่าวเซ็ง ๆ
“ปุ๊ก มิ้ม สู้ ๆ นะ” ผมพูดเป็นการจบ
“พวกเราขอโทษนะดิม คือตอนแรกเราไม่กล้าแข่งอ่ะเราเขินคนเยอะแยะ แต่...”
“ไม่เป็นไรหรอก เพื่อห้อง เราเชียร์ทุกคนนะ”
“เป้แมร่งใจร้ายสาด ดิมมริงก็น่าจะแข็งสู้ซักหน่อย” ต๊อบโมโหพลางพุ้ยข้าวเข้าปาก
“ช่างเถอะ ก็รู้ว่าเราร้องเพี้ยน” ผมพยายามพูดตลกกลบเกลื่อนทั้งที่ในใจผมก็เคืองไม่แพ้กัน
“ปิงแมร่งก็ไม่ทำอะไรเลย นี่ก็หายหัวไปไหนไม่รู้”
“อย่าว่าเขาเลย ปิงก็ซ้อมหนักจนเรียนไม่ทันแล้ว”
“พูดยังกะเป็นมริงแฟนมันงั้นแหละ ปกป้องจัง”
“เรามีเฟิร์สอยู่แล้วเฟ้ย เออแล้วจะย้ายโต๊ะกลับมั้ยต๊อบ?”
“กรู-ไม่-ย้าย!! ถ้ากรูย้ายกลับก็เท่ากับยอมรับเรื่องเปลี่ยนตัว ให้อรุณวิทย์นั่งกับนายมิธิวัตแบบนี้แหละ เป้มันจะได้แสลงใจบ้าง บ้าอำนาจ”
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า มีสองอย่างที่ทำให้ผมอารมณ์ดีได้ก็คือต๊อบเพื่อนสนิทที่สนับสนุนผมตลอดและ...ชื่อวงนี่แหละ
ตอนปิงพูดชื่อผม ไม่รู้ทำไมใจผมเต้นแรง
ทานข้าวเสร็จผมแยกกับต๊อบว่าจะไปซื้อสาหร่ายห่อ แล้วเดินขึ้นห้องดนตรีบนหอประชุม
...ปิงอยู่ที่นั่นจริง ๆ ด้วย…
“ไม่กินข้าวเหรอปิง?”
“ต้องซ้อมก่อน เหลือเวลาแค่อาทิตย์กว่าแล้ว”
ผมยื่นซองสาหร่ายให้ ปิงยิ้มรับ ถ้ารู้ว่าเขายังไม่ได้กินข้าวผมคงซื้อแซนวิชมาด้วย
ปิงเล่นกีตาร์พลางร้องเพลงที่ทำให้ผมขมวดคิ้ว
“A dragon lives forever, but not so little boys
Painted wings and giant's rings make way for other toys
One gray night it happened, Jackie Paper came no more
And Puff, that mighty dragon, he ceased his fearless roar”...มันไม่ใช่เพลงที่พวกเราซ้อม...ผมได้แต่สงสัยแต่ไม่อยากขัดการเล่นของปิง
“His head was bent in sorrow, green scales fell like rain
Puff no longer went to play along the cherry lane
Without his lifelong friend, Puff could not be brave
So Puff, that mighty dragon, sadly slipped into his cave”ปิงหันมามองผมที่ทำหน้าสงสัย “ปุ๊กมิ้มเลือกเพลงนี้”
“เมื่อกี๊เล่นท่อนที่เศร้าที่สุดของเพลงซะด้วย ปิงนายโอเคมั้ย?”
“เราน่าจะถามนายมากกว่า โดนเปลี่ยนตัวกะทันหันแบบนี้ นายโอเคมั้ย?”
“เราไม่เป็นไร ว่าแต่ทำไมไม่เอาเพลงเดิมที่เคยซ้อมล่ะ?”
“เราบอกให้เปลี่ยนเองแหละ เพลงนั้นเราเลือกให้นายคนเดียว ถ้าไม่ใช่นายเราไม่เล่น”
“เฮ้ย? เพื่อเราขนาดนั้นเลยเหรอ? แบบนี้นายก็ต้องซ้อมเพิ่มอีกสิ”
ปิงหันหลังให้ผม “เพลงนั้นพ่อสอนเราเล่นเป็นตั้งนานแล้ว”
ห้องเงียบไปหมด ปิงไม่พูดอะไรต่อ ผมก็พูดอะไรไม่ออกเหมือนกัน
“จริง ๆ เราเล่นได้ทั้งเพลง แต่ที่แก้ท่อนสุดท้ายเพราะนายร้องไม่ถึง อยากให้นายคนเดียวร้องกับเรา”
ผมนั่งเอาหลังพิงกับปิง “ไม่บอกเราล่ะ เราจะได้ไม่ยอมเปลี่ยนตัว”
“เรารู้ว่ายังไงนายก็ยอมเปลี่ยน” ปิงเอื้อมมือมาจิ้มหัวผม
“นายเรียนโคตรเก่ง เราไม่รู้จะหาทางคุยอะไรกับนาย พอมีโอกาสเราเลยเสนอให้ดิมร้องกับเรา...ไม่นึกว่าจะทำให้นายเจอเรื่องแย่ ๆ แบบนี้”
“เราไม่เก่งขนาดนั้นหรอก ยิ่งเรื่องดนตรีนี่เราห่วยทั้งเรียนทั้งร้อง เราเลยไม่รู้จะคุยอะไรกับนายมาตั้งแต่เปิดเทอมละ”
ผมแหงนคอไปข้างหลังวางบนบ่าของปิง มองฝุ่นลอยในอากาศ ความเงียบของห้องเหมือนเวลาหยุดนิ่ง
เสียงปิงฉีกซองสาหร่ายแล้วเอื้อมมือส่งมาให้ผม 2 แผ่น
“แน่จริงส่งให้เข้าปากดิ” ปิงจ่อแกว่งไปมาเพราะมองไม่เห็นผมเลยงับซะเอง
“เย็นนี้เหมือนเดิมมั้ย?”
ผมพูดกับอากาศตรงหน้าแต่แน่ใจว่าปิงได้ยิน เราสองคนนั่งคุยกันท่านี้จนเคยชินแล้วมั้ง
“อืม”
“เอาเกมอะไรมาบ้างอ่ะ”
“No Man’s Sky กับ Jump Super Stars มี Soul Calibur ภาคใหม่ด้วย”
“ดี ๆ เรายังไม่เคยเล่น”
เสียงออดดังขึ้นแต่ปิงยังไม่ขยับ ผมก็เหมือนกัน
“โดดเหรอ?” ผมถาม
“อยากพักบ้าง ไม่รู้เป็นไรเหนื่อย ๆ”
“ไหนว่าเรียนไม่ทัน”
“ตัวท็อปของห้องจะติวให้คืนนี้ กลัวอะไร?”
“แล้วตอนบ่ายวันเสาร์ปิงไปทำอะไรต่อ?”
“ก็เปลี่ยนสายกีตาร์”
“งั้นไปนั่งเรียนกับเราดิ”
“ไม่ได้สมัคร เข้าได้เหรอ?”
“เค้ามีทดลองเรียน”
คืนนี้อ่านหนังสือกับปิง ตอนเช้าไปช่วยกันซื้อสายกีตาร์ แล้วตอนบ่ายชวนปิงเรียนพิเศษด้วยกัน ไม่รู้ทำไมผมอยากเพิ่มกิจกรรมขึ้นไปเรื่อย ๆ ...อยากอยู่กับเขาให้นานขึ้นไปอีก...
“ดิมว่าชื่อวงที่เราคิดเจ๋งมั้ย? อรุณวิทย์มิธิวัต” ปิงพูด
“เอาชื่อจริงมาต่อกันอ่าน้า ฟังเผิน ๆ นึกว่างานแต่ง แล้วคราวนี้จะตั้งชื่อยังไงล่ะ อรุณวิทย์พิชนภาวรรณี”
“มุกนี้ใช้แค่นายกับเรา คราวนี้ไม่มีชื่อวงแล้ว งอนเป้” ปิงหัวเราะเบา ๆ พลางขยับหัวถูกับหัวผม
“อยากร้องเพลงอ่ะปิง”
“หน่วงมั้ย?”
“อืม”
“มันจึงเป็นความรัก ที่ไม่ถึงกับสุข เป็นความทุกข์ ที่ไม่ถึงกับเศร้า
เป็นความรัก ที่ทั้งซึ้งทั้งเหงาอยู่ด้วยกัน
จึงเป็นความรักที่มาพร้อมความอึดอัด และเป็นความรักที่ไม่เคยเห็นภาพชัด ๆ สักวัน
มีแค่ความรู้สึกครึ่ง ๆ กลาง ๆ ข้างในใจของฉัน เพียงคนเดียว แค่คนเดียว”“ดิม”
“หืม?”
“เราแค่อยากเล่นเพลงคู่กับนายเท่านั้นเอง แค่นั้น...ทำไมมันยากจังวะ?”
“ตอนนี้ก็กำลังเล่นด้วยกันอยู่ไง”
นั่นสินะ แค่เพื่อนสองคนอยากร้องเพลงเล่นกีตาร์ด้วยกัน สุดท้ายโดนกดดันจนผมต้องยอมแพ้ ดูเหมือนจะมีแค่ห้องนี้ที่เราสองคนทำสิ่งที่เราอยากทำได้ ...เราสองคนเป็นแค่ฝุ่นที่ลอยในอากาศ...
คาบถัดมาผมกับปิงค่อยเข้าเรียน
“พวกมริงไปซื้อสาหร่ายที่บางปูเหรอ หายไปทั้งคาบ?” ต๊อบประชด
ตอนเย็นปิงซ้อมดนตรีกับปุ๊กมิ้ม ถึงจะทำใจแล้วแต่เห็นก็อดรู้สึกหงุดหงิดไม่ได้ เอาการบ้านมาทำฆ่าเวลารอปิงซ้อม
“หวัดดีปิง ซ้อมยังไม่เสร็จเหรอ?” เสียงใครน่ะ ผมเงยหน้าขึ้นดูก็เจอนักเรียนหญิงคนนึง นั่นจอยห้อง 5 นี่
“อือ จอยรอแป๊บนะ” ปิงตอบ
...คนนี้เอง ผมคิดในใจ
“งั้นเดี๋ยวจอยไปรอกับดิมในห้องนะ”
ปิงผงกหัวโดยไม่ละสายตาจากชีทคอร์ดเพลง Puff The Magic Dragon
“หวัดดีจ้าดิม”
“หวัดดีครับจอย”
“เราเพิ่งเคยเจอกันเนาะ?”
“ยินดีที่ได้รู้จักครับจอย”
“ดิมเป็นแฟนเฟิร์สใช่มะ?” จอยกระซิบถามพร้อมรอยยิ้มกว้างตาเบิกโต
“เอ่อ...ใช่ครับ”
“อู้ย! อิจฉาจัง เฟิร์สซ้วยสวยอ่า เรียนก็เก่ง เล่นเปียโนก็เก่ง”
“เอ่อ...ครับจอย” คือผมไม่รู้จะพูดอะไรเลย
“แล้วนี่ห้องเธอลงแข่งกัน 4 คนเลยเหรอ ว้าวว ห้องนี้สุดยอดเลย”
“เราไม่ได้แข่งแล้วน่ะ มีปิง ปุ๊ก มิ้ม”
“อ้าว!? เดี๋ยวนะ ดิมชื่อมิธิวัตใช่มั้ย?”
“อืม” จริง ๆ ก็ปักที่อกเสื้ออยู่แล้ว
“เอ๊ยยย! ปิงเค้าอุตส่าห์เอาชื่อปิงกับดิมตั้งชื่อวงนะ แล้วทำไมเป็นแบบเนี้ยล่ะ?”
เสียงโวยวายของจอยเริ่มส่อสัญญาณจะรื้อฟื้นความบาดหมางเมื่อเช้า ปุ๊กกับมิ้มก็หันมามองละ
“คือเราร้องห่วยมากน่ะ เลยถอนตัวดีกว่า ฮ่า ๆๆ”
“ไม่ ๆๆ ก็คลิปที่ปิงถ่าย ดิมร้องดีเลยอ่ะ” จอยเปิดคลิปในมือถือ ปิงตั้งกล้องถ่ายผมตอนไหนเนี่ย
ผมหันไปหาปิงที่ยิ้มแหย ๆ รออยู่แล้ว
“แย่แล้ว เราไม่น่าเลย” จอยบ่น
“อะไรไม่น่าเลย?”
“ก็เราส่งคลิปนี้ต่อให้เฟิร์ส เฟิร์สก็เลยไม่เป็นตัวแทนห้องเล่นเปียโนแข่งรายการนี้ เฟิร์สบอกดิมตั้งใจมากไม่อยากแข่งกันเอง”
เราเข้าใจ เวลาดิมตั้งใจก็ทำเต็มที่ เราก็เชียร์เธอนะ เอาให้ชนะห้องเราเลยนะ...เฟิร์ส…
“เดี๋ยวเรามานะจอย” ผมรีบวิ่งไปหลังตึก กดโทรหาเฟิร์ส
“หวัดดีดิม”
“เฟิร์สถอนตัวจากการแข่งเหรอ?”
“ใครบอกดิมอ่ะ?”
“ไม่สำคัญหรอก!”
“แล้วอะไรสำคัญล่ะ?”
“เฟิร์สอยากมีผลงานเยอะ ๆ ไว้ใช้ตอนสมัครมหาลัยไม่ใช่เหรอ เฟิร์สเล่นเปียโนด้วยร้องด้วยยังไงก็ชนะอยู่แล้ว” ผมโง่ชะมัดไม่เคยเอะใจเลยว่าทำไมเค้าไม่แข่ง
“เราเห็นดิมตั้งใจ ดิมสำคัญกว่า เราไม่อยากแข่งเวทีเดียวกับดิม”
“เอ่อ...เราไม่ได้แข่งแล้วน่ะ”
“หืม?”
“เพื่อนในห้องบอกว่าเราร้องห่วย เค้าเปลี่ยนตัวน้กร้องแล้ว”
“ไม่น้า เราเห็นดิมร้องดีมากอ่ะ ทำไมเค้าเปลี่ยนตัวล่ะ”
“ช่างมันเถอะ”
“ฮื้อ...เสียใจด้วยนะดิม ไม่เป็นไรหรอกนะแค่ดิมตั้งใจก็ชนะตัวเองแล้ว อุ๊ย! เรานี่พูดเหมือนคนแก่เลยอ่ะ ฮิ ๆๆ”
“เฮ้อ...เราเลยทำให้เฟิร์สพลาดการแข่งไปด้วย ขอโทษนะ”
“ดิมยังไม่ได้ทำอะไรผิดซักหน่อย อ้อ ถ้าส่งคลิปให้เราเป็นคนแรกก็ยิ่งดีนะ นี่เราเห็นเป็นคนสุดท้ายเลยอ่ะ ฮิ ๆๆ ตอนจอยส่งมาให้เราดู เราอึ้งเลยว่าแฟนเราร้องเก่งขนาดนี้เลย”
“คลิปนั้นเราไม่ได้ถ่ายนะ ปิงแอบตั้งกล้องถ่าย”
“ปิงแฟนจอยเค้านิสัยดีเนอะ”
“อืม”
“ดิม...ไหน ๆ เราทั้งคู่ก็ไม่ได้ลงแข่งรายการนี้ แปลว่าคืน 24 ดิมว่างใช่มั้ย?”
“อืมว่าง คริสมาสต์อีฟใช่มั้ย? เฟิร์สอยากไปเที่ยวไหน?”
“แล้วแต่ดิมอ่ะ”
“งั้นเราหาที่สวย ๆ ก่อนนะ”
พอวางสายเสร็จ ปิงกับจอยก็เดินถือกระเป๋าผมมาให้
“พวกเราปิดห้องเรียบร้อยแล้วนะ เก็บกระเป๋านายมาให้ด้วย”
“ขอบใจนะปิง จอย”
“เราขอโทษนะ ไม่นึกว่าที่เราอัดคลิปไว้จะกลายเป็นเรื่องจนเฟิร์สถอนตัว”
“ไม่เป็นไรหรอกปิง แล้วนี่พวกเราจะกลับบ้านกันยังไงดี?”
“พวกเราไปส่งจอยก่อน แล้วไปบ้านดิมนะ”
“ไม่ต้องก็ได้ บ้านจอยอยู่คนละทางกับบ้านดิมเลยนะ” จอยหน้าเสีย
“งั้นส่งจอยแล้วเราไปค้างบ้านปิงละกัน”
“ห้ะ...เอ่อ” ปิงชะงัก
“ดี ๆ ดิมไปคุมพฤติกรรมปิงให้เราทีนะ”
หลังจากส่งจอยที่บางพลีเสร็จ ปิงก็นำทางต่อรถเมล์ไปบ้านเขา
“ปิง นายดูแปลก ๆ นะ”
“แปลกยังไง?”
“นายดูใจลอยยังไงพิกล”
“ไม่หรอก แค่กังวลว่าห้องเรารกน่ะ”
พอมาถึงบ้าน เปิดประตูเข้าไปก็เจอชั้นเก็บแผ่นเสียงและเครื่องเล่นหัวเข็มยุคโบราณ ดูปุ๊บรู้ปั๊บว่าคุณพ่อคุณแม่ของปิงเป็นนักฟังเพลง ที่ปิงบอกว่าพ่อสอนเล่นเพลงเก่าให้คงเป็นเพราะแบบนี้เอง แผ่นเสียงส่วนใหญ่เสียบเก็บไว้ในชั้น แต่บางแผ่นก็วางหันหน้าออกมา ผมสะดุดตากับแผ่นหนึ่ง
...มิน่าที่ปิงบอกว่าพ่อสอนเล่นเพลงนี้จนถนัดอยู่แล้ว คงเป็นเพลงโปรดของทั้งบ้านสินะ...
“พ่อครับ แม่ครับ วันนี้ดิมมาค้างครับ”
“อ้าว ไหนปิงบอกว่าคืนนี้ไปค้างบ้านดิมไง แล้วทำไมสลับบ้านกันล่ะจ๊ะ? ฮ่า ๆๆ”
“เรื่องมันยาวครับแม่”
“สวัสดีครับคุณลุงคุณป้า”
“มา ๆ กินข้าวกันนะลูก”
“เห็นว่าลูกดิมซ้อมดนตรีกับปิงเหรอ?”
“ใช่ครับ ปิงเล่นเก่งมากเลยครับ” ผมละเรื่องที่โดนบังคับถอนตัวเพราะวันนี้เจอเรื่องปวดหัวมาเยอะแล้ว
“เห็นว่าเล่นเพลงฝรั่งไปแข่งงานวันคริสมาสต์ใช่มั้ย? แล้วเล่นเพลงอะไรกันเหรอ?”
“Nothin..”
“Puff The Magic Dragon ครับ” ผมจะพูดชื่อเพลงแต่ปิงแย่งตอบก่อน ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่ต้องโดนถามเรื่องเปลี่ยนตัวเปลี่ยนเพลง
“ดิม เดี๋ยวขึ้นไปห้องนอนเรา เดี๋ยวเราหาชุดกับผ้าเช็ดตัวให้นะ”
พอผมอาบน้ำเสร็จ ปิงก็เปิดเกมเพลย์ให้ “นั่งเล่นก่อนนะ เราไปอาบน้ำแป๊บ”
ผมนั่งเล่น Soul Calibur พลางมองสำรวจไปรอบห้อง ก็ไม่รกนี่หว่า ถ้าเทียบกับห้องผมนะ
“มา ๆ แข่งกัน เราชอบตัว Maxi” ปิงอาบน้ำเสร็จเดินมาหยิบจอยสองทันทีทั้งที่ยังไม่ใส่เสื้อ
“ติวววววว” ผมใช้ศอกกระทุ้งปิงเบา ๆ แต่ไม่ละสายตาจากจอ
"เอาฉากนี้นะ ตกเวทียาก จะได้สู้กันนาน ๆ" ทำหูทวนลมซะงั้น
"ใส่เสื้อดิ เดี๋ยวเป็นหวัดหรอก"
"เกมเดียว ๆ"
“ดิม เราขอโทษนะ”
“เรื่องอะไรเหรอ?” ผมถามแต่ตาก็ยังจ้องจอ ขอจังหวะคอมโบ้สักชุดเหอะ
“ที่เราไม่ช่วยค้านเป้” ปิงตอบทั้งที่ตาก็มองจอ
“เราร้องเพี้ยน ยังไงก็โดนเปลี่ยนตัวอยู่แล้ว ไม่เกี่ยวกับนายหรอก”
“ที่เราอัดคลิปนายส่งให้จอยจนเฟิร์สถอนตัวนั่นก็ด้วย”
“คนหล่อร้องดีจนเพื่อนอยากอวด ไม่ใช่ความผิดนายอ่ะใครจะรู้ว่าเฟิร์สจะ..เอ๊ย! อย่าใช้ไม้ตายดิ!”
“นายก็กดสิ เนี่ยเกจเต็มก็กดปุ่มนี้” ปิงหันมากดปุ่มให้ผม
“เดี๋ยวอย่าเพิ่งกด ให้เราไปยืนใกล้ตัวนายก่อน!”
“กดตอนนี้แหละท่าจะได้หมด ๆ”
“เฮ้ย! อย่าโกงงงง” ผมดิ้นดึงจอยหนีจนปิงล้มมาทับตัว
“ดิม เราขอโทษ เราไม่รู้ว่าจอยจะแวะมา”
“จะไม่ให้เราเจอแฟนนายเลยเหรอ ปิดบังอะไรไว้เปล่าาาา”
"ฟังเราหน่อยดิ"
"อ๊ะ ๆ ฟังก็ได้ ทีเราบอกให้อ่านหนังสือล่ะทำหูทวนลม"
“เราขอโทษ แทนที่จะไปค้างบ้านนาย กลายเป็นนายต้องมาส่งจอยแล้วค้างบ้านเราแทน”
“ค้างบ้านใครก็เหมือนกันแหละ ดี จะหาว่านายซ่อนหนังสือโป๊ไว้ตรงไหน” ผมเอื้อมมือไปยกฟูกเล่น
“ยุคนี้เค้าดูในมือถือแล้ว”
“หมดสนุกเลย ลุก ๆ ได้เวลาติวละ เอาวิชาอะไรก่อน?”
“หายโกรธแล้วใช่ป่ะ?” ปิงฉีกยิ้มทั้งที่ยังนอนทับผม
“ก็บอกแล้วว่าไม่ใช่ความผิดปิง และเราก็เลิกโมโหเรื่องเมื่อเช้าแล้วด้วย...แต่ถ้าอยากให้หายโกรธก็...”
“ก็?”
“บอกมาว่านายรักใคร?”
“ไม่”
“เปิดประเด็นแล้วไม่เฉลยซะที อยากรู้นะเนี่ย”
“เดาสิ”
“ไม่ ติวๆๆ”
“อืม” ปิงอมยิ้มแล้วลุกไปปิดเกม หยิบเสื้อใส่แล้วกางโต๊ะเล็ก
“เอาวิชาไหนก่อนดี?”
“เลขอ่ะ ช่วงสัปดาห์นี้ตามไม่ทันเลย”
ผมทบทวนตั้งแต่บทที่แล้วเพราะเนื้อหาต่อเนื่องกันจนมาทันเรื่องสมการเชิงเส้นที่เพิ่งเรียนสัปดาห์นี้
“ไม่ไหวแล้ว นอนดีกว่า” ปิงฟุบหัวลงกับโต๊ะ
“อีกนิดเดียวแล้วทำแบบฝึกหัดละ” ผมให้กำลังใจแต่ปิงยังนอนนิ่ง
ผมชะโงกหัวเข้าไปใกล้ “ปิง...ตื่นมาก่อน อีกนิดเดียวจะจบบทแล้..”
ปิงใช้มือจับหัวผมเบา ๆ โน้มไปหาเขา...อะไรวะ...ผมไม่รู้เขาคิดจะทำอะไร...แต่ก็ยอมให้เขาโน้มเข้าไปใกล้ทีละช้า ๆ จนหน้าผมแตะหลังหัวเขา
“ขอดูดความรู้หน่อย” ปิงพูดทั้งที่ก้มหน้าฟุบกับโต๊ะ
ทั้งห้องเงียบกริบ หน้าผมจมลงในเส้นผมเขา กลิ่นแชมพูอ่อน ๆ
...เสียงลมหายใจของผม...ลมหายใจเข้าออกของปิง...เสียงหัวใจผมเต้น...
“โอเค หายง่วงละ” ปิงเงยหัวขึ้น ผมกลับมานั่งที่เดิม
“งั้นมาทำแบบฝึกหัดแล้วเดี๋ยวติววิทยาศาสตร์ต่อนะ”
“เรียน 2 ชั่วโมงเพิ่งได้แค่ 2 วิชา” ปิงยิ้มแห้ง ๆ
“ไม่ต้องรีบหรอก ช้าแต่เข้าใจถูกต้อง เดี๋ยวต่อไปก็เรียนได้เร็วเองแหละ”
“เอ๊ะ! ชื่อตรงมุมหนังสือนี่ชื่อใครน่ะ? ไม่ใช่ชื่อดิมนี่” ปิงจับหนังสือเรียนวิชาเลขของผม
“ของรุ่นพี่”
“นายยืมมาเหรอ?”
“เราขอมาน่ะ เราไปขอตอนปีที่แล้วว่าถ้าพี่เรียนจบผมขอหนังสือได้ไหม ทำให้เราประหยัดค่าตำราเรียนไปได้เยอะเลย พี่เค้าไฮไลต์เขียนสรุปเนื้อหาไว้ให้ด้วย เราเลยเข้าใจได้ง่ายขึ้น”
“เทคนิคดีจัง เราเอาไปใช้บ้างดีกว่า”
แปรงฟันเสร็จก็ปิดไฟเข้านอน ปิงหลับไปเร็วมาก วันนี้คงเพลียมากสินะทั้งซ้อมดนตรีและติวด้วย
ผมมองหน้ายามหลับของเขาในความมืด ดีใจที่ผมช่วยปิงได้บ้าง เขาเสียสละเล่นกีตาร์เพื่อห้องเยอะแล้ว
รุ่งเช้าพออาบน้ำเสร็จเดินกลับเข้าห้องนอน ปิงเปิดตู้เสื้อผ้า “เอาชุดไหนเลือกเลย”
“เราใส่ชุดเดิมก็ได้” ผมชี้เสื้อยืดกางเกงขายาวที่ใส่นอนมาทั้งคืน
“อันนั้นชุดนอน อายเค้า” ปิงหัวเราะ
เป็นครั้งแรกที่ผมเลือกเสื้อผ้าจากตู้ของคนอื่นแฮะ “ปิงเลือกให้เราละกัน”
...ปิงหยิบเสื้อยืดรูปกบยักษ์เกาะแท่งไอติมให้ผม…
หลังจากซื้อสายกีตาร์เสร็จพวกเราก็แวะทานข้าวที่ห้างแล้วไปที่เรียนพิเศษของผมต่อ
“ดิม อะไรดลใจให้มริงซื้อเสื้อตัวนี้ฟระ เชรี่ยย! เห็นแล้วขนลุก” เพื่อนผมถามพร้อมทำหน้าพิลึก อย่าว่าแต่นายเลยเรายังสยอง น่าอายกว่าชุดนอนนั่นตั้งเยอะ ส่วนปิงหัวเราะขำทุกครั้งที่คนมองผม
ติวเสร็จหนึ่งทุ่ม ผมกับปิงเดินออกมาแบบมึน ๆ เพราะคอร์สนี้สอนตะลุยโจทย์เข้มข้นจริง ๆ
“เราไปหาอะไรกินแล้วแยกย้ายกลับบ้านกัน”
“ดิม เราไปค้างบ้านนายได้มั้ย? นายช่วยอธิบายที่เรียนวันนี้ให้เราหน่อยสิ”
“ได้ บ้านเราอยู่ไม่ไกล เดี๋ยวหาอะไรกินตรงตลาดก่อนละกัน”
“ตัวติดกันมาจะสามวันแล้วนะเนี่ย ดิมเบื่อเราป่าว?”
“ไม่อ่ะ”
“คือจริง ๆ เราก็เข้าใจที่เรียนวันนี้นะ” ปิงพูดตอนก้มหน้ากินข้าวกะเพราหมูสับไข่ดาว
“แต่พรุ่งนี้ไป เราต้องซ้อมกับปุ๊กมิ้ม เราอาจไม่มีเวลาให้ดิม เลยอยากอยู่กับนายนาน ๆ”
ปิงมองผมแบบ...แบบอะไรไม่รู้เหมือนกัน
“แม่ ดูพี่เค้ามีกบตรงเสื้อตัวเบ้อเร่อเลย” ปิงหัวเราะร่วนตอนเด็กน้อยชี้มือมาที่ผม
...ที่บ้านมีเสื้อน่าเกลียดสุดตัวไหน เดี๋ยวเราจะเอาให้นายใส่บ้าง…
“แม่ครับ คืนนี้ปิงนอนค้างติวหนังสือนะครับ”
“หวัดดีจ้าลูกปิง ใช่คนที่เล่นกีตาร์คู่กับดิมมั้ย?”
“ใช่ครับ ที่เล่นคู่กันงานโรงเรียนครับ” ผมชิงตอบก่อนเลย
“สวัสดีครับคุณป้า”
“แล้วทานข้าวกันมาหรือยังจ๊ะ?”
“ทานมาแล้วครับแม่”
“ยังไงแม่เตรียมข้าวต้มกับขนมไว้ให้เผื่ออ่านหนังสือดึก ๆ ก็มากินกันนะ”
“นายไม่บอกแม่เรื่องเปลี่ยนตัวเหรอ?” ปิงถามหลังจากพวกเราเข้าห้องนอนผมแล้ว
“ขี้เกียจอธิบายน่ะ วันนี้เรียนก็ปวดหัวแล้ว”
“อ้าว เดี๋ยววันคริสมาสต์เค้าจะไม่ถามเหรอว่าทำไมไม่ได้แข่ง”
“เค้าจำไม่ได้หรอก” ผมตอบสั้น ๆ
“แล้วพ่อดิมล่ะ?”
“พ่อเราเป็นหัวหน้าแผนกโรงงาน วันนี้คงอยู่ดึกน่ะ ส่วนพี่เราอยู่หอมหาลัย”
ปิงคงพอเข้าใจเรื่องในบ้านผมเลยไม่เซ้าซี้อะไรต่อ ผมหยิบเสื้อผ้ากับผ้าเช็ดตัวให้
“ปิงไปอาบน้ำก่อนนะ เดี๋ยวเราจัดโต๊ะแป๊บ”
พอปิงอาบเสร็จผมก็ไปอาบบ้าง พอเปิดประตูเข้าห้องนอนก็เจอปิงยืนนิ่งหน้าโต๊ะหนังสือของผม
“ดิมจะไปต่อม.4 ที่อื่นเหรอ?” ปิงเห็นใบสมัครสอบที่ผมวางไว้บนโต๊ะสินะ
“ก็ลองไปสอบก่อนน่ะ”
“โรงเรียนดังซะด้วย ดีนะต่อไปดิมได้เข้ามหาลัยดี ๆ ได้เป็นโปรแกรมเมอร์นาซ่า”
“ยังไม่รู้เลยจะได้ขนาดไหน มาติวกันเหอะเดี๋ยวดึก”
“แล้วนายบอกเฟิร์สยัง เรื่องไปสอบ?” ปิงเอ่ยหลังทวนชีทตะลุยโจทย์เสร็จ
“...ยัง”
“ดิม นายมีอะไรไม่สบายใจมั้ย เห็นนายทำหน้าเครียด”
ผมไม่รู้จะตอบยังไง ปิงกระโดดขึ้นนั่งพิงหัวเตียง “มานั่งนี่ด้วยกัน เล่าให้เราฟังนะ”
“ไม่เอา”
“เหอะ เผื่อจะสบายใจขึ้น” แล้วปิงก็ดึงผมไปนั่งพิงบนตัวเขา
“คือ...เราไม่กล้าบอกใคร ๆ เพราะกลัวว่าเดี๋ยวสอบไม่ติดแล้วจะหน้าแตก” ผมพูดความกลัวลึก ๆ ในใจที่ไม่เคยบอกใคร
“ดิมเล่าไปเรื่อย ๆ นะเราอยากฟัง” ปิงกอดเอวผม
“ทุกคนบอกว่าเราเรียนเก่ง เรายิ่งกดดัน โดยเฉพาะกับเฟิร์ส คือ...ไม่รู้สิ กับเฟิร์สเราเหมือนยิ่งโดนกดดันให้ต้องเก่งตามเค้า”
ปิงนิ่งเงียบไม่พูดอะไร มีแต่เสียงลมหายใจ
“เราไม่เคยบอกใครนะ คือ...เราฝืนตัวเองให้ชอบเค้ามาตลอดเลย”
“ยังไงเหรอ?”
“ตอนม.2 เพื่อนในห้องเริ่มมีแฟนกันหลายคน เพื่อนก็เชียร์ให้เราจีบเค้า ตอนนั้นช่วงกีฬาสี เราเห็นเฟิร์สนั่งอยู่คนเดียว เพื่อนบอกให้เราเข้าไปขอถ่ายรูป ปิงรู้มั้ยเค้าว่าไง?”
“ว่าไงเหรอ?”
“เค้าบอกขอ 20 นาที ให้เราไปเดินเล่นก่อนค่อยมาถ่ายรูปเค้า เราก็งง ๆ แต่เพื่อนเราบอกว่าผู้หญิงขอ 20 นาทีมริงก็เชื่อเค้าเหอะ พวกเราก็ไปเดินถ่ายรูปงานกีฬาสีสักพักแล้วกลับมาใหม่ ปรากฎว่าเฟิร์สเค้าไปแต่งหน้าแต่งผมใหม่มานั่งรอเราให้ถ่ายรูป...เราว่าเค้าน่ารักดี”
“แล้วไงต่อล่ะ?”
“เราก็ถ่ายรูปแล้วบอกขอบคุณ พอเราจะเดินออกเพื่อนเรากระซิบว่ามริงจีบติดแล้วก็นั่งคุยกับเขาสิ เรางงเลยว่าจีบคือแค่นี้เองเหรอ”
“ฮะ ๆๆ ดิมจีบสำเร็จนี่ไม่รู้ตัวเลยเหรอ?”
“ไม่รู้อ่ะดิ”
“ก็เริ่มต้นดีนี่นา แล้วทำไมบอกว่าฝืนตัวเองล่ะ?”
“ตอนแรกมันก็ดีน่ะนะ เวลากินข้าวเสร็จก็เดินด้วยกัน ตอนเลิกเรียนเราก็เดินไปส่งเค้าที่ประตูโรงเรียน ...แต่หลังจากนั้นเราก็ไม่รู้จะคุยอะไร ก็คุยแต่เรื่องเรียน เค้าเองก็เรียนพิเศษเยอะและเรียนเปียโนด้วย เราเหนื่อยทุกครั้งเวลาคุยกับเฟิร์ส เราคิดว่าคนเป็นแฟนกันก็ต้องปรับตัวเข้าหากันแบบนี้ล่ะมั้ง แต่พอนานวันเรายิ่งเหนื่อย เค้าต้อง vdo.call อย่างเดียว เราต้องหาที่เงียบ ๆ คุยโทรศัพท์กันไม่งั้นคุยไม่รู้เรื่องแล้วเค้าก็งอน คุยทีไรเค้าก็คุยยาว ๆ ไม่อยากให้เราวางสาย เราต้องหาเรื่องอะไรตัดบททุกที แต่...เวลาเค้าดีกับเราก็ดีมาก ๆ เลยนะ”
“ก็จับมืออะไรบ้างสิ จะได้หวาน ๆ น่ะ มีบ้างไหม?”
“ไม่มีเลย”
“เหรอ?” ปิงจับมือผมลูบ ๆ บีบ ๆ ผมมองปลายนิ้วสากของปิงที่เกิดจากการเล่นกีตาร์
“ไปเที่ยวกันบ้างมั้ย?”
“ไม่มีเลย เค้าเรียนพิเศษทุกวัน สองปีเคยไปเดินห้างกันไม่กี่ครั้ง”
“เหรอ?”
“ตอนแรกเราก็พยายามชวนเค้าเที่ยว แต่พอติดเรียนพิเศษบ่อย ๆ เราก็เริ่มไม่อยากไปแล้ว แค่คุยโทรศัพท์ยังเหนื่อย ถ้าต้องไปเที่ยวด้วยกันคงเหนื่อยใจกว่านี้”
“แล้วที่ดิมไปค้างบ้านเรา ทำธุระกับเราทั้งวัน เรียนพิเศษแล้วเรามาค้างบ้านนายอีกนี่ดิมเหนื่อยไหม?”
“ไม่นะ แล้วปิงล่ะ?”
“ไม่เหนื่อยเลย สนุกดี”
“อืม...ที่เรากลุ้มใจที่สุดตอนนี้คือ 24 นี้เค้านัดเราไปเที่ยวงานคริสมาสต์อีฟ”
“เหรอ? กลุ้มใจอะไรล่ะ?”
“ก็...เพื่อนเราหลายคนเขา เอ่อ...ได้กับแฟนแล้ว”
ผมบีบมือปิง “เรากลัวว่าเฟิร์สจะขอเราอะไรแบบนั้น”
“นายไม่อยากทำเหรอ?”
“ไม่อ่ะ ก็อย่างที่เราบอกน่ะเราฝืนตัวเองกับเค้าในหลายเรื่องเลย...เราไม่แน่ใจว่า...เราชอบเค้าจริงมั้ย ถ้าทำไปแล้วเราไม่ได้ชอบเค้าจริง ๆ เราคงรู้สึกผิดมาก และอีกอย่าง...เราก็...ไม่อยากทำอย่างว่า ไม่รู้สิ บอกไม่ถูก มันไม่มีความอยาก”
“ไม่ใช่ว่าหมดสมรรถภาพนะเว้ย?”
“บ้า ใช้อยู่ทุกวัน”
“แล้วปิงกับจอยล่ะ?”
“ก็อย่างที่บอกแหละ เค้าบ่นเราประจำ แล้วช่วงนี้ก็ซ้อมงานนี้ด้วย จอยยิ่งบ่นอุบเลย”
“งั้นต้องสลับที่กันละ” ผมขยับตัวออกเปลี่ยนให้ปิงมาพิงผมแทน
“เราก็กลุ้มเรื่องจอย ก็พอเข้าใจเค้านะ เวลาเราซ้อมดนตรีมันก็นานจริง ๆ”
“อืม” แค่วันนี้ที่ผมได้แต่นั่งดูผมก็ยังหงุดหงิดเลย ไม่รู้หงุดหงิดที่ต้องรอนานหรือเพราะโดนบังคับให้เปลี่ยนตัวกันแน่
“เค้าไม่ชอบให้เราจับมือด้วย เค้าบอกนิ้วด้าน”
“เหรอ?” ผมกอดเอวปิงด้วยแขนซ้าย ใช้มือขวาจับนิ้วด้าน ๆ ที่ปิงใช้กดคอร์ด
“อันนี้ไม่เคยบอกใครเลยนะ บอกดิมคนเดียว คือบางทีเราก็คิดว่าเราอาจเข้ากับจอยไม่ได้ แต่พอเห็นเค้านั่งรอเรา เค้าช่วยเป็นธุระเคลียร์เรื่องอื่น ๆ ระหว่างที่เราซ้อม เราก็รู้สึกดีกับเค้าน่ะ”
“เหรอ?”
“ปัญหาเราคล้าย ๆ กันเนอะ เราก็ฝืน ๆ ตัวเองเหมือนกัน เราไม่แน่ใจว่าคนรักกันจริง ๆ เค้าต้องฝืนปรับตัวให้เข้ากับอีกคนขนาดไหนกันแน่”
“อืม...”
“เรายังไม่มีอะไรกับเค้านะ และก็ใช้งานได้ดีทุกวัน”
“ยังไม่ได้ถามเลย”
“อยากบอกน่ะ” ปิงหันมาหัวเราะเบา ๆ
“เฮ้อ...ดีนะคุยกับนายเนี่ย เราไม่เคยคุยระบายเรื่องพวกนี้กับใครเลย”
“คุยแล้วดีขึ้นใช่มั้ย?”
“อืม ปิงนี่เหมือน...”
“เหมือนอะไรเหรอ?”
“เหมือนตู้อบฆ่าเชื้อ”
“อะไรนะ?”
“ก็แบบเรามีเรื่องกลุ้มใจอะไร พอมาอยู่กับนายแป๊บเดียวเราก็รู้สึกดีขึ้นมาเลย”
ผมอยากบอกปิงว่าเขาเหมือนแสงอาทิตย์ตอนเช้าที่ทำให้รู้สึกดีสมกับชื่ออรุณวิทย์ แต่มันฟังดูเหมือนบทละครไปหน่อย
“แต่พอออกจากตู้อบฆ่าเชื้อ นายจะกลับไปรู้สึกเหมือนเดิมมั๊ย?”
“ไม่รู้สิ ยังไงปัญหามันก็ยังอยู่เหมือนเดิมน่ะ”
“ดิม”
“หืม?”
“งั้นเราเป็นมากกว่าตู้อบฆ่าเชื้อได้ไหม?”
“ยังไงเหรอ?”
ปิงกุมมือผม “มาลองเป็นแฟนเล่น ๆ กันมั๊ย? เป็นเล่น ๆ ถึงสิ้นปี ทำอะไรที่อยากทำ รู้สึกยังไงก็พูดกันเลยไม่ต้องฝืน อยากไปไหน อยากกินอะไร หรือไม่อยากทำอะไรก็พูดกันตรง ๆ ทุกเรื่อง จะได้รู้ไปเลยว่ามันจะดีกว่าที่เป็นอยู่มั๊ย?”