ตอนพิเศษ ไปค่ายตั้งแคมป์ 5 ปี๊ด ปี๊ด ปรี๊ดดดดดด!!!
เสียงนกหวีดดังยาวปลุกผมตื่นแต่เช้าเลยครับ
ผมควานมือไปหยิบโทรศัพท์ที่วางไว้ใกล้ๆหมอนขึ้นมาดูเวลา
ปรากฏว่าเพิ่งตี 5 เองครับอาจารย์จะรีบไปไหนวะ
“กี่โมงแล้ว”เตินณ์ถามผมงัวเงียเลยครับ
“เพิ่งตี 5 เอง” ผมบอกมันก่อนทำท่าจะหลับต่อ
“เฮ้ยอาจารย์ให้ไปวิ่งตอนตี 5ครึ่งไม่ใช่เหรอ” มันถามผมทั้งที่ไม่ยอมลืมตา
“อืม” ถ้าผมจำไม่ผิดเหมือนจะได้ยินอาจารย์พูดว่าอย่างนั้นครับ
“งั้นก็รีบไปอาบน้ำดิ”
“ไม่เอาขอนอนอีก 25นาทีแล้วค่อยแปรงฟัน วิ่งเสร็จแล้วถึงอาบน้ำ”
ผมบอกมันถึงแผนการของตัวเองก่อนซุกตัวกับหน้าอกมันมากขึ้นเพื่อหาไออุ่น
“อืมความคิดดี” มันพูดแค่นี้ก่อนหลับกันไปอีกครั้ง
“พรตครับตื่นเร็วสายแล้ว” ผมรู้สึกเหมือนมีคนเรียกเลยค่อยๆลืมตาแล้วหน้าตินณ์ก็อยู่ใกล้หน้าผมแค่คืบเองครับ
“กี่โมงแล้ว” ผมถามมันบ้างครับ
“ตี 5 จะครึ่งแล้วครับ”
“เหรอ ห๊ะ! จะตี 5 ครึ่งแล้ว” ผมกำลังประมวลผลก่อนตั้งสติได้ก็ตกใจเลยครับ ลืมตั้งนาฬิกาปลุก ดีนะยังตื่น
“ไปแปรงฟันก่อนเร็ว”ตินณ์ลุกขึ้นไปหยิบยาสีฟันมาบีบใส่แปรงแล้วยื่นให้ผม
ก่อนบีบใส่แปรงของตัวเอง มันทำให้ผมแบบนี้ตั้งแต่คบกันได้ ประมาณ 3 เดือนครับ
จากวันนั้นจนถึงวันนี้มันก็ยังทำเหมือนเดิมทั้งที่ผมคิดว่ามันจะทนทำไปได้นานซักแค่ไหน
แต่มันก็พิสูจน์แล้วว่าเรื่องเล็กน้อยมันก็ยังคงทำให้ผมเสมอต้นเสมอปลาย
นี่เป็นสิ่งเล็กๆที่ทำให้ผมหลงรักมันอีกหนึ่งข้อ
“อ่าว” ผมกำลังจะมุดออกจากเต็นท์เจอไอ้นาวที่กำลังจะเข้ามาพอดี
“กูมาเอาแปรงสีฟัน” มันบอกเหมือนยังไม่ตื่นดี
ผมกับตินณ์ก็ยืนรอมันอยู่หน้าเต็นท์จนมาออกมาพร้อมแปรงสีฟัน
เราก็ออกเดินไปแปรงฟันที่ลำธารครับคนเยอะเหมือนกัน มาถึงก็เจอพี่คิมยืนรอไอ้นาวครับ
หลังจากแปรงฟันกันเสร็จก็สดชื่นขึ้นเยอะเลยครับ
ผมเอาแปรงไปเก็บก่อนวิ่งมาที่เขาเริ่มเข้าแถวออกกำลังกาย
โดยการวิ่งเยาะๆไปตามถนนหน้าค่ายสองข้างทางเต็มไปด้วยหมอก
หมอกเฉยๆนะครับไม่ใช่หมอกหงอยเหมือนที่ไอ้ฟิกซ์ชอบว่า
พูดถึงผมก็เห็นมันวิ่งตรงมาพร้อมไอ้มายด์ครับ ตายยากตายเย็นพูดถึงหน่อยมาเลย
“เมื่อคืนหลับสบายไหม” ไอ้มายด์ถามผมครับ
“ก็ดี”
“หึหึ” มันมองหน้าผมยิ้มๆก่อนหัวเราะอย่างมีความหมาย
“หัวเราะอะไรของมึง” ผมถามพร้อมเอาเท้าสะกิดขามันไปทีครับ
“กูก็ห่วงว่าจะกลัวผีหัวตั้งไปแล้ว แต่คงมีคนปลอบดีหน้าตาสดใส
แถมเมื่อกี้กูเดินผ่านพี่ตินณ์คอนี่แดงเลย”ไอ้ฟิกซ์เป็นคนตอบแทนไอ้มายด์ครับ
แต่คำตอบของมันทำเอาผมหน้าร้อนวูบๆ ทั้งที่อากาศหนาวได้เลยครับ
ผมไม่ได้ต้องการให้พวกมันมาล้อหน่อยแค่อยากทำให้ใครบางคนรู้ว่ามันเป็นของผมก็แค่นั้น
“มึงเห็นด้วยเหรอ กูนึกว่าเห็นคนเดียว” เสียงไอ้นาวดังขึ้นข้างๆผม
“แดงเด่นขนาดนั้นเขาเห็นกันทั้งค่ายแล้ว ใครไม่เห็นแม่งก็ตาบอดแล้วหล่ะ”
ไอ้ฟิกซ์ว่ากลับเสียงดัง แต่มันจะเสียงดังทำไมวะ แค่นี้กูก็อายจะแย่แล้ว
“เพื่อนกูร้อนแรงจริงโว๊ยในค่งในค่ายก็ไม่เว้น” ไอ้มายด์แซวขึ้นมาบางครับ
“อย่ามาล้อกู เต็นท์มึงก็สั่น” ผมว่ามันมั่วๆเลยครับ ต้องหาทางเปลี่ยนประเด็นให้ไกลตัวเองไว้ก่อน
“กูบอกแล้วไอ้ฟิกซ์มึงนั่นแหละมากอดกู” ไอ้มายด์โยนไอ้ฟิกซ์เลยครับ
“ก็กูหนาวกอดนิดกอดหน่อยทำหวงตัวนะมึง แล้วที่สั่นเพราะกูหนาวเว้ย”
“หรา” ผมกับไอ้นาวพูดพร้อมกันเลยครับ
เพื่อนมายด์กูอีกไม่นานจะเสร็จไอ้เชี้ยฟิกซ์ไหมวะเนี๊ยะเล่ห์เหลี่ยมพราวมากมึง
“ว่าแต่กูไอ้เชี้ยนาวเดินขาถ่างไม่ถามมันมั่งวะ” ไอ้ฟิกซ์โยนไอ้นาวบ้างครับ
แต่ผมก็พอมองออกแค่ไม่อยากแซวแต่เมื่อไอ้ฟิกซ์ว้อนซ์ผมก็ขอสนองซะหน่อย
“ว่าไงมึงจะออกกำลังกายไหวไหมวะ” ผมถามมันยิ้มๆขณะที่กำลังวิ่งเยาะๆไปเรื่อยๆ
“กูวิ่งรอบเขาไปกลับ 10 รอบยังไหว” แม่งเรื่องโม้นี่แก้ไม่หายพอกับเรื่องขี้เสือกของมันครับ
“หึหึ บอกกูไปเยี่ยวหายไปเป็นคืนเลยนะมึง”
“ถ้ามึงไปกะกูซะก็หมดเรื่องแล้ว”
“มึงคิดว่าจะรอดรึไง” ไอ้ฟิกซ์ถามมันครับ
“รอดดิต้องรอดอยู่แล้ว” มันหันไปตอบ
“รอดเข้าถ้ำไง หึหึ” ไอ้เชี้ยมายด์ว่าก่อนหัวเราะทับ ไอ้นาวเงียบไปเลยครับ
วิ่งออกกำลังกายไม่นานก็วนกลับมาที่ค่ายแล้วให้เต้นกายบริหารต่อด้วยท่ารำไท้เก็กครับ
ผมอยากขอร้องอาจารย์เลยว่าช่วยเอาท่าธรรมดาหน่อยได้ไหม
แต่ละท่านี่ทำผมร้าวระบมเจ็บตูดเลยครับ
หลังออกกำลังกายเสร็จอาจารย์ก็แจ้งว่าตอนแรกมีโปรแกรมจะพาไปน้ำตกทีลอซู
แต่มีปัญหาเรื่องการเดินทางจึงไม่สามารถไปได้เลยให้พักผ่อนตามสบาย
ก่อนจะไปช่วยกันจัดเวทีและสถานที่จัดงานวัดคืนนี้
โดยมีตัวแทนกลุ่มหนึ่งนั่งรถของจำหน้าที่ค่ายไปป่าวประกาศให้ชาวบ้านรู้
ว่าจะมีงานวัดในค่ายให้มารับชมและร่วมสนุกด้วยกัน
“พอผมได้ยินแบบนั้นความคิดอยากถ่ายรูปก็เกิดขึ้นทันทีครับ
เมื่อวานไปเดินป่าก็ไม่ได้เอากล้องไปเพราะหนักวันนี้ขอจัดซะหน่อย
เพิ่ง6 โมงเช้าอากาศหนาวมาก หมอกหนาอยู่เลยครับแถมผมเห็นชาวบ้านแถวนี้ใส่ชุดพื้นบ้าน
คล้ายๆชุดกะเหรี่ยงเอาผักกับสตอเบอร์รี่มาขายด้วยครับ
“ไปถ่ายรูปกันไหมวะ” ผมถามพวกเพื่อนๆ
“ไปดิ เดี๋ยวค่อยกลับมานอน” ไอ้นาวสนับสนุนคนแรกครับ
ต่อด้วยไอ้มายด์และไอ้ฟิกซ์เมื่อลงความเห็นกันได้แล้วผมก็เดินกลับเต็นท์มาหยิบกล้อง
“ไปไหน” หันไปตามเสียงเป็นตินณ์นั่นเอง แม่งชอบมาเงียบๆ
“ไปถ่ายรูปไปด้วยกันไหม” ผมชวนมันครับ
“มึงไปถ่ายเถอะ เดี๋ยวกูต้องทำอาหารเช้า มากินด้วยนะกูทำเผื่อไม่ต้องสนใจใครอีก”
“อืม” ผมตอบตกลงก่อนเดินแยกไปหาไอ้นาวที่ยืนรออยู่
แล้วไปตามไอ้มายด์กับไอ้ฟิกซ์ที่เต็นท์ก่อนเดินไปถ่ายรูปวิวตามที่ต่างๆ
แถมเจอชาวบ้านแถวนี้พาผมไปดูไร่สตอเบอร์รี่ด้วยครับ
เดินมาไกลจากค่ายพอสมควรพอถ่ายเสร็จผมก็เดินกลับมาที่ค่ายประมาณ 8 โมงกว่าๆครับ
“พรตมากินข้าวก่อนค่อยไปอาบน้ำ” ผมเดินถือกล้องข้ามลำธารมาได้ยังไปไม่ถึงเต็นท์
เสียงตินณ์ตะโกนเรียกผมมาจากแถวเต็นท์ฝั่งผู้หญิง
ผมมองไปเห็นมันนั่งกินกาแฟอยู่กับเพื่อนๆของมัน
“ไอ้นาวมากินข้าวก่อน” เสียงพี่คิมเรียกไอ้นาวที่เดินตามหลังผมเหมือนกัน
“ไอ้มายด์ไอ้ฟิกซ์ด้วยกูทำเผื่อ” ตินณ์บอกต่อเมื่อเห็นผมหันไปมองหน้าเพื่อนอีก 2 คน
ว่ามันจะเอายังไงไปด้วยกันหรือจะกลับไปกินที่กลุ่มตัวเอง
“ครับ” ไอ้ฟิกซ์ขานรับก่อนเพื่อนแล้วเดินนำผมก็เดินตามมันไป
“โหกับข้าวน่ากินจังครับ” ไอ้มายด์ว่าพร้อมตาที่มองเมนูอาหาร น้ำลายแทบจะหยดลงจาน
“กินเลย ตินณ์เยอะๆนะมึง”ตินณ์ตอบไอ้มายด์ก่อนหันมาบอกผม
ผมก็มองมันก่อนมองเลยไปที่เพื่อนของมันที่ชื่อมินิ
เธอก็มองผมนะครับแต่ไม่ได้พูดอะไรผมก็ไม่สนใจแล้วกินข้าวของผมเงียบๆ
“น้องพรตพี่กินข้าวด้วยคน” พี่มี่เดินมาถึงก็ขอร่วมวงเลยครับสงสัยเพิ่งอาบน้ำเสร็จ
“มาเลยครับพี่ ผมเลี้ยง ฮ่าๆ” ผมบอกพี่มี่ก่อนหาจานหาช้อนส่งให้
“จ๊ะถ้าไม่ได้พ่อครัวจากครัวน้องพรตพี่คงไม่ได้กินของอร่อยแน่ๆ” พี่มี่ว่ายิ้มๆก่อนลงมือกินข้าวครับ
“มึงไม่กินพร้อมกูเหรอ” ผมหันไปถามตินณ์ที่เดินมานั่งลงข้างๆผมบนเสื่อ
“ยังไม่หิว กูเพิ่งกินกาแฟไปเอง”
“ไม่หิวก็ต้องกิน บังคับกูกินข้าวเช้าตัวเองไม่ยอมกินนะ”
ผมว่ามันพร้อมตักข้าวกำลังจะกินมันเอื้อมมือมาจับมือผมที่ถือช้อน
แล้วทันใดนั้นข้าวที่อยู่ในช้อนผมหายเข้าปากมันไปเลยครับ
ผมมองมันอึ้งๆ มันดันยิ้มให้ผมแบบไม่ได้รู้สึกถึงสายตาหลายๆคู่ที่มองมาด้วยความรู้สึกแตกต่างกัน
“กูว่ากับข้าวมันหวานๆ เลี่ยนๆป่ะวะ”พี่โฟมที่กำลังนั่งกินข้าวข้างพี่นัทพูดขึ้นทามกลางความเงียบ”
“กูก็ว่างั้นแหละ” พี่อาร์มว่าต่อทันทีครับ
“เบาหน่อยครับพี่ผมอิจฉา” ไอ้ฟิกซ์สอดปากขึ้นมาบ้างครับ
“พี่ตินณ์แม่งสุดยอด อายบ้างก็ได้นะครับ” ไอ้นาวเสริมอีกคน
“หึหึ อยากให้ไอ้คิมทำบ้างละซิ แต่คงยาก”
ตินณ์ว่าไอ้นาวก่อนเคี้ยวข้าวหมดแล้วบอกผมว่าอยากกินอะไร
“ไปเอาจานมากินดีๆดิวะ”ผมว่ามันพร้อมหน้าที่ขึ้นสีแดงเลยครับ แม่งจะขยันทำให้ผมอายไปถึงไหนวะ
“ไม่เอาเปลืองจาน ขี้เกียจล้างกินด้วยกันนี่แหละ”
มันว่าก่อนบอกจะกินผัดคะน้าปลากระป๋อง ผมก็ต้องตักไปป้อนมันดิครับ
เกิดมาเป็นผู้ชายอกสามศอกต้องมานั่งป้อนข้าวผู้ชายเหมือนกัน
ท่ามกลางสายตาคนเป็นสิบคิดว่าผมอายไหม บอกได้เลยว่าโครตอาย
แต่มองไปเจอสายตาไม่เป็นมิตรของเพื่อนในเอกมันแล้วก็แอบสะใจเล็กๆครับ
“กินเสร็จแล้วไปไหนต่อวะ” พี่คิมถามขึ้นมาบ้างครับ
“กูจะนอนต่อเมื่อวานเดินป่าโครตเมื่อยเลย” พี่อาร์มตอบก่อนเพื่อนเลยครับ
“ไอ้นัทเอาไงวะ” พี่โฟมถามพี่นัทครับ
“ไม่รู้จะทำอะไรก็พักผ่อนแล้วกันเจอกันตอนเที่ยงอีกครั้งก่อนไปทำเวที”
พี่นัทตอบพร้อมเก็บรวบรวมจานไปล้างตรงลำธารกับพี่มี่
พวกผมอาสาช่วยแกก็บอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวแกทำเองครับ
“งั้นเราก็ไปเต็นท์กันเถอะ” ตินณ์หันมาชวนผมกลับเต็นท์
“แล้วไอ้นาวหล่ะ” ผมยังห่วงเพื่อน
“ถ้ามันอยากไปเป็นหน่วยสอดแนมก็ตามไป”มันพูดดังๆให้ได้ยินกันทั่วเลยครับ
“พี่พูดขนาดนี้ถ้าผมไม่ไปคงเสียเชิงแย่” มันว่าก่อนทำท่าจะลุก
“มึงไม่ต้องไปยุ่งเรื่องของคนอื่นเลย กลับเต็นท์กับกู”พี่คิมว่าก่อนลุกขึ้นยืนรอมัน
ไอ้นาวก็หันมองคนโน้นคนนี้ก่อนทำท่าขัดใจแล้วยอมลุกขึ้นเดินตามพี่คิมที่เดินนำไปก่อนครับ
“เจอกันตอนเที่ยงเว้ย” ผมบอกไอ้มายด์กับไอ้ฟิกซ์ ก่อนเดินกลับไปที่เต็นท์ของตัวเองพร้อมตินณ์
“ง่วงเหรอ นอนไหม” ตินณ์มันถามผมหลังจากเข้ามานอนเล่นอยู่ในเต็นท์
“ไม่ง่วงแล้วเดี๋ยวกูไปอาบน้ำก่อนมึงอาบยัง”
“ยังรอมึง”มันว่าผมก็ลุกขึ้นหาเสื้อผ้าทั้งของตัวเองและของมันเตรียมตัวไปอาบน้ำครับ
“พรต นาวกินข้าว” เสียงไอ้เดียวมาเรียกผมกับไอ้นาวที่หน้าเต็นท์ครับ
“กูกินแล้วมึงกินเลยโทษทีไม่ได้บอก” ผมตะโกนตอบมันจากในเต็นท์
“อ่าวกินที่ไหนวะกูไม่เห็นเดินไปที่กลุ่ม” มันยังถามต่อครับ
“กินที่กลุ่มอื่นมาน่ะ”
“กลุ่มแฟนอ่ะดิ” มันยังล้อต่อไม่ยอมไปง่ายครับ
“เออ” ผมตอบมันแค่นั้น
“อิจฉาเว้ย ไอ้นาวล่ะกินยัง” มันว่าก่อนถามหาไอ้นาวต่อ
“กินแล้วไอ้ฟิกซ์กับไอ้มายด์ก็กินแล้วเหมือนกัน”
“งั้นไม่กวนแล้ว ไปล่ะ”
“เออ ขอบใจที่มาตาม” ผมบอกมันก่อนเสียงมันจะเงียบหายไป
หันมามองคนข้างๆเห็นมันกำลังนอนอมยิ้มอยู่ครับ
“ยิ้มทำไมวะ” ผมถามมัน
“ป่าว ไปอาบน้ำกัน” มันปฏิเสธก่อนฉุดแขนผมแล้วดึงออกจากเต็นท์
ผมใช้เวลาอาบน้ำไม่นานก็เสร็จออกมาเจอตินณ์ที่อาบน้ำเสร็จแล้วยืนรออยู่
ระหว่างทางกลับเต็นท์ก็สวนกับไอ้นาวที่เดินนำพี่คิมมาอาบน้ำเหมือนกันครับ
ผมเข้ามาในเต็นท์ได้ไม่นานก็เริ่มรู้สึกว่าร้อนเลยต้องออกมาหาร่มข้างนอกอยู่
“ไปไหนกันวะ”เสียงไอ้ฟิกซ์ทักผมตอนที่ผมกำลังเดินตามตินณ์
“ว่าจะไปหาร่มแล้วริมลำธารอยู่ว่ะ ในเต็นท์แม่งร้อน” ผมตอบมัน
“เฮ้ยไปด้วยดิวะ ร้อนเหมือนกัน”
“มาดิ” ผมชวนมันก่อนหยุดรอ ไม่นานมันกับไอ้มายด์ก็เดินมาใต้ต้นไม้ใหญ่ริมลำธาร
อยู่เหนือที่กางเต็นท์ขึ้นมาไม่ไกลครับ ตินณ์มันเอาเสื่อที่ค่ายแจกมาด้วย
ส่วนไอ้ฟิกซ์ก็เอาพลาสติกที่ปูนั่งแบบที่เห็นเขาขายตามงานวัดมาปูนั่ง
ผมไม่มีอะไรทำก็เอากล้องที่หยิบติดมือมาเปิดดูรูปไปเรื่อยๆ
ไม่งั้นก็ถ่ายรูปตินณ์ตอนที่มันกำลังนอนและเล่นโทรศัพท์ไปด้วย
ไม่นานไอ้นาวก็พาแกงค์เพื่อนตินณ์พร้อมของกินมาครบกลุ่มเลยครับ
จากที่ไม่มีอะไรทำกลายเป็นเล่าเรื่องเฮฮาสนุกสนานพร้อมกินขนมกันไปเหมือนมาปิคนิก
จนเที่ยงนั่นแหละครับพวกผมถึงได้ไปกินมาม่าที่ทางอาจารย์แจกแล้วเริ่มทำงานทำการกันซักที
เวทีที่อาจารย์บอกจะสร้างผมก็นึกว่ามันจะใหญ่โตมากมาย ที่ไหนได้
อย่าเรียกมันว่าเวทีดีกว่าครับแค่เอาไม้มาต่อๆกันแล้วเอาไม้กระดานวางทับ
ไม่กว้างเท่าไหร่น่าจะประมาณเมตรเดียว
จากนั้นก็เริ่มเอาเชือกมาล้อมพื้นที่ด้านหน้าเพื่อเต้นรำวงครับ
เมื่อทำพื้นที่ส่วนรวมเสร็จผมก็แยกย้ายกันมาทำงานกลุ่มตัวเองบ้าง
“ไอ้นาวเห็นไอ้เดียวไหมวะ” เสียงไอ้สนถามหาเพื่อนมันครับ
“เห็นมันเดินไปทางห้องน้ำสงสัยไปเข้าห้องน้ำหว่ะ” ไอ้นาวตอบ
“อ่าวไอ้เดียวไปไหนมาวะหน้าเครียดเชียว”
“ห้องน้ำ”มันตอบก่อนช่วยพวกผมทำงานต่อครับ ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร
“พรตมึงรักแฟนมึงมากไหมวะ” อยู่ๆไอ้เดียวมันก็ถามขึ้นมา เล่นเอาผมงงไปเลยครับ
“ถามทำไมวะ” ผมถามกลับงงๆ
“กูอยากรู้บอกกูหน่อย” มันถามหน้าตาคาดคั้น ผมก็ไม่รู้จะปิดทำไม
“มาก” ผมแต่แค่นั้นครับ
“แล้วมึงเคยคิดว่าเค้าอาจจะนอกใจมึงไหม
คือกูไม่ได้จะใส่ร้ายหรืออะไรกูแค่กลัวว่ามึงจะโดนทำเหมือนตอนที่เป็นแฟนกับนิว”
มันเห็นผมมองแบบไม่ค่อยพอใจที่มาบอกว่าตินณ์จะนอกใจผม
ก็ผมไม่เคยมีความคิดนี้อยู่ในหัวเลยครับ
แต่พอมันอธิบายผมก็พอจะเข้าใจว่าเพราะอะไรมันถึงได้ห่วงผม
ก็เมื่อก่อนตอนที่ผมโดนนิวบอกเลิกผมอาการหนักพอดู
เป็นที่เลื่องลือของเพื่อนๆอยู่เหมือนกันครับ
“ไม่ต้องกลัว กูเชื่อใจว่ามันจะไม่มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกแน่นอน”
ผมบอกพร้อมตบบ่ามันไปหนึ่งทีแล้วเดินแยกออกมาจากตรงนั้น
เพื่อหยิบโทรศัพท์ของตัวเองที่ดังขึ้นจากกระเป๋าที่วางกองรวมกันไว้
ปรากฏว่าเป็นแม่ผมโทรเข้ามาถามว่าอยู่ค่ายสนุกไหม
ผมก็คุยไปเรื่อยๆก่อนวางสายแล้วกลับมาทำงานต่อจนเย็นครับ
“ไอ้พรตๆ ไปดูไอ้เดียวหน่อย” ผมกำลังจะเดินกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนชุดใหม่เพราะชุดนี้มีแต่เหงื่อ
อยู่ๆไอ้สนก็วิ่งมาเรียกผมเสียงดัง
“มีอะไรวะ” ไอ้นาวที่เดินตามผมมาถามขึ้นครับ
“ไอ้เดียวมันไปมีเรื่องกับแฟนไอ้พรต” แค่มันพูดจบทำเอาผมตกใจเลยครับ
มันไปมีเรื่องอะไรกันวะก็ไม่เห็นมันจะเคยคุยกัน
“มันอยู่ไหน” ผมถามไอ้สนทันที
“ตรงข้างซุ้มที่เราทำนั่นแหละ”พอมันพูดจบผมรีบเดินไปยังที่มันบอกทันที
พอมาถึงผมก็เห็นไอ้เดียวกับตินณ์ยืนอยู่พร้อมด้วยพี่คิม พี่มี่พี่อาร์มครับ
“เกิดอะไรขึ้นวะ” ผมเดินไปใกล้ตินณ์แล้วถามมัน
“กูก็กำลังงงว่าเกิดอะไรขึ้น อยู่ๆเพื่อนมึงก็เดินมาหาเรื่องไอ้มี่”
“ห๊ะ หาเรื่องพี่มี่เนี๊ยะนะ” ผมงงยิ่งกว่าเก่าครับ ไอ้เชี้ยเดียวมันหาเรื่องผู้หญิงเหรอวะ
“ไอ้เดียวมันเรื่องอะไรวะ” ผมถามไอ้เดียวที่กำลังยืนมองหน้าพี่มี่นิ่งเลยครับ
“กูไม่ได้อยากให้มึงเสียใจ กูแค่มาขอร้องพี่มี่ของมึงว่าอย่านอกใจมึงแค่นั้นเอง”
ไอ้เดียวมันหันมาบอกผมด้วยดวงตาเศร้าๆแต่มันจะเศร้าทำไมวะ แล้วพี่มี่มาเกี่ยวอะไรด้วย
“พี่มี่เกี่ยวอะไรวะ” ผมถามอีกครั้ง
“นั่นสิพี่ก็งง อยู่ดีๆเพื่อนน้องพรตก็เดินมาขอร้องให้พี่รักน้องพรตคนเดียวซะงั้น”
พี่มี่หันมาถามผมเหมือนไม่รู้เรื่องอีกคน
แล้วอยู่ๆผมก็นึกได้ว่าไอ้เดียวมันเข้าใจผิดว่าผมเป็นแฟนกับพี่มี่อยู่ครับ
“ไอ้เดียวมึงกำลังเข้าใจผิด” ผมกำลังจะอธิบายให้มันฟัง
ตอนนี้ไอ้มายด์กับไอ้ฟิกซ์เดินเข้ามาร่วมมุง
ตามด้วยพี่โฟมกับพี่นัทที่เดินเข้ามาเหมือนกันครับ
คนอื่นก็มีหยุดดูบ้างก่อนเดินผ่านไป
“เช้าใจผิดตรงไหน เราเห็นอยู่ชัดๆแถมหลายครั้งแล้วด้วย
ที่พี่มี่มีท่าทีสนิทกับเพื่อนคนนี้มากกว่าเพื่อน” ไอ้เดียวมันพูดพร้อมชี้ไปที่พี่อาร์มครับ
จะไม่ให้เขาสนิทเกินเพื่อนได้ไงวะในเมื่อเขาเป็นแฟนกัน
“มึงกำลังจะบอกว่าที่มึงมาบอกพี่มี่เพราะเข้าใจว่าพี่มี่กำลังนอกใจกูมาสนใจพี่อาร์มเหรอ”
ผมถามมันตามที่ตัวเองเข้าใจ
“ก็เออสิวะ มึงไม่รู้หรอกว่ากูชอบมึงและมองมึงมานานขนาดไหน
เมื่อมึงบอกว่าเป็นแฟนกับพี่มี่กูก็จะตัดใจ แต่กูมาเห็นพี่มี่ทำแบบนี้
กูบอกตรงๆกูทนเฉยไม่ได้ที่จะเห็นมึงเสียใจอีกครั้ง”เอาละซิครับงานเข้าผมแล้วไหมล่ะ
ผมมองเห็นสายตาตินณ์มองผมแบบคาดโทษเลยครับ
กูไม่ผิดนะมันมาชอบกูเองกูไม่รู้เรื่องกูแค่หล่ออยู่เฉยๆ
แล้วไอ้เดียวมันเป็นบ้าอะไรถึงมาชอบผู้ชายด้วยกัน
แถมผู้ชายมีตั้งเยอะดันเจาะจงต้องมาเป็นผมด้วยก็ไม่รู้
“เดียวกูจะบอกมึงว่าที่มึงเข้าใจผิดคือกูไม่ได้เป็นแฟนกับพี่มี่
พี่มี่เป็นแฟนพี่อาร์มคนที่มึงกำลังว่านั่นแหละ”
ผมบอกไอ้เดียวยังไม่ทันจบมันหันมาจ้องหน้าผมทันทีเลยครับ
“ไม่ได้เป็นแฟนพี่มี่จริงเหรอวะ แล้วทำไมตอนนั้น”
มันกำลังจะพูดแต่ยังไม่ทันจบผมก็พูดขึ้นก่อนครับ
“มึงเข้าใจผิดกูพยายามจะบอกมึงแล้วแต่มึงไม่ฟังกูเอง กูแค่สนิทกับพี่มี่เหมือนพี่น้อง”
ผมบอกให้มันเข้าใจให้ถูกต้องครับ
“งั้นแล้วที่บอกว่ามีแฟนแล้วและ รักแฟนมากนี่โกหกเหรอ”
แม่งใครให้เอามาพูดต่อหน้ามันว่ะ พอไอ้เดียวพูดจบ
ผมหันไปมองตินณ์มันยิ้มหน้าบานเป็นกระด้งเลยครับ
ถ้าบอกว่าโกหกมันจะโกรธผมไหมวะ หมั่นไส้มันจริงจังครับ
“กูไม่ได้โกหก”
“งั้นคนไหนแฟนพรต” มันถามผมต่อทันทีอย่างไม่ปล่อยโอกาสให้ผ่านไปง่ายๆ
“แฟนกูก็...คนที่ยืนข้างกูเนี๊ยะ” มันรีบมองเลยครับก็ผมยืนตรงกลางระหว่างมันกับตินณ์
แล้วพี่มี่ยืนตรงข้ามมันมีพี่อาร์มยืนข้างๆและเป็นพี่นัทพี่โฟมที่เพิ่งเดินเข้ามาไม่นาน
“อย่าบอกนะว่าพี่คนนี้” มันชี้มือให้ตินณ์อึ้งๆครับ
“อืม ใช่มีปัญหาอะไรไหม” ผมตอบก่อนถามกลับ
“มีแฟนเป็นผู้ชายเหรอ ตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมเราไม่รู้” มันพูดเหมือนคนละเมอเลยครับ
“กูเป็นแฟนกับมันนานแล้ว และไม่จะเป็นต้องป่าวประกาศให้ใครรู้
แต่เมื่อรู้แล้วก็ตัดใจซะก่อนที่กูจะช่วยให้มึงตัดใจได้ง่ายขึ้น” ตินณ์บอกมันเสียงนิ่งเลยครับ
“แต่...” มันเหมือนจะพูดอะไรซักอย่าง
“ไอ้เดียวกูขอบใจนะที่มึงชอบกูถึงจะเป็นผู้ชายเหมือนกันก็ตาม
ถ้าเป็นเมื่อก่อนกูคงจะไม่เหลือแม้แต่ความเป็นเพื่อนกับมึง
แต่ตอนนี้กูบอกได้แค่ว่าไม่ได้ชอบมึงแบบนั้นและกูยังเป็นเพื่อนกับมึงได้เสมอถ้ามึงยังต้องการ”
“ระหว่างเราจะเป็นมากกว่าเพื่อนไม่ได้เหรอ
ถ้ารู้ว่าพรตชอบผู้ชายเหมือนกันเดียวคงบอกเร็วกว่านี้
ไม่รอจนถึงตอนนี้ให้คนอื่นชิงตัดหน้าไปแน่นอน” ไอ้เดียวถามผมต่อครับ
ผมเข้าใจมันนะที่มันคงไม่กล้าบอกเพราะกลัวว่าเกิดผมไม่ได้ชอบผู้ชายเหมือนกัน
คงเข้าหน้ากันไม่ติดมันเลยไม่เคยบอกให้ผมได้รู้ความรู้สึกของตัวเอง
“ ถึงมึงบอกก่อนหน้านี้นานแค่ไหนกูก็คงเป็นได้แค่เพื่อนมึง
เพราะกูไม่ได้ชอบผู้ชาย กูยังชอบผู้หญิงเหมือนเดิมแต่กูรักมันซึ่งมันดันเป็นผู้ชาย
ไม่รู้มึงจะเข้าใจไหมแต่ยังไงเรื่องของกูกับมึงก็เป็นไปไม่ได้ตัดใจเถอะว่ะ” ผมบอกมันก่อนตบบ่ามันเบาๆ
“อืม เราจะพยายามเพราะตอนที่รู้ว่าพรตเป็นแฟนกับพี่มี่ก็ทำใจได้แล้วแต่ทำไมมันไม่เจ็บเหมือนตอนนี้ไม่รู้นะ”
มันพูดพร้อมรอยยิ้มเศร้าๆที่ส่งมาให้ผมครับ
ผมก็ได้แต่ยิ้มตอบไม่รู้จะบอกว่าอะไรในเมื่อผมก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันคิดอะไรกับผม
“เวลาจะช่วยมึงได้ เหมือนที่กูเคยผ่านมาแล้วและมึงจะเจอคนที่ใช่สำหรับมึงเอง” ผมบอกมัน
“บางทีคนที่ใช่ของเรา เรากลับไม่ใช่คนที่ใช่สำหรับเขา
ยังไงก็ขอบใจนะที่ยังเป็นเพื่อนกันได้
ถ้าต้องการความช่วยเหลือเมื่อไหร่บอกเรานะ เราพร้อมจะช่วยเสมอ”
ไอ้เดียวบอกก่อนเดินเลี่ยงออกไปเงียบๆพร้อมกับไอ้สนที่เดินตามไปครับ
แล้วบรรดาเหล่าไทยมุงทั้งหลายก็แยกย้ายกันไป ผมเดินกลับมาเต็นท์พร้อมตินณ์
“กูไม่เคยรู้เลยว่ามันคิดอะไรกับกู” ผมบอกมันระหว่างทางเดินกลับเต็นท์
“แล้วทำไมมันถึงคิดว่ามึงเป็นแฟนกับไอ้มี่” ตินณ์ถามผมผมก็เล่าเรื่องที่มันเข้าใจผิดให้ฟัง
“กูไม่ได้ตั้งใจหลอกมันนะ ถ้ากูรู้ว่ามันคิดอะไรกับกูกูจะรีบบอกไม่ปล่อยให้มันเข้าใจผิดแบบนี้แน่”
“มึงจะรับรักมันไง” ตินณ์หันมาถามผมเสียงเหวี่ยงเลยครับ
“มึงจะบ้ารึไงกูก็บอกแล้วว่าไม่ได้คิดอะไรกับมัน
แต่กูรู้ว่ามันเข้าใจผิดก็ไม่ได้พยายามแก้ให้เข้าใจถูกอย่างจริงจัง
มันจะว่ากูแกล้งมันไหมวะ” ผมเริ่มรู้สึกไม่ดี
“มันไม่คิดแบบนั้นหรอก มึงไม่ต้องคิดมาก
ถ้ามึงยังคิดมากอีกกูนี่แหละที่จะเป็นคนเสียใจที่มึงคิดเรื่องของคนอื่นมากกว่ากู”
ตินณ์ว่าผมยิ้มๆก่อนเอาแขนขึ้นกอดคอผม
“มึงก็อย่างนี้ตลอด” ผมว่ามันก่อนหันไปมองหน้าแล้วก็หัวเราะขึ้นพร้อมกันครับ
ผมมีเรื่องเครียดเมื่อไหร่ก็จะยิ้มได้เพราะมีมันอยู่ใกล้ๆนี่แหละ
--- To be Con.--- กอดรัดฟัดเหวี่ยงคนอ่านด้วยความรักค่ะ
ปล. คู่คิม-นาวไม่ได้ลงในเล้าแล้วนะจ๊ะ เมจิกเงินหมดไม่มีจ่ายค่าตัวนักแสดงจร้า