Chapter 2
Tanthai
___________________
“ไอ้ฟ้า กินข้าวให้หมดเลยนะ”
ผิงหรี่ตามองอย่างคาดโทษ เมื่อเห็นว่าข้าวผัดในจานคนตรงหน้าเหลือเกินกว่าครึ่ง
เพราะอย่างนี้ไง มันถึงตัวเล็กเหมือนเด็กไม่ยอมโต
“อิ่มแล้ว” เจ้าตัวยืนยันโดยการลูบหน้าท้องให้ดู
โห แบนราบแบบนั้นกินแล้วเอาไปไว้ไหน
“ตลอดอะ กินข้าวนิดเดียว แล้วก็ชอบไปหนักที่ขนม”
“ยุ่งน่า” น่านฟ้าส่ายหัวอย่างเอือมระอาไอ้คนที่เป็นห่วงจนเว่อร์
ขนาดป๋ากับหม่าม้ายังไม่บังคับเท่าไอ้ผิงเลย…ให้ตาย
...สงสัยเป็นแฟนคุณหมอแล้วติดนิสัยดุแบบนี้มาชัวร์
หลังจากที่ออกมาจากร้านอาหารเจ้าประจำ ทั้งสองก็เดินทอดน่องเล่นไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะแวะเข้าร้านสะดวกซื้อข้างคอนโดเพื่อซื้อของใช้ที่จำเป็น
แล้วก็เป็นอย่างที่คิดพอก้าวเข้ามาในร้านไม่ทันไรน้องของคุณเมฆก็ปลีกตัวหยิบตะกร้าออกไปขนขนมนมเนยใส่จนแทบล้น ที่เยอะที่สุดก็คงเป็นพวกเยลลี่และซูกัสรสผลไม้ที่เจ้าตัวติดงอมแงมมาตั้งแต่สมัยเรียนมหาลัย ในแต่ละวันต้องมีติดกระเป๋าไว้ตลอด
โคตรอยากจะตีเลยจริงๆ ฟันไม่ผุให้มันรู้ไป
แต่ไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากท้วงเสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์ก็ดึงความสนใจเอาไว้ซะก่อน เบอร์ที่โชว์อยู่หน้าจอนั้นเป็นเบอร์แปลกที่ไม่คุ้นเคย ให้ทายก็คงเป็นพวกพนักงานขายประกันไม่ก็คอลล์เซ็นเตอร์อีกตามเคย
“สวัสดีค่า” ลองหยั่งเชิงดูก่อน กะว่าถ้าปลายสายโทรมาขายตรงล่ะก็จะด่าให้ยับ โทษฐานทำให้เสียเวลา
(ครับ) …เดี๋ยวนะ พนักงานขายตรงสมัยนี้เสียงมันหล่อได้ขนาดนี้เลยเหรอวะ
“อ่าค่ะ...ใครคะเนี่ย” ผิงยกเครื่องมือสื่อสารออกมาดูหน้าจออีกครั้ง เพราะไม่มั่นใจว่าตัวเองเคยรู้จักคนหล่อขนาดนี้ด้วยเหรอ
เอาดิ แค่ได้ยินเสียงก็คิดไปเองแล้วว่าฝ่ายนั้นหล่อ
แต่เชื่อในสัญชาตญาณตัวเองว่ะ มีร้อยให้ร้อยเต็ม
(ผมแทนไทครับ เป็นคนจากค่ายป๋าปรีชา...คุณคือเพื่อนของน่านฟ้าใช่ไหม)
“ใช่ค่ะ คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ”
(ผมมารับน้องแทนคุณเมฆ พอดีโทรไปหาน่านแล้วไม่ติด ผมเลยโทรมาหาคุณแทน)
“อ้อ...”
(อีกประมาณครึ่งชั่วโมงน่าจะถึง ถ้ายังไงรบกวนฝากบอกน่านด้วยนะครับ)
“อ่า..ค่ะ”
พอวางสายไปผิงถึงฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าไม่ควรไว้ใจใครสุ่มสี่สุ่มห้า เลยต้องรีบต่อสายตรงหาคุณหมอเขาทันที
(ครับผิง)
“คุณให้ใครมารับฟ้า”
(อ้าว เมื่อเช้าพี่ส่งไลน์ไปบอกน่านแล้วนะ ไม่อยากโทรไปรบกวนเพราะพวกเราคงยังไม่ตื่นกัน)
“โทรศัพท์ฟ้าแบตหมด มันคงยังไม่ชาร์จ” ผิงเบนสายตามองหาเพื่อนที่หายตัวไปจากเชลฟ์ขนม ก่อนจะเห็นว่ามันเปลี่ยนเป้าหมายไปอยู่ที่โซนครีมบำรุงผิวแล้ว ไอ้ตัวเล็กนั่งยองๆคู้เข่าเลือกโลชั่นอยู่สองยี่ห้ออย่างจริงจังจนไม่อยากจะรบกวน
(พี่ให้ไอ้ไทมันไปรับเอง พอดีมีเคสฉุกเฉินเข้ามาน่ะ เลยไปรับน่านไม่ได้)
“ไท? ใช่แทนไทเด็กในค่ายคุณหรือเปล่า” …ทำไมไม่เห็นรู้จักมาก่อนเลย
(อื้ม จำมันไม่ได้หรือไง)
“ใครจะไปจำได้เล่า นักมวยในค่ายคุณมีเป็นร้อย”
(ผิงคงลืมมันแน่ๆ ไว้จะแนะนำให้รู้จักอีกก็แล้วกัน..แค่นี้ก่อนนะพี่ต้องไปทำงานแล้ว ฝากบอกน่านด้วยว่าเย็นนี้จะเข้าไปหา)
“อื้อ” ผิงรับปากอย่างมั่นเหมาะ
พอดีกับที่น่านฟ้าเดินเข้ามาหา เลยได้โอกาสมองสำรวจลงไปที่ตะกร้า สุดท้ายไอ้โลชั่นสองขวดที่เจ้าตัวนั่งเลือกอย่างสองจิตสองใจก็มานอนแอ้งแม้งแพ็คคู่อยู่ข้างกันเป็นที่เรียบร้อย
แล้วมันจะเลือกทำไมตั้งนาน..
“คุยกับใครเหรอ” มาถึงก็อยากรู้อยากเห็นเลย เจ้าหนูจำไมเอ๊ย
“เมฆ” ยังไม่ทันพูดจบก็โดนมันยิ้มล้อเข้าให้แล้ว “บอกว่ามารับแกไม่ได้เพราะติดเคสฉุกเฉินที่โรงพยาบาล เลยจะให้เด็กในค่ายมารับแทน”
“อ้อ” น่านฟ้าพยักหน้ารับอย่างไม่นึกสงสัยอะไรอีก ก่อนจะชักชวนให้ไปคิดเงินที่เคาน์เตอร์
เรื่องตลกอีกอย่างของมนุษย์น่านฟ้าคือเจ้าตัวบ้าสะสมแสตมป์เซเว่นขั้นสุด
แล้วไม่ได้เอาไปแลกของพรีเมี่ยมอะไรทั้งนั้นด้วยนะ แต่เอาไว้ใช้แทนเงินสด มันตลกก็ตรงที่ว่าพอได้ใช้แสตมป์เป็นส่วนลดแล้วจะโคตรดีใจประหนึ่งว่าได้ของฟรี ทั้งๆ ที่มองยังไงมันก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบเองแท้ๆ
เป็นคนประเภทไหนกันนะ ที่ดีใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้
เพราะแบบนี้ไง คนรอบตัวถึงโคตรจะหวงมันเลย
เหมือนมีเจ้าก้อนนุ่มๆ มาลอยวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวจนทำให้อยากจะจับฟัดวันละหลายหน
เชื่อเลยว่าถ้าน่านฟ้ายังเป็นผู้ชายมันก็คงดูนุ่มนิ่มน่ากอดไม่ต่างกับตอนนี้เลยสักนิด เหมือนที่เขาฮิตๆ กันช่วงนี้ไง มนุษย์ไทป์น้อง จะทำอะไรมันก็ดูน่าเอ็นดูไปหมดเลย..ให้ตาย
หลังจากที่ขึ้นมาเอาสัมภาระบนห้องเรียบร้อยผิงก็อาสาลงมารอเป็นเพื่อน ถึงแม้เจ้าตัวจะปฏิเสธเพราะเกรงใจก็เถอะ
เพียงไม่นานรถแลนด์โรเวอร์รุ่น Discovery sport HSE ก็วิ่งแล่นเข้ามาจอดเทียบบริเวณดรอปออฟของคอนโด เรียกความสนใจจากน่านฟ้าให้หันไปมองได้เป็นอย่างดี
จะไม่ให้สนใจได้ไง…ก็รถคันนั้นเป็นรถคันโปรดของป๋าเลย
อย่าบอกนะว่าป๋าเป็นคนมารับด้วยตัวเอง!
เพราะปกติแล้วรถคันนี้น่ะป๋าหวงสุดๆ แล้วยิ่งเฮียเมฆบอกว่าจะให้เด็กในค่ายมารับด้วยแล้ว มันเลยเป็นไปไม่ได้แน่ๆ ที่ป๋าจะให้เอารถสุดรักสุดหวงออกมาใช้ อย่างมาก็แค่รถเก๋งญี่ปุ่นธรรมดาเท่านั้นแหละ
แต่แล้วความฟุ้งซ่านก็จางหาย เมื่อประตูฝั่งคนขับถูกเปิดออก
ร่างสูงใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่งก้าวลงมาจากรถ ท่าทีผึ่งผายแข็งแรงแบบผู้ชายเต็มตัวทำให้ผู้คนบริเวณนั้นหันมามองอย่างสนอกสนใจ
ฝ่ายนั้นยกมือข้างหนึ่งขึ้นเพื่อถอดแว่นกันแดดเหน็บเข้ากับคอเสื้อยืดสีเทาขนาดพอดีตัว ช่วงขายาวในกางเกงยีนสีเข้มก้าวตรงมาหาเมื่อเห็นว่าคนที่จะมารับยืนรออยู่ก่อนแล้ว
น่านฟ้ามองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่ยากที่จะอธิบาย จู่ๆหัวใจมันก็พลันสั่นไหวขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ความรู้สึกคุ้นเคยที่ห่างเหินไปนานแผ่กระจายออกมาจนทำให้รู้สึกเก้ๆ กังๆ ขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
…ก็ไม่ได้เจอกันมาหลายปีเลยนี่..
ใครมันจะไปทำตัวถูกกันเล่า
ใบหน้าคมเข้มต้องก้มลงมามองกันเพราะความสูงของพวกเขานั้นมันค่อนข้างห่างกันพอสมควร
ตัวสูงขึ้นอีกแล้วหรือเปล่าเนี่ย
“ไท..กลับมาแล้วเหรอ” เสียงเต้นตึกตักในอกมันดังรุนแรงขึ้นจนน่าหวั่นเมื่อเห็นว่าฝ่ายนั้นกระตุกยิ้มตอบรับเพียงนิด
..ไม่เจอกันมาเกือบสามปีแล้วนะ..
“อืม” แทนไทพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปรับไหว้จากหญิงสาวที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ข้างๆ “พึ่งถึงเมื่อตอนสายๆนี่เอง”
ผู้ชายตรงหน้ายังคงเป็นพวกถามคำตอบคำเหมือนเดิม จะมีก็แต่มือที่ยื่นมาดึงเอาถุงพลาสติกของร้านสะดวกซื้อไปถือเอาไว้เอง
...เหมือนกับที่เคยทำมาตลอด
ผิงที่ยืนสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ สัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่างที่มันก่อตัวขึ้นระหว่างคนทั้งสอง
มันแปลกๆ...บอกไม่ถูกเหมือนกัน แต่ตอนนี้ยังดูเหมือนว่าต่างคนก็ต่างมีกำแพงในใจด้วยกันทั้งคู่ มันเลยยากที่จะอธิบายว่าไอ้ความรู้สึกแบบนั้นมันคืออะไรกันแน่
แต่เชื่อเถอะ เซ้นส์ผู้หญิงมันแรงและโคตรน่ากลัว
เหมือนไอ้ผู้ชายเฮงซวยคนนั้นที่น่านฟ้าพึ่งบอกเลิกไปมันเป็นแค่ตัวคั่นเวลายังไงไม่รู้
..แต่ผู้ชายหน้านิ่งที่ยืนถือถุงขนมไร้สาระของไอ้ตัวเล็กด้วยท่าทีที่ดูยังไงก็โคตรจะเต็มใจ กลับทำให้ผิงรู้สึกเลยว่า..
...คนนี้ของจริงว่ะ บรรยากาศภายในรถนั้นไร้ซึ่งบทสนทนาระหว่างคนทั้งคู่ มีเพียงเสียงของดนตรีบรรเลงเพลงคลาสสิกเท่านั้นที่ถูกเปิดดังคลอระหว่างทาง ยานพาหนะเคลื่อนตัวไปได้ทีละนิดเพราะการจราจรที่ติดขัด
อากาศภายนอกเริ่มขมุกขมัวมืดครึ้มลงถนัดตาทั้งๆที่เมื่อครู่ท้องฟ้ายังโปร่งอยู่แท้ๆ
หยาดฝนเม็ดเล็กเริ่มร่วงหล่นลงมาตกกระทบบนกระจกผสานกับเสียงเพลง น่านฟ้าเลิกสนใจวิวทิวทัศน์ของเมืองกรุงเมื่อรู้สึกหนาวจนตัวเริ่มสั่น แต่ก็อดทนไว้เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายนั้นขี้ร้อนขนาดไหน
ไม่รู้ว่าอยู่หนาวขนาดนี้เป็นหมีหรือคน
รู้อย่างนี้ขอยืมกางเกงขายาวของผิงใส่กลับมาซะก็ดี เพราะตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวมันมีแค่เสื้อยืดใส่นอนย้วยๆ กับกางเกงขาสั้นเท่านั้น
แต่จู่ๆ ระหว่างที่กำลังนั่งกอดอกมองเม็ดฝนเพลินๆ อะไรบางอย่างก็ถูกโยนมากองไว้ตรงหน้าขา
กว่าจะรู้ตัวฝ่ายนั้นก็หันกลับไปมองถนนต่อแล้ว
“ใส่ไว้” ไม่ว่าเปล่ายังเอื้อมมือไปเพิ่มอุณหภูมิของแอร์ให้อุ่นขึ้นอีก “คราวหลังถ้าหนาวก็บอก”
น่านฟ้าไม่ได้ตอบอะไรกลับไป ทำเพียงแค่คลี่แจ็คเก็ตหนังสีดำตัวใหญ่ห่มตัวท่อนบนเอาไว้ พร้อมกับขดขาขึ้นมานั่งขัดสมาธิ
คงเพราะอากาศเย็นชื้นและความอุ่นจากเสื้อนั้นมันพอเหมาะ ซ้ำกลิ่นโคโลญจน์หอมอ่อนๆที่ติดมาจากเจ้าของเสื้อมันให้ความรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก หนังตามันเลยพาลหนักอึ้งขึ้นอีกหน
สติการรับรู้เริ่มเลือนลางเข้าไปทุกที
ตากลมโตทอดมองไปเบื้องหน้า ก่อนจะเบนสายตากลับมามองฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งที่คอยประคองพวงมาลัยเอาไว้ ข้อนิ้วแข็งเคาะลงบนหนังหุ้มตามจังหวะเสียงเพลง ส่วนอีกข้างเจ้าตัวก็วางไว้บนที่เท้าแขนข้างกาย
ท่อนแขนแข็งแรงนั้นมีกล้ามเนื้อหนั่นแน่นตามประสานักกีฬาที่ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ แต่พอสังเกตดูดีๆ แล้วอีกฝ่ายดูตัวหนาและสูงใหญ่ขึ้นจากเดิมจนรู้สึกได้
ก็แน่ล่ะ ไปอยู่อเมริกามาตั้งหลายปี อาหารการกินที่นั่นก็หนักหน่วงทั้งนั้น
..ถูกอัพเกรดเป็นหมีกริซลี่อย่างเต็มตัวเลยทีนี้...
“ไทไม่เห็นติดต่อกันมาบ้างเลย มีแต่เฮียหมอกโทรมาหา” ตาจะปิดอยู่รอมร่อ แต่ปากมันดันถามออกไปซะงั้น อาการคงคล้ายละเมอมากกว่า “โคตรใจร้าย..”
พอทิ้งบอมบ์ลูกใหญ่เอาไว้เจ้าตัวก็ชิ่งหนีไปเฝ้าพระอินทร์แล้วเป็นที่เรียบร้อย...ปล่อยให้ใครอีกคนนั่งนิ่งเงียบจมอยู่ในห้วงความคิดของตัวเองท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสาย
ในระหว่างที่กำลังรอสัญญาณไฟเขียวตรงสี่แยกอยู่นั้น เสื้อแจ็คเก็ตที่อีกคนใช้ห่มก็ดันร่วงลงมากองไว้ที่หน้าขาขาว ทำให้คนที่กำลังเหม่อมองออกไปนอกรถต้องหันกลับมาสนใจอย่างช่วยไม่ได้
แขนเรียวเล็กที่โผล่พ้นออกมาจากแขนเสื้อแสดงให้เห็นว่าหลายปีมานี้เจ้าตัวนั้นเปลี่ยนไปมากแค่ไหน ที่เห็นได้ชัดก็คือสรีระร่างกายที่เพรียวบางเหมือนผู้หญิงมากขึ้นนั่นล่ะ
...ทั้งช่วงเอวคอดเล็กลงรับกับเรียวขากลมกลึงที่โผล่ออกมาจากกางเกงขาสั้น
และบริเวณหน้าอกตอนนี้กลับมีส่วนเว้าโค้งเล็กๆ ออกมาให้เห็น ถึงจะไม่ได้มีเยอะมากเหมือนอย่างพวกผู้หญิงแต่ก็ถือว่าไม่ได้แบนราบเหมือนแต่ก่อน
..น่านฟ้าเปลี่ยนไปมากจริงๆ ..
แทนไทเบือนหน้ากลับไปมองที่ปัดน้ำฝนทันทีเมื่อรู้สึกว่าตัวเองนั้นเสียมารยาท
เขาตั้งสมาธิอยู่นานก่อนจะหันกลับไปหาคนข้างกายอีกครั้งพร้อมกับหยิบแจ็คเก็ตขึ้นมาห่มให้อย่างเบามือ หลังจากนั้นก็เข้าเกียร์ขับเคลื่อนรถออกไปเมื่อสัญญาณจราจรเปลี่ยนเป็นสีเขียว
น่านฟ้าขดตัวเข้าหาความอบอุ่นที่ล่องลอยอยู่ในความฝัน สัมผัสนุ่มนวลบางอย่างประทับลงมาที่ข้างมุมปาก รู้สึกเจ็บเล็กน้อยบริเวณที่เป็นแผลฟกช้ำ แต่หลังจากนั้นเพียงไม่นานสัมผัสเย็นๆ ก็ถูกปาดลงมาอย่างแผ่วเบาตามมาด้วยการนวดคลึงที่แสนนุ่มนวล
เพราะรู้สึกสบายตัวเลยทำให้เผลอเอนกายเข้าหาความอบอุ่นนั้นอย่างโหยหา
เป็นความคิดถึงอะไรบางอย่างที่มันขาดหายไปนานแสนนาน..
จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนกับทั้งร่างโดนโอบกอดเอาไว้ในวงแขนของใครบางคน ก่อนจะรับรู้ถึงสัมผัสอุ่นๆ ที่ประทับลงมากลางศีรษะ
เหมือนตอนเด็กๆ ที่โดนป๊ะป๋าอุ้ม วงแขนใหญ่และแข็งแรงทำให้รู้สึกปลอดภัยจนอดไม่ได้ที่จะซุกตัวเข้าหาราวกับเด็กตัวเล็กๆ
มันต่างกันก็ตรงที่ว่าในความฝัน..ป๋าของน่านฟ้าดูเสียงทุ้มต่ำแปลกๆ
..หรือจะเป็นป๋าตอนหนุ่มๆ กันนะ..
‘โตขนาดนี้แล้วยังให้พี่เขาอุ้มอยู่อีก’ ..นั่นเสียงหม่าม้านี่ ‘ตายแล้ว! ทำไมน้องมีแผลล่ะ’
‘ผมก็ไม่รู้ครับ’
‘ไทพาน้องขึ้นห้องไปก่อนเลยนะ ป๋าเขาคุยงานอยู่ ถ้าเห็นตอนนี้ล่ะโวยวายแน่’
‘ครับ’
ไทเหรอ..?
สัมผัสสุดท้ายที่ทิ้งเอาไว้ก็คือความนุ่มนวลที่แนบลงมาบนหน้าผาก มันส่งกระแสความอุ่นวาบไปทั้งใจ จนรู้สึกว่าเท่านี้มันไม่เพียงพอ
..อยากเรียกร้อง...มากกว่านี้
แต่สุดท้ายก็เหลือทิ้งไว้แค่เพียงความว่างเปล่าในห้วงนิทราอันแสนเหงา..
น่านฟ้ารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เข็มของนาฬิกาพรายน้ำข้างเตียงชี้ไปที่เลขหก
สงสัยเมื่อตอนกลางวันคงยังแฮงก์ค้าง พอเจอแอร์เย็นๆ บนรถบวกกับอากาศชื้นๆ เลยทำให้หลับยาวถึงเย็น เพราะสภาพตอนนี้ยังอยู่ในชุดของไอ้ผิงอยู่เลย
บรรยากาศภายในห้องมืดสนิทจนต้องยอมขุดตัวเองออกจากเตียงนุ่มไปเปิดสวิตช์ไฟ ร่างเล็กบิดตัวไปมาอย่างเกียจคร้านก่อนจะเดินนวยนาดเข้าไปในห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตา ใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่ไร้เครื่องสำอางแต่งแต้มนั้นซีดเซียวมากกว่าเคย
เจ้าตัวขมวดคิ้วมุ่นเมื่อรู้สึกว่าภายในหัวมันเริ่มหนักแปลกๆ ซ้ำกระบอกตายังร้อนผ่าวจนต้องหยิบเอาผ้าชุบน้ำมาประคบไว้
อา..ไข้คงจะถามหาแล้วสิ..
แน่ล่ะ..เมื่อคืนดื่มไปซะขนาดนั้น ซ้ำยังต้องมาเผชิญกับอากาศที่เปลี่ยนแปลงอีก ไม่ป่วยยังไงไหว
น่านฟ้าเดินกลับออกมาที่โต๊ะเครื่องแป้งก่อนจะหยิบทิ้นท์สีโปรดมาทาแตะลงบนเรียวปากด้วยความเคยชิน
ป่วยได้ แต่ปากจะซีดไม่ได้เด็ดขาด
ทันใดนั้นสายตาก็เห็นภาพสะท้อนอะไรบางอย่างจากกระจก มันคือเสื้อแจ็คเก็ตหนังสีดำของผู้ชายกำลังนอนแอ้งแม้งอยู่ข้างๆ หมอน
คิ้วเรียวขมวดเข้ามากันอย่างนึกสงสัยก่อนจะเดินกลับไปหยิบขึ้นมาดู เมื่อคลี่ออกความทรงจำเมื่อช่วงบ่ายก็ไหลเวียนกลับเข้ามาจนทำให้ใจมันกระตุกวูบ
จำได้ว่าไทเป็นคนมารับที่คอนโดผิงแทนเฮียเมฆ พออยู่บนรถก็โยนเสื้อตัวนี้มาให้ห่ม แล้วหลังจากนั้นก็จำอะไรไม่ได้แล้ว
แต่รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือนโดนอุ้มด้วยนะ...
เพียงเท่านั้นใบหน้าสวยก็ร้อนวูบเมื่อนึกถึงสัมผัสอบอุ่นที่โอบประคองร่างของตัวเองไว้
..ถ้าเป็นไปตามที่เข้าใจจริง ก็แสดงว่าไทเป็นคนอุ้มขึ้นมาบนห้องน่ะสิ
เจ้าตัวสะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไปจากหัวเมื่อเริ่มโดนความมึนจู่โจม
จะตื่นเต้นทำไมก็ไม่รู้ ทำอย่างกับไม่คุ้นเคยไปได้
...อีกฝ่ายเขาก็คงทำไปเพราะหน้าที่เท่านั้นแหละ
ลูกคนเล็กของบ้านนันพิวัฒน์เดินลงมาด้านล่างด้วยชุดที่ทำให้ทุกคนที่เห็นเข้าใจผิดคิดว่าเข้าสู่ฤดูหนาวซะแล้ว เจ้าตัวสวมกางเกงวอร์มขาจั๊มสีเทาและเสื้อเขนยาวเข้าชุดกัน
แต่ที่เด่นที่สุดก็คงเป็นสลิปเปอร์เท้าไดโนเสาร์สีเขียวอื๋อ แถมด้วยแมสปิดปากจนแทบมองไม่เห็นใบหน้านั่นล่ะ
“ไอ้หมวย!” อวัศย์หรือหมอกที่กำลังเข้าคู่ฝึกกับเด็กในค่ายอยู่บนเวทีมวย กระโดดลงมาพื้นด้านล่างทันทีเมื่อเห็นว่าน้องตัวเองเดินผ่านมา
ตอนแรกก็นึกว่าโจรบุกค่าย ที่ไหนได้เป็นไอ้ตัวเล็กนี่เอง
ก็แต่งตัวซะมิดชิดขนาดนี้ใครมันจะไปจำได้กันเล่า ปกติเจ้าตัวมันแต่งตัวรัดกุมขนาดนี้ซะที่ไหนกันล่ะ
ไม่ใส่ขาสั้นสูงลิ่ว ก็แหวกนู่น โชว์นี่จนโดนป๋าดุเอาบ่อยๆ
ตอนอยู่อเมริกาหม่าม้าโทรมาเล่าให้ฟังประจำ ว่าป๋าหวงไอ้หมวยจนความดันขึ้นอยู่หลายหน ลำบากม้าต้องคอยชงยาหอมให้จิบอยู่ตลอด
หมอกรวบกอดน้องจนตัวลอยหวือ ตอนแรกมันก็ดิ้นขัดขืนพอเป็นพิธีแต่ผ่านไปสักพักก็กลายร่างเป็นลูกลิงยังไม่หย่านมเกาะตัวเขาหนึบแน่นซะยิ่งกว่าตังเม
“เฮียกลับมาทำไมไม่บอกบ้างอะ” เสียงแหบๆ พูดอู้อี้ผ่านผ้าปิดปาก จนพี่ชายต้องเอื้อมมือไปดึงออกให้
เห็นแล้วหายใจไม่ออกแทน
“มั่ว ในไลน์กลุ่มเขานัดกันกินข้าวเรียบร้อยหมดละ เฮียเมฆก็ออกเวรพอดีด้วย...มีแต่หนูอะแหละไม่รู้เรื่อง” หมอกดุอย่างไม่จริงจังนัก เมื่อเห็นสภาพของคนป่วย แต่แล้วคิ้วเข้มก็ขมวดมุ่นเมื่อเห็นรอยช้ำเป็นจ้ำที่ข้างมุมปากจิ้มลิ้ม “ไปทำอะไรมา ไอ้หมวย” เจ้าตัวดูตกใจเล็กน้อยเมื่อโดนยิงคำถามใส่ตรงๆ ก่อนจะกระโดดลงมาจากอ้อมกอดของพี่ชาย พร้อมกับพยายามแย่งผ้าปิดปากกลับมาอย่างไม่ยอมแพ้
“เปล่า…เล่นกับไอ้ผิงแรงไปหน่อย” ….ใครเชื่อก็บ้าแล้ว
“คิดว่าเฮียเชื่อปะ?” คุณพี่ชายตัวโตเท้าเอวมองอย่างเอาเรื่อง น้ำเสียงก็เริ่มจริงจังขึ้น
“...”
ในระหว่างที่กำลังก้ำกึ่งว่าจะบอกหรือไม่บอกความจริงอยู่นั้น ร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งก็เดินผ่านมาซะก่อนเฮียเลยเปลี่ยนไปสนใจฝ่ายนั้นแทน
“ฝึกเด็กมันเสร็จแล้วเหรอวะไอ้ไท” หมอกหันไปถามอีกฝ่ายเมื่อมองกลับไปที่ยิมเห็นพวกเด็กๆ มันล้มตัวลงนอนอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง
...ยังคงโหดเหมือนเดิม
“อืม” แทนไทตอบกลับอย่างประหยัดถ้อยคำ พร้อมกับยกมือขึ้นเสยเส้นผมที่ตกลงมาปรกใบหน้าขึ้นเก็บอย่างลวกๆ
ภาพตรงหน้าทำให้น่านฟ้าหน้าร้อนวูบอีกครั้ง เมื่อรู้สึกแปลกใจว่าอีกฝ่าย..
...ทำไมโคตรฮอตขนาดนี้ก็ไม่รู้
แทนไทในความทรงจำล่าสุดก็คือเด็กหนุ่มวัยรุ่นธรรมดาที่มีกล้ามเนื้อสมส่วน ไม่ได้น่าสะดุดตาอะไรมากกว่าเด็กในค่ายคนอื่นๆเลยด้วยซ้ำไป
เจ้าตัวเป็นคนใต้หน้าเลยคมดุไปนิดไม่ได้ดูหล่อเว่อร์วังแบบพิมพ์นิยมของสมัยนี้เท่าไหร่นัก
โอเค ก็เป็นคนที่จัดได้ว่าหน้าตาดีคนหนึ่งเลยแหละ แต่ก็ไม่ได้ดูโดนเด่นเมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนทั่วไป
แต่แทนไทตอนนี้เหมือนเป็นเวอร์ชั่นฉบับอัพเกรดแบบพรีเมี่ยม
หน้าตาก็ยังคมดุเหมือนเดิมตามสไตล์ผู้ชายไทยหน้าเข้ม คงเพราะอายุที่เพิ่มขึ้นเลยทำให้ไทดูสุขุมและมีกลิ่นอายความเป็นผู้ใหญ่แบบเต็มตัวด้วยกล้ามเนื้อหนั่นแน่นใต้เสื้อยืดแขนกุดสีดำรับกับช่วงขายาวดูแข็งแรงที่โผล่พ้นจากกางเกงมวยขาสั้น
แต่มีสิ่งหนึ่งที่สังเกตเห็นได้ชัดเลยคือบริเวณต้นแขนด้านขวามีรอยสักกราฟิกสีดำประทับอยู่เด่นหรา ลวดลายสวยงามนั้นลามเข้าไปในเสื้อที่เปียกชุ่มด้วยอีกต่างหาก
ไทสักตั้งแต่เมื่อไหร่?
เมื่อช่วงบ่ายไม่ทันได้สังเกตก็คงเพราะอีกฝ่ายนั้นสวมเสื้อยืดอยู่
“เอ้าๆ ตัวไอ้ไทมันจะสึกแล้วมั้งนั่น” หมอกโยกหัวน้องจนผมยุ่งเหยิง ก่อนจะโม้ต่ออย่างอารมณ์ดี “มันหล่อขึ้นอ่ะดิมองตาค้างเลย ไอ้หมวย จะบอกให้ตอนอยู่นู่นนะแม่งโคตรฮอต ที่ยิมนี่ผู้หญิงมาสมัครเรียนกันให้พรึ่บ ทั้งฝรั่งทั้งสาวเอเชีย โอยยยย อาหารตาอย่างเยอะ ไม่เป็นอันเรียนกันก็เพราะมัวแต่นั่งมองสาวๆ ที่มาเรียนกับคุณไทเขานี่แหละ ”
หมอกยังคงเม้าท์อย่างสนุกปาก สาธยายความเนื้อหอมของเทรนเนอร์แทนไทจนไฟลุก
ความจริงมีสิบ แต่เล่าไปร้อยแล้ว
“มึงเว่อร์” คนที่ถูกตกเป็นเป้าในวงสนทนาส่ายหัวอย่างเอือมระอากับความโม้เกินจริง
ไอ้มีผู้หญิงเข้าหามันก็ใช่ แต่ไม่ได้เยอะแยะแบบที่มันพูดซะหน่อย
แค่บางคนเท่านั้นแหละที่จะเข้ามาหากันตรงๆ เพื่อบอกจุดประสงค์ที่แท้จริง
...เป็นผู้ชายแถมยังโสดด้วย มันก็ต้องมีเรื่องแบบนั้นกันบ้างเป็นธรรมดา
“ล่าสุดนี่ใครนะ ลูกครึ่งญี่ปุ่นป่ะ ที่เขาตามมาเฝ้ามึงที่ยิมอะไอ้ไท— เอ้า หมวย! จะไปไหน ไอ้หมวยย!”
รู้ตัวอีกทีเจ้าตัวก็เดินลิ่วๆ ลากสลิปเปอร์ไดโนเสาร์ไปทางห้องครัวเป็นที่เรียบร้อยโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามองพี่มันเลยด้วยซ้ำไป
เป็นอะไรของมันล่ะนั่น เมนส์ไม่มาก็ไม่น่าใช่เพราะมันก็ไม่มีให้มาอยู่แล้ว
นี่ฮอร์โมนมันเปลี่ยนขนาดนี้เลยเรอะ นอกจากจะรูปร่างหน้าตาเหมือนผู้หญิงแล้วอารมณ์ยังเหมือนอีก
“หมวยมันเป็นไรของมันวะไท— ไอ้ไท!”
ไอ้นี่ก็อีกคนเดินหนีกันไปตอนไหนก็ไม่บอกไม่กล่าว
คนหล่อเซ็งโว้ย!
“ม้า ทำไรกินอะ”
น่านฟ้าเดินเข้ามาถึงห้องครัวก็เห็นว่าหม่าม้ากำลังยืนคนหม้อแกงอะไรสักอย่างอยู่ เลยตรงดิ่งเข้าไปกอดเอววางคางไว้บนไหล่อย่างออดอ้อน แล้วก็ได้เห็นว่าสิ่งที่อยู่ในหม้อคือของโปรดตัวเอง
แกงจืดเต้าหู้หมูสับใส่สาหร่ายเยอะๆ ...ฝีมือหม่าม้าอร่อยที่สุดในโลก!
“ตื่นแล้วเหรอ ม้ากำลังจะขึ้นไปปลุกเลย” หม่าม้าปิดแก๊สให้เรียบร้อยแล้วหันตัวมากอดตอบ ก่อนจะหันไปสนใจใครบางคนที่พึ่งก้าวเข้ามาในห้องครัวแทน “เอ้า ไท ฝึกเสร็จแล้วเหรอลูก”
“ครับ น้าดาว” แทนไทตอบรับคำผู้อาวุธโสก่อนจะเลื่อนไปมองอีกคนที่กำลังป้วนเปี้ยนอยู่กับหม้อแกงโดยไม่ได้หันมาสนใจเขาเลยสักนิด
“ไทไปอาบน้ำก่อนก็ได้นะลูก จะได้มากินข้าวด้วยกัน เจ้าเมฆพึ่งมาถึงตะกี้เอง” หม่าม้าบอกเพราะเห็นว่าอีกคนนั้นตัวเปียกชุ่ม ก่อนจะหันมาฝากให้น่านฟ้าช่วยคุณป้าแม่บ้านจัดเตรียมอาหารขึ้นโต๊ะแทน “เดี๋ยวม้าไปเรียกป๋ากับพวกเฮียเขาก่อนนะคะ หนูอยู่ช่วยป้านิดนะ” ก่อนออกไปก็ยังไม่วายจับใบหน้าลูกคนเล็กมาหอมแก้มซ้ายขวาฟอดใหญ่จนเจ้าตัวยิ้มกว้าง
น่านฟ้ากำลังสาละวนกับการหาผ้ามาพันหูหม้อเพื่อยกหม้อแกงจืดลงจากเตา หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ พอจะขอความช่วยเหลือจากป้านิดอีกฝ่ายก็หายไปไหนแล้วก็ไม่รู้ เจ้าตัวเลยตัดสินใจใช้มือเปล่าๆ จับเพื่อลองหยั่งเชิงความร้อนดู
“ร้อนๆ ๆ ” สุดท้ายก็ได้กลับมาแค่นิ้วแดงๆ เลยต้องรีบจับใบหูเพื่อระบายความร้อน
คราวนี้ลองดึงแขนเสื้อลงมากะจะใช้แทนผ้าจับ แต่ยังไม่ทันที่จะได้ทำอะไรใครบางคนก็แทรกตัวเข้ามาหน้าเตาแล้วจัดการยกหม้อแกงจืดไปวางไว้บนเคาน์เตอร์หินอ่อนให้เป็นที่เรียบร้อย
น่านฟ้ายืนมองแผ่นหลังกว้างพร้อมกับเม้มปากเข้าหากันตามนิสัยของเจ้าตัว
เมื่อกี้ที่เดินหนีออกมาจากเฮียหมอกก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
ไม่มั่นใจว่าไม่อยากฟังเฮียโม้
...หรือไม่อยากฟังเรื่องของใครบางคนกันแน่..
“ไม่ไปอาบน้ำล่ะ” ตอนแรกก็นึกว่าออกไปแล้วซะอีก ใครจะรู้ว่ายังอยู่ในนี้
“ใครทำ” นอกจากจะไม่ตอบแล้วคุณแทนไทเขายังยกมือชี้ข้างมุมปากตัวเองเป็นการส่งคำถามกลับ ซ้ำยังเดินเข้ามาใกล้จนรับรู้ได้ถึงไอร้อนระอุจากคนตัวสูง
“…”
เพราะรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องบอก น่านฟ้าเลยหมุนตัวกลับเดินไปหยิบจานชามออกมาจากชั้นวางอย่างไม่สนใจคู่สนทนา ทิ้งให้อีกคนต้องขมวดคิ้วมุ่นอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่นักที่โดนเมิน
“น่าน” เสียงที่เข้มขึ้นทำให้ต้องยอมหันกลับมามองจนได้
“มาถามอะไรตอนนี้เล่า” ตั้งท่าจะแหย่เล่นแต่พอเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายว่าไม่มีท่าทีเล่นด้วยเลยต้องอ่อนเสียงลง “ไม่มีอะไรหรอกน่า ไปอาบน้ำเลยไป๊ๆ ” นอกจากจะไม่ตอบแล้วยังเดินไปดันแผ่นหลังกว้างให้ออกไปจากครัวอีก
แต่แรงเท่านี้เหรอจะสามารถเคลื่อนยักษ์ปักหลั่นได้ มากสุดก็แค่เขยิบไปก้าวสองก้าวเท่านั้นแหละ
แทนไทมองอีกฝ่ายอยู่สักพัก ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างยอมแพ้แล้วหมุนตัวเดินออกไปโดยไม่รอให้น้องไล่เป็นรอบที่สอง
ทิ้งไว้ให้ไอ้ตัวดื้องุนงงอยู่ข้างหลังเพียงคนเดียว
เป็นอะไรของเขา จู่ๆ ก็หน้าบึ้ง
...ไปกินรังแตนที่ไหนมาเนี่ย!
________________________________________
แนบรูปสลิปเปอร์คู่โปรดของยัยหมวยค่ะ 555
(Credit:aliexpress.com)
ปล. พันไมล์ขอตัวลาไปสอบไฟนอลก่อนนะคะ คงยาวไปถึงหลังวันที่ 20 ธันวาเลย
แล้วเจอกันใหม่ตอนหน้าค่า
ฝากคอมเม้นต์เป็นกำลังใจให้เค้าด้วยน้าา หรือจะแวะมาพูดคุยในแท็ค #ที่รักของน่านฟ้า ทางทวิตเตอร์ก็ได้ค้าบบบ <3