-- ตอนที่ 11 --
ดินแดนภูตว่ากันว่าเป็นดินแดนที่รักสันโดษ ตลอดหลายร้อยปีมานี้แทบไม่ได้คบค้าสมาคมกับดินแดนอื่น อีกทั้งยังมีกำแพงไม้เลือกยักษ์ของราชาภูตคนก่อนคอยป้องกันไม่ให้ผู้ต่างดินแดนได้เข้าไป เดิมทีดินแดนภูตไม่ได้ปิดกั้นตัวเองถึงเพียงนี้แต่เป็นเพราะสงครามที่ยาวนานของดินแดนปีศาจที่ส่งผลกระทบมายังแดนภูตจนได้รับความเสียหายอย่างหนัก ราชาภูตนั้นยอมสละชีวิตของตัวเองเพื่อเสกไม้เลื้อยที่แข็งแกร่งป้องกันทั้งเวทและการโจมตีอย่างสมบูรณ์แบบแม้จะแลกด้วยสิ่งสำคัญก็ตาม แต่กาลเวลาที่ยาวนานก็ทำให้กำแพงไม้เลื้อยยักษ์ค่อยๆ เสื่อยคลายลง
นั่นจะเป็นเรื่องดีหากดินแดนภูตตั้งใจจะค้าขายกับดินแดนอื่น เสียแต่ว่าชาวภูตส่วนใหญ่นั้นหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีและเกลียดดินแดนอื่นเพราะการอยู่อย่างสันโดษมาอย่างยาวนาน การจะคบค้ากับดินแดนอื่นเป็นเรื่องยากถ้าหากไม่เปลี่ยนแปลงความคิดของชาวภูตเสียก่อน ซึ่งนั่นก็ได้กลายเป็นภารกิจของราชาภูตองค์ปัจจุบัน ราชาภูตองค์ปัจจุบันเสนอสิ่งที่ต่างออกไปจากราชาภูตองค์ก่อนคือการสร้างสัมพันธไมตรีกับดินแดนอื่นไม่ใช่การสร้างกำแพงไม้เลื้อยขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นการประกาศสงครามกับพวกขุนนางอยู่กลายๆ พวกขุนนางไม่ค่อยพอใจกับข้อสรุปนี้ของท่านราชานักแต่ก็ไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้เพราะการปกครองของดินแดนภูตขึ้นตรงต่อราชาไม่สามารถขัดขืนหรือต่อต้านอะไรได้ทั้งสิ้น ในดินแดนภูตท่านราชาเปรียบเสมือนพระเจ้าที่น่าเคารพยกย่อง ความเชื่อนี้ถูกขัดเกลามาตั้งแต่ท่านราชาภูตที่ได้สร้างไม้เลื้อยปกป้องชาวภูตทุกคนไว้
เอลล์หรือราชาภูตองค์ปัจจุบันเหยียดยิ้มเบาบางกับตัวเอง สิ่งที่เขากำลังทำตอนนี้ถูกแล้วงั้นเหรอ แต่มันน่าจะเป็นการดีต่อดินแดนภูตที่สุดแล้ว ถ้าหากเกิดศึกสงครามขึ้นมาและไม่มีดินแดนพันธมิตรเลยดูจะเป็นเรื่องแย่ต่อดินแดนภูตแต่ผลประโยชน์จากการสร้างสัมพันธไมตรีก็มีมากมายเช่นกัน ร่างสูงโปร่งสวมชุดกษัตริย์ลวดลายดอกไม้นานาพรรณโดยเน้นสีอ่อนดูสบายตาบนศีรษะนั้นสวมมงกุฏสีแดงเลือดหมูที่ทำอย่างประณีตมีลวดลายคล้ายไม้เถาเลื้อยรองรับอัญมณีล้ำค่า
“ นี่หน้ากากของท่านขอรับ ” ไซรินยื่นหน้ากากสีขาวขุ่นสะอาดตามีลวดลายซับซ้อนอีกทั้งยังมีเขากวางโง้งสวยประดับทั้งสองข้างให้กับผู้เป็นนาย
“ ขอบคุณ ” เอลล์เอ่ยเบาๆ และรีบมาสวม เอลล์ไม่ใช่คนที่ถือตัวหรือหยิ่งทระนง น่าจะเรียกได้ว่าเป็นคนที่แปลกแยกจากชาวภูตคนอื่นโดยสิ้นเชิง เอลล์เป็นคนสุภาพ สุขุม แม้จะมีฐานะเป็นถึงกษัตริย์ก็ตามความหยิ่งทระนงของเอลล์คล้ายกับถูกราชาองค์ก่อนเอาไปแล้วจนหมดสิ้น
“ ขอรับ ” ไซรินน้อมหัวน้อยๆ
“ งั้นเดี๋ยวเรามาแล้วกัน รอที่นี้ไปก่อน ” เอลล์บอกกับไซรินและเดินไปอีกฟากหนึ่งของห้องซึ่งเป็นชั้นหนังสือ เอลล์สลับหนังสือสองสามเล่มตามกลไกที่ได้ตั้งไว้และเปลี่ยนทุกสิ้นเดือน
กริ๊ก
เสียงของกลไกดังขึ้นราวกับให้สัญญาณว่ากำลังจะเริ่มกลไกแต่อย่างไรก็ตามจนกระทั่งประตูที่ซ่อนไว้หลังตู้หนังสือปรากฎก็ไม่มีเสียงใดๆ เพิ่มเติมอีก ทางนี้เป็นทางลับไปยังห้องขังคุกใต้ดินที่มีเพียงพ่อของเอลล์เท่านั้นที่รู้เพราะในคุกนั้นมีผู้ถูกตรองจำเอาไว้ เอลล์ก้าวขาเดินลงบันไดวนอย่างคุ้นเคยกลิ่นสนิมเหล็ก กลิ่นชื้นของดิน อากาศที่ถ่ายเทไม่สะดวก เพียงไม่นานก็ถึงจุดหมายของเอลล์ เขามาเพื่อพบผู้ถูกตรองจำอยู่ในภายในคุก
แม้ว่าจะมองไม่เห็นก็ตาม..
“ ว่าไง ท่านราชา ” เสียงแหบแห้วของผู้ถูกตรองจำเอ่ยทักเอลล์
“ เจ้าหายปวดหัวแล้วหรือยัง ”
“ ฮะๆ เอลล์ เจ้านี้ช่างต่างจากพ่อของเจ้านัก ถ้าพ่อของเจ้าต่อให้ข้าตายยังไม่สนใจเลยมั้ง ” เสียงตอบพร้อมกลั้วหัวเราะแต่ความสิ่งที่คิดอยู่กับตรงข้ามโดยสิ้นเชิง ผู้ถูกตรองจำมองเอลล์ด้วยความเป็นห่วง “ เจ้าต่างหากที่ข้าต้องถาม ตาของเจ้า.. ”
“ มันไม่เคยดีขึ้นหรอก ลุกซ์ ” เอลล์ยิ้มเบาบาง เอลล์ถูกสาปให้ตาบอดมาตั้งแต่เกิดโดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้สาป พ่อของเอลล์ปิดเรื่องนี้ไม่ให้ใครรู้อีกทั้งยังสั่งให้เอลล์ฝึกฝนอย่างหนักทำให้เอลล์สามารถเดินเหินได้อย่างปกติเพราะประสาทสัมผัสในด้านอื่นที่ฉับไวมาก แต่เหตุผลที่แท้จริงที่ให้ฝึกนั้นคือการให้เอลล์ได้ครองบัลลังก์ของตนต่อไป ไซรินเป็นภูตที่เป็นลูกของน้องสาวแม่ถูกส่งมาให้ดูแลเอลล์ตั้งแต่เกิดคอยให้ความรู้ต่างๆ ส่วนหน้ากากของเอลล์นั้นคือสิ่งที่ใช้ปกปิดความผิดปกตินั่นเอง
หน้ากากที่เปรียบเสมือนเกราะป้องกันจากข้อครหาของขุนนาง เอลล์สามารถลืมตาได้แต่จะมองไม่เห็นอะไรเลยรู้เพียงว่ากำลังลืมตาเหมือนกับกำลังขยับแขนแล้วรู้สึกว่าขยับแขน ไม่เคยภาพที่ถูกส่งเข้ามาในสมอง เอลล์พยายามหาวิธีทางแก้คำสาปต่างๆ แต่ก็ไม่เคยได้ผล สิ่งที่หวังกับการสัมพันธไมตรีกับดินแดนอื่นคือการสืบหาวิธีการถอนคำสาป นั่นเป็นความเห็นแก่ตัวเอลล์รู้ตัวดีแต่นี้เป็นผลพลอยได้ที่เขาบังเอิญได้พอดีเท่านั้น
“ ถ้าข้าหลุดจากไอ้โซ่นี้เมื่อไหร่จะช่วยเจ้าแล้วกัน ” ลุกซ์เขย่าโซ่เซ็งๆ
“ ท่านพ่อของข้าไม่ยอมให้เจ้าทำอย่างนั้นง่ายๆ หรอกน่า ”
ลุกซ์จิ้ปากอย่างไม่พอใจนักและก้าวเท้าเข้ามาใกล้ลูกกรงเวทสีดำที่ส่งแสงสีดำเรืองๆ ดูน่าขนลุก ลุกซ์ยื่นมือออกมาและใช้ฝ่ามือหยาบลูบหน้าของเอลล์อย่างทะนุถนอม หน้ากากของเอลล์นั้นเผยให้เห็นเพียงช่วงหน้าส่วนล่างเท่านั้นทำให้ลุกซ์เพียงแค่ลูบแถวริมฝีปากด้วยสายตาอาดูร ลูกกรงเวททำหน้าที่ของมันทันทีโดยการส่งกระแสไฟฟ้าสีดำเข้าช็อตร่างกายของลุกซ์ ลุกซ์ขบกราบรับความเจ็บปวดที่ส่งเข้ามาแต่ก็ยังไม่ละมือจากใบหน้าของเอลล์ ลุกซ์เป็นลูกน้องของคาร์บิลัสที่โดนใช้ให้มาสืบข่าวคราวเรื่องนกบอกลางแต่ขณะที่กำลังจะลักลอบเข้าไปในดินแดนกลับถูกพ่อของเอลล์จับได้และถูกตรองจำในคุกใต้ดินตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ลุกซ์เป็นปีศาจเผ่าพันธุ์มังกรไฟทำให้มีรูปร่างกำยำผมสีเพลิงกับนัยน์ตาสีเดียวกันพละกำลังมหาศาลตามเชื้อสายสามารถใช้ไฟได้ดีมาก
เอลล์ยิ้มออกมาและจับมือของลุกซ์ออกจากใบหน้าของตน “ ข้าว่าโดนไฟฟ้าช็อตคงไม่น่าพิสมัยหรอกนะ ลุกซ์ ”
ลุกซ์ยักไหล่ถึงแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายจะมองไม่เห็นก็ตาม “ แค่นี้ไม่ทำให้ข้าตายหรอกน่า เอลล์ ”
“ สรุปเจ้าหายปวดหัวหรือยัง ถ้ายังเดี๋ยวข้าจะหายามาให้ ”
“ ข้าหลับคืนเดียวก็หายแล้ว เอลล์ เจ้าไปเถอะ วันนี้เจ้าต้องรับแขกนี่ ” ลุกซ์เอ่ยไล่แม้ความจริงจะอยากรั้งให้อยู่ด้วยกัน
“ ใช่ ข้าหวังว่าข้าจะทำหน้าที่ของกษัตริย์ได้ดี ” เอลล์พยักหน้าหงึกหงัก
“ ถ้าหากเจ้าทุกข์ใจจงมาหาข้า เอลล์.. ”
เสียงงานรื่นเริงดังขึ้นแถบบริเวณใกล้พระราชวังของราชาภูต ป้ายสีสันสดใสถูกปักไว้ตามที่ต่างๆ ธงสีหลากสีที่ถูกห้อยระโยงระยางดูน่าสับสนแต่ก็ดูน่าสนุกเช่นกัน มีคณะดนตรี คณะละครต่างๆ เล่นกันตามทางอย่างครื้นเครง ร้านรวงร้านค้าต่างๆ พากันจับจองพื้นที่ที่ดีที่สุด เด็กๆ วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน นี่ถือเป็นสัญญาณเริ่มต้นของการเฉลิมฉลอง
“ แง้ อยากกินนน ” ดัฟฟ์ทำท่าจะพุ่งเข้าไปหาร้านค้าที่ตั้งอยู่โดยมีชาวภูตทำหน้าบึ้งตึงขายอยู่ต่างกับเมื่อกี้ที่ชาวภูตคนอื่นเข้าไปซื้อล่ะยิ้มแป้น
“ เงียบหน่อย ดัฟฟ์ ” ฟาร์คัสดึงคอเสื้อของดัฟฟ์เอาไว้และเหลือบไปมองคาร์บิลัสที่กำลังยืนเหม่อด้วยท่าที่ดูสุขุมอยู่ แต่ใครจะรู้ว่านั่นเป็นเพียงแค่ฉากหน้าเพราะฟาร์คัสได้ขู่เอาไว้ว่าอย่าทำท่าทางแบบปกติที่ทำที่คฤหาสน์ ยกตัวอย่างเช่น
“ ฟาร์คัสสส เจ้าหิวหรือยัง เดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปร้านดังแถวนี้เอง ! ” คาร์บิลัสพูดพร้อมกับพุ่งเข้ามาหมายจะคว้าแขนฟาร์คัสเอาไว้ เพียงแต่ว่าถ้าฟาร์คัสในสภาพสมบูรณ์ปกตินั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมากที่จะโดนคาร์บิลัสจับเอาไว้ได้นอกเสียจากเจ้าตัวจะยอมอยู่นิ่งๆ ให้จับเอง ฉะนั้นคาร์บิลัสจึงคว้าได้แต่ความว่างเปล่าและอากาศบริสุทธิ์
“ ฟาร์คัสถ้าเจ้าจะนอน มานอนที่เตียงข้าก็ได้นะ ข้าไม่ว่า ! ” คาร์บิลัสบอกขณะที่ฟาร์คัสกำลังจะเข้าห้องนอนข้างห้องของคาร์บิลัสและคำตอบของฟาร์คัสมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ฟาร์คัสกระแทกประตูเข้าห้องแทนคำตอบ ทำให้คาร์บิลัสเข้าห้องนอนของตัวเองอย่างเหงาหงอยและผิดหวังอย่างรุนแรง
ข้าขอยกตัวอย่างไว้แค่นี้แล้วกันเพราะถ้ามากกว่านี้ดูจะเป็นอะไรที่ไร้สาระเกินไป “ คาร์บิลัสเจ้าไปซื้อร้านนั้นให้ดัฟฟ์หน่อย ”
คาร์บิลัสหลุดจากภวังค์หันมามองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ อืม ” และคาร์บิลัสก็เดินไปซื้อของด้วยทวงท่าสง่างามจนผู้ที่เป็นอาคันตุกะจ้องกันตาค้าง
ทำไมข้ารู้สึกเหมือนกับว่าข้าฝืนปลาให้ว่ายน้ำบนท้องฟ้ากัน ฟาร์คัสกลอกตาสั้นๆ และมองสำรวจไปรอบๆ ราชาภูตได้เชิญอาคันตุกะจากหลายดินแดนมาก มีทั้งเผ่าที่ข้าเคยไปเมื่อยังเป็นนกบอกลางกับเผ่าอื่นๆ ที่แปลกตาไม่คิดว่าจะมีตัวตนอย่างเผ่าคนแคระ ยักษ์ หรือแม้กระทั่งปักษาหิมะที่ข้าเคยได้ยินเพียงเรื่องเล่าว่าอาศัยอยู่บนเทือกเขาสูงมีเมฆลอยฟุ้งคอยปิดกั้นไม่ให้ผู้อื่นได้กร้ำกรายเข้าไป ผู้คนเดินกันอย่างพลุ่งพล่านซื้อขายต่อรองกันแม้ว่าเจ้าบ้านจะหน้าไม่รับแขกก็ตาม
ฟาร์คัสมองภาพตรงหน้าอย่างเพลิดเพลินโดยไม่สนใจดัฟฟ์ที่น้ำตาคลอเบ้าเพราะความหิว อาคันตุกะแต่ละคนล้วนแต่งกายสวยงามและแปลกตาบ่งบอกถึงฐานะที่สูงส่ง แต่เมื่อข้าเพ่งพิจารณาไปยังร้านค้าร้านหนึ่งกำลังมีมนุษย์กำลังซื้อดาบภูตอยู่ซึ่งก็คุ้นหน้าคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก ร่างนั้นอยู่ในชุดเกราะนักรบอัศวินสีขาวสว่างประดับด้วยชายผ้าสีแดงเลือดหมูดูแล้วคล้ายกับกษัตริย์ของดินแดนมนุษย์ ฟาร์คัสขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่อมนุษย์คนนั้นหันมาทางฟาร์คัสและชี้ดาบที่พึ่งซื้อมาใส่หน้าฟาร์คัส ทำเอาผู้คนที่เดินอยู่แตกฮือกระจายออกไปอย่างตื่นตระหนก
“ ไอ้อีกา !! ” มนุษย์คำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด
ฟาร์คัสขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม ทำไมถึงรู้ว่าเขาเป็นอีกาล่ะ ? มนุษย์งั้นเหรอ...
“ แก๊ซซ อย่ามายุ่งกับแม่ ! ” ดัฟฟ์กระโดดออกมาขวางข้างหน้าฟาร์คัส
“ แกนั่นแหละอย่ามายุ่ง ไอ้อีกาเพราะวันนั้นที่แกมาพ่อข้าถึงต้องตาย !! ”
ฟาร์คัสกลับมาใบหน้าเรียบเฉยอีกครั้ง เขาจำได้แล้วว่าคนต่อหน้าคือใคร ทายาทแห่งกษัตริย์เมืองโฮรัสนั่นเอง “ แล้วข้าไปเกี่ยวอะไรด้วยล่ะ มนุษย์ ” แววตาของฟาร์คัสแข็งกร้าวขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงตอนที่ถูกจู่โจม
“ สาปแช่งพ่อข้าจนตายไงล่ะ !! ” สิ้นคำก็พุ่งดาบเข้ามาจู่โจมอย่างรวดเร็วแต่ฟาร์คัสกลับไม่ได้หลบและท่องเวทเสียงเบา
ผลั่ก
ราชาแห่งเมืองโฮรัสองค์ปัจจุบันถูกถีบกระเด็นไปกองบนพื้นอย่างหมดสภาพพร้อมกับดาบสีดำสนิทจ่อที่คอหอย
“ คิดจะทำอะไร มนุษย์ ” คาร์บิลัสถามเสียงเย็นเยียบดวงตาทอประกายดุร้าย
ร่างที่ถูกจ่อคอหอยเบิกตากว้างตัวสั่นน้อยๆ เมื่อพบว่าร่างตรงหน้าคือราชาปีศาจที่มีพลังอำนาจมหาศาลที่แม้แต่ตนที่เป็นราชาแห่งแสงสว่างยังไม่อาจทัดเทียมได้ “ ขะ ข้าแค่ทักทายสหายเก่าน่ะ ” พร้อมกับกัดฟันพูดออกมา
ฟาร์คัสหันหน้าหนีไม่สนใจเพียงแค่กดดาบของคาร์บิลัสลงและเดินนำไปทางอื่นก่อน ดัฟฟ์หันหน้ามาแลบลิ้นใส่ราชาเมืองมนุษย์และวิ่งต้อกแต้กตามฟาร์คัสไปทันที
“ นับเป็นโชคของเจ้าที่ฟาร์คัสให้ข้าไว้ชีวิต ” คาร์บิลัสพูดด้วยน้ำเสียงชวนให้เสียวสันหลัง “ จงจำเอาไว้ ถ้าหากมีครั้งหน้าหัวเจ้าจะไม่ได้อยู่บนบ่า ” และคาร์บิลัสก็รีบก้าวขาเดินตามฟาร์คัสไปทันที
“ น่ากลัวชะมัด ” คนแคระที่เห็นเหตุการณ์บ่นออกมาซึ่งก็มีคนอื่นพยักหน้าตามกันเป็นแถวและเดินเล่นกันต่อโดยไม่สนใจร่างที่กองอยู่บนพื้นอีก ทิ้งให้ร่างที่กองบนพื้นกัดฟันกรอดและพยุงตัวเองด้วยดาบเข้าห้องพักของตัวเองอย่างเงียบเชียบ
“ คาร์บิลัส เจ้าจะใจร้อนเกินไปแล้ว ” ฟาร์คัสเอ็ดออกมาเมื่อคาร์บิลัสเดินมาอยู่ข้างๆ
“ มันบังอาจจะทำร้ายเจ้า ข้าไม่มีวันให้มันทำเช่นนั้น ” คาร์บิลัสยังคงท่าทางสุขุมไว้แต่ดวงตากลับทอประกายออดอ้อนจนฟาร์คัสถอนหายใจออกมา
“ แล้วเจ้าซื้อมาให้ดัฟฟ์หรือยังล่ะ ” ฟาร์คัสเริ่มจะเบื่อดัฟฟ์ที่เอาแต่กัดชายเสื้อประทังความหิว
“ อืม ข้าซื้อมาเผื่อเจ้าด้วย ” คาร์บิลัสยื่นไม้เสียบเนื้อย่างอะไรสักอย่างให้ฟาร์คัสทั้งหมดโดยไม่แบ่งให้ดัฟฟ์ก่อนแม้แต่ชิ้นเดียว ถึงแม้ว่าฟาร์คัสจะสั่งให้ซื้อมาให้ดัฟฟ์
ฟาร์คัสแบ่งเนื้อเกือบทั้งหมดให้ดัฟฟ์และยื่นให้คาร์บิลัสไม้หนึ่ง “ กินไหม ? ” ในเมื่อคาร์บิลัสซื้อมาก็สมควรได้กินด้วย
“ กินสิ ” คาร์บิลัสรับไปกินทันทีโดยไม่คิดแม้แต่น้อย ต่อให้เป็นยาพิษเขาก็ยินดีที่จะกินถ้าหากฟาร์คัสต้องการ แต่อย่างไรก็ตามข้าเชื่อว่าฟาร์คัสไม่มีวันให้ข้ากินยาพิษแน่นอน
เสียงเครื่องดนตรีของชาวภูตถูกบรรเลงขึ้นเมื่ออาคันตุกะจากหลายหลายดินแดนได้ก้าวเท้าเข้ามาในพระราชวัง อาคันตุกะแต่ละคนสวมชุดที่บ่งบอกเอกลักษณ์ของแต่ละดินแดนไม่ว่าจะเป็นราชาหรือผู้ติดตามล้วนแต่สง่างาม ภายในพระราชวังของดินแดนภูตนั้นถูกตกแต่งด้วยแมกไม้สีสันสดใสเพื่อให้เข้ากับงานเฉลิมฉลองโดยภายในงานมีซุ้มอาหารกับที่นั่งบุนวมไม้แกะสลักจัดวางอย่างเป็นระเบียบจำนวนมากและมีพื้นที่ส่วนหนึ่งยกสูงเพื่อให้ราชาแห่งดินแดนได้เอ่ยปราศรัย
“ แก๊ซ หอมม แม่หิวแล้ว ” ดัฟฟ์อยู่ในชุดสีดำขลับทองเป็นชุดที่ค่อนข้างเป็นทางการ ไม่ใช่ดัฟฟ์เพียงคนเดียวไม่ว่าฟาร์คัสหรือคาร์บิลัสล้วนแต่งกายสีดำขลับทอง ฟาร์คัสเป็นชุดเรียบๆ แต่คาร์บิลัสเป็นชุดกษัตริย์เต็มยศมีลวดลายน่าเกรงขามแต่ไม่ได้สวมมงกุฏเพื่อให้เกียรติต่อเจ้าของดินแดนเพราะมาในฐานะอาคันตุกะเท่านั้น
ฟาร์คัสไม่สนใจดัฟฟ์ที่งอแงจะกินอาหารทั้งๆ ที่เพิ่งกินไปเมื่อกี้ งานเฉลิมฉลองจะเริ่มในตอนเย็นฟาร์คัสจึงพากันเดินเล่นตอนเที่ยงๆ และจัดการยัดอาหารใส่ดัฟฟ์ให้เงียบ ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลเท่าไหร่ เมื่อมาถึงพระราชวังที่เต็มไปด้วยอาหาร
คาร์บิลัสก้าวขาเดินตามฟาร์คัสโดยปล่อยให้อีกฝ่ายเดินนำไป ทำให้อาคันตุกะคนอื่นๆ ขมวดคิ้วอย่างฉงนเพราะราชาปีศาจเดินตามผู้ติดตามของตัวเอง แต่ก็ไม่มีใครกล้าถามออกมาเพราะเรื่องเมื่อตอนเที่ยงได้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว ทำให้คาร์บิลัสกลายเป็นที่หวาดกลัวของดินแดนอื่นแต่คาร์บิลัสหาได้สนใจไม่ มีเพียงฟาร์คัสเท่านั้นที่คาร์บิลัสจะสนใจว่าอีกฝ่ายคิดอะไรมองตัวเองยังไง
ฟาร์คัสเลือกที่นั่งที่ไม่ค่อยมีคนนั่งและนั่งลงทันทีโดยมีดัฟฟ์นั่งลงตรงกันข้าม แต่ประเด็นสำคัญคือเก้าอี้ของโต๊ะแต่ละตัวมีเพียง 2 ตัว เท่านั้น ทำให้คาร์บิลัสส่งสายตาเชือดเฉือนใส่ดัฟฟ์ที่ลอยหน้าลอยตานั่งอย่างสบายใจ
“ เจ้าเป็นแค่สัตว์เลี้ยงลงไปนั่งข้างล่างไป ” คาร์บิลัสหยิบตัวดัฟฟ์โยนออกจากที่นั่งและนั่งลงทันที
“ แง้ ฆ่าบี้ลัส ! นิสัยไม่ดีง้า ” ดัฟฟ์ที่ลงไปกินฝุ่นลุกขึ้นงอแงและวิ่งไปหาฟาร์คัส “ แง้ ดัฟฟ์ โดนแย่งที่นั่งงง ”
ฟาร์คัสกลอกตา วันนี้ดูจะเป็นซวยของเขาชะมัด ฟาร์คัสหยิบดัฟฟ์ขึ้นมานั่งตักตัวเองเพื่อตัดปัญหาน่ารำคาญโดยมีคาร์บิลัสนั่งมองด้วยสายตาลุกเป็นไฟอย่างอิจฉาแต่ทำอะไรไม่ได้เมื่อฟาร์คัสส่งสายตาปรามออกมาอย่างเซ็งๆ “ ถ้าเจ้าทำอะไรวุ่นวายอีก สัญญาของเจ้ากับข้าถือว่าเป็นโมฆะ ”
คาร์บิลัสนั่งด้วยความสงบเสงี่ยมทันที สัญญาที่ได้ให้กันไว้ก็คือ ถ้าหากข้าไม่ทำตัววุ่นวาย สุขุม น่าเคารพ ไม่แสดงนิสัยปกติออกมา ฟาร์คัสจะยอมให้ข้ากอด ! คาร์บิลัสคิดอย่างลิงโลดแต่หน้าตาที่แสดงออกมายังคงเคร่งขรึม
// ข้าขอบคุณที่ทุกท่านได้ตอบรับคำเชิญของข้า //
เสียงดังขึ่นมาจากพื้นที่ยกสูงปรากฎร่างสง่างามหรือผู้เชื้อเชิญให้ทุกคนได้มาเข้าร่วมงามเฉลิมฉลองนี้
เอลล์ยกยิ้มบางเมื่อได้ยินเสียงตอบรับกลับมาดังสนั่นถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นแต่กลับรู้สึกถึงผู้คนมากมายที่อยู่ข้างล่างจึงเอ่ยประโยคต่อไปทันที “ ข้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่าการเข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองนี้ จะทำให้พวกท่านอยากมาเยือนอีกครั้ง ”
เสียงเฮตอบรับดังลั่นเล่าถึงความพึงพอใจหลังจากที่ได้ฟัง
“ ดินแดนข้ายินดีค้าขายกับพวกท่าน ยินดีเป็นพันธมิตรกับพวกท่าน เพื่อให้ได้มีมิตรภาพอย่างแท้จริงต่อทุกดินแดน ” ถึงแม้ว่าประโยคนี้อาจจะทำให้ขุนนางหมายหัวข้ามากขึ้นก็ตาม ข้ายอมเสียเสละความปลอดภัยในชีวิตเพื่อให้ดินแดนนี้ได้ดีขึ้นกว่าทีเป็น เพื่อที่ชาวภูตจะได้มีมุมมองที่กว้างมากยิ่งขึ้น ข้าอยากให้ดินแดนภูตดูมีชีวิตชีวาไม่ใช่การอยู่อย่างสันโดษ
เอลล์ค้อมหัวลงน้อยๆ เพื่อให้เกียรติทุกท่านที่ได้มาร่วมในงาน “ ข้าขอให้ทุกท่านมีความสุขกับงานเฉลิมฉลองนี้ ” เมื่อกล่าวร่างที่เคยยืนอยู่ก็หายไปทันทีทิ้งไว้เพียงความครึกครื้นในงาน
“ ดูเหมือนว่าราชาภูตองค์นี้จะดีกว่าองค์ที่แล้วนะ ” คาร์บิลัสพูดขณะที่จิบน้ำรสแปลกของดินแดนภูต
“ ทำไม ” ฟาร์คัสถามสั้นๆ และหยิบขนมปังให้ดัฟฟ์นั่งแทะ
“ เดิมทีแดนภูตไม่ได้เป็นมิตรนักหรอก ราชาภูตองค์ก่อนที่ข้าเคยเจอเอาแต่ส่งสายตาเหยียดหยามข้า ราวกับว่ามันเหนือกว่า ข้าเลยอดหมั่นไส้ไม่ได้เตะกำแพงไม้นั้น ”
ที่เจ้าไปเตะกำแพงนั่นพังจนเป็นที่เลื่องลือเพราะเหตุนี้เองเหรอ ฟาร์คัสถอนหายใจ
“ จริงสิ รู้สึกว่าลูกน้องข้าจะถูกจับไปด้วยคนนึงตอนสืบข่าวคราวของเจ้า ”
“ ข่าวข้า ? ”
“ ใช่ ลูกน้องคนสนิทของข้าโดนจับไปยังไม่กลับมาเลย ข้าจะมาคุยเรื่องขอเจ้านั่นคืน แต่มันไม่ให้ ข้าเลยแอบบุกเข้าไปคุยกับเจ้านั่น แต่เจ้านั่นไม่กลับมากับข้า ขออยู่ต่อไปซะงั้น ” เสียงของคาร์บิลัสติดจะเซ็งเมื่อพูดถึงเรื่องนี้
ฟาร์คัสไม่ได้พูดอะไรออกมาเกี่ยวกับที่คาร์บิลัสสืบข่าวคราวตัวเอง ใบหน้าเรียบเฉยของฟาร์คัสติดจะแดงเมื่อนึกถึงเรื่องที่คาร์บิลัสได้พูดถึงเรื่องที่เคยเจอกันเมื่อยังเด็ก ทั้งๆ ที่ข้าจำไม่ได้คาร์บิลัสกลับจำได้อีกทั้งยังตามหาข้าที่เป็นนกบอกลางอีก ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดีกับความพยายามของคาร์บิลัส
คาร์บิลัสยิ้มในใจเมื่อเห็นฟาร์คัสหน้าแดง น่ากอดจริงๆ ข้าอยากให้ถึงวันกลับเร็วๆ แฮะ “ อ้อ เจ้านั่นรู้สึกมันจะเป็นปีศาจมังกรไฟล่ะ ”
“ ปีศาจมังกร ? ”
“ อืม เป็นมังกรที่อาศัยอยู่ในดินแดนปีศาจเป็นเวลานานจนกลายเป็นปีศาจมังกรไป ไม่เหมือนดัฟฟ์ที่เป็นมังกรดำพลัดหลงเข้ามาในดินแดนปีศาจน่ะ ”
“ อะไอ ฆ่าบี้ลัสเรียกทำไม ” ดัฟฟ์เงยหน้าขึ้นมองคาร์บิลัสทั้งๆ ที่ในปากเต็มไปด้วยขนมปังไส้กรอกและอะไรต่อมิอะไรที่ฟาร์คัสสามารถยัดเข้าปากดัฟฟ์ให้เงียบได้
“ ข้าไม่ได้คุยกับเจ้า ” คาร์บิลัสบอกเสียงเย็นใส่ดัฟฟ์
“ เดี๋ยวข้าขอไปห้องน้ำก่อนแล้วกัน ” ฟาร์คัสลุกขึ้นจากที่นั่งและวางดัฟฟ์ลงแทนที่ตัวเองซึ่งเมื่อดัฟฟ์ไม่ได้นั่งตัก หัวของดัฟฟ์สูงแค่เลยโต๊ะเท่านั้นดูเหมือนว่าเก้าอี้นี้ไม่ผลิตขึ้นมารองรับเด็กเท่าไหร่
“ ข้าไปด้วย ” คาร์บิลัสตั้งท่าจะลุกตามทันที
“ แง้ ไออ้วย ” ดัฟฟ์งอแงจับชายเสื้อฟาร์คัส
ฟาร์คัสกลอกตา นี่ข้าเห็นข้าเป็นแม่หรือยังไงกันถึงได้เกาะติดกันขนาดนี้ “ คาร์บิลัสเจ้านั่งนี่คอยดูดัฟฟ์ไป ส่วนดัฟฟ์เจ้าก็นั่งกินเงียบๆ ไปซะ ” กล่าวจบฟาร์คัสก็เดินหนีทันทีโดยไม่สนใจเสียงโอดครวญของดัฟฟ์และสายตาเหงาหงอยของคาร์บิลัส ความจริงฟาร์คัสไม่ได้ต้องการจะเข้าห้องน้ำเพียงแค่อยากออกมาเดินเล่นสูดหายใจโดยไม่มีปลิงทั้งสองคนบ้าง ฟาร์คัสเลือกที่จะเดินแถวแนวสวนของพระราชวังที่อยู่อีกฟากซึ่งก็ไม่ค่อยมีคนไปสักเท่าไหร่เพราะไม่มีซุ้มอาหารและที่นั่ง คาดว่าน่าจะเอาไว้มาเดินเล่นทอดอารมณ์ ซึ่งก็ตรงกับความต้องการของฟาร์คัสพอดี
ฟาร์คัสเดินก้าวเข้าไปในสวนก็รู้สึกคิดถึงอย่างประหลาด สวนนี้คล้ายกับสวนในดินแดนนกบอกลางมากเลยทีเดียวโดยเฉพาะต้นไม้ที่ดูทึมๆ แต่สิ่งที่ไม่เหมือนคือใบไม้หลากสีสันของต้นไม้รวมถึงดอกไม้รูปร่างประหลาดอีก ฟาร์คัสมองดูอย่างเพลินตาโดยปล่อยให้ขาก้าวต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่รู้ตัว จนกระทั่งเดินไปได้สักพักหนึ่งก็เห็นสิ่งที่คุ้นตาเพราะเพิ่งเจอไปเมื่อกี้
ราชาภูต ! ฟาร์คัสเบิกตากว้างเพราะไม่คิดว่าจะได้เจออีกฝ่ายในสวนแห่งนี้ซึ่งดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังเหม่ออยู่จึงไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนของฟาร์คัส ราชาภูตกำลังยืนอยู่ข้างสระน้ำที่มีเถาไม้เลื้อยสีสันสดใสและมีหิ่งห้อยบินไปมารอบตัว ทำให้ภาพตรงหน้าดูขลังอย่างประหลาด ฟาร์คัสรู้สึกถึงความเศร้าล้ำลึกที่ราชาภูตได้เก็บเอาไว้เพราะมือที่ยื่นไปแตะหิ่งห้อยนั้นสั่นน้อยๆ พร้อมกับเหยียดยิ้มออกมาเมื่อแตะหิ่งห้อยไม่ได้ ทั้งๆ ที่หิ่งห้อยนั่นบินใกล้ตัวขนาดนั้น
ฟาร์คัสเริ่มรู้สึกถึงผิดปกติในตัวราชาภูต ถ้าหากเป็นข้าการจะจับหิ่งห้อยนั้นง่ายมากเพราะการบินว่อนเอื่อยๆ อยู่ตรงหน้าแค่กำมือก็จับได้แล้ว
“ มีอะไรงั้นหรือ อาคันตุกะแห่งแดนปีศาจ ” เอลล์เอ่ยเรียกร่างที่ไม่ได้รับเชิญ ในความจริงเอลล์นั้นรู้สึกถึงตัวตนของฟาร์คัสตั้งแต่เดินมาแล้วเพราะประสาทสัมผัสที่ฉับไว แต่เลือกที่จะไม่พูดอะไรออกมา เพื่อดูปฏิกิริยาของฟาร์คัส
ฟาร์คัสสะดุ้งแต่ไม่ได้เกินความคาดหมายนัก ผู้เป็นถึงราชาย่อมรู้สึกตัวตัวตนของเขาได้อยู่แล้ว “ ข้าแค่ชมสวนแล้วบังเอญเจ้าก็เท่านั้น ”
“ งั้นเหรอ.. ” เอลล์ยิ้มบางกับคำตอบ
“ ท่าน.. ตาบอดงั้นเหรอ ”
“ ใช่ ” เอลล์ตอบสั้นๆ น่าแปลกที่รู้สึกถูกชะตากับคนตรงหน้าอย่างประหลาดจนยอมบอกความผิดปกตินี้ ถึงแม้จะมองไม่เห็นก็รู้สึกถึงความซื่อสัตย์และเฉลียวฉลาดของอาคันตุกะผู้นี้
“ ... ” ฟาร์คัสเงียบไปสักพักเพราะคาดไม่ถึงว่าราชาภูตจำยอมรับง่ายดายถึงเพียงนี้ แต่ก็บอกกลายๆ อยู่เช่นกันว่าอย่าได้เผยแพร่เรื่องนี้ออกไป ดูเหมือนว่าราชาภูตคนนี้มีอะไรจะพูดอีกยาว “ ข้าชื่อว่า ฟาร์คัส แล้วท่านล่ะ ? ”
“ เรียกข้าว่า เอลล์ เถอะ ”
----------------------------------
ตัวละครใหม่
ขอบคุณคอมเมนต์ค่ะ
* ช่วงตอบคอมเมนต์
คุณ BlueCherries :
แต่ไม่เป็นไรค่ะวารันมีโซแวนค่ะ
คุณ sirin_chadada : ขอบคุณค่ะ
วารันเขามีตัวจริงแล้วค่ะ
คุณ Hang : ถ้าสู้แล้วใช้พลังแบบนั้นจริง คาร์บิลัสคงไม่มีบทค่ะ 555555
ชอบเม้นยาวๆ ค่ะ ไม่เยอะหรอกน้า แต่ฉาก NC นี่
คุณ Min*Jee : ท่านผู้นั้นก็คือพระเจ้าค่ะ แต่พวกคนวารัน เวลาเรียกจะเรียกชื่อแบบเลี่ยงๆ เพราะเกรงๆ กันค่ะ
คุณ magarons : หายปวดหัวรึยังค่ะ
เสียใจนิดหน่อยที่ปิดตั้งแต่ 5 บรรทัดแรก แต่ไม่เป็นไรค่ะ แค่คุณมาการอนชอบเราก็ดีใจแล้ว ชอบคอมเม้นยาวๆ ใส่อารมณ์ได้ค่ะ บ่งบอกถึงความอิน 5555
คุณ Celestia : ขุ่นแม่สิค่ะ 5555
ปลใหญ่ๆ .
รู้สึกว่าน่าจะให้บทโซแวนน้อยไปสินะ