( จบแล้ว ) Throw UP #ผับชั้นสาม :: {ตอนพิเศษ: up! 31-12-62} #หน้า 58
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ( จบแล้ว ) Throw UP #ผับชั้นสาม :: {ตอนพิเศษ: up! 31-12-62} #หน้า 58  (อ่าน 485159 ครั้ง)

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
แหมมมม จิงทำเป็นอยากบอกเพราะไม่อยากให้เมดดูโง่ ธธธธธ จริงๆก็แค่อยากทำให้เมดเสียใจอีกนั่นแหละ ทำไมไม่ปล่อยให้มันจบๆไปเกลียดอะไรเมดนักหนา :hao3:

ออฟไลน์ HydrA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +159/-2
อาฟรีบกลับมาเถอะ เมดกำลังอ่อนแอมาก คนพวกนั้นไม่หวังดีกับเมดเลย แต่มองอีกมุมอาจทำให้ได้รู้ว่าคนที่ส่งนมให้เมดทุกวันเป็นอาฟ

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ Aoya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 906
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-3
ร้องไห้ไปกับเมด  :sad4:

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
เดินออกแล้ว สัมภเวสีก็ไม่ควรเอาเรื่องเชี่ยๆเข้ามาหรอกหูหลอกหลอนป่ะวะ  โถ่ววว อิคนดี ขอให้แม่งโดนหนักสุด!!!!  :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ pktherabbit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 207
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
เราว่าเมดนิสัยออกแนวเฟมอนีนหญิงๆ มากๆ
ถ้าเป็นเราๆ จะโกรธและแค้นมากกว่า
เชี่ย ไม่ได้รักกูแล้วยังมาหลอกกู
อะไรประมาณนี้แหละ
จะเสียใจกว่าที่ทำให้พลาดโอกาสได้ทำความรู้จักกับรักแรก
คือถึงไม่รู้ว่าเป็นอาฟ แต่ความทรงจำดีๆ ยังอยู่ไง
และไม่ได้แปดปื้อนไปเพราะบินด้วย
เราจะรู้สึกโล่งอกมากกว่า

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
บอกตรงๆกลัวใจเมดอ่ะ ต้องคิดมากมายอะไรเยอะแยะแน่ อารยะก็ไม่อยู่ กลับมาเป็นเรื่องอีกซะละมั้งเนี่ยะ
ใครก็ได้เอาจิงไปถ่วงน้ำหน่อย :z6:

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
ตัดขาดจากบินแล้วจะมาคิดมากอะไรกับนมกล่องอีกใครจะเป็นคนให้จริงมันไม่สำคัญแล้วเพราะมันคืออดีตที่เมดควรลืมอยู่กับปัจจุบันนั่นคืออาฟเมดอ่อนแองะโดนปั่นหัวง่ายมาก :katai1:

ออฟไลน์ momonuke

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 753
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-1
อารยะรีบกลับมาเร็วว แงงงงงงงง

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
เดี๋ยวความจริงที่ปรากฏจะยิ่งทำให้เมดมีความสุข

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Panizzz3838

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 157
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
เมื่อไหร่เมดจะรู้ซักที ว่าคนๆนั้นคือ อาฟ มีเพื่อนแบบจิง นี่ต้องมีตบสั่งลากันมั้งแหละ :z6: :z6: :z6:

ออฟไลน์ palm-metto

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
มันยังไม่พออ่ะ
ขออีกได้มั้ย

มันแบบจุกและอึนไปเลย
ถ้าเราเป็นเมด เราคงยิ่งกว่าอ่ะ
อยากให้เมดรู้ความจริงทั้งหมด เร็วๆ แล้วอ่ะ
แต่ก็อยากให้อาฟอยู่ด้วยนะ
อยู่ในช่วงเวลาที่เมดไม่ไหวอ่ะ
แล้วคือตอนนี้อาฟไม่อยู่ ตอนหน้าเมดจะเป็นไงอ่ะ
แค่คิดก็จะร้องแทนแล้ว

อยากให้ถึงพหัสหน้าเร็วๆเลย
ลุ้นทุกประโยค

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
พนักงานส่งนม รีบ ๆ กลับมาได้แล้วนะ เป็นคนเดียวที่จะตอบข้อสงสัยในทุก ๆ เรื่องได้  :m5:

ออฟไลน์ Yunatsu

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3650
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +233/-5
ดีนะ ที่เรื่องเกิดตอนอาฟไม่อยู่
ใครจะเฉลยดี
เจมะ
หรือรออาฟกลับมา
ดี

ออฟไลน์ SHmnex

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 63
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ลุ้นเหลือเกินตอนที่จิงบอกเมด

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
โอ๊ยยยย ดันมาดราม่าตอนอาฟไม่อยู่อีก
กำลังหวาน กำลังอิน ฟินเรื่องความรักที่สดใสกับเดย์อยู่เลย
แต่เชื่อว่าเดย์กับเจจะช่วยได้ ในเวลาที่อาฟไม่อยู่

แล้วเมดจะได้รู้ความจริงว่าความเสียใจนี้
น้อยกว่าความจริงใจของอาฟมาก

จิงคือตัวร้าย คือคนร้ายที่แท้จริง
ยีนส์กับเมดคือผู้ถูกชักใย


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Nung66669

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
น้องเดย์นี้เป็นตัวแทนด้านคำพูดของอาฟป่าวนิเหมือนเอาความคิดของอาฟมาตีแผ่โดยน้องเดย์เลยอะ
   นังจิงนังเห็นแก่ตัวมากอ่ะบอกเลยทำเป็นมาบอกห่วงความรู้สึกเมดไม่อยากให้เมดเสียใจอีกแล้วเป็นไงพอบอกแล้วอาการหนักเลย นางคงสะใจสินะที่ทำให้เมดเสียใจอีกครั้งแล้วที่นี้ก็เข้าทางไอ้บินก็คงติดว่านังยีนส์เป็นคนบอกเพราะนางมีประเด็นกันแล้วก็คงทะเลาะกันแล้วก็เลิกใช่ม่ะแล้วตัวเองก็เข้่าแซกนังอสรพิษจิงเอ๋ย(555 มโนเป็นเริศ)ึ
  เมดจะเป็นยังไงบางตอนนี้ไม่ใช่โทษตัวเองอีกนะไม่อยากให้เมดคิดแบบนั้นถือว่ามันเป็นความเหี้ยของไอ้บินนะที่เอาเปียบคนอื่นแบบนี้ ฮื้อๆๆสงสารเมด :monkeysad: น้องเดย์รีบมาดูเมดทีดูแลเมดแทนอาฟด้วย

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เอ้า!!! อีจิง อีเฮี้ยยยย

ออฟไลน์ kawisara

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1583
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-7
จัดคนไปกระทืบไอ้บินซะ


เพราะมันคือคนที่ทำให้


รักแรกแสนหวานเป็นฝันร้าย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
……


จิงแค้นอะไรเมดนักหนา.

ตั้งใจทำให้เมดเจ็บช้ำจนถึงที่สุด

คงต้องมีพาร์ทจิงหน่อยแล้วละ

ความอิจฉาหรืออะไรกัน ที่คบกันมาไม่มีความจริงใจเลย

แล้วก้อใช้ยีนส์เป็นหมากในการทำร้ายเมด

โอ้ยยยย……


 :z6:  :a5:  :z6:  :a5:  :z6:  :a5:  :z6:  :a5:  :z6:  :a5:


………


ออฟไลน์ klaew

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1237
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-2
เฮ้อ....อาฟมาเร็วๆ มากอดเมดให้หน่อย

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3704
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ค้างคาแบบนี้ไม่ดี  :เฮ้อ: ขออีกซักตอนในเคลียร์ไปเลยได้ไหม

ออฟไลน์ wildride

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 105
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
 
  :pig4:

 เอาจริง ใครจะคิดจะทำอะไรกับเรา ก็ไม่น่ากังวลเท่ากับ ตัวเราเองคิดกับตัวเองยังไงอ่ะนะ

 จะรอดูว่าเมดจะทำได้อย่างที่เคยพูดกับอาฟไหม (เอ๊ะ รึว่าเรื่องนี้ไม่นับ)

  ..เจ็บปวดกันมาเท่าไรที่ทำไม่ได้อย่างที่สัญญา

 


ออฟไลน์ EoBen

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3306
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +150/-6
เราเคยหวังว่าความจริงๆ จะมาจากปากเพื่อนของอาฟที่ไปเมืองนอก

มันคงแฮปปี้เอนดิ้งแบบเขิลตายไปข้าง

พอมาเจอความจริงในลักษณะแบบนี้


เหมือนเอาปื่นจ่อหัว แล้ว โป้งงง


ตายไปเลย  กูทนทำไมวะเนี่ยกลับใครก็ไม่รู้ที่มาทำร้ายจิตใจซ่ำแล้วซ่ำเล่า

ที่ทนเพราะเคยหลงรักเพราะคิดว่าเค้าคือคนนั้น


คงช็อก ไปไม่เป็นเลยจ๊าาา


น้องเดย์อยู่ไหน มาหาพี่เมดเร็ว

ออฟไลน์ clairon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :sad11:
สงสารน้องเมดอ่ะ

เป็นเราก็ช็อค อหหห กุนี้โดนหลอกแล้วหลอกอีก
หลอกในหลอก โง่ในโง่
น้องงงง อาฟมาโอ๋ด่วนๆเลย

อิเพื่อนงูพิษมันน่าจะได้รับกรรมหนักๆ
เป็นเด็กพ่อแม่ไม่รัก แล้วมาลงที่เพื่อนตัวเองที่ใครๆก็รักอย่างงี้เหรอ
มึงนี้ขี้อิจฉาสุดๆ  :z6:
เกลียดอ่ะ

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ตอนที่ 47

 
ก้าวขาเดินลงบันไดไปทีละขั้นอย่างเชื่องช้า ความรู้สึกว่างเปล่าที่กำลังรู้สึกนี้ไม่ต่างอะไรไปจากวันนั้น วันที่เปิดประตูคอนโดเข้าไปเจอเข้ากับเสื้อผ้าที่ถูกปลดเปลื้องกระจายไปทั่วห้อง และในห้องนอนของผมนั้น บนเตียงก็มีคนสองคนกำลังมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันอยู่ซึ่งคนหนึ่งคือคนรักและอีกคนก็คือเพื่อนสนิท
 
คงจะจริงที่ว่าความลับไม่มีในโลก และไม่ว่าเมื่อไหร่ความจริงก็คือสิ่งที่เราต้องเผชิญอยู่แล้ว แม้บางครั้งมันจะพร้อมกับเรื่องน่าเศร้าก็ตาม
 
‘ บินไม่ใช่คนคนนั้น มันโกหกมึง ’ เสียงของจิงที่ดังอยู่ในหัวของผม ไม่ต่างอะไรจากการตั้งค่าเล่นซ้ำเพลงโปรดในเพลย์ลิสต์ แต่ก็ผิดตรงที่ว่า ท่อนเนื้อหาที่กำลังเล่นซ้ำอยู่นี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากฟัง และภาพประกอบที่กำลังฉายอยู่ในหัวก็เช่นกัน มันไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะเห็นอีก
 
ภาพวันที่บินกำลังเดินตรงเข้ามาหาด้วยรอยยิ้มและคำสารภาพรักพร้อมกับนมขวดนั้นในมือที่ถูกยื่นมาให้ บรรยากาศแสนสุขในวันนั้น ถูกถมกลบด้วยความจริงที่ได้รู้ในวันนี้ว่า นั่นมันก็แค่เรื่องโกหก ไม่มีผู้ชายคนที่ได้ชื่อว่า puppy love ไม่มีคนที่พยายามเพื่อผม ไม่มีคนที่มั่นคงอะไรทั้งนั้น ทุกอย่างเป็นแค่ภาพลวงตา และคำที่ผมเคยปลอบใจตัวเองในวันที่เสียใจซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหล่านั้นก็เช่นกัน  มันเป็นแค่คำพูดงี่เง่าของคนโง่ที่ไม่เคยรู้อะไรเลยอย่างผม
 
หวนคิดถึงตอนที่นั่งกินมื้อเที่ยงกับน้องเดย์ ผมที่เล่าเรื่องราวแห่งความทรงจำด้วยความสุข ผมที่บอกกับน้องว่า ‘ ถึงมันจะเคยเหี้ยยังไง แต่ครั้งหนึ่งมันก็เคยเป็นความสุขของผม ’
 
ช่างน่าตลกสิ้นดี พอคิดว่าตัวเองก็เอาความสุขนั้นมาเป็นข้ออ้างแล้วทนอยู่กับชีวิตรักเหี้ยๆ นั่นถึงสี่ปี ทั้งๆ ที่หลายครั้งผมเคยสงสัยและตั้งคำถาม ‘ ความพยายามกับความมั่นคงของมึงที่เคยทำอะไรเพื่อกู ความรักที่มึงเคยให้กู แบบก่อนที่เราจะคบกันมันหายไปไหนหมดวะ ’ แล้ววันนี้ผมก็ได้รู้คำตอบ
 
ไม่มีอะไรหายไปหรอก มันก็แค่ไม่เคยเกิดขึ้นก็เท่านั้น
 
ครืด ครืน ครืน
 
เสียงสั่นของโทรศัพท์ที่ดังอยู่ในกระเป๋ากางเกงปลุกผมที่กำลังเดินลงบันไดอย่างเชื่องช้าหยุดนิ่งลงแล้วหยิบมือถือที่กำลังสั่นนั้นขึ้นมาดู บนหน้าจอที่ปรากฏชื่อของคนที่โทรเข้ามาชวนให้ผมสูดลมหายใจเข้าไปเพื่อลบเลือนความรู้สึกที่กำลังเศร้าพวกนั้น ยกมืออีกข้างปาดน้ำตาลวกๆ แล้วกลืนน้ำลายเพื่อปรับเสียงก่อนจะกดรับ
 
“ ครับ น้องเดย์ ”
 
“ พี่เมดอยู่ไหน น้องเดย์รออยู่ที่หน้าคณะแล้วนะ ”
 
“แป๊บนึงนะ อาจารย์ขอคุยกับพี่เมดน่ะ ”
 
“ ทำไมเสียงแปลกๆ  ร้องไห้เหรอ ” คำถามที่ทำให้นิ่งก่อนจะยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมาให้กับปลายสาย
 
“ เปล่าๆ ในห้องอากาศมันเย็นมาก แน่นจมูกไปหมดละ ”
 
“ โอเค จอดรอที่เดิมนะ ลงมาแล้วจะเห็นคนที่หล่อที่สุดในโลกนั่งคอยอยู่ในรถสุดเท่ ”
 
“ ขอวางสาย ”
 
“ ฮ่าๆ ” เสียงหัวเราะที่ส่งกลับมาชวนให้ยิ้มแม้จะอยู่ในช่วงเวลาที่กำลังรู้สึกแย่มากแค่ไหนก็ตาม ผมกดวางสายที่โทรเข้ามานั้นลงก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกครั้ง
 
เอาเข้าจริงก็ไม่อยากจะไปไหนเลย ผมแค่อยากจะนั่งลงนิ่งๆ แล้วปล่อยให้น้ำตาที่อยากจะไหล ไหลลงมาเท่าที่ใจกำลังเจ็บปวด โดยไม่ต้องใช้สมองขบคิดหรือหาเหตุผลอื่นใด เพราะผมก็แค่คนสูญเสียที่ตอนนี้ไม่สามารถหาเหตุผลอะไรให้กับความรักครั้งก่อนได้อีกแล้ว
 
‘ ถึงมันจะเหี้ย แต่ครั้งหนึ่งก็เคยเป็นความสุขของผม ’ เพราะต่อจากนี้ ประโยคนี้ก็จะใช้เป็นเหตุผลไม่ได้อีก
 
ผมพาตัวเองเดินตรงมาที่ห้องน้ำ บนกระจกใสตรงอ่างล้างหน้าที่สะท้อนใบหน้าที่มีแต่คราบน้ำตานั้น ผมเปิดก๊อกน้ำก่อนจะก้มลงล้างหน้าตัวเองให้ความเศร้าพวกนั้นมันหายไป ยิ่งนึกถึงอดีตก็ยิ่งเวทนา ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าทนอยู่ทำไม แค่ครั้งเดียวที่เสียใจเพราะแฟนนอกใจไปหาคนอื่น คนปกติก็ให้โอกาสกันแค่ครั้งสองครั้ง แต่ผมกลับให้โอกาสมันหลายครั้งจนแทบจะนับไม่ไหว แล้วพอคิดว่าเหตุผลที่กล่าวอ้างกับตัวเองในวันนั้นคือแค่นมขวดเดียวขวดนั้น ทั้งๆ ที่มันก็แค่โกหก มือของผมเริ่มถูหน้าตัวเองแรงขึ้น ผมอยากจะลบทุกอย่างออกไปให้หมด  ลบเลือนทั้งความเสียใจ และความทรงจำนี้ให้กลายเป็นคนที่ไม่รู้สึกอะไรเลยก็ยิ่งดี
 
เพราะผมพาตัวเองที่อยู่ในสภาพนี้ออกไปหาคนที่รอกันอยู่ไม่ได้ อาฟเองก็ไม่ควรรู้เรื่องนี้ รู้ไปก็ไม่ได้ทำให้มันรู้สึกดีขึ้น โดยเฉพาะถ้าออกจากปากผมที่เอ่ยเล่ามันด้วยน้ำเสียงเศร้าอย่างเช่นตอนนี้ ทั้งๆ ที่จริงผมเองก็อยากจะกอดมันไว้แล้วบอกเล่าเรื่องเจ็บปวดพวกนี้ให้มันฟัง บอกกับมันว่าผมทรมานที่สุดที่ต้องทิ้งเวลาหลายปีแล้วจมปลักอยู่แบบนั้นกับคนที่ไม่แม้จะเคยคิดทำอะไรเพื่อผม คนที่ฉกฉวยความรักของผมไปด้วยคำโกหก คนที่ได้ทุกอย่างจากผมไปเป็นคนแรกแล้วก็ย่ำยีทำลายมันโดยไม่เห็นค่าอะไรทั้งนั้น มันที่เอาความพยายามของคนอื่นที่รักผม มาทำลายผมซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบไม่เหลือชิ้นดี ทั้งๆ ที่คนที่เป็นเจ้าของความสุขของผมจริงๆ นั้น ไม่เคยได้ทำมันเลยสักครั้ง
 
แต่เพราะอาฟไม่ชอบให้ผมพูดถึงบิน ไม่ชอบให้ผมพูดถึงอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวข้องกับอดีตพวกนั้น เราที่สัญญากันเอาไว้ว่าจะเดินไปข้างหน้า และถ้าวันนี้ผมเผลอหลุดปากพูดออกไปอย่างเอาแต่ใจ เพียงแค่อยากจะให้มันกอดปลอบ ก็ไม่รู้ว่าในความรู้สึกจริงๆ ของอาฟจะเข้าใจไปในทางเดียวกันกับคนพูดอย่างผมรึเปล่า และถ้าเราต้องมาทะเลาะกันด้วยเรื่องนี้อีกครั้ง ผมว่า ตัวผมก็ควรเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวคนเดียวคงจะดีกว่า
 
หยิบทิชชูขึ้นมาเช็ดหน้าตอนที่ถอนหายใจออกมากับตัวเองตรงหน้ากระจกนั้น สูดลมหายใจแล้วยิ้มให้กับคนในนั้น ผมพูดกับตัวเองอยู่ในใจ ‘ เข้มแข็งไว้นะมึง เดี๋ยวมันก็ผ่านไป ’ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องน้ำแล้วตรงไปหาคนที่ตอนนี้ออกมานั่งคอยกันอยู่ที่เก้าอี้ว่างตรงหน้าตึกคณะแทนที่จะเป็นบนรถแบบที่บอกกันเอาไว้
 
“ น้องเดย์ ขอโทษที ” ผมเอ่ยทัก คนที่เหมือนจะก้มหน้าเล่นเกมอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามองกันแล้วยิ้มให้
 
“ ไม่เป็นไร แล้วนี่คุยกับอาจารย์เสร็จแล้วเหรอ ”
 
“ อื้ม ” พยักหน้ารับอีก “ ไปกันเถอะ ”
 
“ โอเค ” น้องเดย์เดินนำผมออกไปตรงลานจอดรถ ที่อยู่ไม่ไกลจากที่อีกคนนั่งเท่าไหร่ เราเข้าไปนั่งด้านในพร้อมกันแล้วตอนที่เครื่องยนต์ถูกสตาร์ท น้องก็หันมาถามผม " พี่เมดร้องไห้เหรอ ”
 
ผมนิ่งไปตอนที่ได้ยินคำนั้น สายตาเลิ่กลั่กที่หันไปมองรอบข้างแบบซ้ายทีขวาทีก่อนจะทำเป็นยิ้มกว้างออกมาพลางตีหน้างง แม้ใจจะเต้นแรงแค่ไหนก็ตาม เพราะผมรู้ดีว่าถ้าน้องเดย์รู้ มันก็ต้องบอกอาฟ แล้วผมก็ไม่อยากจะให้มันเป็นแบบนั้น
 
“ ไปเอามาจากไหน ” หันไปถาม แต่อีกคนก็แค่ขมวดคิ้วก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วพิงหลังลงกับเบาะรถ
 
“ กูว่าแล้ว โดนหลอกแน่ๆ ดีนะยังไม่บอกไอ้สัดพี่ ”
 
“ ห๊ะ ? ” ได้แต่สบถงงๆ กับสิ่งที่ได้ยิน แม้จะนึกโล่งใจที่น้องไม่ได้รู้สึกเห็นความเปลี่ยนแปลงของผม แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังงงกับสิ่งที่ได้ยินอยู่ดี “ หมายความว่าไงวะ อะไรโดนหลอก ”
 
“ ก็เมื่อกี้ตอนที่น้องเดย์นั่งรอพี่เมดอยู่ที่โต๊ะ เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดของพี่เมดก็เข้ามาหาน้องเดย์แล้วก็ถามว่า มารับพี่เมดเหรอ เดย์ก็ตอบไปว่า ครับ แล้วเค้าก็บอกว่า งั้นต้องรอสักพักนะ เพราะพี่เมดไม่รู้ไปร้องไห้อยู่ที่ไหนเหมือนกัน ”
 
“ ใครวะ ไอ้ยีนส์เหรอ ” ผมถามน้องเดย์ก็ส่ายหน้า
 
“ น้องเดย์ไม่รู้หรอก แต่คิดว่าน่าจะเป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดกับพี่เมดเพราะเค้ามาทักน้องเดย์ไง ” อีกคนว่าก่อนจะยักคิ้วให้ เบรกมือที่ถูกดึงลงก่อนจะขยับเปลี่ยนเกียร์เพื่อให้รถเคลื่อนตัวออกจากที่จอด
 
“ แล้วไม่ใช่คนที่วันนั้นพี่เมดเคยให้ดูรูปเหรอ คนที่ถ่ายรูปคู่กับแฟนเก่าพี่เมดน่ะ ”
 
“ จำไม่ได้แล้ววะ วันนั้นก็เห็นแป๊บเดียวเอง ” น้องว่ายิ้มๆ “ แต่เพื่อนพี่เมดนี่ คือดูก็รู้เลยนะว่าไม่น่าจะคิดเรื่องดีอยู่ในหัว ตอนที่เค้าเข้ามาพูดกับน้องเดย์นะ รู้มั้ยว่าท่าทางเค้าแม่งเหมือนจะเยาะเย้ยกันเลย สายตาที่มองนี่แบบ โคตรเหยียดหยามอะ เป็นลักษณะของคนที่ถ้าพูดอะไรกับเรา ไม่รู้ว่าเชื่อได้สัก 10% มั้ย โคตรไม่น่าไว้ใจเลย ”
 
“ เหรอวะ ” ได้แต่พูดออกมาเสียงเบาๆ กับประโยคสุดท้ายที่คนข้างกันพูด อยู่ๆ ในใจก็คิดลังเลขึ้นมาถึงเรื่องที่วันนี้จิงเอามาบอกกัน จะเป็นไปได้มั้ย คือยีนส์หลอกจิง แล้วจิงก็หวังดีกับผมเลยมาบอกผมอีกทีนึง “ นี่น้องเดย์ ”
 
“ ครับ ”
 
“ ถ้าสมมุติว่าเพื่อนที่เหี้ยกับน้องเดย์มากๆ มาบอกเรื่องอะไรสักอย่างกับน้องเดย์ น้องเดย์จะเชื่อมันมั้ย ”
 
“ ถามอะไรอย่างงั้นพี่เมด เอางี้ดีกว่า ใครแม่งจะโง่เชื่อบ้างวะ ” กูไง.. ผมได้แต่ตอบน้องในใจตอนที่อีกคนหันมาพูดยิ้มๆ “ แต่มันก็ต้องดูด้วยนะว่าเพื่อนคนนั้นเป็นใคร สมมุติมันเหี้ยกับเราก็จริงแต่ว่ามันก็เคยดีกับเรา ก็อาจจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ก็ต้องดูด้วยว่าเรื่องนั้นสำคัญสำหรับเรามั้ย ถ้าไม่สำคัญ ก็ไม่มีความหมายอะไรที่ต้องสืบความเรื่องนั้นว่ามันจริงหรือไม่จริง แต่ถ้าเรื่องสำคัญก็คงต้องสืบ ว่าจริงหรือมั่ว ชัวร์หรือไม่ ”
 
“ งั้นเหรอ ”
 
“ แล้วพี่เมดถามทำไมอะ ” คำถามที่ทำให้ผมหันไปหาน้องที่ตอนนั้นก็มองผมอยู่เช่นกัน “ เพื่อนมาพูดอะไรกับพี่เมดรึเปล่า ”
 
“ เปล่า ” ผมบอกอีกคนไปตามสัญชาตญาณที่ต้องหลบเลี่ยง “ แค่อยู่ๆ นึกขึ้นมาได้น่ะ ก็น้องเดย์พูดว่า เพื่อนพี่เมดดูไม่น่าไว้ใจ เชื่อไม่ได้ ”
 
“ แล้ววันนี้มันเข้ามายุ่งกับพี่เมดมั้ย ”
 
“ ไม่เลย วันนี้เรียนหนักจะตายมันไม่มีแรงมายุ่งหรอก ” ผมส่ายหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วพิงตัวเองลงกับเบาะที่นั่ง ผมหลับตาลงทั้งที่สมองยังตั้งคำถามให้ครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องนั้น ‘ แล้วคนอย่างพวกมึง กูควรเชื่อได้มากแค่ไหนวะ ’
 
“ ถ้าง่วงขยับเบาะนอนเลยก็ได้นะพี่เมด ตอนเย็นรถติด คงอีกนานกว่าจะถึง ”
 
“ ไม่ได้ง่วงหรอก ” ผมบอกน้องก่อนจะถอนหายใจทั้งๆ ที่หลับตาอยู่แบบนั้น “ แค่พักสายตาน่ะ พอดีปวดหัว ”
 
“ เรียนหนักมากเลยสินะวันนี้ ”
 
“ อื้ม มันยากมากๆ เลย ” แต่ไม่ใช่เรื่องเรียนหรอก เรื่องความรู้สึกน่ะ ที่มันหนักมาก
 
“ งั้นวันนี้ก็ไม่ต้องไปผับมั้ยละ เดี๋ยวน้องเดย์พาไปกินข้าวแล้วจะพาไปส่งที่คอนโดเลย พี่เมดจะได้อาบน้ำกินยาแล้วก็นอนพักสักหน่อย เพราะถ้าไปทำงานต่อน้องเดย์ว่าไม่น่าไหวแล้วนะตอนนี้ หน้าพี่เมดคือดูโคตรเหนื่อยอะ ”
 
“ ก็ดีเหมือนกันนะ ” ผมตอบแบบไม่คิดอะไรให้มาก ตอนนี้ใจทั้งใจมันอยากจะนอนนิ่งๆ อยู่คนเดียวมากกว่าไปยืนฉีกยิ้มทักทายใครๆ ในผับ แล้วอีกอย่างถ้าไปอยู่ตรงนั้นผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะเผลอแสดงความรู้สึกอะไรออกมา คนน่ากลัวที่สุดก็คือ เจ มันไม่ใช่คนที่ผมหลบเลี่ยงได้ง่ายๆ เลย แล้วถ้าเจรู้อาฟก็ต้องรู้อีก เพราะฉะนั้นตัดไฟตั้งแต่ต้นลมน่าจะดี นั่นคือ ไม่ไปดีกว่า
 
“ แล้วนี่กินอะไรกันดี ”
 
“ เอาคำตอบจริงๆ มั้ย ” ผมลืมตาตอนที่หันไปบอกอีกคน “ ไม่อยากจะกินอะไรเลยว่ะ อยากนอน ”
 
“ งั้นทางนี้ก็จะตอบจริงๆ เหมือนกันจ้ะว่า ไม่ได้จ้า เดี๋ยวสัดพี่ฆ่าน้อง ” หลุดยิ้มออกมากับคำพูดนั้น ก่อนที่ผมจะหันออกไปมองนอกหน้าต่างรถ
 
ท้องฟ้าที่ดูไม่สดใสเท่าไหร่ ฝนที่เหมือนกำลังตั้งเค้า ทุกอย่างดูอึมครึมเป็นสีหม่นเทาไปหมด ท่าทางว่าอีกไม่นานฝนก็คงจะตกลงมา แล้วคนที่เดินอยู่ข้างนอกนั่นก็คงต้องหาที่กำบังกันยกใหญ่
 
หัวใจของผมก็คงเหมือนกับอากาศวันนี้สินะ ทั้งมืดครึ้มและหม่นเทา ฝนที่กำลังตกหนักอยู่ในตอนนี้ ผมไม่มีที่หลบไปไหนเลย ทำได้แค่ยืนเปียกปอนอยู่แบบนั้น เพราะคนที่เป็นร่มของผมวันนี้เค้าไม่อยู่
 
“ คิดถึงอาฟว่ะ อยากกอดมัน ” น้ำตาของผมไหลทั้งๆ ที่พยายามกัดฟันเพื่อจะไม่ร้องไห้ แต่แล้วมันก็กลั้นไว้ไม่ไหว แค่อยากจะกอดมันไว้จริงๆ อยากร้องไห้บนไหล่นั้น อยากได้รับอ้อมกอดและคำปลอบโยนที่ถึงจะมาในรูปแบบของการกวนตีนก็อยากฟัง ผมแค่อยากจะมีมันอยู่ข้างกันในวินาทีนี้ วินาทีที่สภาพอากาศภายในใจมีแต่ลมแห่งความเศร้ากำลังกระโชกแรง
 
“ พี่เมดร้องไห้ทำไมวะ เฮ้ย พี่เมด พี่เมดร้องไห้ทำไม ” เสียงที่ดูตกใจของน้องเดย์ทำให้ผมแค่ส่ายหน้าก่อนจะก้มหน้าลง “ พี่เมด ”
 
“ แค่คิดถึงอาฟน่ะ คิดถึงมากๆ เลย ”
 
“ โอ๋ๆ ไม่ต้องร้องไห้นะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตอนเย็นๆ สัดพี่มันก็กลับแล้ว อย่าร้องไห้เลยนะ ”
 
“ อื้ม ” พยักหน้ารับคำตอบนั้นอย่างว่าง่าย พลางยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาก่อนจะสูดลมหายใจเข้าไปในปอดแล้วหันไปมองอีกคนที่กำลังมองผมด้วยสายตาเป็นห่วง “ ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะ น้องเดย์ พี่ไม่ได้เป็นอะไรแค่คิดถึงไอ้อาฟเฉยๆ ”
 
“ ก็เป็นห่วงพี่เมดไง แล้วนี่วันทั้งวันนี้ สัดพี่มันไม่ได้ติดต่อพี่เมดมาเลยเหรอ ”
 
“ ก็ทักมาตอนเช้าแล้วก็หายไปเลย ”
 
“ ส้นตีน ” อีกฝ่ายสบถ “ เห้ออ แต่ว่ามันก็ต้องเป็นแบบนี้แหละ เวลาไปสิงคโปร์กับพ่อก็มีแต่ธุระกับนักธุรกิจที่นั่นทั้งวัน เอามือถือมาเล่นก็ไม่ได้เพราะว่ามันจะดูเหมือนเราไม่สนใจ ”
 
“ พี่เมดเข้าใจ มันก็แค่คิดถึงน่ะ ยิ่งเจอเรื่องหนักๆ ก็ยิ่งอยากมีมันอยู่ใกล้ๆ เหมือนทุกวัน ”
 
“ หมายถึงเรื่องเรียนใช่มั้ย ”
 
“ อื้ม ” พยักหน้ารับน้องก่อนจะเช็ดน้ำตาตัวเองอีกครั้ง ผมทำเป็นหัวเราะออกมา “ โคตรน่าอายเลยว่ะ อย่าไปบอกใครนะ ว่าพี่เมดร้องไห้หามัน โดยเฉพาะไอ้อาฟ ถ้ามันรู้ว่าพี่เมดร้องไห้เพราะคิดถึงมัน แม่งต้องล้อไม่หยุดแน่ ”
 
“ ไม่บอกหรอก แต่อย่าร้องไห้อีกนะเพราะสัดพี่มันก็ต้องคิดถึงพี่เมดเหมือนกันนั่นแหละ ” น้องเดย์บอกผมยิ้มๆ ที่ก็พยักหน้ารับคำพูดนั้น  “ งั้นเราไปหาอะไรกินกันดีกว่านะ พี่เมดอยากจะกินอะไร ”
 
“ ข้าวหน้าหมูชาชู ”
 
“ โอเค แวะห้างนี้เลยแล้วกัน ” ผมหันไปมองห้างที่น้องเดย์บอกมันเป็นห้างใหญ่ที่ไม่ไกลจากมหา’ลัยผมเท่าไหร่นัก แต่ทว่าตอนนี้เราต้องมาชะลอรถก่อนถึงห้างเพราะติดไฟแดงพอดี
 
“ นี่น้องเดย์ พี่เมดถามหน่อยสิ ”
 
“ ถามว่า ”
 
“ น้องเดย์เคยร้องไห้เสียใจกับอดีตมั้ย ”
 
“ หมายถึงยังไงวะ ”
 
“ ก็แบบ.. อื้ม พวกเรื่องที่ถึงแม้เราจะรู้ว่าแก้ไขไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังเสียใจอยู่ดี ” คำถามที่ทำให้คนข้างตัวผมหันมายิ้มให้
 
“ ใครแม่งไม่มีเรื่องเสียใจในอดีตบ้างวะ ทุกคนแม่งก็มีเรื่องเหี้ยๆ ในอดีตที่อยากจะเปลี่ยนเป็นของตัวเองทั้งนั้น อย่างพี่เมดเองถ้าทำได้ก็คงไม่อยากจะเป็นแฟนกับไอ้เชี้ยบินนั่นหรอกใช่มั้ยละ ”
 
“ อื้ม ” ผมหันไปยิ้มให้น้อง “ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้แล้วละก็ วันนั้นจะไม่ไปหลังโรงเรียนหรอก จะไปกินชาบูร้านเปิดใหม่แทน ”
 
“ ฮ่าๆ ” คนข้างๆ หัวเราะออกมาผมก็หันไปย้ำ
 
“ จริงๆ นะ ไม่ก็ พอตอนที่ไอ้เหี้ยนั่นบอกว่า มันเป็นคนซื้อนมมาให้พี่เมดทุกวัน พี่เมดก็จะเดินไปถามเพื่อนคนที่มันฝากมาให้ว่าจริงมั้ย ไม่ก็ตั้งคำถามอะไรสักอย่างเช่นว่า เมื่อวานมึงฝากเพื่อนมึงมาบอกกูว่าอะไร ”
 
“ แล้วพี่เมดรู้มั้ย อดีตแบบไหนเหี้ยที่สุด ”
 
“ แบบไหน ”
 
“ ก็แบบที่ว่าถึงมันจะเป็นอดีตไปแล้วแต่ก็ยังกลับมาทำให้เราเสียใจในปัจจุบันไง ” ยกยิ้มให้กับคำตอบนั้นก่อนจะพยักหน้ารับขึ้นลง
 
“ อื้ม จริงที่สุดเลย ”
 
“ จะเล่าอะไรให้ฟังนะ น้องเดย์กับไอ้อัยย์สนิทกับมาตั้งแต่เด็กแล้วใช่มั้ยละ แล้วสมัยม.ปลายเราก็มีกลุ่มเพื่อนแบบใหญ่มากเป็นสิบคนเลย แล้ววันหนึ่งไอ้เหี้ยอัยย์มันก็ไปชอบผู้หญิงคนหนึ่งเข้า หน้าตาน่ารักมาก เค้าบอกมันว่าโสด พวกมันเลยคบกัน คบกันนานด้วยนะสักแปดเดือนได้มั้ง ผู้หญิงคนนั้นนะตรงสเปกมันสุดๆ แต่แล้วสุดท้ายผู้หญิงก็ขอเลิกกันแบบงงๆ งงว่าผิดอะไรทั้งๆ ที่ก็รักกันดีอยู่ ตอนนั้นมันก็เฮิร์ทมาก อารมณ์แบบ กูดีเกินไปเหรอวะเค้าถึงไม่ชอบ แล้วสุดท้ายพอทำใจได้นะ แม่งก็มารู้ว่าที่โดนบอกเลิกอะ เพราะผู้หญิงคนนั้นกลัวแฟนจับได้ว่าคบซ้อน ”
 
“ ห๊ะ ? ” ผมเอียงหน้างงตอนที่น้องเดย์เล่าถึงตรงนั้น “ หมายถึงว่าผู้หญิงคนนั้นคบกับผู้ชายคนหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว ก่อนจะมาคบกับน้องอัยย์อย่างงั้นเหรอ ”
 
“ ใช่ แต่ที่พีคที่สุดก็คือ แฟนของแม่ง ก็คือเพื่อนในกลุ่มเรานั่นแหละ ส่วนที่บอกเลิกกับไอ้อัยย์นั่นก็เพราะว่ามันใกล้ตัวมากเกินไป ผู้หญิงกลัวแฟนจะจับได้เลยขอเลิกไปก่อน ”
 
“ งั้นถ้าไม่ใกล้ตัวก็คงจะคบซ้อนไปแบบนั้นสินะ ”
 
“ คิดว่าน่าจะใช่ ” คนเล่าพยักหน้ารับ
 
“ แล้วตอนนั้นน้องอัยย์เป็นไง ”
 
“ แม่งก็คงรู้สึกเหี้ยน่าดูอะ แต่มันก็ไม่แปลกเปล่าวะ เป็นใครแม่งก็ต้องรู้สึกเหี้ยทั้งนั้น ตอนแรกเข้าใจว่าเลิกกันเพราะเราดีเกินไป แต่พอทำใจได้ ก็เสือกมารู้ว่าจริงๆ แม่งคบซ้อน เป็นควายให้จูงอยู่ตั้งหลายเดือน สงสารมันเหมือนกันนะพี่เมด น้องเดย์ยังจำได้เลยว่ามันพูดกับน้องเดย์ว่า กูอุตส่าห์ทำใจได้แล้วแต่ยังเสือกกลับมาทำให้เจ็บอีก เหี้ยดีจริงๆ ตอนนั้นไม่น่าไปคบกับแม่งเลย ”
 
“ พี่เมดเข้าใจเลยว่ะ ” ผมบอกแบบนั้นก่อนจะถอนหายใจออกมาแล้วพยักหน้ารับ “ ความรู้สึกของน้องอัยย์ตอนที่พูดว่า อุตส่าห์ทำใจได้แล้วแต่ยังเสือกกลับมาทำให้เจ็บอีก อะไรแบบนั้นมันแบบ..” ผมนึกถึงเรื่องตัวเองขึ้นมาในวินาทีนั้น “ อื้ม เหี้ยดีจริงๆ นั่นแหละ ”
 
“ แต่จะทำยังไงได้วะ หัวใจแม่งก็เหมือนห้องห้องหนึ่งนั่นแหละพี่เมด ก็มันไปเสือกเปิดประตูต้อนรับเค้าให้เข้าไปเอง สุดท้ายพอเค้าเข้ามาทำพัง ทำรก แล้วจะไปโทษใครได้ มันก็ต้องโทษตัวเองนั่นแหละที่ไปอนุญาตให้เค้ามา ” คนข้างกันบอกแบบนั้นก่อนจะดึงเบรกมือลงแล้วเคลื่อนรถไปข้างหน้าในตอนที่สัญญาณไฟเปลี่ยนสี
 
“ นั่นสินะ ” ผมเองก็คงเป็นแบบนั้นที่ดันไปเปิดประตูอนุญาตให้คนอื่นเข้ามาในห้อง มันที่ตอนนั้นทำรก ทำพังไปหมดทุกอย่าง แต่ไม่คิดจะไล่ออก เพราะคิดว่าเป็นเจ้าของห้อง แล้วทุกอย่างในวันนั้นผมก็ตัดสินใจด้วยตัวเองทั้งหมด ตัดสินใจที่รักและให้อภัยด้วยตัวเอง ก็อย่างที่น้องเดย์บอก ‘ แล้วแบบนั้นจะโทษใครได้ ตัวเองก็ทำตัวเองทั้งนั้น ’
 
“ แล้วตอนนั้นไอ้พี่เจมันก็ด่าไอ้อัยย์ด้วยนะ มันบอกว่าจะไปเสียใจให้กับอดีตทำไมไร้สาระ มูฟออนได้แล้ว ฟังแล้วโคตรอยากจะถมน้ำลายใส่หน้า เก่งนักเรื่องชาวบ้าน ตอนนั้นตัวเองก็ใช่ว่าจะมูฟออนจากพี่ข้าวได้ที่ไหน คนมันเสียใจก็ปล่อยให้มันเสียใจไปสิวะ มันจะร้องไห้เพราะเรื่องในอดีตที่แก้ไขไม่ได้แล้วมันจะทำไม ก็ปัจจุบันมันเจ็บอะ มันก็แค่ต้องร้องไห้เปล่าวะ มึงแม่งไม่ใช่คนเสียใจก็ปากดีได้สิวะ ทำแบบนั้นสิ ทำแบบนู้นสิ มูฟออนสิ Kเถอะ ไม่ใช่เรื่องตัวเองแม่งก็พูดได้หมดแหละว่าต้องทำยังไง แล้วถามว่าคนเสียใจมันรู้มั้ยว่าต้องทำยังไง มันรู้ มันรู้หมดนั่นแหละ มันก็ทำอย่างที่มึงพูดมาว่าต้องมูฟออน แต่มันก็ไม่ได้ทำง่ายอย่างที่พูดขนาดนั้นไง ”
 
“ อื้ม ”
 
“ ไอ้อัยย์เองกว่าจะลืมได้ก็ตั้งนานนะพี่เมด แต่เห็นชัดว่าลืมจริงๆ ก็ตอนที่เข้ามหา’ลัยแล้วมันไม่ได้เจอเพื่อนตอนม.ปลายแล้วนั่นแหละ คือพอเราไม่เจอสิ่งที่ทำให้เสียใจ เหมือนห่างออกมา มันก็ลืมได้ง่ายขึ้น ” อีกคนพูดก่อนจะยักไหล่ “ น้องเดย์ว่าเรื่องแบบนี้ไม่ต้องไปเร่งเร้าให้มันลืมหรอก เพราะสุดท้ายแม่งก็มีแค่เวลากับจังหวะชีวิตเท่านั้นแหละ ที่จะทำให้เรามูฟออนออกมาจากความเสียใจนั้นจริงๆ ”  คนพูดถอนหายใจออกมาก่อนจะส่ายหน้าราวกับเรื่องที่เล่าเป็นเรื่องที่ทำให้หงุดหงิดทุกครั้งที่พูดถึง  “โชคยังดีที่พอเข้ามหา’ลัยจังหวะชีวิตมันเปลี่ยน ไม่ต้องเจอเพื่อนกลุ่มเดิม แล้วพอไม่เห็นอะไรเดิมๆ ทุกอย่างมันก็เปลี่ยน นี่ถ้ายังอยู่ด้วยกันเหมือนเดิม ดูท่าว่ามันก็คงยังไม่มูฟออนหรอก เพราะยิ่งเห็นยิ่งได้รู้อะไรมากขึ้นมันก็ยิ่งเสียใจ ”
 
“ อื้ม ”
 
“ พี่เมด ทำไมเงียบไปเลยวะ ” น้องเดย์หันมามองกันตอนที่เห็นว่าผมได้แต่ตอบรับคำพูดที่อีกคนเอ่ยแบบสั้นๆ
 
“ ตกใจ ที่น้องเดย์มีสาระน่ะ ”
 
“ นี่ชมใช่มั้ย ”
 
“ ชมสิ ” ผมบอกแต่อีกคนก็แค่หันกลับมองตรงทางข้างหน้าแล้วขมวดคิ้วคิดอยู่แบบนั้น
 
“ ทำไมน้องเดย์ไม่ค่อยมั่นใจเลย ” ประโยคที่หลุดออกจากปากอีกคนชวนให้เสียงหัวเราะดังลั่นของผมเกิดขึ้นในรถคันนี้เป็นช่วงเวลาดีๆ แบบสั้นๆ ที่ทำให้บรรยากาศอึมครึมในใจของผมมันหายไปอย่างฉับพลัน
 
กลับมาถึงคอนโดหลังจากที่แวะกินข้าวหน้าหมูชาชูกันเสร็จเรียบร้อย ผมเดินขึ้นมาบนห้องแล้วหย่อนตัวลงนั่งบนเตียงเป็นอย่างแรกในตอนที่มาถึง ผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะนอนลงบนเตียงทั้งอย่างงั้น ฝ้าเพดานขาวที่มองดูอยู่ชวนให้รู้สึกเหงายังไงบอกไม่ถูก ความเงียบที่ดูอ้างว้าง แต่ก่อนที่ผมจะคิดอะไรฟุ้งซ่านไปมากกว่านั้น มือถือที่วางอยู่ข้างตัวก็สั่นเพราะสายโทรเข้า
 
ครืน ครืน ครืน
 
“ ได้ข่าวว่าโดดงานเหรอคุณเลขา ” สาบานเลยว่านี่ไม่ใช่ประโยคที่ผมอยากฟัง แต่ถึงอย่างงั้นผมกลับยิ้มกว้างออกมาตอนที่ยินเสียงจากปลายสายนั่น  หัวใจที่กำลังหดหู่มันพองโตราวกับดอกไม้นับพันในสวนที่บานขึ้นพร้อมกัน อยากจะเอื้อมมือไปกอดมันเหลือเกินแต่ก็ทำได้แค่ดึงหมอนของอีกคนที่วางไว้ข้างตัวเข้ามากอดไว้แทน “ เมด ”
 
“ อาฟ กูคิดถึงมึง ” มันเป็นความรู้สึกสั้นๆ ของผมในตอนนี้ที่พอจะบอกอีกคนได้ แต่ทว่าปลายสายนั้นกลับเงียบไป อาฟไม่ได้พูดอะไรต่อ และถ้าหากไม่ใช่การเข้าข้างตัวเองจนมากเกินไป ผมคิดว่าคนที่สิงคโปร์คงกำลังยิ้มกว้างอยู่
 
“ เมื่อเช้ามีคนปากดีบอกกูว่าแค่สองวัน มึงคุ้นๆ มั้ยว่าใคร ” แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นผมที่หลุดยิ้มออกมาบ้างกับคำพูดของอีกคน
 
“ ใช่กูเป็นคนพูดเหรอ แต่ถ้าใช่ไอ้เชี้ยนั่นก็คงวิ่งไปไหนแล้วก็ไม่รู้ ”
 
“ แล้วทำไมไม่ไปทำงาน ”
 
“ น้องเดย์บอกมึงว่าไงละ ”
 
“ ยอกย้อน ” อาฟบอกกัน “ แล้วกินยารึยัง ”
 
“ ยังเลย ” สารภาพออกไปตามตรงก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ใจหนึ่งก็อยากจะให้อาฟเปิดวิดีโอคอลแบบเห็นหน้า แต่ความคิดนั้นเป็นอันต้องหยุดลงเพราะรู้สึกว่า ถ้าเกิดว่าผมเห็นหน้าอีกคนตอนนี้น้ำตาที่ไม่อยากจะให้ไหลออกมาอีกแล้วต้องพรั่งพรูออกมาไม่ต่างอะไรกับพายุเข้าแน่ๆ
 
“ ไปกิน ”
 
“ ขี้เกียจ ”
 
“ ดื้อ ” ทุกอย่างเงียบไปในตอนนั้น ผมนอนฟังเสียงลมที่ดังมาจากอีกฝั่งอาฟคงอยู่ข้างนอก ตรงที่ไหนสักที่หนึ่งของสิงคโปร์
 
“ แล้วตอนนี้มึงทำอะไรอยู่ ”
 
“ รอเวลาเข้างาน ”
 
“ งานวันเกิดของเพื่อนพ่อน่ะเหรอวะ ”
 
“ อื้ม ”
 
“ งั้นก็ต้องใส่สูทแล้วสิ ถ่ายมาให้กูดูด้วยนะ อยากรู้ว่าหล่อสู้กูได้เปล่า ”
 
“ คงเหมือนมึงเอาอาหารระดับภัตตาคารในโรงแรมหรูห้าดาวไปเปรียบเทียบกับซาลาเปาในตู้ของเซเว่นที่แม่งนึ่งแล้วนึ่งอีกนั่นแหละ ” หลุดยิ้มออกมากับคำเปรียบเทียบที่ได้ยิน ผมส่ายหน้าและอดไม่ได้เลยที่จะด่ามัน
 
“ มั่นหน้า เปรียบเทียบตัวเป็นร้านอาหารหรู เบ้าหน้ามึงตอนตื่นนอนกูให้มากสุดก็ได้แค่ลาบเป็ดยโสธรแหละไอ้สัด ”  เสียงหัวเราะเบาๆ ที่ดังมาจากปลายสาย ชวนให้ผมยิ้มตามก่อนจะย้ำ “ ถ่ายรูปมาให้กูดูด้วยนะ อยากรู้ว่าใส่สูทแล้วแฟนกูจะหล่อมากเปล่า ”
 
“ อื้ม รู้แล้ว ”
 

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
“ แล้ววันนี้มึงเป็นยังไง ไปทำอะไรที่ไหนมาบ้าง แล้วเหนื่อยมั้ย ” ได้ยินเสียงลมหายใจที่ผ่อนออก อาฟคงกำลังยิ้มก่อนจะตอบ
 
“ ก็เหนื่อย แต่ตอนนี้หายแล้ว ”
 
“ เหรอ ”
 
“ วันนี้ก็คุยกับเพื่อนพ่อ แล้วก็ทำความรู้จักกับพวกนักธุรกิจสองสามคน ”
 
“ แล้วเป็นไง ระหว่างธุรกิจของพ่อกับผับ throw up ชอบอะไรมากกว่ากัน ”
 
“ ชอบหมด เพราะได้เงิน ”
 
“ เออ สมเป็นมึงดี ” ผมยกยิ้ม ก่อนอีกฝ่ายจะถามกลับบ้าง
 
“ แล้ววันนี้มึงเป็นยังไง เหนื่อยมั้ย ” ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเมื่อกี้อาฟถึงผ่อนลมหายใจออกมา เข้าใจแล้วว่าทำไมมันถึงไม่ได้ตอบคำถามของผมทันทีในตอนที่ถาม ‘ เหนื่อยมั้ย ’ ไม่ใช่คำพูดที่ชวนให้รู้สึกหวานเลย แต่กลับรู้สึกดีเอามากๆเหมือนมีใครบางคนคอยเป็นห่วงอยู่ข้างๆกัน
 
“ ก็เหนื่อย แต่ตอนนี้หายแล้วเหมือนกัน ” เป็นคำตอบที่ไมได้ต่างอะไรไปจากอีกคน  แถมความหมายก็คงยังเหมือนกันด้วยซ้ำ ‘ วันนี้มันเหนื่อยมาก แต่ตอนนี้พอได้ยินเสียงมึงก็รู้สึกหายเหนื่อยแล้ว ’
 
“ เลียนแบบ ”
 
“ วันนี้กูเหนื่อยมาก ” ผมบอกอาฟก่อนจะถอนหายใจออกมา “ วิชาที่กูเรียนมันยากมากเลยมึง ทั้งๆ ที่กูก็เคยเรียนเรื่องยากแบบนี้ผ่านมาแล้วรอบนึงนะ กูก็คิดว่ามันคงไม่มีแล้วละ แต่สุดท้ายวันนี้แม่งเสือกยากกว่าเรื่องที่แล้วที่เคยเรียนอีก ตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจเลยว่าต้องทำยังไงกับมัน ถึงจะผ่านไปได้ ”
 
“ แล้วเรื่องที่แล้วมึงผ่านมันมาได้ยังไง ” คำถามที่ทำให้ผมนิ่งไปของอาฟ มันคงคิดว่าผมพูดถึงเรื่องการเรียนจริงๆและคำตอบที่มันคิดอยู่ในใจตอนนี้ก็คือ เพราะผมขยันอ่านหนังสือทุกวันหลังทำงานเสร็จ แถมยังทดลองหาคำถามเพื่อดูความเข้าใจของตัวเองผ่านในเน็ตอยู่บ่อยๆ ผมเลยผ่านการเรียนยากๆ ในความคิดมันมาได้ แต่เพราะผมไม่ได้พูดเรื่องการเรียนจริงๆ อย่างที่อีกคนเข้าใจ คำตอบมันจึงต่างออกไปจากที่อีกคนคิด
 
‘ เพราะกูมีมึงอยู่ข้างๆ ไง กูเลยผ่านเรื่องที่มันยากมากๆ นั่นมาได้ ’ แล้วนี่ ก็คือคำตอบในใจของผม
 

“ ได้คำตอบยัง ” อาฟถามตอนที่เห็นว่าผมไม่ได้ตอบอะไรมันกลับไป
 
“ อื้ม ได้แล้ว ”
 
“ คราวนี้ก็เหมือนกัน มึงจะผ่านเรื่องยากๆ นี้ไปเหมือนกับครั้งที่แล้วที่มึงผ่านมันไปได้นั่นแหละ ”
 
“ งั้นเหรอ ” ผมยิ้มออกมาก่อนจะก้มหน้าลงซุกกับหมอนใบโตที่กอดไว้แน่น หมอนที่มีกลิ่นของอาฟอยู่
 
“ อื้ม ”
 
“ งั้นมึงก็รีบกลับมาแล้วกัน ” บอกอีกคนไปแค่นั้น แล้วกลืนคำอธิบายยืดยาวที่เหลือนั่นเก็บเอาไว้ในใจ ประโยคที่ว่า ‘ งั้นมึงก็รีบกลับมาแล้วกัน กลับมาอยู่ข้างๆ แล้วจับมือกู พากูผ่านเรื่องยากๆนี้ไป เหมือนอย่างที่กูเคยผ่านมันมาได้เพราะมีมึง ’
 
“ งอแง ”
 
“ แล้วเสือกอะไรกับมึง กูงอแงกับแฟนกู ” อาฟหลุดหัวเราะตอนที่ได้ยินผมเถียงแบบนั้น
 
“ รู้สึกไม่ได้ยินคำนี้จากปากมึงนานแล้ว ”
 
“ จะว่าไปเราก็เพิ่งคบกันได้ไม่นานนะ แต่กูรู้สึกว่ามันนานมากเลย ทั้งๆ ที่นับจริงๆ ก็ไม่กี่เดือนเองเปล่าวะ ” อาจเพราะเราสนิทกันมากและคบหากันด้วยความรู้สึกที่เป็นได้ทั้งเพื่อนและแฟน ความใกล้ชิดที่อยู่ด้วยกันตลอดแปรเปลี่ยนเป็นความเคยชินที่ทำให้รู้สึกเหมือนทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันมีมานานแล้ว
 
“ ใช่ หนี้ยังจ่ายไม่หมดเลยด้วย ”
 
“ ไอ้สัด ” สบถด่ามัน ผมกัดฟันตัวเองแล้วอยากจะเอื้อมมือไปบีบคอคนพูดแรงๆ สักที อุตส่าห์พูดเรื่องชวนโรแมนติกสุดท้ายเสือกชวนให้หงุดหงิดทุกที แต่เหมือนจะเป็นแค่ผมคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกอะไรแบบนั้น ปลายสายที่หัวเราะถูกใจไม่ได้หงุดหงิดไปด้วยหรอก อาฟมีความสุขจะตายเวลามันได้กวนตีนผม
 
น่าแปลกที่อยู่ๆ ก็หวนคิดถึงครั้งแรกที่เราเจอกัน วันที่ร้องไห้จนแทบจะมองไม่เห็นอะไรหลังจากวางสายของคนรักเก่าที่โทรมาขอคืนดีด้วยเบอร์ใหม่ คำพูดที่เอ่ยว่า ขอโทษและจะไม่ทำแบบนั้นอีก คือประโยคเดิมๆ ที่ใครคนนั้นเคยพูด และพูดมาตลอดเวลาที่ทำผิด ผมวางสายนั่นลง ร้องไห้เพราะรู้สึกตัวเองโง่งมที่ให้อภัยเค้ามาตลอด แล้วตอนนั้นที่พยายามจะถอยรถออกจากที่จอดด้วยความโมโหและไม่ดูให้ดี ก็ดันไปฝากรอยไว้กับรถคนข้างๆ ไว้  ตอนนั้นผมคิดว่ามันคือขีดสุดของความซวยในชีวิตผมที่ต้องมาเจออะไรแบบนั้น
 
“ ทำไมเงียบไป ”
 
“ เปล่า แค่คิดอะไรเพลินๆ ”
 
“ อย่ามัวทำอะไรไร้สาระ รีบอาบน้ำ กินยา แล้วก็นอนซะ ”
 
“ แล้วนั่นมึงจะไปงานแล้วเหรอ ”
 
“ อื้ม ”
 
“ แล้วอย่าลืมถ่ายชุดสูทส่งมาให้กูดูด้วยนะ ”
 
“ ย้ำจัง ” อีกฝ่ายบ่น ผมก็หลุดยิ้ม
 
“ ทำเป็นเล่นตัว เอาน่า แฟนอยากเห็นไง ถ่ายมาให้แฟนดูหน่อยแล้วกันนะอารยะ ”
 
“ อื้ม ”
 
“ แล้วก็อย่าลืมซื้อ irvins มาฝากกูนะ หนังปลากรอบซอสไข่เค็ม ไม่มีก็เอาแบบมันฝรั่งมาก็ได้นะ แต่กูว่ามึงก็ซื้อมาทั้งสองแบบนั่นแหและ มีแบบไหนก็ซื้อมาให้หมดเลยนะ ”
 
“ เรื่องมาก ”
 
“ อย่าลืมนะมึง ” ผมย้ำก่อนจะได้ยินเสียงถอนหายใจผ่านสายมา “ ถ้ามึงลืม หรือไม่ยอมซื้อมาให้ กูจะไม่ให้มึงเข้าคอนโด ไม่ให้เข้าผับ throw up ด้วย จำไว้ ”
 
“ ใหญ่มาจากไหน มึงเป็นเจ้าของ throw up รึไง ถึงมาสั่งกู ” น้ำเสียงที่ดูหาเรื่อง ผมเองก็ตอบกลับอย่างมั่นใจ
 
“ จะบอกให้รู้ไว้ กูใหญ่กว่าเจ้าของผับ throw up อีก ”
 
“ แล้วมึงเป็นใคร ”
 
“ เมียเจ้าของผับ throw up ” คำตอบที่ทำให้อีกฝ่ายหลุดยิ้ม อาฟหัวเราะเบาๆ “ เป็นไงใหญ่พอยัง ”
 
“ เออ กูยอมมึง ”
                                                                                                           
“ ก็แค่นั้นอะ ฮ่าๆ ” ทั้งผมทั้งอาฟที่หัวเราะให้กันก่อนเสียงนั่นจะค่อยๆเงียบลงไป แต่ต่างคนก็ต่างไม่พูดอะไรออกมา ผมรู้ว่าอาฟต้องวางแล้ว แต่ก็ไม่อยากจะพูดคำว่า ‘ แค่นี้ก่อนนะ ’ ออกไปเลย ผมไม่อยากจะวางสาย ผมยังอยากคุยกับมัน อยากมีอาฟอยู่ใกล้ๆ ไม่อยากจะอยู่คนเดียวกับความรู้สึกที่เตรียมจะหวนกลับมาให้คิดถึงเมื่อต้องเหงาและอยู่เงียบๆ “ ไม่อยากจะวางสายเลยมึง ”
 
“ เด็กขี้งอแง ”
 
“ แล้วถ้ากูยอมรับกับมึงตรงๆ มึงจะปลอบกูมั้ยวะ ”
 
“ ทำไม่เป็น ” อีกคนบอก ผมก็ได้แต่ยิ้ม คิดถึงตอนคบกันแรกๆ เวลาให้ทำอะไรให้อาฟก็พูดแบบนี้ตลอด “ แล้วจะให้กูปลอบยังไง ”
 
“ จริงๆ ไม่มีอะไรให้ปลอบ กูแค่อยากให้มึงอยู่ด้วย อยู่กับกูหน่อยได้มั้ยวะ ” ปลายสายไม่ได้พูดอะไร ผมเองก็รู้ตัวว่าไม่ควรจะมาเอาแต่ใจอะไรตอนนี้อีกฝ่ายเองก็มีงาน แล้วตอนนี้ไม่รู้ว่าผมจะทำให้มันลำบากใจรึเปล่าและพอคิดได้ผมก็รู้สึกว่าตัวเองต้องตัดใจ “ แต่กูเข้าใจ มึงไปทำงานเถอะ เมื่อกี้บอกว่าจะไปเข้างานแล้วนี่ ”
 
“ จะอยู่แค่ถึงมึงหลับเท่านั้นนะ ” อีกคนตอบกลับมา “ มึงไปอาบน้ำ กินยา ได้แล้วไป ”
 
“ แล้วมึง ”
 
“ ก็จะอยู่ตรงนี้ไม่วางสายไปไหนหรอก ไปอาบน้ำได้แล้ว ”
 
“ โอเค งั้นเดี๋ยวมานะ ” กดเปิดลำโพงของมือถือไว้ ผมเข้าไปอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดนอน ก่อนจะออกไปกินยาคลายเครียดเข้าไปหนึ่งเม็ดแล้วกลับมานอนลงบนเตียง จัดการห่มผ้าห่มเรียบร้อยถึงจะหยิบมือถือขึ้นมา “ มาแล้ว ”
 
“ อื้ม ”
 
“ แล้วนั่นมึงอยู่ไหน ”
 
“ ในงานนี่แหละ แต่โซนข้างนอกเสียงมันเลยเบาหน่อย ”
 
“ งานเค้าเป็นแบบไหนกันวะ ” ผมตั้งคำถามด้วยความสงสัย “ กูอยากรู้มานานแล้วว่าคนที่รวยมากๆ  เค้าจัดการวันเกิดเป็นแบบไหนกัน ”
 
“ ก็บุฟเฟ่ต์อาหารนานาชาติ มีทั้งเบียร์ ไวน์ ”
 
“ มีเค้กมั้ย ” อาฟยิ้มตอนผมถามมัน
 
“ มีสิ ”
 
“ แล้วมีอะไรอีก ”
 
“ ก็มีเพลงให้ฟัง ”
 
“ คล้ายๆ งานแต่งเลย ”
 
“ ก็ประมาณนั้น แขกส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนในแวดวงธุรกิจเดียวกัน ”
 
“ แล้วมีการแสดงเปียโนของลูกสาวเจ้าของวันเกิดมั้ย ”
 
“ ไปเอามาจากไหนของมึงอีกละ ” คนตอบถามกลับด้วยน้ำเสียงติดจะเอ็นดูกันอยู่หน่อยๆ
 
“ ในละครไง ในละครเวลาวันเกิดคนใหญ่คนโตนางเอกที่เป็นลูกไม่ก็หลานจะถูกเชิญขึ้นไปเล่นเปียโนเพื่ออวยพรให้ไง ” อาฟยิ้มตอนที่ผมอธิบาย “ ที่นั่นไม่มีเหรอ ”
 
“ มี ”
 
“ สวยมั้ย ”
 
“ ก็สวยดี ”
 
“ เหรอ ” ไม่แน่ใจว่าน้ำเสียงที่ตอบจะดูแข็งเกินไปหรือเปล่า “ สเปกมึงเลยละสิ ”
 
“ แก้มไม่ค่อยอ้วนเท่าไหร่ ” อาฟตอบผมก็ได้แต่ยิ้ม “ อีกอย่างกูไม่ชอบคนผูกจุกสองข้างแถมสูงไม่ถึง 130 เซ็น ”
 
“ นั่นมันเด็กไม่ใช่รึไงละสัด ”
 
“ ก็สัก 5 ขวบได้มั้ง ”
 
“ ต้องน่ารักมากแน่ๆ เลยวะ ” ผมคิดถึงเด็กผู้หญิงใส่กระโปรงพองๆ ผูกจุดสองข้างแล้วรู้สึกเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก “ แล้วในงานมีอะไรอร่อยบ้าง มึงกินอะไรไปบ้างแล้วละ ”
 
“ ไวน์สามแก้ว ”
 
“ ของคาวละ ”
 
“ แฮมย่างประมาณสี่ห้าชิ้น ”
 
“ มึงน่าจะไปซัดให้แหลก เป็นกูจะกินให้ทุกอย่างเลย ”
 
“ ก็นั่นมันมึง ไม่ใช่กู กูไม่ได้ตะกละขนาดนั้น ”
 
“ สัด ” ด่าปลายสายเบาๆ ผมที่ถอนหายใจออกมาก่อนหน้าจอมือถือจะขึ้นข้อความขออนุญาตเพื่อเปลี่ยนเป็นการโทรแบบวิดีโอ ผมชั่งใจอยู่สักพักแต่ก็กดตอบรับแบบไม่ให้มันสงสัย แต่ที่ผิดจากที่คาดคือ ผมไม่ได้เห็นอาฟ ผมเห็นแค่วิวของเมืองสิงคโปร์ที่ถ่ายจากมุมสูง “ ให้ดูกูดูอะไรวะนั่น ”
 
“ สิงคโปร์ไง ” อีกคนบอก ก่อนจะชูกล้องขึ้นไปบนฟ้ามืดมิดที่มองไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ก่อนเสียงทุ้มนุ่มๆ จะพูดขึ้นมา “ หลับได้แล้ว ”
 
“ โอเค ” ผมผ่อนลมหายใจออกมาก่อนจะยิ้มให้กล้องเพราะรู้ว่าตอนนี้คนอีกฝั่งก็คงกำลังมองผมอยู่ จัดวางมือถือให้ตั้งอยู่แบบนั้นโดยไม่ต้องถือ ผมบอกมัน “ กูหลับแล้วก็เข้าไปหาอะไรหนักๆ กินสักหน่อยนะ คืนนี้มึงคงต้องกินไวน์กินเบียร์อีกเยอะแน่ๆ เดี๋ยวจะปวดท้องเอา ”
 
“ อื้ม ”
 
“ ดูแลตัวเองด้วยนะมึง ” อาฟไม่ได้ตอบอะไรกลับมาในตอนนั้น ผมหลับตาลงมันพอดีกับยาคลายเครียดที่กินเข้าไปเริ่มออกฤทธิ์แล้วก่อนที่สติจะหลับใหลเข้าสู่ห้วงนิทราที่จะไม่มีเรื่องอะไรมากวนใจให้ต้องเจ็บปวด ผมก็ได้ยินเสียงของคนไกลพูดขึ้นเบาๆ ว่า
 
“ ฝันดีครับ ”
 
ก็เหมือนอย่างที่อาฟบอก ครั้งที่แล้วผมผ่านเรื่องยากๆ นั่นมายังไง ครั้งนี้ผมก็จะผ่านมันไปแบบนั้น
 
ครั้งหนึ่งผมเคยคิดว่าการที่ตัวเองอกหักแถมยังต้องมาใช้หนี้เพราะขับรถไปฝากรอยไว้กับรถหรูคันข้างๆ เป็นเรื่องที่โคตรซวยที่สุดในชีวิต แต่วันนี้ผมกลับรู้สึกว่า เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันก็ไม่ได้แย่อย่างคิดเท่าไหร่
 
.....................................
 

ออฟไลน์ patwo

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 989
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +932/-27
ช่วงบ่ายโมงที่อากาศข้างนอกกำลังร้อน ผมเดินทะลุจากมหา’ลัยขึ้นมาบนทางเชื่อมบีทีเอสเพื่อเดินต่อไปยังห้างใหญ่ วันนี้ผมมีเรียนเก้าโมงแล้วมันก็เสร็จสิ้นไปแล้ว ส่วนน้องเดย์มีเรียนตอนเที่ยงและหลังจากเรียนเสร็จจะตรงไปรับคุณพ่อและพี่ชายที่กลับจากสิงคโปร์ไปส่งที่บ้านก่อนจะกลับมารับผม ซึ่งก็เหมือนเดิมที่ผมก็บอกไปแล้วว่าเดี๋ยวกลับเอง แต่น้องเดย์ก็ตอบกลับแค่ว่า “ รอที่ห้างเถอะ อยากไปรับ ” และเพราะแบบนั้นเลยทำให้ผมต้องมาเดินหาอะไรทำแก้เบื่ออยู่ที่นี่ ยกตัวอย่างก็เช่น การเดินหลงห้าง
 
[ พี่เมดรออยู่ที่ร้านหนังสือชั้นบนของห้างนะครับ ที่มันมีร้านกาแฟในร้านน่ะ ] ส่งข้อความไปบอกน้อง ก่อนจะบ่นกับตัวเอง
 
“ แล้วไอ้ร้านหนังสือนั่นมันอยู่ไหนแล้ววะ ” ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ตอนที่มองไปรอบๆ ตรงที่ตัวเองยืน จะว่าไปก็ไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ผมจะมาที่นี่แล้วไม่หลง ช่างเป็นห้างที่แผนผังสลับซับซ้อนจนน่าปวดหัว รับรองได้เลยว่าถ้าชวนไอ้อาฟมาเดินหาอะไรสักอย่าง ไอ้เหี้ยนั่นต้องพูดแน่นอนว่า ‘ มึงเดินผ่านตรงนี้รอบที่สามแล้วนะ ’ ผมว่ามันต้องเกิดขึ้น
 
“ เมด ” เสียงไม่คุ้นที่เอ่ยเรียกผมตอนที่กำลังก้มหาข้อมูลของร้านหนังสือที่ต้องการจะไปในมือถือ  แล้วตอนที่หันไปเห็นคนที่เอ่ยเรียกนั้นร่างกายของผมมันก็เหมือนจะนิ่งไปหมดทุกส่วน ห้างที่เคยเสียงดังเงียบลงจนรู้สึกอึดอัด ผมเหลือบมองไปรอบๆ เป็นท่าทางที่ชวนให้คนทักรู้สึกแย่ไม่น้อย มันเลยทำได้แค่ยิ้มแก้เก้อกับความเงียบของผม
 
‘ บิน ’ ในสมองของผมเอ่ยเรียกอีกคนแต่กลับไม่ได้พูดออกเสียงไป หัวใจผมมันไม่ได้เต้นแรงในตอนนั้นแต่กลับรู้สึกชาไปหมดจนชวนหายใจไม่ออก อาจเพราะไม่ได้คิดว่าเราจะมาเจอกันเลยไม่รู้ว่าต้องแสดงสีหน้ายังไงตอนที่อีกฝ่ายทักอย่างไม่ทันตั้งตัวแบบนี้
 
“ แล้วนี่มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้ ” อีกคนถามยิ้มๆ ด้วยท่าทางที่ค่อนข้างอึดอัด บินทำทีเป็นมองไปรอบๆ “ มากินข้าวกับไอ้อาฟเหรอ ”
 
“ เปล่า ” ผมส่ายหน้า “ แค่กำลังหาว่าร้านหนังสืออยู่ตรงไหน ”
 
“ ชั้นเจ็ด ” อีกคนตอบก่อนจะชี้ขึ้นไปด้านบน ผมที่มองตามก่อนจะพยักหน้ารับ
 
“ เหรอ ขอบคุณนะ ”
 
“ จะไปด้วยกันมั้ยละ ” คำชวนที่ทำให้ผมนิ่งพร้อมทั้งสายตาของความไม่ไว้วางใจที่ส่งไปทำให้อีกคนแค่หลุดยิ้มก่อนจะอธิบาย “ กูกำลังจะขึ้นไปซื้อหนังสือพอดีเหมือนกัน มาเถอะ มันก็ดีกว่าหาจากกลูเกิ้ลไม่ใช่เหรอวะ ” ผมไม่ได้ตอบตกลงกับคำชวนนั้น บินที่แค่ยิ้มมันเดินนำผมออกไป ส่วนผมก็แค่เดินตามแบบเว้นระยะห่าง
 
ผมรู้สึกว่าส่วนโซนด้านบนไม่ได้ครึกครื้นเหมือนอย่างโซนด้านล่างเท่าไหร่ ร่างสูงที่เดินนำผมไปอยู่ในชุดนักศึกษามองจากภายนอกมันก็ยังเป็นคนดูดีเหมือนเดิม ยังคงชอบใส่เสื้อนักศึกษาแบบแขนยาวแล้วพับครึ่งไว้ตรงข้อศอกเหมือนทุกครั้ง แล้วกางเกงก็ยังเป็นสีดำแนบตัวอย่างที่ชอบ ส่วนรองเท้าคู่ที่ใส่ก็ยังเป็นรองเท้าผ้าใบยี่ห้อโปรดที่จะใส่แค่มาเรียนเท่านั้น
 
“ ถึงละ ” อีกคนหันมาบอกผมที่พอโดนทักขึ้นมาถึงรู้ว่าตัวเองเดินเพลินจนลืมรักษาระยะห่าง ทั้งๆ ที่อีกแค่ก้าวเดียวก็จะเดินไปชนแผ่นหลังของคนเดินนำอยู่แล้ว ผมผละตัวเองถอยหลังมาก้าวหนึ่งบินก็หลุดยิ้ม “ นี่ก็ยังชอบเดินเพลินเหมือนเดิมเลย ” คำพูดของบินชวนให้ผมนิ่งก่อนจะหันไปจ้องหน้ามัน “ ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ พอมีคนเดินนำมึงก็ชอบเดินเพลินมองอย่างอื่นไม่เคยมองทางเลยแล้วสุดท้ายมึงก็ชนหลังกูประจำ ”
 
“ ประจำเลยเลยเหรอวะ ” ผมถามกลับมันเพราะดูเหมือนว่าความทรงจำของผมกับมันจะไม่ตรงกันสักเท่าไหร่ เท่าที่จำได้ผมกับบินไม่ค่อยได้ไปเที่ยวไหนด้วยกันจนสามารถใช้คำว่าประจำได้ มันก็แค่ไม่กี่ครั้ง หนึ่งปีบางทีก็ไม่ถึงสามครั้งด้วยซ้ำ
 
“ ใช่ ” อีกคนยังคงย้ำด้วยรอยยิ้มอย่างมั่นใจ เป็นท่าทางที่ชวนให้ผมนึกขำเพราะมันไม่เคยเปลี่ยนไปเลย เอาดีเข้าตัวยังไง ก็ยังคงเป็นแบบนั้นอย่างเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ
 
“ งั้นก็ขอบใจที่นำทางมานะ ”
 
“ ไม่เป็นไรยังไงก็ทางเดียวกัน ” บอกแบบนั้นอีกคนก็มองผมอยู่สักพักด้วยสายตาที่เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เหมือนมันจะถูกกลืนลงคอไปในตอนที่อีกคนยิ้มขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะเดินหันหลังไป
 
ผมมองแผ่นหลังที่กำลังเดินไกลออกไปเรื่อยๆ ก่อนคำถามในใจจะถูกตั้งขึ้นมาภายในวินาทีสั้นๆ นั่น ‘ ทำไมผมถึงตัดสินความผิดของคนคนหนึ่งจากคำบอกเล่าของคนอื่น ทั้งๆ ที่ยังไม่ถามคนคนนั้นสักคำ ว่ามันจริงหรือไม่จริงกันนะ ’ แล้วตอนนั้น มันก็ไวเท่ากับที่ใจคิดปากของผมเอ่ยเรียกอีกคนออกไปเสียงดัง
 
“ บิน ” เจ้าของชื่อหยุดชะงักที่จะเดินต่อ ร่างสูงนั้นหันกลับมามองผมพร้อมทั้งพนักงานในร้านหนังสือหรือแม้แต่ลูกค้าที่อยู่ในละแวกนั้น ผมรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนิดหน่อยในวินาทีนั้นเลยจำใจเดินเข้าไปหาอีกคนอย่างช่วยไม่ได้
 
“ มีอะไร ” อีกฝ่ายถาม ผมก็มองไปรอบๆ ร้านหนังสือก่อนจะคิดขึ้นมาได้ว่าที่นี่มีร้านกาแฟดังตั้งอยู่ด้านใน เป็นร้านเล็กๆ ที่ก็กำลังโชยกลิ่นกาแฟหอมๆ ออกมาเป็นระยะ
 
“ อยากจะคุยด้วยหน่อย มึงพอมีเวลาสักหน่อยมั้ย ไปกินอะไรกัน ”
 
“ ได้สิ ” คำตอบนั้นมาพร้อมรอยยิ้มของอีกคนที่ก็ก้าวมายืนอยู่ข้างกัน เราเดินตรงไปที่ร้านกาแฟต่างคนที่ต่างเงยมองเมนูที่ต้องการแต่ก่อนที่ผมจะพูดอะไรบินก็เป็นคนสั่งขึ้นก่อน “ hot green tea latte ครับ ไซส์ grande ”  มันหันมามองหน้าผมตอนที่พูดจบ “ สั่งให้มั้ย ”
 
“ ไม่เป็นไร กูสั่งเองได้ ”
 
“ กูรู้ว่ามึงจะสั่งอะไร มึงก็สั่งเหมือนเดิมทุกทีที่มา เดี๋ยวกูสั่งให้นะ กูอยากเลี้ยงมึงด้วย ” ว่าแบบนั้นก่อนจะหยิบกระเป๋าเงินขึ้นมา มันหยิบบัตรก่อนจะสั่งออกไปว่า “ เหมือนกันสองแก้วครับ ” ได้แต่ยืนนิ่งไปในตอนที่ได้ยิน ผมเผลอถอนหายใจก่อนจะอมยิ้มกับตัวเองอยู่นานในช่วงเวลาสั้นๆ นั้น ทั้งๆ ที่อยากจะบอกมันเหลือเกินว่า ‘ กูไม่แดกชาเขียวร้อนไอ้สัด แล้วทุกครั้งที่มากูแดกแค่ช็อคโกแลตชิฟปั่นเท่านั้นเว้ย ’ ทำมาเป็นโชว์ความรู้ใจทั้งๆ ที่ปริมาณเรื่องนี้รู้ก็มีน้อยจนถึงขั้นติดลบ แต่นั่นก็ไม่แปลกที่อีกคนจะไม่รู้ เพราะทุกครั้งที่มา บินจะแค่เดินเข้าร้านไปหาเก้าอี้นั่งส่วนผมก็เป็นคนสั่งแล้วก็จ่ายเงินตลอด “ มึงไปนั่งเลย เดี๋ยวกูรอแล้วจะยกไปให้ ”
 
“ อื้ม ” ตอบอีกคนสั้นๆ ผมก็เดินไปนั่งตรงเก้าอี้แบบโซฟาที่อยู่ด้านในร้าน แล้วมองมันที่ยืนรอของที่สั่งอยู่คนเดียว ทั้งๆ ที่มันจะมานั่งก่อนก็ได้แต่เหมือนอีกคนจะรู้สึกถึงบรรยากาศเกร็งๆ เลยเลือกที่จะรออยู่แบบนั้น
 
“ ได้แล้ว ” แก้วถูกวางลงตรงหน้าผม กลิ่นไอของชาเขียวร้อนๆ หอมแบบมีเอกลักษณ์ผมยกมันขึ้นมาดม แต่ก็ร้อนเกินไปที่จะชิมก็เลยตั้งมันไว้แบบนั้น
 
“ จริงๆ ไม่ต้องเลี้ยงก็ได้เอาไปเถอะ ” ผมยื่นเงินให้มันอีกคนก็ส่ายหน้า
 
“ อยากเลี้ยงให้เลี้ยงบ้างเถอะ ” บินบอกปัด มันทำเป็นไม่ใส่ใจเงินผมแต่ผมก็ไม่ได้เก็บใส่กระเป๋าตัวเองแต่อย่างใด ก็ตั้งมันไว้บนโต๊ะแบบนั้น
 
“ กูตั้งไว้นี่แล้วกัน ถ้ามึงไม่เอาก็ให้พนักงานไป ”
 
“ ดื้อเหมือนเดิม ” อีกคนว่าก่อนจะเอื้อมมือมาหยิบเงินแล้วเอาใส่กระเป๋าเสื้อไว้ “ แล้วนี่เป็นยังไงบ้าง สบายดีมั้ย ” บินถามผมด้วยสายตาเป็นห่วง แต่นั่นก็ไม่ใช่ท่าทางที่ชวนให้อึดอัดแต่อย่างใด  เหมือนแค่ได้เจอคนรู้จักที่ไม่ได้เจอกันนานสักคน แล้วเราก็ถามไถ่กันตามมารยาท
 
จะว่าไปมันก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิดไว้แบบเมื่อคืนนั่นแหละ ถ้าเรามองในแง่มันก็ดี มองในแง่ร้ายมันก็ร้าย เหมือนมองว่าสีชมพูสวยมันก็สวย มองว่าสีชมพูไม่สวยมันก็ไม่สวย เรื่องของผมกับบินก็เหมือนกัน มันเจ็บปวดก็จริงอยู่ มันแย่มากที่โดนหลอกในทนอยู่แบบนั้นเสียหลายปี แต่ถึงอย่างงั้นมันก็ผ่านมาแล้ว จะรู้สึกแย่มากยังไง สุดท้ายก็ผ่านมาแล้ว และถ้ามองในแง่ดี วันนี้ผมคงไม่ได้คบกับอาฟ ถ้าเรื่องเหี้ยๆ นี่มันไม่เกิดขึ้น
 
“ เมด ” อีกคนทักขึ้นมาอีกครั้งตอนที่เห็นผมเงียบไป
 
“ ก็สบายดีนะ ” ผมยิ้ม “ จริงๆ มันก็ดีมากเลยละ ”
 
“ งั้นเหรอ อื้ม ก็ดีแล้วละ ”
 
“ แล้วมึงสบายดีมั้ย ”
 
“ ก็เรื่อยๆ ไม่ได้ดี แต่ก็ไม่ได้แย่ ” อีกคนบอกก่อนจะส่งยิ้มกลับมาให้กัน บินก้มลงไปหยิบเครื่องดื่มตรงหน้าขึ้นมาเป่าก่อนจะชิมแล้ววางมันลง “ แล้วที่บอกมีเรื่องจะคุย เรื่องอะไรเหรอ ”
 
“ จริงๆ กูอยากถามมึงน่ะ ” ผมจ้องตาอีกคนตอนที่กำลังถามคำถามนั้น “  ตอนม.หกที่มึงสารภาพรักกู ตอนที่กูถามมึงว่า มึงเป็นคนเอานมฝากเพื่อนมาให้กูทุกวันเลยเหรอ วันนั้นที่มึงบอกว่า ใช่ จริงๆ มึงโกหกกูเหรอ ” อีกฝ่ายเงียบมันคงไม่ได้คิดว่าผมจะถามคำถามนี้กับมัน บินทำได้แค่จ้องหน้าผม มันไม่ได้พูดอะไรออกมาทั้งนั้น แต่นั่นก็คือคำตอบ “ วันนั้นมึงโกหกกูสินะ ”
 
“ ขอโทษ ” เป็นแค่คำพูดสั้นๆ ที่หลุดออกมาจากปากของอีกคน
 
สุดท้ายแล้วก็มีเพียงแค่เท่านั้น ต่อให้ผมจะเจ็บซ้ำแค่ไหน หรือต่อให้รู้สึกเหมือนหัวใจทั้งดวงมันแตกยับยังไง คำพูดเดียวที่ได้ฟังจากปากของคนคนนี้ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ก็มีแค่คำว่า ขอโทษ
 
ทำไมมันช่างเป็นคำพูดที่ไม่มีค่าอะไรเลย คำว่าขอโทษจากปากคนตรงหน้า ไม่ได้มีความหมายอะไรทั้งนั้น ไม่ได้ทำให้รู้สึกดี มันไม่ได้ย้อนเอาเวลาที่เคยเสียไปแล้วกลับคืนมาให้ผม คงเพราะมันเป็นแค่คำว่า ขอโทษ ที่พูดว่าขอโทษ หมายถึง ขอโทษ เท่านั้นจริงๆ ขอโทษโดยที่ไม่มีโอกาสให้แก้ไขอะไรได้อีกแล้ว
 
“ โกหกกันทำไมวะ ” ผมถามมันกลับสั้นๆ อีกคนก็ก้มหน้าลง
 
“ ขอโทษ ”
 
“ ทำไมวันนั้นถึงเลือกที่จะโกหกกู แล้วทำไมตอนที่คบกันถึงไม่เลือกที่จะพูดความจริงออกมาบ้างเลย มึงไม่รู้สึกผิดเลยเหหรอ เวลาที่กูพูดว่า ทำไมมึงไม่เหมือนตอนที่ซื้อนมให้กู ทำไมมึงไม่เหมือนตอนที่พยายามเพื่อกู ตอนนั้นที่ได้ฟัง ไม่รู้สึกผิดอะไรเลยเหรอ ”
 
“ เพราะว่ากูรักมึงมากไงเมด ” บินบอกแบบนั้น “ ชอบตั้งแต่เห็นครั้งแรก ก็เลยอยากจะสารภาพรัก แต่ก็รู้ว่าเมดไม่ตอบตกลงแน่ๆ เพราะเหมือนจะชอบคนที่ส่งนมอยู่ ก็เลยต้องโกหกเพราะไม่อยากจะอายเพื่อน แล้วตอนที่คบกัน ก็เคยคิดอยากจะบอกหลายครั้ง แต่มันก็เพราะเมดคิดว่าบินคือคนส่งนมนี่ไม่ใช่เหรอวะ เมดถึงให้อภัยบินได้ตลอด แล้วแบบนั้นบินจะบอกเมดทำไมว่าความจริงมันคืออะไร เพราะบินรู้ไงเมด ว่าถ้าบอกไปแล้ว เมดก็จะไม่อยู่กับบิน แล้วแบบนั้นจะให้บินบอกทำไม ”
 
“ นั่นไม่ได้เรียกว่ารักหรอก ” ผมบอกอีกคนที่ก็นิ่งไป “ สิ่งที่มึงทำกับกูตลอดมา มันไม่ได้เรียกว่ารัก ไม่ต้องเอามันมาอ้าง มึงก็แค่อายเพื่อนที่คนดังอย่างมึงจะถูกปฏิเสธ มึงก็เลยโกหก แล้วต่อมามึงก็เอามันมาเป็นข้ออ้างเพื่อให้ตัวเองได้ทำความผิดซ้ำๆ อย่างคนเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง มึงที่พยายามผูกกูไว้กับตัวมึง ไม่ใช่เพราะมึงรัก แต่เพราะมึงเห็นว่ากูคือทางเลือกสุดท้าย เป็นของตายตอนที่มึงไม่มีใคร มึงที่คิดแบบนี้อย่างคนเห็นแก่ตัว เลยไม่บอกความจริงทั้งๆ ที่มึงก็รู้ ว่าที่กูให้อภัยมึง นั่นก็เพราะว่า กูรักมึง และมึงก็คือรักแรกของกูคนที่กูคิดว่าส่งนมมาจีบกู ”
 
“ ขอโทษ ”
 
“ ไม่ต้องพูดหรอก มันไม่ได้มีความหมายอะไรแล้ว ”
 
“ แต่บินก็รักเมดนะ ” อีกคนยังย้ำบอกแบบนั้นก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าผม “ บินไม่ได้พูดให้เมดกลับมา แต่บินแค่อยากขอบคุณ ขอบคุณที่เป็นแฟนที่ดีให้กันตลอด ขอบคุณที่ให้อภัยในความผิดซ้ำซากของบิน ขอบคุณที่ให้โอกาส เมดอาจจะมองว่าบินเห็นแก่ตัว ไม่ได้รักเมด แต่จริงๆ บินรักเมดนะ รักในแบบที่เมดเป็นเมดนั่นแหละ เมดที่แสนดีและน่ารัก คนที่คอยดูแลกันแล้วก็ห่วงใยกันเสมอ แล้วเมดละ เคยถามตัวเองมั้ยว่าจริงๆ ที่เมดอยู่กับบิน เมดรักบินจริงๆ หรือรักเพราะคิดว่าบินเป็นเจ้าของนมนั่น ”
 
“ ตอนแรกกูตอบรับรักมึงเพราะมึงคือคนที่ส่งนมให้กู ต่อมากูชอบที่มึงเป็นคนช่างเอาใจแล้วก็โรแมนติก กูก็รักมึงเพิ่มมากขึ้น จนเราเริ่มทะเลาะกัน จากครั้งแรก ครั้งที่สอง แล้วก็หลายๆ ครั้ง จนความช่างเอาแต่ใจของมึงที่กูเคยชอบ กูเริ่มไม่ชอบเพราะมึงจะทำแค่ตอนที่กูโกรธ มึงเริ่มเหี้ยกับกูมาก จนความดีของมึงที่เคยทำให้กูมันไม่พอจะยึดใจกูให้อยู่กับมึงได้อีก สุดท้ายมันก็เลยเหลือแค่อดีตที่มึงเคยทำไว้ ซึ่งจริงๆ แล้ว มึงก็ไม่ได้ทำ ” ผมยิ้มให้อีกคน “ ถามว่ารักมั้ย กูไม่ได้รักบินคนที่อยู่กับเค้ามาสี่ปีหรอก กูรักบินคนที่กูคิดว่าคือเจ้าของนมต่างหาก นั่นแหละ บินคนที่กูรัก ”
 
“ เข้าใจแล้ว ” อีกคนยิ้มให้ผมเป็นรอยยิ้มดูคล้ายว่าอีกคนจะสมน้ำหน้าตัวเองอยู่ไม่น้อย “ แต่มันก็สมควรแล้วละ ที่ต้องเป็นแบบนั้น บินก็ทำตัวแบบนั้นเอง เมดจะไม่รักก็ไม่แปลก ”
 
“ อื้ม ”
 
“ งั้นขอถามอีกข้อได้มั้ย ”
 
“ อื้ม ” ผมพยักหน้ารับบินที่นั่งอยู่ตรงหน้ากันก็ยิ้ม
 
“ แบบไม่อายเลยนะ ระหว่างบินคนที่เมดคิดว่าให้นมเมด กับ ไอ้อาฟ เมดรักใครมากกว่ากัน ” คำถามที่ทำให้ผมถอนหายใจออกมา ในห้วงความคิดหนึ่ง ผมคิดว่ามันก็ช่างกล้าถาม แต่ว่าถ้าต้องตอบจริงๆ ผมก็คิดว่าตัวเองมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว “ ขอคำตอบแบบจริงจังนะ ”
 
“ คำถามของมึงโคตรไม่แฟร์เลยรู้มั้ย กูจะไปตอบได้ยังไง กูเพิ่งคบกับอาฟไม่นาน ส่วนมึงคนที่กูคิดว่าให้นมกับกู กูคบมาตั้งสี่ปี เอาไว้กูคบกับอาฟครบสี่ปีเมื่อไหร่กูจะบอกแล้วกัน ว่ารักใครมากกว่ากัน แต่กูว่าถึงตอนนั้นมึงก็คงรู้คำตอบอยู่แล้วละมั้ง ”
 
“ ก็จริง ”
 
“ แต่ถ้าถามว่าใครทำให้รู้จักคำว่ารัก กูบอกแบบไม่ต้องรอเลยว่าคือ มึง ” ผมยิ้มให้บิน “ มึงคือคนที่ทำให้กูเข้าใจคำว่ารักนะ รักในแบบที่เป็นความรักจริงๆ รักที่มันมีทั้งความโง่ ความหลง ความบ้า กูที่ไม่ฟังใครแม้แต่ครอบครัวที่คอยห้ามว่าให้เลิกกับคนแบบมึง กูที่ไม่รักตัวเองแล้วรักแค่มึง หลงแค่มึง กูที่ทำทุกๆ อย่างเพื่อมึง แล้วให้อภัยมึงซ้ำๆ กับความผิดที่ใครๆ ก็มองว่ากูโง่งม กูรู้ว่ามึงมีใครก็ทนไม่พูดอะไร กูที่ทำได้แบบนั้น กูที่รักมึงมากกว่าตัวเอง กูเป็นที่ได้ขนาดนั้น กูว่านั่นแหละ คือความหมายของคำว่ารักจริงๆ เป็นความรู้สึกที่ทั้งรักทั้งหลง แล้วมึงก็คือคนนั้นนะ แม้แต่วันนี้มึงก็ยังเป็นคนนั้น คนที่ทำให้กูเข้าใจว่า นี่แหละคือความรักจริงๆ ”
 
“ ขอโทษนะ ” หลังจากเงียบไปนานอีกฝ่ายก็พูดออกมาแบบนั้น ผมที่ได้แต่ส่ายหน้าก่อนจะถอนหายใจออกมา
 
“ ไม่เป็นไรหรอก ทุกอย่างมันผ่านไปแล้ว มันก็เป็นแค่ความทรงจำของกู ที่สอนให้ต่อไปนี้กูต้องใช้ชีวิตแบบระมัดระวังมากขึ้น ” ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ที่นั่ง บินที่มองตามอีกคนก็ถาม
 
“ จะไปแล้วเหรอ ”
 
“ อื้ม กูจะไปซื้อหนังสือหน่อย มันมีหนังสือที่กูอยากจะได้อยู่น่ะ ไปก่อนนะ ” บอกแบบนั้นก่อนจะหันหลังเดินไปแต่บินก็ยังเรียกผมไว้
 
“ เมด ” เสียงเรียกมาพร้อมกับแก้วชาเขียวร้อนของผมที่ถูกชูขึ้นมา ตอนนี้มันคงอุ่นจนเกือบจะเย็นแล้ว “ ไม่เอาชาเขียวไปด้วยละ ”
 
“ ไม่ละ มันไม่ใช่ของที่กูชอบ กูคงไม่เอามันไปด้วยหรอก ” ไม่ต่างกับคนที่ซื้อมันมาให้ผม นั่นก็จะเป็นสิ่งที่ผมจะไม่จดจำมันอีกแล้ว บินวางมันลงที่เดิมก่อนจะยิ้มให้ แล้วถามออกมาเสียงเบาในตอนที่เราสบตากันครั้งสุดท้าย
 
“ เรายังเป็นเพื่อนกันได้มั้ย ”
 
“ อย่าเลยมึง เราเป็นแค่เพื่อนร่วมโลกที่รู้จักกันก็พอแล้ว ” ยิ้มให้มันเป็นครั้งสุดท้าย ผมเดินหันหลังออกมาแล้วก็ไม่ได้หันกลับไปมองอีกเลย
 
ทุกอย่างจะไม่หวนคืนมาอีกทั้งๆ ที่ผมอยากจะถามมันเหมือนกันว่า แล้วตกลงนมนั่นเป็นของใคร ของเอมเหรอ หรือว่าเป็นเพื่อนของเอม แล้วเพื่อนของเอมละ เป็นใคร แต่ผมก็ไม่ได้เอ่ยถามคำถามพวกนั้น เพราะมันก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรแล้ว ต่อให้ตอนนี้รู้ว่าเค้าเป็นใคร ผมก็คงทำได้แค่ขอโทษที่วันนั้น ผมเชื่อคนผิดไป และตอนนี้ผมก็ไม่สามารถตอบแทนความรู้สึกของเค้าได้อีกแล้ว เพราะตอนนี้ผมก็มีคนที่ผมรักของผม และก็คงไม่สามารถรักใครได้อีก
 
เวลาผ่านมาหนึ่งชั่วโมงแล้ว เป็นหนึ่งชั่วโมงที่ผมยืนอยู่ที่ล็อกหนังสือขายดี มันมีหนังสือที่ผมต้องการซื้อถือในมืออยู่แล้วสามเล่มและไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะอ่านหมด ทั้งที่คิดช่างใจจะเอาไปเล่มเดียวแต่มันก็อดใจไมได้เมื่อได้อ่านคำโปรยด้านหลังปกเลยตัดสินใจซื้อมา โดยใช้คติที่พูดกับตัวเองบ่อยๆ ว่า ‘ ซื้อแล้วไม่ได้อ่านดีกว่าตอนอยากอ่านแต่รู้สึกผิดเพราะไม่ได้ซื้อ ’
 
ครืน ครืน ครืน
 
“ ครับ น้องเดย์ ” กรอกเสียงไปตามสายโทรศัพท์ที่โทรเข้ามา ปลายสายที่เหมือนกำลังหงุดหงิดก็ถามกลับมา
 
“ พี่เมดอยู่ไหน ”
 
“ อยู่ร้านหนังสือที่ชั้นเจ็ด ก็ส่งข้อความไปบอกน้องเดย์แล้วไง ”
 
“ อะไรของมันวะ ” อีกฝ่ายที่เหมือนสบถออกมา ผมก็ได้แต่ขมวดคิ้ว
 
“ มีอะไรหรือเปล่า ”
 
“ ก็ไอ้สัดพี่น่ะสิ  ตอนน้องเดย์ไปรับมันกับพ่อที่สนามบิน น้องเดย์ก็มาส่งมันที่คอนโดก่อน มันบอกว่ามันจะไปรับพี่เมดเอง แต่อยู่ๆ เมื่อกี้ก็โทรมาบอกน้องเดย์ว่า มันไม่ไปรับพี่เมดแล้ว และก็สั่งด้วยนะว่าน้องเดย์ก็ไม่ต้องไปรับพี่เมด น้องเดย์เลยคิดว่าสงสัยพี่เจไม่ก็ไอ้อัยย์คงไปแล้ว แต่พอวางสายไปสักสามนาทีแม่งก็โทรมาใหม่ บอกให้ไปรับพี่เมดด้วย น้องเดย์งงกับมัน ไอ้สัดเอ้ย ”
 
“ ไม่ต้องมารับพี่เมดก็ได้เดี๋ยวกลับเอง ก็เจอกันที่ throw up เลยก็ได้ ”
 
“ ไม่ต้องๆ น้องเดย์จะลงทางด่วนแล้วแป๊บเดียวก็ถึงพี่เมดรอที่นั่นแหละ เดี๋ยวไปรับ ”
 
“ โอเค ” ผมตอบน้องเสียงเบา อีกฝ่ายก็ถอนหายใจออกมาก่อนจะบ่น
 
“ ไม่รู้ไปหงุดหงิดอะไรมาอีก เอาใจยากชิบหายพี่ชายกู ”
 
“ น้องเดย์ แล้วพี่อาฟรู้เหรอว่าพี่เมดอยู่ที่นี่ ”
 
“ รู้สิ ก็น้องเดย์บอก มันบอกจะไปเซอร์ไพรส์พี่เมดน่ะ ” ผมได้แต่ถอนหายใจออกมา มีแต่ความกังวลแบบแง่ลบลอยเต็มหัวไปหมดในวินาทีนั้น หรือว่าอาฟจะเห็นผมนั่งคุยกับบินก็เลยเดินออกไปหลังจากที่เห็นโดยที่ไม่ได้เข้ามาทัก “ ไม่รู้มันทะเลาะกับพ่อเปล่า เพราะพ่อด่ามันว่า มันอะบ้าเมียไม่ยอมกลับบ้านไปหาแม่บ้าง แล้วพ่อก็บอกให้มันพาพี่เมดไปที่บ้านได้แล้ว แถมยังบอกด้วยว่ามันอะปีกกล้าขาแข็งคิดว่ามีธุรกิจ มีเงินไม่ต้องพึ่งที่บ้านก็ได้เลยไม่ได้แคร์ใคร บลาๆ อีกเยอะแยะ ”
 
“ งั้นเหรอ ”
 
“ พี่เมดๆ น้องเดย์จะถึงละ พี่เมดอยู่ใกล้ร้านกาแฟมั้ยซื้อน้ำส้มให้น้องเดย์แก้วหนึ่งได้มั้ย น้องเดย์อยากจะกินอะไรเปรี้ยวๆ ”
 
“ ได้สิ เดี๋ยวพี่เมดซื้อน้ำส้มให้นะ ”
 
“ โอเค จะจอดรถละ 20 นาทีถึงแน่นอนครับพี่สะใภ้ เจอกัน ”
 
“ ครับ เจอกัน “ ในตอนที่กดวางสาย ในใจของผมภาวนาว่าอาฟคงแค่ทะเลาะกับพ่ออย่างที่น้องเดย์บอก ไม่ได้เกี่ยวกับผมแต่อย่างใด
 
........................................................................
 
อธิษฐานเอานะ
 
ฝากแท็ก #ผับชั้นสาม
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
หนมมี่ผู้ใสซื่อ

 :katai4: :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
บินต้องเห็นอาฟแน่ เลยถามนำให้เมดตอบทำอาฟน่อยไป

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด