กว่าเราจะกลับมาถึงบ้านกันก็กลางดึก ผมเกลี้ยกล่อมให้เขากลับบ้านเขาส่วนผมจะนั่งแท็กซี่กลับมาเอง เขาไม่ยอม ผมก็ปล่อยให้เป็นไปตามนั้น เขาอยากจะมาส่งก็ตามใจ พอมาส่ง เขาก็มานั่งสัปหงกอยู่ที่โซฟา
“ถ้าง่วงก็เข้าไปนอนในห้องไหม” ผมบอก อยากให้เขาได้หลับสบายๆ บนเตียงนุ่มๆ ดีกว่ามานั่งงีบที่โซฟาแข็งๆ นี่
“เดินไปไม่ไหว ไม่มีแรง อุ้มไปที่เตียงหน่อย”
“โตจะเป็นควาย ลุกไปนอนเองดีๆ”
“ถ้าไม่อุ้มกูไป กูก็จะนอนตรงนี้แหละ” ผมก็บ้าจี้ช้อนร่างเขาขึ้นมาตามคำสั่ง คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกละครร่างบางตัวเบาหรือยังไง แม้ระยะห่างจากห้องนั่งเล่นไปห้องนอนจะไม่กี่เมตร แต่ด้วยน้ำหนักตัวที่ไม่เบาของเขาก็ทำเอาผมหอบเหมือนกัน น่าจะปล่อยให้หลุดมือกลางทาง จะได้รู้สึก
ผมวางตัวแฮมลงที่เตียง แต่มือทั้งสองข้างที่คล้องคออยู่นั้นไม่ยอมปล่อย กลับลงแรงโน้มหน้าผมเข้าไปใกล้ จูบอีกแล้ว ในสองสามวันที่ผ่านมาผมจูบเขานับครั้งไม่ถ้วน
“นอนกับกูนะ” แฮมพูด ความหมายของเขาไม่ใช่แค่นอนเฉยๆ หรอก และผมยอมรับว่าพอโดนเขาจู่โจมแบบนี้บ่อยๆ มันก็เสียอาการ ยิ่งบ่อยครั้งผมก็ยิ่งปฏิเสธได้ยาก
“อื้ม”
คำตอบตกลงของผมคงเหมือนกับการลั่นไกลปืนในสนามวิ่ง ผู้เข้าแข่งขันอย่างผมเริ่มต้นที่จุดสตาร์ทอย่างตั้งใจ พรมจูบไปทั่วเรือนร่างของเขา กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ไม่มีใครเหมือนนั้นปลุกสัญชาตญาณบางอย่างในตัวผมเต็มที่
คงหยุดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ผมไม่อาจกลั้นอารมณ์ที่กำลังปะทุ จิตใจกระเจิดกระเจิงเกินกว่าจะหักห้าม เบื้องหน้าของผมมีเขาที่พร้อมรับมือกับทุกการกระทำที่จะเกิดขึ้น
“มึง กูไม่มีถุงนะ”
“ไม่เป็นไร”
เราปล่อยให้ร่างกายดำเนินไปตามสัญชาตญาณ มีเสียงลมหายใจ เสียงของเนื้อหนังที่กระทบกันเป็นจังหวะ เคล้าด้วยเสียงทุ้มต่ำจากลำคอ หากเซ็กส์คือความบันเทิงที่ธรรมชาติสรรค์สร้าง พวกเราได้ปล่อยให้มันเกิดขึ้นตามธรรมชาติแล้ว
“แฮ่ก เหนื่อย” ผมพึมพำ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว
“กูรักมึงนะ” เขาบอกพร้อมกับใบหน้าเปื้อนยิ้ม
ผมไม่ได้บอกรักเขากลับ ไม่ใช่ว่าผมไม่ได้รู้สึก แต่เพราะผมอยากให้คำนี้มันพิเศษ และตอนนี้ผมยังไม่รู้สึกถึงมันมากพอ ผมขอเวลาอีกสักนิดเมื่อพร้อม เขาจะได้ฟังมัน
“จะสายแล้วมึง” เขาเขย่าตัวผมจนตื่น
“สายไรวะ ต้องไปไหน”
“วันนี้ทำงาน มึงรีบไปอาบน้ำแต่งตัว” เขาเร่งผม ขณะที่เขาแต่งตัวเสร็จหมดแล้ว ทำไมไม่ปลุกผมเร็วกว่านี้ก็ไม่รู้
ผมใส่เชิ้ตน้ำเงิน กางเกงสแลครัดรูป รองเท้าหนังสีดำขัดจนเงา แต่งตามเซ้นส์ล้วนๆ คิดว่าลุคนี้น่าจะเหมาะกับการไปทำงาน
“อะ จะทำไร นู้น รถมึง ขับไปเอง” ผมกำลังจะเปิดประตูแต่โดนเขาห้ามไว้ซะก่อน ทำไมวะ ไปทำงานแทนที่จะไปด้วยกัน ประหยัดน้ำมัน
“ทำไมอะ”
“ไม่ได้ ต้องแยกกันไป ที่ทำงานไม่มีใครรู้ว่าเราคบกัน”
“ทำไมต้องปิดอะ”
“กฎบริษัท มึงอยากตกงานหรือไงล่ะ” ผมเคยได้ยินมาบ้างเรื่องกฎบริษัทห้ามพนักงานในบางตำแหน่งคบกันเป็นแฟน เสี่ยงต่อการรวมหัวกันทุจริต พอจะฟังขึ้น ผมคิดว่าตัวเองจะเป็นคนนิสัยแย่แบบเมื่อก่อนซะอีก
เราแยกกันเดินทางจนมาถึงที่ทำงาน ผมจำไม่ได้หรอกว่าผมต้องไปทางไหน ยังไง แฮมก็ไม่ได้สนใจผมเลยว่าผมจะต้องเผชิญการทำงานวันแรกยังไงเมื่อไม่เคยมาที่นี่เลย
“หวัดดีพี่โมทย์” น้องผู้ชายผมหยิกถือแก้วกาแฟเดินเข้ามาทักทาย ผมตาไวมองเห็นป้ายห้อยคอเลยพอจะรู้ชื่อ
“หวัดดีบี้”
“หน้าตาสดใสเชียวเช้านี้ อารมณ์ดีอะไรมาครับ”
“หรอ ก็ปกติหนิ”
“ปกติที่ผมเห็นพี่ไม่เดินยิ้มมาคนเดียวแบบนี้แน่นอนครับ ฮั่นแน่ เมื่อคืนไปเที่ยวกับสาวที่ไหนมาหรือเปล่า”
“เฮ้ย ไม่มี นอนอยู่บ้าน”
ผมคุยกับเขาเพลิน รู้ตัวอีกทีก็มาหยุดอยู่ที่โต๊ะทำงาน เหมือนเป็นความเคยชินของร่างกาย ทุกย่างก้าวที่ไม่มีความลังเล นิ้วมือที่กดลิพท์ ทิศทางที่หันตัวและมุ่งหน้าไปสู่ ล้วนแล้วแต่เป็นอัตโนมัติ ผมนั่งลงโต๊ะทำงานหน้าห้องที่กั้นกระจกใสไว้ เขานั่งหน้าตาเคร่งเครียดอยู่ในนั้น ดูเป็นคนละคนกับก่อนหน้านี้ เขาจริงจังกับงานมากจนผมชักเป็นห่วง ถ้าเริ่มต้นวันเครียดๆ แบบนี้คงต้องเครียดไปตลอดทั้งวันแน่ๆ
ผมชงกาแฟไปให้เขา ถ้าจำไม่ผิดเขาชอบรสนี้ กาแฟสอง น้ำตาลหนึ่ง ครีมหนึ่ง
“เอากาแฟมาให้ ดูเอกสารอะไรอยู่หรอ เห็นเครียดๆ”
“ไม่ได้เครียด ช่วงนี้ติดนิสัยชอบขมวดคิ้วเวลาใช้ความคิดน่ะ กำลังดูแผนงานของฝ่ายการตลาด”
“ไหนขอดูบ้าง”
ผมอ่านแผนงานนั้นแล้วรู้สึกคุ้นตา เหมือนเคยเห็นมาก่อน ความทรงจำเริ่มจะผุดมาแล้วสินะ
“ไตรมาสนี้ต้องทำให้ได้ตามเป้า กูคิดไม่ออกเลยว่ะว่าจะเอาไงต่อ”
“ไม่เห็นจะยาก แทนที่จะใช้แมททีเรียลจากเจ้าเดิม ลองจัดประมูลหาเจ้าที่ถูกกว่าแล้วคุณภาพพอกัน กูว่าอย่างน้อยทุนก็ลดลงไปได้สิบยี่สิบเปอร์เซ็นเลยนะ” ผมพูดไปตามเซ้นส์ ความรู้พื้นฐาน ถ้าต้องการให้มีกำไรมากขึ้น การลดต้นทุนก็เป็นกลไกหนึ่ง
“กูจะเก็บไปคิดดูแล้วกัน เก่งเหมือนเดิมนะมึงอะ”
“จริงๆ กูว่าเรื่องแค่นี้ไม่เกินความสามารถมึงหรอก มึงก็น่าจะคิดได้เหมือนกัน”
ผมกลับมานั่งที่โต๊ะทำงาน มองเห็นเขายิ้มแย้มก็สบายใจ ผมสำรวจเอกสารที่มีบนโต๊ะ ข้าวของล้วนจัดไว้เป็นระบบระเบียบ ไฟล์งานในคอมพิวเตอร์จัดโฟลเดอร์แยกกันไว้เป็นอย่างดี
“ใช้ได้เหมือนกันนะเราอะ” ผมชมตัวเองผ่านกระจกตั้งโต๊ะใบเล็ก เปลี่ยนไปในทางที่ดีแบบนี้ก็เบาใจ
วันแรกของการกลับมาทำงาน ก็ไม่ได้แย่ ผมทำงานที่คงค้างไว้ในส่วนที่พอจะทำได้ ดีที่โมทย์คนก่อนทำงานเป็นระเบียบเสร็จลุล่วงไปหลายอย่าง ที่เหลือก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถผมเท่าไหร่ บรรยากาศในที่ทำงานอบอุ่นดี อยู่กันแบบพี่น้อง คนที่ชื่อบี้ก็คงจะสนิทกับผมพอสมควร เวลาว่างระหว่างวันเราคุยกันหลายเรื่องเลยล่ะ มื้อกลางวันก็ไปกินด้วยกัน พร้อมกับน้องผู้หญิงในออฟฟิศอีกสองคน ชื่อหน่อย กับเกด
“นี่พี่กลับบ้านเลยปะครับ หรือว่าไปไหนต่อ” บี้ถาม
“ก็คงจะกลับบ้านเลยครับ” ผมตอบตามจริง ไม่รู้ว่าเลิกงานแล้วควรไปไหนต่อ นอกจากกลับบ้าน
“ผมไปก่อนนะพี่”
ผมมองไปยังแฮมที่นั่งในห้องกระจก เขามองผมอยู่ พร้อมกับกวักมือให้เข้าไปหา ผมปิดคอมพิวเตอร์เก็บของเตรียมตัวกลับบ้านเสร็จจึงเข้าไป
“มีอะไรครับ” ผมถามกวนๆ ในมาดของลูกน้องเวลาคุยกับเจ้านาย แต่ดูเขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะคุยเล่นกับผม
“ไม่มีไร กูก็แค่อยากกลับบ้านกับมึงอะ” เป็นลูกอ้อนงอแงที่ขัดกับบุคลิกเขามาก นึกว่าจะมีอะไรที่จริงจังซะอีก
“ก็เอาดิ กูไม่ได้ห้ามสักหน่อย”
“แต่วันนี้แม่ให้รีบกลับบ้านอะดิ”
“หรือว่าให้กูไปค้างบ้านมึงดีล่ะ”
“ไม่เอาอะ ห้องกูไม่เก็บเสียง”
“ทะลึ่งละมึงอะ งั้นกูกลับละ ไว้เจอกันพรุ่งนี้”
“อื้ม” ผมส่งยิ้มแทนการบอกลา เขาเองก็ส่งรอยยิ้มคืนกลับให้ภายใต้แววตากังวลอะไรสักอย่าง ผมไม่อาจรู้ หากเขาอยากจะบอกก็คงบอกกับผมเอง
ผมขับรถกลับบ้านตามเส้นทางเดิมที่มาทำงาน หากแต่ความรู้สึกภายในบอกให้ผมเลี้ยวไปในอีกเส้นทาง ผมไม่คุ้นแม้แต่น้อย เลยปล่อยให้ตัวเองขับไปในเส้นทางตามที่เสียงเรียกร้องภายในต้องการ จนมาถึงจุดหมาย เป็นร้านกาแฟในซอยลึก ไม่มีลูกค้าในร้าน มีเพียงพนักงานคนหนึ่งนั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ ดูจากสง่าราศีแล้วคงเป็นเจ้าของร้าน
“สวัสดีครับคุณ” เขาเอ่ยทักผมทันทีที่รับรู้ว่าผมเดินเข้ามาในร้าน
“สวัสดีครับ”
“ที่คุณมาที่นี่เพราะจำได้แล้ว หรือยังจำไม่ได้ครับ” เขาถามคำถามแปลกๆ
“ผมเคยมาที่นี่มาก่อนหรอครับ เรื่องที่คุณถามหมายถึงอะไร”
“อืม ตอนนี้คุณคือใครครับ”
“เอ่อ ผมคือโมทย์ครับ ว่าแต่คุณคือใคร” เขายิ้ม เหมือนได้รับคำตอบบางอย่างที่ต้องการ
“ตอนนี้คุณยังจะไม่รู้จักผมหรอก แต่ในอนาคตคุณจะช่วยชีวิตผมไว้”
“ผมเนี่ยนะ”
ผมไม่เข้าใจในเรื่องที่เขาพูด แต่ก็อยากจะรู้เรื่องราว เขาพูดถึงเรื่องอนาคต เรื่องประหลาดที่ผมสนใจไม่น้อย
“คุณบอกให้ผมย้อนเวลากลับมาแก้ไขอดีต และตอนนี้ผมจะช่วยเหลือเป็นการตอบแทนคุณ”
“หมายถึงว่าคุณย้อนเวลามาจากอนาคตหรอ แล้วตอนนั้นผมเป็นยังไง ทำไมต้องให้คุณช่วย”
“เชิญนั่งก่อนเถอะครับ รับเครื่องดื่มอะไร เห็นทีว่าเราจะได้คุยกันยาว” เขาบอก
“ผมขอเป็นอเมริกาโน่ก็แล้วกันครับ”
ผมนั่งลงที่เก้าอี้มุมด้านในของร้าน บรรยากาศเงียบเชียบ ไม่มีวี่แววแม้แต่ผู้คนจะผ่านไปมา ถ้าหากจะบอกว่าร้านนี้เหมือนเปิดไว้รอรับแขกคนสำคัญโดยเฉพาะก็ว่าได้
“ผมย้อนมาจากปีสองพันยี่สิบเก้า ผมกำลังจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย แต่ได้คุณช่วยไว้ก่อน”
“ผมจะเชื่อคุณได้ยังไงว่าเป็นเรื่องจริง” แม้ว่าจะพบเจอเรื่องประหลาดมากับตัวเอง แต่ก็ใช่ว่าผมจะเป็นคนเชื่อคนง่าย ต้องมีอะไรพิสูจน์ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่เชื่อง่ายๆ
“คุณกำลังจะแต่งงานในอีกไม่กี่อาทิตย์ข้างหน้าถ้าผมจำไม่ผิด คุณบอกกับผมว่าการสวมแหวนแต่งเป็นการปิดประตูมิติ คุณเลยไม่มีโอกาสได้ย้อนเวลากลับมาอีกแล้ว”
“แล้วทำไมผมต้องย้อนเวลาอีก ในเมื่อชีวิตผมตอนนี้ก็ดีอยู่แล้ว อนาคตมันก็ควรจะดีกว่านี้ไม่ใช่หรอ” ถ้ามันเป็นไปตามที่ผมคาดการณ์นะ อย่างน้อยก็คงไม่แย่ถึงขั้นต้องย้อนเวลากลับมาอีก
“จริงอยู่ที่ชีวิตคุณดีขึ้น แต่ในอนาคตมีเหตุการณ์ที่คุณอยากเปลี่ยนแปลงแต่ก็ย้อนเวลากลับมาไม่ได้แล้ว”
“คุณหมายถึงเรื่องอะไร” ผมใจคอไม่ดีเลย
“คุณจะสูญเสียเขาไป เขาไม่ได้มีชีวิตอยู่กับคุณนานที่ต้องการ”
“ฮะ เขาที่คุณพูดหมายถึงใคร”
“คงใช่ ถ้าเขาเป็นคนรักของคุณ”
“เขาเป็นอะไร ทำไมเขาถึงไม่อยู่กับผม”
“เขาป่วยเป็นมะเร็ง กว่าจะรู้ตัวก็ระยะสุดท้าย คุณควรจะย้อนกลับไปอดีตอีกครั้งนะ ผมไม่รู้ว่ามันจะแก้ไขได้ไหม แต่อย่างน้อยก็ให้คุณได้อยู่กับเขานานกว่าเดิม”
ผมอึ้ง แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า แต่จากเรื่องที่เขาเล่าเพื่อพิสูจน์หลายอย่างเช่นเรื่องรถเมล์คันนั้น เรื่องการเดินทางข้ามผ่านเวลาในแบบเดียวกับที่ผมเจอมากับตัว ก็พอจะทำให้เรื่องที่เขาเตือนมาฟังดูมีน้ำหนัก ผมไม่รู้ว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไรให้ไม่สูญเสียแฮมไปในอนาคต มีตัวแปรไหนบ้างที่ผมจะยับยั้งให้อนาคตเปลี่ยนใหม่ โดยที่ไม่สูญเสียเขาไป
ผมคิดหนัก ไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แต่บางทีความแปลกประหลาดที่เรามักจะคาดไม่ถึงกลับกลายเป็นเรื่องจริงที่เราหนีไม่พ้น ผมจะเอายังไงต่อไปดี ให้เขาจะยังอยู่กับผมตลอดไป