Chapter 46
ที่ภาควิชาอุตสาหการ คณะวิศวกรรมศาสตร์
ทั้งๆ ที่มันเป็นวันธรรมดาและท้องฟ้าสดใสแท้ๆ ทว่าชายหนุ่มที่เดินโดดเด่นมาแต่ไกลกลับมีสีหน้าที่หงอยเหงาและไม่มีชีวิตชีวาอย่างเป็นที่สุด
กิจกำลังเดินเข้าห้องเรียนมาในสภาพที่ต่างไปจากทุกที ทุกอย่างมันไม่ได้ดูเนียบเหมือนอย่างเช่นทุกครั้ง ไม่ว่าจะทรงผม หน้าตา หรือแม้กระทั่งเสื้อช็อปยับๆ ที่ม้วนถือเอาไว้อยู่ในมือ
“ เห้ย! ตื่นสายรึไหงวะ... ถึงได้มาเรียนในสภาพนี้เนี่ย “
พีถามขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นถึงสภาพความผิดปกตินี้ ทว่าเจ้าตัวกลับได้เพียงแค่ฟังมันผ่านๆ ไปเท่านั้นเอง ก่อนจะแทรกตัวเข้ามานั่งยังเก้าอี้เรียนตัวข้างๆ ซึ่งอันที่จริงแล้ว.. วันนี้เขาแทบไม่อยากจะมาเรียนเสียด้วยซ้ำไป เพราะสภาวะจิตใจที่ห่อเหี่ยวราวกับว่าทุกอย่างบนโลกนี้มันช่างปราศจากซึ่งความสุขไปเสียหมด
บิวหันหน้ามามองยังพีเป็นเชิงถามถึงสาเหตุของความผิดปกตินี้ ทว่าพีเองก็ได้แต่ส่ายหน้าตอบให้ไปเพียงเท่านั้น และไม่นานเพื่อนคนสุดท้ายของกลุ่มก็เดินเข้ามายังห้องเรียนด้วยท่าทางที่อารมณ์ดี ซึ่งต่างไปจากคนก่อนหน้านี้ราวฟ้ากับเหว....
“ ไอ้กิจ... ขอบใจมึงมากนะเว้ย แค่นี้กูก็หลุดพ้นจากยัยฮานะไปได้สักที ผู้หญิงอะไรวะ ร้ายกาจเป็นบ้าเลย “
เมื่อคิมเดินเข้ามาถึงกลุ่มก็พูดขึ้นพร้อมกับตบไหล่กิจทันที โดยไม่ได้สังเกตถึงอาการผิดปกติของเพื่อนเลยแม้แต่น้อย
“ แล้วนี่ตกลงมึงจ่ายไปเท่าไหร่วะ “
บิวถามขึ้นขณะที่คิมกำลังแทรกตัวลงมานั่งข้างๆ
“ 5 หมื่นว่ะ... แม่งไม่คุ้มเลย แต่ถ้าเทียบกับการที่เขี่ยยัยนี่ออกไปได้ กูก็ยอมว่ะ... ยังไงกูก็ขอขอบใจมึงจริงๆ นะเว้ยไอ้กิจ ที่เข้าไปเคลียร์ให้.... อ่าว... “
เมื่อคิมสังเกตเห็นสายตาเหม่อลอยที่ผิดปกติของเพื่อนได้ เขาก็หยุดพูดต่อทันที ก่อนจะหันไปพยักพเยิดถามบิวที่นั่งอยู่ข้างๆ กัน แต่ก็ได้รับเพียงแค่การส่ายหน้ามาให้เป็นคำตอบเพียงแค่นั้น และไม่ทันที่จะได้ถามไถ่อะไรไปมากกว่านี้ อาจารย์ผู้สอนก็เดินเข้าห้องเรียนมาเสียก่อน จากนั้นทุกคำถามก็เลยถูกกลืนลงคอไป จะเหลือก็เพียงแค่ความห่วงใยผ่านทางสายตาส่งไปให้เพื่อนคนสนิทเพียงแค่นั้น เพื่อนผู้ซึ่งปกติจะเป็นคนที่คอยช่วยเหลือทุกคนในกลุ่มอยู่เสมอ ทว่าคราวนี้สถานการณ์เหมือนดูจะต่างออกไป.....
.............................................
พอหมดคาบเรียนในช่วงเช้า ทุกคนในกลุ่มต่างก็หันหน้ามาหากิจแทบจะในทันทีที่อาจารย์ผู้สอนได้เดินพ้นออกไปจากประตูห้อง ก่อนจะยิงคำถามมากมายขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง ทว่าคำพูดประโยคเดียวที่ออกมาจากปากของกิจและทำให้ทุกคนนิ่งเงียบกันไปตามๆ กัน โดยไม่มีใครคิดที่จะถามอะไรต่อก็คือ....
“ กันต์.... ย้ายออกไปจากห้องแล้วว่ะ “
จากน้ำเสียงที่พูดออกมา พวกเพื่อนๆ ต่างก็รู้ว่าสถานการณ์ในตอนนี้ยังไงก็ไม่ควรจะไปเซ้าซี้อะไรให้มากกว่านี้... ไม่มีใครเคยเห็นท่าทีและแววตาเศร้าสร้อยเช่นนี้ของกิจมาก่อนเลยตั้งแต่ที่ได้รู้จักกันมา ที่สำคัญ... ทุกคนต่างก็ไม่คิดว่าจะมีใครที่สามารถทำให้ผู้ชายอย่างกิจเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้...
และแน่นอนว่า... ตอนนี้พวกเขาทุกคนต่างก็รู้ดีว่า... กันต์คือคนที่มีอิทธิพลต่อสภาพจิตใจของกิจมากแค่ไหน
..................................................
ที่โรงอาหารคณะ
กิจที่กำลังเดินเหม่อๆ นำพวกเพื่อนๆ ที่กำลังเดินตามหลังเขาอยู่ด้วยสายตาที่เป็นห่วงเข้ามายังภายในโรงอาหารของคณะ เขาไม่ได้รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย ไม่อยากจะกินหรือทำอะไรเลยทั้งนั้นในตอนนี้ แต่ทันทีที่สายตาที่เลื่อนลอยของเขาไปสะดุดยังใครบางคน หัวใจของเขาก็เริ่มเต้นแรงขึ้น ราวกับว่าเลือดมันกำลังสูบฉีดกลับเข้ามายังร่างอันไร้วิญญาณเพื่อให้มีชีวิตใหม่ขึ้นมาได้อีกครั้ง
เขายืนนิ่งมองดูกันต์อยู่ไกลๆ ในขณะที่กันต์กำลังนั่งหงอยเขี่ยข้าวในจานไปมาเรื่อยๆ และเท่าที่ดู... พวกทั้งสองต่างก็มีสภาพจิตใจที่ย่ำแย่ไม่แพ้กันสักเท่าไหร่
เพื่อนทั้ง 3 คนของกิจมองหน้ากันไปมาอย่างเข้าใจเมื่อเห็นท่าทีของคนตรงหน้า ก่อนที่พีจะเป็นตัวแทนเดินเข้ามาจับไหล่ของกิจแล้วพูดขึ้น
“ เอาไงมึง.. จะเข้าไปหาน้องมันมั้ย เผื่อจะได้.. “
“ อย่าดีกว่า... “
กิจพูดสวนขึ้นมาเสียงเรียบ ซึ่งขัดกับความรู้สึกของตัวเอง ก่อนจะผลุบตาลงต่ำไป ประจวบกับที่กันต์เงยหน้าจากจานข้าวขึ้นมาเห็นพอดี ก่อนจะชะงักมือที่เขี่ยข้าวอยู่อย่างตกใจและประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย จนเพื่อนที่นั่งข้างๆ อย่างเรย์จับสังเกตได้และมองตามสายตาเพื่อนสนิทของเขาไป
“ โอเคมั้ยวะมึง... “
น้ำเสียงที่ดูจะเป็นห่วงของเรย์ถามขึ้นมาอย่างแผ่วเบา ก่อนจะพบว่าคนข้างๆ ได้แสร้งยิ้มขึ้นมาพร้อมกับขานรับในลำคอส่งมาให้เล็กๆ เพียงแค่นั้น
ตอนนี้เรย์รู้เพียงแค่ว่าสองคนนี้กำลังมีปัญหากัน และกันต์ก็เลือกที่จะไม่ทนต่อสิ่งเหล่านั้นอีกต่อไปแล้ว และได้หอบกระเป๋ามาหาเขาในเช้าวันนี้
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างกันต์กับกิจเมื่อคืนนี้ กันต์ยังคงเลือกที่จะไม่เล่าให้เพื่อนสนิทของเขาได้รับรู้ เขาอยากจะปล่อยผ่านและให้เรื่องพวกนั้นมันได้หายไปกับกาลเวลาเลยทั้งอย่างนั้น
และก่อนที่กลุ่มของกิจกำลังจะเดินผ่านมาถึงโต๊ะ กันต์ก็เลือกที่จะลุกออกไปโดนอ้างว่าจะไปซื้อน้ำแทบจะในทันที
กิจที่มีสีหน้านิ่งเฉยแต่แววตาแสดงถึงความรู้สึกผิดอยู่ในทุกขณะ เขามองตามคนที่เขาสนใจอยู่ในทุกกิริยาบท และสังเกตได้ถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น เขาเห็นท่าทางที่ขยับตัวไม่ค่อยสะดวกและสีหน้าที่แสดงถึงความเจ็บปวดเล็กน้อยในบางจังหวะ ซึ่งเขาก็พอจะรู้ว่ามันคงจะเป็นผลมาจากการที่เขาใช้ความรุนแรงในช่วงคืนที่ผ่านมาอย่างแน่นอน กระนั้นเขาก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปถามไถ่และดูแลอยู่ดี เพียงเพราะความรู้สึกผิดและสัญญาที่เขาไม่ยินยอมเลยแม้แต่น้อย ที่ทำได้ก็เพียงแค่การมองตามไปอย่างเป็นห่วงก็เท่านั้น
ทันทีที่เขาได้โต๊ะนั่งห่างออกไปจากโต๊ะของกลุ่มรุ่นน้องคนสนิท กิจก็หยิบเอาโทรศัพท์ออกมาส่งข้อความไลน์ถามไปยังเรย์ทันทีถึงเรื่องของกันต์ เพราะเขาเองก็พอจะรู้ว่าคนเดียวที่กันต์คงจะนึกถึงเป็นคนแรกในสถานการณ์แบบนี้ก็คือเพื่อนสนิทอย่างเรย์แน่นอน ซึ่งก็ทำให้เขาได้ข้อมูลมาว่า ตอนนี้กันต์ได้หอบเอากระเป๋าเสื้อผ้าเข้าไปไว้ยังห้องของเรย์ และคาดว่าอีกไม่นานก็คงจะหาหอพักใหม่แถวๆ นั้นอย่างแน่นอน
“ เฮ้ยพวกมึง... เดี๋ยวกูไปห้องน้ำแปบนะ ปวดขี้ว่ะ “
เรย์พูดขึ้นพร้อมกับลุกออกจากโต๊ะไป หลังจากที่เขาได้รับข้อความไลน์จากกิจ ซึ่งเรียกเขาให้ออกมาหาที่ข้างโรงอาหาร
.........
“ ครับพี่ ”
เรย์ทักกิจที่กำลังยืนพิงกำแพงขึ้นทันทีที่เดินมาถึง ก่อนจะมองสภาพรุ่นพี่ที่เป็นเหมือนไอดอลของเขาที่มีสีหน้าอมทุกข์ไม่ต่างอะไรไปจากเพื่อนของเขาเลยสักนิด
“ กันต์เป็นไงบ้าง... “
“ ก็แย่อะพี่ แล้วนี่ตกลงพี่กับมันมีเรื่องอะไรกันอะ เพราะมันเองก็ไม่ยอมเล่าให้ผมฟังสักเท่าไหร่ “
“ เอาจริง...กูเองก็ยังไม่รู้ว่าสาเหตุจริงๆ เท่าไหร่หรอก รู้แค่ว่าต้นเรื่องมันมีฮานะเข้ามาสร้างเรื่องเอาไว้ให้กันต์มันเข้าใจผิด “
“ แล้วทำไมพี่ไม่เคลียร์กับมันให้รู้เรื่องล่ะ ทำไมมันถึงต้องย้ายออกมาด้วย “
“ กูก็อยากเคลียร์ แต่... ตอนนี้ก็คงสายไปแล้วล่ะ... ว่าแต่.. กันต์มันดูป่วยด้วยใช่มั้ย... “
“ ใช่พี่... ท่าทางมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เมื่อเช้าก็ดูจะมีไข้ด้วยนะ “
พอได้ยินมาอย่างนี้ กิจเองก็ดูจะยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นไปอีก เพราะความบ้าคลั่งของตัวเขาเองแท้ๆ เขาล้วงเอากระเป๋าตังออกมา ก่อนจะหยิบแบงค์พันออกมา 3 ใบส่งให้เรย์ไป
“ เอานี่ไป แล้วพามันไปหายากิน แต่ถ้าไม่ดีขึ้นก็พาไปโรงพยาบาลเลยนะ ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ก็ให้มาบอกที่กู มึงต้องดูแลมันให้ดีที่สุดนะ แล้วอย่าลืมหาของกินที่มีประโยชน์ให้มันด้วย หรือถ้ามันอยากกินอะไรมึงก็ไปซื้อให้มันเลย... เอานี่.. เผื่อว่าจะไม่พอ “
กิจทำท่าจะควักเงินออกมาเพิ่มให้อีก แต่ก็ถูกเรย์ห้ามเอาไว้ก่อน
“ พอแล้วพี่... เยอะไปแล้ว... อีกอย่าง... มันก็เพื่อนผมนะ ผมดูแลมันได้อยู่แล้ว พี่ไม่ต้องเป็นห่วงมันมากไปหรอก “
แม้จะได้ยินมาอย่างนี้ แต่กิจเองก็ยังไม่สามารถจะวางใจได้ ถ้าไม่ใช่เขา ไม่ว่าใคร...เขาก็ไม่วางใจทั้งนั้นแหละ และเหมือนว่าเรย์เองก็พอจะจับสัญญาณนี้ได้เช่นกัน เขาเลยย้ำอีกครั้งเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคนตรงหน้า
“ ไม่ต้องห่วงพี่ ไว้ใจผมได้... ผมจะทำตามที่พี่บอกทุกอย่าง... แต่ว่า... พี่อย่าปล่อยเรื่องเอาไว้นานนะ ถ้ามีอะไรกันก็รีบๆ ไปเคลียร์กันให้จบ คือ...ผมสงสารเพื่อนผมอะ “
กิจไม่ได้ตอบอะไรออกมา แต่ก็ยอมพยักหน้าตอบรับไปเล็กๆ ก่อนจะทิ้งท้ายให้เรย์คอยรายงานสถานการณ์ทุกอย่างให้เขารู้โดยตลอด รวมถึงเรื่องที่ว่ากันต์จะไปหาหอพักที่ไหนด้วย
.....................................
ช่วงเย็นที่หอพักของเรย์
“ โชคดีนะมึง... ที่มีห้องว่างพอดี เพราะปกติหอนี้แม่งเต็มตลอด นี่ถ้าแฟนพี่นิกไม่เลิกกับแกไป ก็คงไม่มีห้องว่างหรอก “
“ ยังไงวะ “
กันต์ทำหน้าสงสัยถามมา ขณะที่กำลังหอบกระเป๋าขึ้นไปยังชั้น 5 ของหอพัก ซึ่งอยู่สูงกว่าห้องของเรย์ไปหนึ่งชั้น และเป็นชั้นบนสุดของหอพักนี้ด้วย
“ เอ้า! ก็พี่นิกพี่ปี 2 คณะเราไง แกพึ่งเลิกกับแฟนแก แล้วแฟนแกที่พักอยู่ห้องข้างๆ กัน พอเลิกปุ๊บก็แยกกันปั๊บเลย ถึงได้มีห้องว่างแบบนี้ไง “
กันต์พยักหน้าเข้าใจตามเล็กๆ
“ แล้วนี่จะให้กูไปขนของที่เหลือให้ใช่มั้ย “
เรย์หมายถึงข้าวของที่ยังเหลืออยู่ที่คอนโดของกิจ เพราะสิ่งที่กันต์ขนออกมาเมื่อเช้านี้ก็มีเพียงแค่กระเป๋าเสื้อผ้าเพียงเท่านั้น
“ ฝากทีนะ กู.. ยังไม่พร้อมจะกลับไปว่ะ “
“ เออ... เดี๋ยวกูจัดการให้ กูบอกไอ้ธันไว้แล้วด้วย “
“ แล้ว.. มึงอย่าลืมขอพี่กิจเขาก่อนนะ ปกติพี่เขาไม่ชอบให้คนแปลกหน้าเข้าห้องน่ะ แล้วนี่... คีย์การ์ด ถ้าเสร็จแล้วก็ฝากเอาไปคืนพี่เขาด้วย “
“ เออน่า กูรู้แล้ว... เมื่อเย็นกูโทรไปบอกพี่เขาแล้ว พี่เขาก็บอกว่าให้เข้าไปได้เลย เพราะวันนี้คงจะกลับห้องดึก “
“ พี่เขา...ไปไหนวะ “
สิ้นเสียงของกันต์ เรย์ก็ถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างหน่ายๆ
“ เอาจริงๆ นะมึงไอ้กันต์.. ถ้ามึงยังตัดใจจากพี่เขาไม่ได้ ยังห่วงเขาอยู่แบบนี้ล่ะก็นะ กูว่ามึงไปเคลียร์กับพี่เขาให้รู้เรื่องเหอะ ทำแบบนี้มีแต่จะยิ่งเจ็บไปซะเปล่าๆ “
“ แต่ถ้ายังอยู่อย่างนั้น กูก็เจ็บเหมือนกัน... แถมเจ็บแบบไม่มีที่สิ้นสุดอีกต่างหาก... กูไม่อยากทรมานแบบนั้นอีกแล้วว่ะ “
น้ำเสียงที่เศร้าพร้อมกับสายตาผลุบต่ำลง มันทำให้เรย์ไม่คิดจะพูดโน้มน้าวอะไรต่อและอดสงสารเพื่อนขึ้นมาไม่ได้ เขาตบไหล่กันต์เบาๆอย่างให้กำลังใจแล้วพูดขึ้น
“ เอาน่า... เดี๋ยวมันก็จะดีขึ้นเอง ยังไงมึงก็ยังมีกูอยู่นะ “
เขายิ้มบอกไป ก่อนที่กันต์จะฝืนยิ้มเจื่อนๆ ตอบมาให้ด้วยเช่นกัน
“ อืม.. ขอบใจนะมึง “
........................................................
ยามเย็นก่อนที่แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์จะหายไป กันต์เดินออกมายังระเบียงห้องหลังจากที่เรย์พึ่งจะออกไป
สายตาเขาเหม่อมองออกไปไกลๆ อย่างไร้จุดหมาย และก็เป็นอีกครั้งที่ภาพที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้มันหวนกลับมาทำร้ายจิตใจของเขาอีกเป็นรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้แล้วของวัน แต่ไม่นานเขาก็ดึงสติกลับมาก่อนจะสะบัดหน้าไปมาเล็กน้อยเพื่อไล่ความคิดวูบนั้นให้ออกไป
เขาไม่ควรจะปล่อยใจให้มันล่องลอยไปแบบนี้อยู่บ่อยๆ เขาควรจะทำตัวเองให้ไม่ว่างพอที่จะมาคิดอะไรฟุ้งซ่านแบบนี้อีก เมื่อคิดได้อย่างนั้น เขาก็เดินกลับเข้ามายังภายในห้องอีกครั้ง เพื่อเอาเสื้อผ้าออกมาจากกระเป๋าและจัดเรียงมันเข้าไว้ในตู้เสื้อผ้าต่อทันที
ต้องไม่ให้ตัวเองว่าง... ใช่... จะได้ไม่มีเวลามาคิดอะไรฟุ้งซ่านแบบนั้นอีก...
เขาทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยๆ เท่าที่พอจะทำได้ เพื่อรอให้เรย์ที่ไปขนของกับธันกลับมา ก่อนจะลงไปหาซื้ออุปกรณ์ทำความสะอาดแล้วกลับขึ้นห้องมาอีกครั้งในช่วงหัวค่ำ
ทันทีที่ประตูลิฟท์เปิดยังชั้น 5 ปลายสายตาของเขาก็เห็นเข้ากับรุ่นพี่ที่อยู่ห้องข้างๆ ซึ่งกำลังเปิดประตูออกและเข้าไปยังภายในด้วยสีหน้าเศร้าๆ ซึ่งกันต์เองก็ดูจะไม่แปลกใจเท่าไหร่ในท่าทีนี้ เมื่อคิดถึงสิ่งที่เรย์เล่าให้ฟังว่าพี่เขาพึ่งจะเลิกกับแฟนมาได้ไม่นาน เพราะจากสภาพจิตใจแล้ว... มันก็คงจะไม่ต่างอะไรกับเขาในตอนนี้สักเท่าไหร่หรอก
กันต์กลับเข้าห้องมาอีกครั้งก่อนจะเริ่มลงมือทำความสะอาดห้องอย่างตระกุกตระกักไม่ค่อยสบายตัวสักเท่าไหร่ จากสภาพร่างกายที่ไม่ค่อยดีในวันนี้ เพราะจากสิ่งที่ได้รับเมื่อคืน... มันได้ส่งผลกับเขาในตอนเช้าทันที เขาปวดเนื้อปวดตัว รู้สึกขัดและเจ็บบริเวณช่องทางด้านหลังอยู่บ้างเล็กน้อย แถมยังมีไข้อ่อนๆ ตลอดทั้งวัน ดีหน่อยที่เรย์พาเขาไปหาซื้อยามาทานในช่วงบ่ายที่ผ่านมา
สักพักใหญ่เรย์ก็กลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับธัน ทั้งสองช่วยกันขนข้าวของใส่รถมากันคนละคัน และแม้ว่ากันต์จะพยายามดื้อดึงจะไปช่วยขน แต่ก็ถูกห้ามเอาไว้ก่อน เพราะพวกเขารู้ดีว่าสภาพร่างกายในวันนี้ของกันต์ไม่ค่อยจะสู้ดีสักเท่าไหร่
………..
เวลาตี 2 ที่คอนโดของกิจ
ภายในห้องดูจะเงียบสงัดจนเจ้าของห้องที่พึ่งจะเปิดประตูเข้ามาถึงกับใจหายทันที ทั้งๆ ที่ไม่กี่เดือนก่อนหน้านี้ บรรยากาศแบบนี้ก็ดูจะเป็นเรื่องปกติหรับเขาแท้ๆ
ทันทีที่กิจปิดประตูห้องลง เขาก็เดินเข้ามาเปิดยังประตูห้องนอนของกันต์ โดยหวังว่าทุกอย่างมันจะยังคงอยู่ในสภาพเดิมเหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมา แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลยแม้แต่น้อย เมื่อทุกอย่างภายในห้องดูโล่งเกินกว่าที่ควรจะเป็น แม้เขาจะรู้อยู่เต็มอกแล้วก็ตามว่าตอนนี้เจ้าของห้องไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว แต่ภายในใจก็ยังแอบหวังไม่ได้ว่าบางทีกันต์อาจจะเปลี่ยนใจขึ้นมาบ้างแล้วก็ได้
เขาเดินสะโหลสะเหลมึนๆ จากการดื่มเหล้าที่ร้านประจำข้างมหาลัยฯ มายังห้องรับแขก ก่อนจะทิ้งตัวลงไปนั่งอย่างหมดสภาพ พลางนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงนี้เมื่อคืนที่ผ่านมา
น่าละอายในความคิด... ที่แม้ว่าจะเป็นการกระทำที่แย่มาก แต่มันกลับตราตรึงในความรู้สึกของเขาอย่างไม่จางหาย แม้ว่าจะเกิดกับผู้ชายด้วยกัน... แต่เพราะว่าคือกันต์ ไม่ว่าจะเรือนร่าง ความน่ารัก และความเดียงสา มันทำให้เขามองข้ามเรื่องของเพศสภาพและดูดดื่มไปกับความรู้สึกนั้นได้ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา
ทว่า... จากนี้ไปเขาคงไม่ได้สัมผัสกับความรู้สึกเหล่านั้นอีกต่อไปแล้ว
.............................
เช้าวันต่อมา
กิจไม่รู้ว่าเขาเผลอหลับไปตอนไหน แต่มารู้สึกตัวอีกทีก็เช้าไปเสียแล้ว เขายันตัวลุกขึ้นมานั่งพลางนึกทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมาเมื่อคืนนี้ในสภาพแฮงค์ๆ ของตัวเอง ก่อนจะมองไปยังรอบๆ บริเวณที่ยังคงเงียบสงัดอยู่เช่นเดิม เขารู้สึกได้ถึงการขาดหายไปของความมีชีวิตชีวา ที่เหลือไว้ก็แค่เพียงความทรงจำตามมุมต่างๆ ที่สายตาเขากวาดไปเห็น...
กันต์ที่อิดออดทุกทีที่เขาปลุกให้มาออกกำลังกายในตอนเช้า...
เสียงอ้อนน่าฟังเวลาที่จะขออะไร….
หรือแม้แต่อาการฟึดฟัดพ่นลมออกจมูกเวลาที่ถูกขัดใจ...
ทุกภาพจำมันได้ปรากฏอยู่ในทุกๆ มุมของห้องนี้ตลอดเวลา....
กิจเดินกลับเข้าไปในห้องเพื่อทำธุระส่วนตัวพร้อมกับแต่งตัวเพื่อไปเรียน และปิดท้ายด้วยการดึงเอากระเป๋าใบใหญ่ออกมา ก่อนจะทยอยขนเสื้อผ้าบางส่วนภายในตู้เสื้อผ้าใส่ลงไปในนั้น ด้วยความคิดที่จะออกไปจากห้องนี้ด้วยเช่นกัน
เมื่อไม่มีใครบางคนแล้ว... ห้องนี้ก็ไร้ซึ่งความน่าอยู่อีกต่อไป หากแต่เต็มไปด้วยภาพจำที่คอยแต่จะทำร้ายจิตใจของเขาอยู่ตลอดเวลาเพียงเท่านั้น....
…………………..