มาแย้ว
ตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกาดิจิตอลบอกเวลาว่าตอนนี้เป็นเช้าของอีกวันแล้ว เตชสิทธิ์ละสายตาจากตัวหนังสือบนแผ่นกระดาษที่เพิ่งจะอ่านจบไปอีกแผ่นหนึ่งจากหลายๆแผ่น เด็กหนุ่มหันมองโทรศัพท์เครื่องเล็กของตัวเองสลับกับตัวเลขบนหน้าปัดนาฬิกา จะตีหนึ่งเข้าไปแล้ว กัณตินันท์ยังไม่ถึงบ้านอีกหรือไงนะ ทำไมป่านนี้ถึงยังไม่โทรกลับมาหาเขาตามที่เขาบอกตอนจะแยกจากกัน
.
.
.
.
.
โทรศัพท์นั่นวางอยู่บนโต๊ะข้างเตียงนอน แสงจากโคมไฟหัวเตียงส่องให้เห็นว่าอุปกรณ์สื่อสารนั่นดับสนิทอยู่ บนเตียง กัณตินันท์กำลังกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ด้วยอาการเหม่อๆ ชายหนุ่มหันมองโทรศัพท์ตัวเองแล้วถอนหายใจเบาๆ แววตา น้ำเสียง และถ้อยคำสุดท้ายของเตชสิทธิ์ยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดจนไม่อาจที่จะข่มตาให้หลับลงได้ ในตอนแรกที่ขาก้าวเข้ามาในห้องนอนของตน ชายหนุ่มก็ทำเหมือนจะโทรฯไปรายงานคนที่ออกคำสั่งตอนจากมา แต่คิดอีกทีก็หาเหตุผลให้ตัวเองไม่ได้ว่าจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร มันควรจะจบลงไปได้แล้วไม่ใช่กับสถานะตนเองในด้านการเป็นอาจารย์สอนพิเศษให้เด็กคนนั้น ชายหนุ่มเลือกการปิดโทรศัพท์ลงในตอนนั้นแทนการโทรออก จนล่วงเวลามาถึงตอนนี้
“เป็นบ้าอะไรกัณตินันท์ เด็กคนนั้นมันร้ายกับนายจะตาย จำไม่ได้หรือไง”ชายหนุ่มเปรยออกมาเบาๆเมื่อไม่มีทีท่าว่าจะลืมคำพูดและการกระทำของลูกศิษย์ตัวดีออกไปจากสมองง่ายๆ ลมหายใจถูกปล่อยออกมาเฮือกใหญ่ในนาทีสุดท้าย ก่อนที่คนปล่อยจะเอื้อมมือไปดับสวิทซ์ไฟหัวเตียง ชายหนุ่มล้มตัวลงนอนเมื่อภายในห้องมืดสนิทพร้อมกับจัดการคลุมโปงให้ตัวเองคล้ายๆว่าจะกันไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่านยังไงยังงั้น
.
.
.
.
.
.
เสียงเคาะประตูห้องดังติดต่อกันยาว ทำเอาคนในห้องถึงกับสะดุ้งตื่น
“สายแล้วนะไต๋ ตืนหรือยังน่ะ แม่จะไปทำงานแล้วนะ”เสียงคนข้างนอกลอยเข้ามาในห้องหลังเสียงเคาะหยุดไป
“ตื่นแล้วครับแม่”เตชสิทธิ์ตะโกนกลับออกไป ก่อนจะสังเกตรอบตัวแล้วจึงรู้ว่าตัวเองเผลอฟุบหลับบนโต๊ะอ่านหนังสือ ที่บนโต๊ะเต็มไปด้วยเอกสารที่กัณตินันท์ทำให้ พร้อมหนังสืออีกสองสามเล่มที่ตนเลือกมาอ่านตามคำแนะนำในเอกสารนั่น
“งั้นแม่ไปก่อนนะ เราก็รีบๆเข้าล่ะเดี๋ยวไปโรงเรียนไม่ทัน”เสียงแม่ร้องบอกเข้ามาอีก เด็กหนุ่มตะโกนรับคำออกไปแล้วรีบผุดลุกขึ้นรีบไปจัดการตัวเองให้พร้อมที่จะออกจากบ้านได้เร็วที่สุด เพราะเห็นแล้วว่าตัวเองตื่นสายผิดเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง
.
.
.
.
รถประจำทางสายที่รอดูเหมือนว่าวันนี้จะวิ่งน้อยผิดปกติ ทำเอาคนยืนรอนิ่วหน้าด้วยความหงุดหงิด
“แม่ง น่าจะเอามอไซค์ มา”เด็กหนุ่มบ่นออกมาลอยๆ เมื่อรู้สึกขัดใจในระบบการขนส่งมวนชล ในขณะที่ยืนเว็งๆอยู่นั้น สิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มยิ้มออกมาได้ก็เกิดขึ้น นั่นก็คือ มีรถเก๋งคันหนึ่งวิ่งตรงเข้าจอดเทียบในจุดที่ตนยืนอยู่ เด็กหนุ่มจำได้ทันทีว่ารถคันนั้นเป็นรถของคนที่เขาได้คุยและได้รู้จักในตอนเย็นของเมื่อวาน
“จะไปโรงเรียนเหรอไต๋ ขึ้นมาสิ เดี๋ยวพี่ไปส่ง”เจ้าของรถเลื่อกระจกรถลงแล้วตะโกนบอกออกมาจากในรถ เตชสิทธิ์ไม่รอช้าที่จะเปิดประตูก้าวขึ้นไปนั่งคู่กับฝ่ายนั้น
“นึกว่าจะซวยตลอดเช้าซะแล้ว”เด็กหนุ่มเอ่ยทีเล่นทีจริงเมื่อขึ้นไปนั่งบนรถได้สำเร็จ และเพราะมัวแต่สาละวนอยู่กับการคาดเข็มขัดนิรภัย เจ้าตัวจึงไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังถูกมองสำรวจร่างกายตั้งแต่เส้นผมจรดปลายเท้าจากคนที่เป็นเจ้าของรถ
ภูมิ ใช้สายตาโลมไล้หนุ่มน้อยตัวหอมที่ขึ้นมานั่งข้างๆตน ชายหนุ่มนึกขอบคุณพระเจ้าในตอนนี้ที่ดลบันดาลใจให้เขาอยากออกจากบ้านสายกว่าปกติ ดูเอาเถอะ มันช่างโชคดีแท้ๆ ที่อยู่ดีๆก็ได้เจอกับหนุ่มน้อยที่กำลังหลงใหลโดยบังเอิญแบบนี้
“ตื่นสายเหรอเรา ”คนคิดว่ามีโชคเอ่ยถามคนข้างกายเมื่อเห็นเจ้าตัวจัดการคาดเข็มขัดนิรภัยให้ตัวเองเสร็จแล้วหันมามองหน้าตน ชายหนุ่มเคลื่อนรถออกไปตามถนนพลางนึกขัดใจและเสียดายอยู่ในที ที่เห็นฝ่ายนั้นหันมาสนใจตนเร็วเกินไป ก็แหม กำลังใช้สายตาโลมไล้ไรขนอ่อนๆที่ขึ้นปกคลุมต้นขาขาวๆขณะโผล่พ้นออกมานอกกางเกงนักเรียนอยู่พอดี ดันหันมามองกลับซะนี่ อารมณ์เสียนัก หึ!!
“ ก็นิดหน่อยครับ แล้วนี่พี่ถูมิกำลังจะไปทำงานเหรอครับ”เตชสิทธิ์เอ่ยตอบคำถามแรกที่ได้ยิน แล้วย้อนถามกลับ เป็นการเริ่มต้นการสนทนา
“อืม พอดีวันนี้ออกสายหน่อย แล้วนายล่ะ ปกติออกจากบ้านแบบนี้ทุกวันเหรอ”
“เปล่าหรอกครับ วันนี้อ่ะสาย พอดีเมื่อคืนนอนดึก”
“ทำอะไรดึกๆดื่นๆ”
“ก็อ่านหนังสือสอบนิดหน่อยครับ”สิ่งที่เด็กหนุ่มตอบออกไปเป็นเรื่องจริง ใช่แล้วล่ะ เขาไม่ได้โกหกหรอก เพราะเมื่อคืนเขาได้เริ่มอ่านหนังสือเรียน หนังสือเตรียมสอบจริงๆ ตามแนวทางที่คนบางคนชี้แนะไว้ในแฟ้มที่เขาเคยเมินใส่ เด็กหนุ่มหยิบแฟ้มนั่นมาเปิดดูตอนที่ทำกิจวัตรก่อนเข้านอนของตนเรียบร้อย ก่อนจะลองนั่งอ่านอย่างพินิจไปทีละหน้าทีละหน้า สลับกับการมองโทรศัพท์เป็นระยะๆ แน่ล่ะ เพราะเจ้าตัวกำลังรอไปด้วยนะสิว่าเจ้าของแฟ้มจะโทรเข้ามาหาเขาตนตามที่ตนได้บอกเอาไว้
ถึงตอนนี้ เตชสิทธิ์มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อเริ่มรู้สึกเคืองใจขึ้นมากับการที่คืนทั้งคืนได้นั่งรอโทรศัพท์จากเจ้าของแฟ้มชี้แนะแนวทางการ
เตรียมตัวสอบนั่นพร้อมกับการอ่านหนังสือไปด้วยตามสัญญาที่บอกไว้ แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีสัญญาณเสียงใดๆดังขึ้นจากโทรศัพท์ จนเขาเผลอหลับลงไปในที่สุด และพอตื่นขึ้นมาแล้วลองเช็คเครื่องโทรศัพท์ดูในตอนก่อนออกมานี่ก็ไม่มีวี่แววการโทรเข้ามาของฝ่ายนั้นเลยซักนิด
“ดูเครียดๆไปนะ ตอนขึ้นมาก็ยังดูดีๆอยู่นี่”ภูมิที่สังเกตเห็นอาการเด็กหนุ่ม เอ่ยถามขึ้น
“ไม่มีอะไรหรอกครับ เผอิญหงุดหงิดรอรถนาน”คนถูกถามเอ่ยโกหกออกไป ก็เขาจะบอกคนที่เป็นผู้ชายแท้ๆอย่างเขาได้ยังไงล่ะว่านาทีนี้เขากำลังนึกเคืองและนึกหงุดหงิดในการกระทำของคนๆหนึ่งที่เป็นเกย์อยู่
“อืม รถเมล์ไทยก็งี้แหละ”ภูมิเอ่ยบอกอย่างไม่นึกสงสัยอะไร ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้แล้วรีบเอ่ยขึ้น
“เออ ..แล้วปกติไต๋ออกมารถที่ตรงนี้ประจำเลยหรือเปล่า”
“ก็รอทุกเช้าแหละครับ ทำไมเหรอครับ”เตชสิทธิ์ถามกลับอย่างงงๆ
“ก็พี่ผ่านทางนี้อยู่ทุกวันเหมือนกันไง”
“แล้วไงเหรอครับ”
“อ้าว ก็ถ้าไต๋สะดวกจะมาพร้อมพี่ พี่ก็จะได้แวะรับทุกวันไง”
“โห เอางั้นเลยเหรอพี่ ลำบากพี่เปล่าๆ”
“ไม่ลำบากหรอ ก บอกแล้วไงว่าพี่ผ่านมาทางนี้ทุกวันอยู่แล้ว เพียงแต่ถ้าเราจะเจอกันเช้ากว่านี้อีกซักนิด ก็น่าจะโอเค”
“ผมน่ะไม่มีปัญหาอยู่แล้วครับ แต่เอาเป็นว่าถ้าบังเอิญเจอแล้วผมค่อยขอติดรถพี่มาแล้วกัน ให้พี่มาคอยรับทุกวัๆมันคงไม่ดี”
“ไม่ดียังไงเหรอ”
“ผมเกรงใจพี่น่ะครับ”
“พี่ไม่ซีเรียส ช่วยได้ก็ช่วยกันไปคนไทยด้วยกัน”
“พี่นี่แมนดีจัง มิน่าล่ะ ถึงบอกว่ามีสาวติดเยอะ”
“ก็นะ นิดนึง เป็นอันว่าตกลงตามที่พี่บอกหรือเปล่าล่ะ”
“ยังไงผมก็เกรงใจพี่อยู่ดีแหละ เอาตามที่ผมบอกดีกว่า ถ้าบังเอิญเจอพี่ ผมค่อยขอติดรถมาด้วยดีกว่า”
“โอเค ตามใจนายก็แล้วกัน”การสนทนาตกลงเรื่องการเดินทางจบลงไปแค่นั้น ก่อนที่หัวข้อสนทนาใหม่จะเริ่มขึ้น โดยคนเริ่มคือเจ้าของรถ ชายหนุ่มหยิบยกหัวข้อที่ได้คุยกับเด็กหนุ่มข้างกายขึ้นมาพุดคุย
“แล้วตกลงเย็นนี้ว่าไง”
“เย็นนี้ ทำไมเหรอครับ”
“อ้าวก็บอกว่าจะมาหาพี่ที่ตึกไง แล้วให้พี่สอนวิชาพิชิตใจหญิงน่ะ”
“อะไร ยังเด็กอยู่เลย ความจำสั้นซะแล้ว”
“ไม่ขนาดนั้นหรอกพี่ แค่เมื่อคืนเจอเรื่องน่าปวดหัวนิดหน่อย”
“เรื่องอะไรเหรอ”
“พี่อย่ารู้เลย เรื่องบ้าบอคอแตกทั้งนั้น ไม่รู้ว่าโชคชะตาจะเล่นตลกอะไรกับผมนักหนา คนรอบกายถึงได้เพี้ยนไปหมด”มาถึงตอนนี้เด็กหนุ่มเริ่มมีสีหน้าเครียดขรึมขึ้นมาอีก เด็กหนุ่มนึกถึงภาพตอนที่เพื่อนรุ่นพี่อย่างกฤตภาษขับรถพาเลี้ยวเข้าโรงแรมม่านรูดขึ้นมาแล้วนึกเซ็งปนผิดหวังนิดๆ ที่แอบคิดไปว่าพฤติกรรมคนเคยสนิทมันดูแปลกๆไป เมื่อคืนแม้ฝ่ายนั้นจะอ้างว่าจะขับรถเข้าไปในสถานที่แห่งนั้นเพราะต้องการเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่คนได้ฟัง ฟังยังไงมันก็ดูไม่เข้าท่า ก็ถ้าเกิดครูบาอาจารย์ที่โรงเรียนเขาขับรถผ่านแล้วเห็นเขานั่งรถเข้าไปข้างในสถานที่แห่งนั้น เขาไม่ซวยหรอกเหรอ ทำไมการที่ผู้ชายเหมือนๆกันจะเปลี่ยนเสื้อผ้าต้องหาที่เปลี่ยนที่ลึกลับขนาดนั้นด้วย พูดถึงแค่จอดรถข้างทางเปลี่ยนแป็บเดียวก็เสร็จแล้ว ไม่เห็นต้องทำอะไรให้เขาหมดศรัทธาเลย ทั้งๆที่เพิ่งจะกลับมาเจอกันได้ไม่กี่วัน
“โอเค ไม่อยากเล่าก็ไม่ต้องเล่า ท่าทางชีวิตนายจะมีปัญหาอยู่นะนี่ มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ”ภูมิเอ่ยขึ้นมาลอยๆ เมื่อสังเกตเห็นคนข้างกายมีสีหน้าเครียดขรึมขึ้นมาอีกครา เปล่าหรอก สิ่งที่ชายหนุ่มเอ่ยออกไปเมื่อครู่ เจ้าตัวไม่ได้นึกห่วงใยอะไรกับเด็กคนนี้ด้วยความบริสุทธิ์ใจหรอก ความหมายคำว่ารักของเขา มันคือความหลงใหลในเพศรสต่างหากล่ะ คนข้างกายตอนนี้ดูยังไงก็ดูเหมือนคนกำลังสับสนและมีปัญหาอะไรอยู่ซักอย่าง ในชีวิตช่วงนี้ แต่ปัญหาเหล่านั้นมันจะมีอะไรบ้างก็ช่างเถอะ เขาไม่คิดจะใส่ใจจริงๆจังๆหรอก ตรงกันข้าม เขากลับขอให้ปัยหาต่างๆมันรุมเร้าเด็กคนนี้เยอะๆนั่นแหละดี เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะการที่คนหนึ่งคนกำลังสับสน อ่อนแอ หรือหมดทางแก้ไขปัญหา ก็มักจะวิ่งหาที่พึ่งที่น่าไว้ใจได้อยู่เสมอๆ แน่ล่ะ ตำแหน่งหน้าที่ตรงนั้น เขาขอประมูลตีตาจองเอาไว้ก่อนล่ะ แม้จะเป็นที่ปรึกษากำมะลอ แต่ขอแค่ได้ใกล้ชิดเด็กนี่เพื่อเป็นสะพานเชื่อมไปในทางพิชิตสวาทแล้วล่ะก็ถึงไหนถึงกันล่ะงานนี้
“พี่ภูมิดูออกด้วยเหรอว่าตอนนี้ชีวิตผมกำลังสับสนอย่างหนักอยู่”เตชสิทธิ์ยอมรับออกมาตรงๆ เด็กหนุ่มถอนหายใจหน่อยๆเมื่อคิดไม่ตกว่าจะหันทิศทางของชีวิตและอนาคตของตัวเองไปทางไหนดี ด้วยรู้สึกว่าปัญหาชีวิตของตนตอนนี้มันแตกแยกไปหลายทางซะเหลือเกิน ทั้งด้านการเรียน ความรัก หรือแม้กระทั่งเรื่องครอบครัว
การเรียน เด็กหนุ่มเพิ่งรับรู้ว่าระดับผลการเรียนของตนต่ำกว่ามาตรฐานเด็กคนอื่นๆในวัยเดียวกันอย่างน่าตกใจ ด้วยจากการได้ศึกษาข้อมูลผลการเรียน และคะแนนการสอบวัดผลต่างๆที่กัณตินันท์รวบรวมเอาไว้ให้ในแฟ้มที่ลองนั่งอ่านเมื่อคืน ในด้านของความรัก หัวใจตอนนี้ก้เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่า ณิชา เป็นคนที่ดีที่สุดในชีวิตนี้หริอเปล่า หรือเขาอาจมีโอกาสเจอใครที่ดีกว่านี้อีกก็เป็นได้ ก็ด้วยจากหลักการ การใช้ชีวิตในช่วงวัยเรียนที่กัณตินันท์ทำแทรกไว้ให้เขากับข้อมูลต่างๆในแฟ้มนั่นอีกนั่นแหละที่กำลังทำให้เขาสับสนอยู่ตอนนี้ว่าจะเอายังไง
กับเด็กสาวอย่างณิชาดี เขาควรจะปล่อยเรื่องความรักไว้ซักพักดีกว่ามั๊ย ตามคำแนะนำของคนทำแฟ้ม หรือเขาจะทำตามสิ่งที่หัวใจตัวเองสั่งดี ส่วนปัญหาทางด้านครอบครัว เด็กหนุ่มเริ่มเก็บคำที่แม่ของตนขู่เสมอๆว่าจะส่งตนไปอยู่กับผู้บังเกิดเกล้าอีกคนที่เขาไม่ยากไปอยู่ด้วย ในทุกๆครั้งที่มีการทะเลาะกัน มาคิด ทำไมเหรอ ทำไมแม่ถึงต้องชอบขู่เขาแบบนี้ตลอดเวลาด้วย เขามันเด็กเหลือขอจนเกินจะเลี้ยงไหวแล้วหรือไงกัน นี่ยังไม่รวมถึงปัญหาในเรื่องของกัณตินันท์อีกนะที่เด็กหนุ่มอดเก็บเอามาคิดไม่ได้ว่าตอนนี้ตนมีรู้สึกอย่างไรกับเจ้าตัวกันแน่ เกลียดเหรอ คงไม่แล้วล่ะ ความรู้สึกนี้มันค่อยๆบั่นทอนลงทีละนิดก็ตอนที่รับรู้ว่าเจ้าตัวได้ตัดสินใจหายไปจากชีวิตตนแล้วจริงๆ ก่อนจะหายเป็นปลิดทิ้งก็เมื่อตอนที่เห็นเจ้าตัวโดนต่อว่าเสียๆหายๆจากแม่ของตนหรือเพื่อนรุ่นพี่อย่างกฤตภาษ แน่ล่ะ ต้นเหตุที่กัณตินันท์ต้องโดนพิพากษาแบบนั้น เรื่องหลักๆมันก็มาจากการที่เขาเคยแผลงฤทธิ์ร้ายใส่ไฟเจ้าตัวซะจนเป็นคนไม่ดีในสายตาใครๆได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตอนนี้เขาไม่เกลียดนายนั่นแล้ว แล้วความรู้สึกไหนมาเคลื่อนเข้ามาแทนที่ความรู้สึกนั่นล่ะ จะว่าไม่ได้คิดอะไรกับเจ้าตัวเหรอ ไม่จริงหรอก ถ้าเขาไม่ได้คิดอะไร แล้วทำไมเมื่อคืนเขาต้องห่วงว่าเจ้าตัวจะมีอันตรายจากคนขับรถแท็กซี่สายตาแปลกล่ะ แล้วเมื่อเช้าที่เขานึกหงุดหงิดที่เจ้าตัวไม่ยอมโทรมารายงานความเคลื่อนไหวอีกล่ะ มันหมายถึงอะไร เขาชอบนายนี่เหรอ บ้าแล้วสิ เป็นไปไม่ได้ นายนี่เป็นผู้ชาย เขาก็ผู้ชาย ไม่หรอก เขายังไม่ได้เป็นเด็กผู้ชายกลายพันธุ์ เขายังรักยังชอบผู้หญิงอยู่ จริงสินะ ตอนนี้เขาคงแค่ สงสาร และเห็นใจนายนั่นล่ะมั้ง ที่ต้องมาโดนต่อว่าอะไรในทางเสียๆหายๆจากลมปากเขาก่อนหน้า เอาเถอะนะ จากนี้ไปเขาจะพยายามตั้งใจเรียน ตั้งใจศึกษาตามแนวทางที่เจ้าตัวอุตส่าห์ทำข้อมูลชี้แนะแนวทางให้เขาแล้วกัน เพื่อเป็นการทดแทนความร้ายกาจที่เขาเคยแผลงฤทธิ์ใส่ในเมื่อก่อน
“ท่าทางนายจะเป็นเอาหนักแฮะ นั่งหน้าเครียดเชียว คิดอะไรมากมายว้า ยังเด็กอยู่เลย ไม่เอาอย่าเครียดๆ หมดหล่อเลย”ภูมิเอ่ยแซวยิ้ม พลางแสร้งเอื้อมมือมาตบไหล่คนกำลังคิดไม่ตกกับปัญหาต่างๆของตัวเอง เตชสิทธิ์หันมองคนตบไหล่ตนคล้ายปลอบ ปัญหาต่างๆที่คิดว่าหนักดูจะผ่อนคลายลงไปได้บ้าง จึงเอ่ยออกมาในที่สุดเมื่อคิดอะไรได้
“พี่ภูมิ จะว่าอะไรมั๊ยถ้าผมจะกลับคำพูดตอนนี้”
“กลับคำอะไรเหรอ”ภูมิถามงงๆ
“ก็ที่บอกว่าถ้าบังเอิญเจอพี่แล้วผมจะขอติดรถพี่มาด้วยไง ตอนนี้ผมเปลี่ยนใจแล้ว ผมว่าผมเอาข้อเสนอแรกของพี่ดีกว่าที่ว่าจะแวะมารับผมทุกเช้าที่ป้ายรถเมล์นั่น”
“จริงดิ แล้วทำไมเปลี่ยนใจเอาตอนนี้ล่ะ”
“ไม่รู้สิ เวลาผมได้คุยกับพี่แล้วผมรู้สึกผ่อนคลายยังไงไม่รู้ ถ้าไม่ลำบากนักมาเป็นพี่ชายผมสิ ผมลูกคนเดียว”ภูมิอึ้งในสิ่งที่หลุดออกจากปากหนุ่มน้อยข้างๆ อะไรกันนื่ เขายังไม่ได้ทำตามแผนอะไรซักอย่าง ไอ้เด็กอ่อนหัดนี่มันก็ตกหลุมพรางเองซะแล้วเหรอ ก็อย่างว่าแหละนะ บุคลิกของคนเรามันต่างกัน ใครวางตัวได้ดีแค่ไหน คนนั้นก็ต้องเป็นคนกำชัยเป็นเรื่องธรรมดา แหม นึกแล้วก็ภูมิใจเสียจริง ที่บุคลิกเกย์ออฟฟิสอย่างเรา กลายเป็นบุคลิกพี่ชายที่แสนดีในสายตาของเด็กปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมไปได้ หึ วันนี้ฉันจะยอมเป็นพี่ชายนายก็จริง แต่วันหน้า เชื่อสิ ว่าฉันจะยัดเยียดการเป็นอย่างอื่นให้นายให้จงได้ นายเตชสิทธิ์!!!
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ไต๋เอ้ย เจอของแข็งเข้าไป จะรอดปากเหยี่ยวปากกามั๊ยล่ะนั่น
ติดตามตอนต่อไปครับ
อ้อ มีการเปลี่ยนแปลงชื่อ ภูวกฤษนิดหน่อย เป็น ภูมิ เฉยๆนะครับ เพื่อป้องกันการสับสนกับชื่อของ กฤตภาษ หรือเอส
**ขอบคุณเม้นท์เรื่องชื่อนะครับ จากในเล้าโน่นแหละ แก้ไขให้แล้วนะ แต่ให้แก้หมดคงไม่ไหวนะ เดี๋ยวต้นฉบับจะพังเอา
เจอกันตอนหน้าครับ
Boy
ปล. มาแร้วนะ คุณ nana lonely