วันวาเลนไทน์
เชษฐ์-ตี๊ฟ
“เล่นแบบนี้ไม่แรงไปเหรอว่ะ”ผมถามออกไปเสียงเครียด เมื่อได้ยินสิ่งที่ไอ้การ์ดเสนอมา เกี่ยวกับการวางแผนให้ไอ้ตี๊ฟเลิกกับแฟน แม้นี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ผม ไอ้การ์ดและชาวคณะร่วมมือกันสร้างความร้าวฉานให้กับคู่รักของไอ้ตี๊ฟ แต่นี่มันวันวาเลนไทน์ ผมเลยว่ามันออกจะใจร้ายกับตี๊ฟมันไปหน่อย ที่จะให้มาเลิกกับแฟนในวันวาเลนไทน์แบบนี้
“แรงตรงไหน มึงไม่เห็นเหรอ คราวก่อนที่มีผู้หญิงมาแสดงตัวว่าเป็นแฟนของคนที่มันคบ ตี๊ฟมันก็เลิกแบบชิลๆ ไม่เห็นมันจะเฮิร์ทอะไรเลย”โหไอ้การ์ด ใครบอกมึงกันล่ะว่ามันไม่เฮิร์ท ไอ้ตี๊ฟจริงๆ มันเป็นคนอ่อนไหวครับ ผมสังเกตมานานแล้ว เวลามันเลิกกับแฟนทีไรมันก็เฮิร์ททุกครั้งนะครับ แต่มันมักจะพยายามไม่แสดงออกมาให้คนอื่นๆ เห็นสักเท่าไหร่
และตอนนี้สิ่งที่ไอ้การ์ดพยายามจะทำก็คือ ช่วยให้ผมหมดคู่แข่งหัวใจ โดยการหาคนมาสวมรอยเป็นแฟนสาวของไอ้ปืน ไอ้ปืนคือใครนะเหรอครับ ปืนก็เป็นคนที่ตี๊ฟมันคบด้วยตอนนี้ และจากที่ท่านหัวหน้าทีมจอมวางแผนอย่างไอ้การ์ดไปสืบมา ไอ้ปืนถือว่ายังไม่ผ่านมาตรฐานที่จะคบกับตี๊ฟต่อได้ ก็ไม่รู้มันมีมาตรฐานจริงๆ หรือลำเอียงกันแน่ แต่นั่นแหละครับจุดนั้นผมไม่ค่อยได้สนใจสักเท่าไหร่ เพราะรู้ว่าที่มันพยายามทำคือช่วยเปิดทางให้ผม ที่ป๊อด ไม่กล้าจีบตี๊ฟมันสักที
แผนการเริ่มขึ้นเมื่อไอ้การ์ดดันปิ๊งไอเดียจากแฟนไอ้ตี๊ฟคนก่อนหน้านี้ ที่เลิกกับไอ้ตี๊ฟเพราะมีหญิงสาวอีกคนโผล่มาแหกอกไอ้ตี๊ฟถึงคณะกันเลยทีเดียว ไอ้การ์ดเลยจะหาคนมาแหกอกตี๊ฟอีกรอบ โดยจัดฉากให้มันเหมือนจริงมากที่สุด และด้วยความร่วมมือจากแหม๋ว ทั้งสองสามารถหาหญิงสาวผู้โชคดีได้แล้ว ก็ไม่ใช่ใครหรอกครับ เพื่อนสมัยมัธยมของแหม๋ว ที่บังเอิ๊ญ บังเอิญ ที่เค้าดันเคยรู้จักกับไอ้ปืน แถมยังมีรูปคู่ที่จริงๆ ก็คงจะถ่ายเล่นๆ แนวเพื่อนๆ กันแหละครับ แต่ทั้งแหม๋วและการ์ด สามารถครับ สามารถที่จะเอามาบิ๊ว และบอกบทให้หญิงสาวผู้โชคดี เพื่อไปแสดงต่อหน้าตี๊ฟไอ้อย่างแนบเนียน
“นี่ใกล้เวลาตี๊ฟจะมาแล้ว เดี๋ยวเรากับบิวจะไปหาที่หลบสแตนด์บายรอนะ”แหม๋วบอกกับพวกผมก่อนจะลากเพื่อนหลบฉากออกไป
“ไม่ต้องซีเรียสน่า มันเลิกกับแฟน แต่ก็มีแผนสำรองแล้วนี่นา”ไอ้การ์ดเอื้อมมือมาตบไหล่ผม เมื่อเห็นผมมีทีท่าว่ายังไม่ค่อยเห็นด้วยกับแผนการของมันสักเท่าไหร่
“กูไม่อยากเห็นมันเศร้าว่ะ”ผมบอกออกไปตามตรง คนอื่นๆ อาจจะไม่ได้สังเกต แต่ผมที่สังเกตมันตลอดเวลาที่ตี๊ฟมันต้องเลิกกับใครก็ตาม แม้มันจะไปสนุกกับพวกผม แม้มันจะทำเหมือนไม่เป็นอะไร แต่ทุกครั้งผมจะสังเกตเห็นแววตาเศร้าๆ ของมันเสมอ แม้หน้าตามันจะแกล้งยิ้มแย้มขนาดไหน แต่แววตามันไม่ได้แสดงออกมาว่ายิ้มแย้มเลย
“มันมาโน่นแล้ว อย่ามีพิรุธนะมึง”ไอ้การ์ดย้ำผมให้ปรับเข้าโหมดปกติเมื่อเห็นว่าไอ้ตี๊ฟกำลังเดินตรงมาที่พวกเรา
“ไงละมึง เวลามีแฟนนี่หายหัวตลอดเลยนะ เพื่อนฝูงนี่ยังจำได้หรือเปล่า”เป็นผมเองที่เปิดปากทักทายตามสไตล์ที่ช่างขัดกับความรู้สึกจริงๆ ในใจของผมเหลือเกิน แต่มันก็ไม่ได้อยากหรอกนะครับ เพราะผมสลับโหมดจนเป็นอัตโนมัติไปแล้ว เวลาอยู่ต่อหน้ากับตอนตี๊ฟมันไม่อยู่นี่ เหมือนสมองผมจะสั่งการให้แสดงออกได้แตกต่างกันได้โดยอัตโนมัติแล้ว
“แหม๋ทำยังกะตัวมึงไม่มีแฟนงั้นแหละเชี่ยเชษฐ์ กูก็เห็นมึงหายหัวไปกะแฟนบ่อยๆ เหมือนกันแหละ”นั่นแฟนกูที่ไหนเล่า
“กูก็ยังมีเวลาให้เพื่อนๆ มากกว่ามึงแล้วกันน่า”
สิ้นเสียงผมแค่ไม่นานสายตาผมก็เริ่มเห็นนักแสดงที่ไอ้การ์ดเป็นผู้กำกับ กำลังเดินตรงมาที่พวกผม นี่ละครกำลังจะเริ่มอีกแล้วใช่ไหมนี่ย จริงๆ ก็สงสารตี๊ฟมันเหมือนกันนะครับ เอาจริงๆ ที่มันเปลี่ยนแฟนบ่อยๆ นี่ส่วนหนึ่งก็พวกผมนี่แหละ ที่เป็นคนจัดฉากให้มันต้องเลิกกับแฟน แม้จะไม่ใช่ทุกคนที่โดนพวกผมจัดฉาก แต่นับๆ ดูก็ไม่น้อยทีเดียว
“ตี๊ฟใช่ไหม”หญิงสาวมาสะกิดคนที่กำลังต่อปากต่อคำกับผม โดยไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ว่าตัวเองต้องอยู่ในบทละครของไอ้การ์ดอีกแล้ว ไอ้ตี๊ฟหันไปมองอีกฝ่ายอย่างงงๆ
“เรารู้จักกันเหรอ”เมื่อวิเคราะห์แล้วว่าไม่น่าใช่คนรู้จัก ไอ้ตี๊ฟก็ทักทายด้วยคำถามกลับไป พร้อมกับหันมองพวกผมทุกๆ คน เป็นการช่วยยืนยันว่าพวกผมรู้จักผู้หญิงที่เพิ่งมาทักมันหรือเปล่า
“เราไม่เคยเจอกันมาก่อนหรอก แต่พอดีมีเรื่องจะคุยด้วยนิดหน่อย”ผมเริ่มงงๆ หน่อยๆ ว่าบิวได้บทจากไอ้การ์ดมาว่ายังไง เพราะตอนแรกเข้าใจว่าจะให้บิวมาวีนไอ้ตี๊ฟเสียอีก แต่นี่ดูมาแบบเบาๆ หรือว่าจะค่อยๆ เทิร์นโปรความแรงขึ้นเรื่อยๆ ยังไงก็หวังว่าจะไม่ทำอะไรรุนแรงกันหรอกนะ สายตาผมหันไปคาดโทษไอ้การ์ดแทบจะทันที แต่มันก็ทำเพียงว่าให้ผมดูไปก่อน
“มีไรว่ามาดิ”ไอ้นี่ก็ไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวอะไรเลย ดูตี๊ฟมันยังมีทีท่าสบายๆ
“ขอคุยเป็นการส่วนตัวได้ไหม”นี่ยังอยู่ในบทหรือเปล่าเนี่ย ดูๆ แล้วเหมือนบิวจะเล่นนอกบทยังไงไม่รู้ หรือไอ้การ์ดไปตกลงกันตอนไหนอีก
“ไปดิ”ไอ้ตี๊ฟเดินนำบิวออกไปที่โต๊ะอีกตัวซึ่งห่างจากพวกผมไปพอสมควร แม้จะยังมองเห็น แต่คาดว่าไม่น่าจะได้ยินบทสนทนาเป็นแน่แท้
“ในบทไม่ใช่แบบนี้นิมึง ยังไงว่ะเนี่ย”ทันทีที่ทั้งสองออกห่างรัศมีการได้ยิน ผมก็ยิงคำถามใส่ไอ้การ์ดทันที
“กูก็ไม่รู้ แต่คิดว่าบิวคงไม่ทำแผนเราเสียหรอกน่า ใจเย็นๆ รอดูสถานการณ์ก่อน”ใจเย็นยังไงไหว จริงๆ ตอนนี้ผมชักเริ่มหวั่นๆ ว่าไอ้พวกนี้จะมีแผนซ้อนแผนอะไรอีก อยู่กับพวกนี้นานๆ ชักระแวงครับ เพราะพวกมันชอบขู่ผม ว่าจะไปบอกไอ้ตี๊ฟเรื่องความรู้สึกของผม แต่ไอ้ผมยังไม่พร้อมนี่สิ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมกลัวอะไร แต่ลึกๆ ก็กลัวว่ามันจะไม่ชอบผมนั่นแหละครับ ทั้งๆ ที่จริงๆ ก็ชัดอยู่แล้ว แต่ถามว่ายังมีหวังไหม คนเรามันก็ต้องอยู่ได้ด้วยความหวัง แม้มันจะน้อยนิดก็ตามที
“เดี๋ยวกูโทรถามแหม๋ว”ไอ้การ์ดหยิบมือถือเพื่อต่อสายถึงอีกหนึ่งจอมวางแผน โดยมีผมที่ลุ้นทั้งสองด้าน สายตาก็จ้องมองไอ้ตี๊ฟกับบิว แต่หูก็ฟังบทสนทนาของไอ้การ์ดกับแหม๋ว และจากที่ฟังๆ ดู เหมือนกับว่าแหม๋วจะไปเปลี่ยนบทให้กับบิว เพราะบิวเล่นบทวีนไม่ค่อยขึ้นสักเท่าไหร่จากการซักซ้อม เลยกลายเป็นว่า บิวจะมาพูดกับตี๊ฟตรงๆ และขอให้ตี๊ฟเลิกยุ่งกะไอ้ปืนนั่น
“สรุปนั่นเมียหลวงคนไหนของผัวมึงอีกล่ะไอ้ตี๊ฟ”เสียงไอ้การ์ดดังขึ้นทันทีที่ไอ้ตี๊ฟเดินกลับเข้ามาในกลุ่ม ซึ่งตอนนี้บิวได้ปลีกตัวออกไปแล้วเช่นกัน และผมเองรู้สึกอยากตบกะโหลกไอ้การ์ดเหลือเกิน คือก็ทั้งๆ ที่รู้อยู่แล้วว่าไอ้ตี๊ฟมันโดนอะไรมา ยังจะไปจี้ใจมันอีก
“เค้าจะเมียใครตอนนี้ไม่สำคัญหรอก เอาเป็นว่ากูโสดฉลองวาเลนไทน์แล้วกัน ใครจะไปแดกเบียร์กับกูก็เคลียร์คิวด้วยนะเย็นนี้ เจอกันร้านประจำ”แม้มันจะพูดเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรแต่ถ้าสังเกตสักนิดจะรู้ว่าในแววตาคู่นั้นกำลังซ่อนความเสียใจอยู่
“มึงโอเคป่ะว่ะ”ผมรีบเดินตามไอ้ตี๊ฟที่เดินออกจากกลุ่มเพื่อน พร้อมกับเอ่ยถาม
“กูโอเค เรื่องเดิมๆ กูชินแล้วแหละ”นั่นไงล่ะ ไอ้น้ำเสียงเศร้าๆ นี่ของมัน ผมไม่ชอบเลยจริงๆ
“เอาน่า ไม่มีแฟนก็ยังมีเพื่อน ฉลองวาเลนไทน์กับเพื่อนบ้างก็จะเป็นไรไป”ผมตบไหล่ไอ้ตี๊ฟเบาๆ เพื่อเป็นการให้กำลังใจ
“สรุปพวกมึงนี่มันร้ายกว่าที่กูคิดไว้เยอะเลยนะเนี่ย”ทันทีที่ผมเล่าจบ สุดที่รักของผมก็มีอาการงอนเล็กๆ ขึ้นมาทันทีครับ วันนี้เราสองคนออกมาทานข้าวด้วยกัน ฉลองวาเลนไทน์แรกของการเป็นคบกันระหว่างเราสองคน แล้วพอคุยกันไปกันมา ไอ้ผมเลยนึกขึ้นได้ว่าเคยได้รับความร่วมมือจากไอ้การ์ดในการสร้างความทรงจำที่ไม่ค่อยดีในวาเลนไทน์ให้ตี๊ฟมันไว้เหมือนกัน
“เอาน่า เรื่องมันผ่านไปแล้ว ดูนี่ดีกว่า”ผมค่อยๆ หยิบของที่ซ่อนไว้ออกมายื่นให้
“สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะ”
“อ้าวไหนตกลงกันแล้วว่าจะไม่ให้ของขวัญกันไง”ตี๊ฟเริ่มทักท้วงเพราะตอนแรก เราสองคนตกลงกันว่าไม่ต้องซื้อของขวัญให้อีกฝ่าน เพราะมันก็แค่วันธรรมดาวันนึง แค่ออกมาเจอกันทานข้าวด้วยกันก็พอ แต่ไอ้ผมก็อดไม่ได้หรอก เป็นวาเลนไทน์แรกของเราทั้งทีก็อยากจะมีอะไรพิเศษบ้าง
“กูโกหก อย่าโกรธนะ”ผมยิ้มกว้าง แม้จะรู้ว่าตี๊ฟไม่ชอบให้โกหก แต่เรื่องนี้ผมมั่นใจว่ามันคงไม่โกรธผมหรอก
“ไม่โกรธหรอกเพราะกูก็โกหกมึงเหมือนกัน สุขสันต์วันวาเลนไทน์นะ”พอพูดจบผมก็ได้รับกล่องของขวัญกลับมาเช่นเดียวกัน เราต่างหัวเราะออกมาพร้อมๆ กัน แล้วต่างฝ่ายก็ต่างแกะของขวัญ ผมให้นาฬิกาข้อมือเพราะมันเป็นอีกอย่างที่ตี๊ฟชอบสะสม ส่วนผมได้กระเป๋าตังค์เพราะคุณแฟนบอกว่าของเก่าผมมันเน่าเกินจะรับไหวแล้ว แต่ไม่ว่ามันจะให้อะไรผม ผมก็ชอบทั้งนั้นแหละครับ
“ขอบคุณนะ”ผมบอกพร้อมกับเอื้อมมือไปจับมือของตี๊ฟ