บททดสอบที่ 9
หนี
หลังจากคืนนั้น ทุกอย่างก็จบลง
ผมเดินออกมาจากห้องอย่างเงียบกริบ แม้ว่าอาการแฮงค์ที่ทำให้ผมปวดหัวแทบระเบิด ไหนจะความบอบช้ำจากประสบการณ์ร่วมรักครั้งแรกนั่นอีก ยังไม่รวมหัวใจพลันวูบโหวงเมื่อต้องผละจากอ้อมกอดที่ผมต้องซุกซบอยู่กว่าหลายชั่วโมง แต่ผมก็รวบรวมเรี่ยวแรงแล้วพาตัวเองออกมาจนได้
คงจะดีกว่าที่เราจะไม่ต้องฝืนปั้นหน้าใส่กัน ผมควรจากไปอย่างเงียบๆ โดยไม่เราทั้งคู่ลำบากใจ
เป็นแบบนี้ล่ะ ดีแล้ว
ผมเซซังกลับบ้านด้วยหัวใจอันบิดเบียวไร้ความหวัง หนึ่งค่ำคืนที่ใครอาจมองว่าเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบ แต่กับผมแล้วมันคือค่ำคืนที่มีความหมาย และเป็นความทรงจำที่ผมจะไม่มีวันลืม
มันน่าจะจบแค่
หนึ่งรอยจูบ ควรเป็นหนึ่งจูบที่เฉยชา เพื่อจบเรื่องวุ่นวายที่ผมได้เริ่มไว้ และมันควรเป็นรอยจูบที่จบฉากความรักสุดดราม่าที่ไม่มีวันสมหวัง
แต่มันก็เถิดไปไกล ถามว่าเสียใจไหม...
ตอบได้เลยว่า
ไม่ ผมไม่ได้รู้สึกว่าสูญเสียอะไร ในความคิดผม มันก็แค่มอบบางอย่างที่สำคัญให้กับคนที่รัก แล้วได้รับกลับมาก็คือความทรงจำ
อาจเป็นความทรงจำที่ข่มขื่นไปสักหน่อย แต่ผมก็ยินดีที่จะมีมันอยู่สมองและหัวใจก้อนเล็กๆ กลางอกนี้ มันอาจเป็นความคิดโง่ๆ ก็ได้นะ แต่ผมก็พอใจ
“ไอ้กันต์ ไอ้ห่ากันต์”
เสียงของพระพายปลุกผมจากภวังค์
“อะ....อะไรนะ”
“ใจลอยไปไหน อาการเหม่อลอยของมึงนี่มันชักจะเลยเถิดไปใหญ่ล่ะนะ มีอะไรจะเล่าให้เพื่ออย่างกูฟังมั้ย”
สีหน้าสงสัยจนปิดไม่มิดของมันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดไม่กล้าสบตา กลัวว่าไอ้เพื่อรักคนนี้จะได้กลิ่นเค้าลางความลับที่ผมจงใจอยากปิดเอาไว้
ที่จริงก็ไม่ได้อยากปิดอะไรขนาดนั้น แต่ผมกลัวว่าพี่เพลิงจะไม่พอใจมากกว่า สุดท้ายคนที่ผมแคร์มากที่สุดก็คือพี่เพลิงอยู่ดี
“…”
ผมไม่พูดแต่ส่ายหน้าไปมา และหวังว่าสีหน้าคงจะไม่เลิกลักจนผิดสังเกตุ
ไอ้พายพยายามเค้นความลับออกจากปากของผม และถามประโยคนี้กับผมมาตั้งแต่สองวันก่อน คำถามที่ยังคงวนเวียนซ้ำไปซ้ำมาทั้งที่ผมก็ไม่ยอมปริปากอะไร
“อย่ามา กูรู้ว่ามึงมีความลับ นี่ใคร เพื่อนนะเว้ย! เพื่อนมีไว้ทำะไร เพื่อนแท้ย่อมไม่มีความลับ” ไอ้พายทำหน้าหงิก แล้วยกมือสะบัดอย่างไม่ออมมือมาที่หัวของผม ซึ่งก็แรงจนน้ำตาเกือบๆ จะปริ่ม
“ไม่มีอะไรเลยมึง อย่ามโน กูนี่โคตรปกติ”
ผมรีบบอกปัด ไม่อยากให้ไอ้ขี้เผือกมันสาวไส้ออกมาแดก
ที่ผ่านมาสองวันก็รักษาสีหน้าและอาการให้ดูร่าเริง มีหัวเราะบ้างพอ สรรหาเรื่องมาคุยบ้าง อีกอย่างก็ไม่ได้ทำหน้าเศร้าเหมือนที่ผ่านๆ มาด้วยนะ แล้วยังจะมาว่าไม่ปกติอีก
“ปกติ เหอะ! เชื่อมึงก็ควายล่ะ”
“ดูละครเยอะไปป่าว” ผมบ่ายเบี่ยง ยังปากแข็งต่อไป
“สัดละครบ้านมึง นี่กูมีตาก็เห็นหรือเปล่า เอาตรงๆ นะ กูไม่อ้อมล่ะ เรื่องไอ้พี่เพลิงใช่มั้ย ยังไงพูดมา เห็นแม่งเทียวไปเทียวมาไล่ต้อนมึงอยู่เนี่ย”
ไอ้พายชี้หน้า เมื่อผมทำท่าจะอ้าปาก คำพูดโกหกพกลมที่ตระเตรียมไว้มีอันจุกอยู่ที่ลำคอ หาจังหวะพ่นออกไปก็ไม่ได้
“หยุด เลิกพูดว่าไม่มี กูเห็นนะ มึงกับพี่มันแอบคุยกันตรงซอกตึก แถมเดินต้อนหน้าต้อนหลังมึงไม่เลิก จะบอกให้นะว่ากูไม่ได้เห็นแค่ครั้งสองครั้ง” มันส่งสายตาจับผิด “ไม่พูดเหรอมึง เดี๋ยวกูไปถามพี่แม่งเองดีกว่า มึงจะเอางั้นใช่?”
“อย่านะ”
“นั่นไง พิรุธมึงเยอะมาก”
“อาจจะตาฝาดก็ได้ คนอื่นมั้งมึง”
“โอ๊ยยยย แหล” ไอ้พายเบ้ปาก หรี่ตามองประหนึ่งว่ารู้ทัน
“แหลอะไร เปล่า”
“เนี่ย เขาเรียกว่าแหล กูจำพี่ที่คลานออกมาจากท้องแม่ได้ เพราะกูเห็นหน้ามันแทบทุกวันนี่ก็สิบแปดปีล่ะ”
ไปไม่เป็นเลยครับ
บอกเลยเป็นคนทำบาปไม่ขึ้น
โกหกก็ไม่เคยเนียน โอ๊ยยย!
“เขาก็มาหาแฟนเขามั้ง คนนั้นไง ดาวคณะแสนสวยไงมึง”
“เหรอ แล้วไอ้ที่จับขงจับแขนนี่อะไร ไอ้กระซิบกระซาบนั่นอีก” พายแย้มมุมปากแสยะยิ้มเจ้าเล่ห์มาให้ “พี่มันมาหามึงชัดๆ มึงและมึงเท่านั้น”
“ไม่ช่ายยยยย”
“สัด เสียงสูง เสียงสองก็มา ยอมรับมาดีๆ ก่อนที่กูจะต้องลงมือเค้นความจริง”
มันทำสายตาเจ้าเล่ห์แล้วทำท่าหักนิ้วของตัวเอง ะใบหน้าหล่อๆ มาดหมายดูน่าสยดสยอง แต่ถ้าหวังจะให้คนอย่างผมจะยอมง่ายๆ นะเว้ย!
“…”
“จะเอางี้ใช่อ่ะ?”
“มึงคิดมากไปเองงงงงงง” เสียงหลงมาก หน้าตาก็โคตรพ่อโคตรแม่มีพิรุธ
“
นับหนึ่ง”
“…”
“
นับสอง”
“อย่านะพาย ไม่เล่นโว้ย” ผมขยับตัวลุกลี้ลุกลน
“
นับสาม” หน้าตาแปลเปลี่ยนเป็นขึงขัง
“หมดเวลาแล้วมึง” ไอ้พายลุกขึ้น
มือหนาเอื้อมมาล็อคคอผมที่อยู่ฝั่งตรงข้ามข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็เล่นงานผมด้วยการจี้เอวข้างหนึ่งจนผมสะดุ้งสุดตัว
ไอ้เวร! มันรู้จุดอ่อนแล้วเอามาใช้เล่นงานกันแบบนี้เหรอ
เพื่อนเลว
“ถ้ามึงไม่คายความจริงออกมา กูจะจี้ให้ขาดใจตาย” มันกระซิบข้างๆ หูเล่นเอาผมขนลุกซู่
“ฮ่า ฮ่า อย่า... ฮ่า ฮ่า ไอ้พาย กู ฮ่า ฮ่า ไม่เล่น”
ผมหัวเราะงอหาย พยายามดิ้นให้หลุดแต่ก็ทำไม่ได้ ก็ไอ้พายมันแรงแรงควายแถมตัวใหญ่กว่าผมมาก เรี่ยวแรงหรือก็สู้มันไม่ได้ มันไม่เพียงแค่จี้เอว แต่ยังรัดตัวผมแน่น แถมนิ้วเขี่ยต้นคอเบาๆ จนขนลุกไปทั้งตัว ย่นคอหนีพัลวัล
จุดอ่อนกูทั้งนั้น
“นี่ก็ไม่ได้เล่น ฮึๆๆๆ กูเอาจริง มึงมีความลับกับเพื่อนเหรอ” มันขยับนิ้วไล้ไปทั่วแผ่นหลัง ทำท่าจะล้วงเข้าไปข้างในเสื้อเพื่อรังแกผมให้หนักมือกว่าเก่า
“ปล่อยยยยย ฮ่า ฮ่า ปล่อย”
“ถามมึงดีๆ ก็แล้ว ขู่กรรโชกก็แล้ว มึงก็ไม่ยอม ต้องโดนแบบนี้ล่ะ”
“อยากเผือกมากเหรอ ฮ่า ฮ่า”
“มันก็แน่อยู่แล้ว เรื่องมึงก็เรื่องกูนี่ล่ะ ว่าไงจะพูดไหม”
มือสากของมันไล้แผ่นหลังผมไปมา เป็นสัมผัสแผ่วๆ ที่สร้างความปั่นป่วนไปหมด น้ำตาผมเริ่มไหลจากการหัวเราะอย่างท้องคัดท้องแข็ง แทบหัวเราะจนขาดใจตายจากน้ำมือเพื่อนผู้อำมหิต
“ถ้าไม่พูดกูจะบี้หัวนมมึงเลยดีมั้ย ฮึฮึ” มันเลื้อยมือมาข้างหน้า ทำท่าจะทำแบบนั้นจริงๆ
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ยอม กูยอม ยอมแล้ว”
ตึ้ง! ครืดดดดด! แต่ก่อนที่ผมจะพูดอะไรของบางอย่างกระแทกลงบนโต๊ะพร้อมกับเสียงเก้าอี้ถูกลาก มือหนาของไอ้พายที่ล้วงเสื้อผมอยู่ถูกกระชากออก เจ้าตัวร้องเสียงหลง แต่มืออีกข้างของมันก็ยังรัดคอผมไว้แน่น
“โอ๊ย! ใครวะ”
“เล่นส้นตีนอะไร”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นเหนือหัวของเราทั้งคู่ เป็นน้ำเสียงที่บ่งบอกได้ว่าเจ้าตัวกำลังไม่พอใจอะไรสักอย่าง ผมรีบเอาเสื้อที่ถูกเลิกขึ้นให้ปิดลง รอยยิ้มกับเสียงหัวเราะเมื่อครู่เลือนหายไปในชั่วพริบตา ดวงตาจึงหลุบลงต่ำด้วยไม่อยากสบสายตาที่ดุดันของผู้ที่มาใหม่
“พี่มาหักนิ้วผมทำไมวะ
เจ็บนะเว้ย”
“สัด สำออย” น้ำเสียงที่ส่งกลับมาห้วนๆ ดูคุกรุ่นด้วยอารมณ์โกรธซึ่งไม่รู้ว่าไปโกรธใครมาจากไหน
“นิ้วจะหักอยู่รอมร่อ สำออยตรงไหนหาาาาา” ไอ้พายเสียงหลง
“มึงหยุดบ่นไปเลย หรืออยากจะให้กูหักนิ้วมึงจริงๆ ก็ได้นะ กูจะไม่ออมแรงเลยทีนี้”
“พี่เป็นบ้าอะไรวะ ผมอยู่ของผมดีๆ พี่มาเหวี่ยงใส่ทำไม ใครเหยียบตีนหรือไงถึงมาลงกับผมเนี่ย”
“เหยี่ยบตีนหรือเปล่าไม่รู้อ่ะ แต่กูจะเหยียบหน้ามึงถ้าทำให้กูหมั่นไส้มากๆ” แววตาเอาเรื่องของพี่เพลิงที่ส่งมาให้เราทั้งคู่ทำให้ผมอึดอัด แต่เพราะไอ้พายมันเหนี่ยวคอเอาไว้ผมเลยขยับไปไหนไม่ได้
“เฮ้ย! แล้วผมไปทำอะไรพี่”
ไอ้พายทำเสียงสูงปรี๊ด ถามด้วยอาการงง หน้าก็งอง้ำผสมงุนงงในท่าทีของพี่ชายที่ดูจะพาลลงกับตนโดยไร้สาเหตุ
“แล้วมึงนี่ยังไง ปล่อยให้ไอ้ห่านี่ล้วงควักอยู่ได้ ชอบแบบนี้เหรอมึง”
แทนที่พี่เพลิงมันจะด่าไอ้พาย กลายเป็นหันมาเล่นงานผมแทน แถมยังกระชากมือไอ้พายที่รั้งคอผมไว้แล้วจับเราทั้งคู่แยกออกจากกัน
“…”
ผมพูดไม่ออก ทำได้เพียงหันไปสบตากับเพื่อนรักที่ทำหน้าเหยเกคลำนิ้วของตัวเองแล้วพำพำว่าเจ็บไม่หยุด
“อ้อ รู้ล่ะ หวงก้างนี่เอง” สิ้นเสียงที่ไอ้พายพึมพำอย่างไม่เต็มปากเต็มคำ สายตาขวางๆ ของอีกฝ่ายส่งสัญญาณแห่งความอาฆาตไปให้ แล้วตบกะบาลผู้เป็นน้องชายเข้าฉาดใหญ่ พร้อมกับถลึงตา เจ้าตัวรีบหุบปากสนิท ไม่กล้าเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาสักแอะแม้ดูแล้วจะเจ็บเพียงใดก็ตาม
“ไลน์หา ทำไมไม่อ่าน”
เมื่อคนที่ผมพยายามจะหลบหน้าคาดคั้นถาม ถึงแม้ว่าต้องการเลี่ยงที่จะคุยกันเท่าไร แต่ก็ต้องตอบกลับไปอย่างเสียไม่ได้
“ผมเรียนอยู่”
“นี่ก็เลิกเรียนล่ะ ทำไมไม่ตอบ”
“ผมอยู่กับเพื่อน คุยธุระกันอยู่”
ผมพูดแผ่วเบา ปกปิดความรู้สึกของตัวเองไว้อย่างมิดชิด ก็ตอนนี้ผมหลบหเพราะอยู่ในระยะเวลาการตัดใจ การไม่เจอ ไม่ติดต่อกันน่าจะทำให้อะไรง่ายขึ้น แต่ก็อย่างที่เห็น พี่เพลิงไม่ได้ช่วยให้อะไรง่ายสักนิด เรียกว่าสลับขั้วกับผมเมื่อก่อนเฉยเลย
แต่ผมก็ต้องอดทนและผ่านช่วงเวลาเจ็บสัสๆ นี้ไปให้ได้
“งั้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านเดี๋ยวนี้เลย”
“อะไรนะ”
“บอกให้เอาโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านไง มึงรู้ไหม เวลาที่คนส่งข้อความมาหาเนี่ย มึงต้องตอบ”
ว้อท? เดี๋ยวนะ...
เมื่อก่อนผมก็ส่งข้องความหา ก็ไม่เห็นจะเคยได้ตอบสักเท่าไรนะ ทีงี้มาควดหวังอะไรจากผมกันหา?
“แบตหมด” สกิลการแถของผมเริ่มจะแก่กล้าขึ้นตามสถานการณ์ที่ต้องเผชิญ
“เอามาดูดิ”
“…” ดวงตาผมเบิกกว้างด้วยความอึ้ง
“เอาออกมาให้ดูหน่อย ถ้าโกหกโดน”
พี่เพลิงแบมือเพื่อขอโทรศัพท์จากผม ท่าทางเอาจริงเอาจังมากจนผมจำต้องล้วงโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงส่งให้อย่างปฏิเสธไม่ได้ โทรศัพท์ของผมอยู่ในมือพี่เพลิงแล้ว
พี่เขาสไลด์และกดอยู่อึดใจหนึ่ง และผมก็กำลังหายใจหายคอไม่ทั่วท้อง ไม่รู้ว่าพี่แกจะโวยวายเลเวลไหน หลังจากได้โทรศัพท์ของผมไปและเปิดโน่นเปิดนี้ดูอย่างถือวิสาสะเสมือนว่าเป็นโทรศัพท์ตัวเองก็ไม่ปาน
เพียงครู่พี่เขาก็เงยหน้าขึ้นพร้อมกับสภาพแดงก่ำ ตาขวางจ้องผมไม่กระพริบ
“มึงบล๊อคไลน์กูเหรอ” เสียงนั้นตะคอกกลับมา
แต่ผมก็ไม่ได้อยู่ในโหมดอารมณ์ที่จะกังวลความพอใจหรือไม่พอใจของพี่เพลิงอีกแล้ว ก็ตั้งธงไว้ว่าจะตัดใจ อย่าหวั่นไหว ฮึบๆๆๆ
“…”
“มึงกล้าดียังไงบล๊อคกู”
“ก็เราไม่ต้องติดต่ออะไรกัน ถึงบล๊อคไปก็ไม่เห็นแปลก”
ผมพูดเพียงแค่นั้น แล้วแบมือขอโทรศัพท์จากพี่เขาคืน
“กูให้โอกาสมึงพูดอีกที บล๊อคกูทำไม คิดดีๆ ก่อนพูดนะ ไม่งั้นจะหาว่ากูไม่เตือน”
“เพราะเราไม่มีเรื่องต้องคุยกัน ผมไม่อยากเกี่ยวข้องอะไรกับพี่ ชัดเจนนะครับ”
เมื่อตอบออกไปผมก็เห็นหน้าของอีกฝ่ายที่โกรธจนควันออกหู คนหล่อใจโหดของผมกัดฟันกรอด กำโทรศัพท์ในมือแน่นเหมือนกำลังระงับอารมณ์ที่กำลังเดือนพล่าน
“
เออ โคตรชัดเจน
ฮึ! งั้นมึงก็ไม่ต้องมีหรอก ไอ้โทรศัพท์เหี้ยๆ เนี่ย ถ้ามึงไม่อยากคุยกับกู ก็ไม่มีสิทธิ์สะเออะคุยกับใคร”
ตุบ! แกร๊ก! พูดจบพี่เพลิงก็ปาโทรศัพท์ของผมลงพื้น เคสที่หุ้มไอโฟนหกแตกหลุดออกจากเครื่อง หน้าจอคว้ำลงกับพื้นซึ่งให้เดาป่านนี้คงร้าวไปแล้วมั้ง ผมอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าพี่เขาจะโมโหได้รุนแรงถึงขั้นนี้
เมื่อผมเงยหน้าก็เห็นดวงตาที่แข็งกระด้าง สีหน้าก็ดูเหมือนอยากกระโจนเข้ามาบีบคอผมใจจะขาด ผมงี้เสียวสันหลังวาบๆ แต่ผิดคาด พี่เพลิงทำแค่เพียหันหลังแล้วเดินผละออกไปเงียบๆ
“เฮ้ยพี่เพลิง พี่ทำงี้ทำไมวะ มันมากไปนะเว้ย”
พายตะโกนไล่หลังพี่เพลิงที่เดินผละไปแบบดื้อๆ เจ้าตัวไม่หันหลังกลับมาว่าตัวเองได้ทิ้งความเสียหายไว้กับอะไรบ้าง แต่กลับยกนิ้วกลางกลับมาให้เป็นสัญลักษณ์แทนทุกถ้อยคำ
ของลับถูกแจกให้เราทั้งคู่
ส่วนผมก็ได้แต่มองโทรศัพท์ที่หน้าจอแตกร้าวด้วยหัวใจที่แหลกละเอียดไม่ต่างกัน
เมื่อกลับมาถึงห้อง ผมวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะแล้วทรุดตัวลงบนเตียง อาการเซ็งจับจิตจู่โจมไม่หยุด ตอนนี้แม่งโคตรเครียด เครียดจนหัวแทบระเบิด ไม่รู้มันจะอะไรกันนักกันหนา ไอ้ตอนรักมันก็ไม่ยาก แต่ไอ้ตอนจะเลิกรักนี่มันทำไมยากจังวะ
คิดแล้วก็ล้วงโทรศัพท์ที่หน้าจอแตกด้วยความเหนื่อยอ่อนใจ
คือต้องซื้อใหม่เหรอวะ!!!!!
ต้องเสียเงินด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องนี่นะ
โว้ยยยยยย!
ไอ้พี่เพลิงนี่มันจะโหดไปไหน เอะอะทำลายข้าวของมันใช่เรื่องไหม โทรศัพท์ก็ไม่ใช่แค่เครื่องละสองสามร้อยนะ ตอนซื้อมาใหม่ๆ สองหมื่นกว่าเลยนะเว้ยยยยยยย
เก็บหอมรอมริบมาหลายเดือนกว่าจะได้ พริบตาเดียวเละกระจุย ผมถอนใจรอบที่ร้อยก่อนจะเดินไปเปิดคอม จากนั้นก็เปิดโน่นนี่ดูแก้เซ็ง
ตอนนี้ผมกลายเป็นคนที่ไม่สามารถติดต่อได้โดยสมบูรณ์แบบ ดังนั้นผมเลยใช้เครื่องคอมและเริ่มเปิดไลน์ดูเผื่อว่าจะมีใครติดต่อมา แล้วผมก็เข้าห้องแชตเพื่อทยอยอ่านข้อความที่ถูกส่งมา
PraPai : เป็นไงมั้งมึง GuNgUn : ไม่เป็นไง
[/b]
GuNgUn : ชิวๆ
[/b]
ผมตอบกลับไป แม้ใจใจจะขมขื่นปนโมโหเล็กๆ
PraPai : กูแม่งโคตรงง พี่กูนี่แม่งบ้าแน่ๆ ว่ะ
PraPai : แดกอะไรผิดสำแดงมา ก็ไม่รู้
PraPai : ไม่เป็นไรนะมึงGuNgUn : ก็แค่โทรศัพท์เครื่องละสองหมื่นพังอ่ะมึง
GuNgUn : สบายยยยย
PraPai : กวนตีน PraPai : ยังมีอารมณ์เล่นเน๊อะ GuNgUn : ใครบอกมึง ตอนนี้กูน้ำตาไหลพราก
GuNgUn : ลูกรักกูตายแหงแก๊
PraPai : เดี๋ยวพรุ่งนี้หาโทรศัพท์ให้ใช้ พี่กูนี่แม่งงี่เง่าสัส
PraPai : เหี้ย หึงแบบออกหน้าออกตา GuNgUn : หึงบ้าอะไรมึง ผิดล่ะ
PraPai : เหอๆๆๆ ไม่เรียกว่าหึง กูก็จะขอเรียกว่าหวงก้าง หวงก้างเหรอ?
ผมเองก็ไม่แน่ใจ แต่จากการที่พี่เพลิงตามตอแยผมตลอดสองสามวันที่ผ่านมา มันก็พาลให้ผมจิตใจไขว่เขว
ระหว่างที่ผมกำลังทบทวนอยู่นั้น เสียงประตูห้องของผมก็ดังขึ้น ผมเดินไปเปิดก็พบใบหน้าราบเรียบของคนที่กวนใจผมมาตลอทั้งวันยืนล้วงกระเป๋าข้างหนึ่ง และยื่นถุงพลาสติ๊กสีขาวขุ่นที่สกรีนโลโก้แอปเปิ้ลไว้มาให้
“ของมึง”
“อะไรครับ”
ทั้งที่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ก็อดไม่ได้ที่ถามออกไปแบบนั้น ก็เพราะทำตัวไม่ถูกแล้วก็แปลกใจมากๆ ด้วยที่เห็นพี่เขายืนอยู่ตรงนี้
“ที่กูทำโทรศัพท์มึงพัง กูซื้อมาใช้” ใบหน้านิ่งเรียบ น้ำเสียงไม่บอกอารมณ์ทำให้ผมเดาไม่ถูกว่าพี่เขาคิดอะไรอยู่
เมื่อตอนบ่ายพี่เขาโกรธจนแทบจะบีบคอผม แต่ตอนนี้เขาไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว ผมเลยโล่งใจนิดหน่อย เพราะไม่ชอบเวลาพี่เขาโมโหสักเท่าไร เขาจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าเวลาโมโหเขาโคตรน่ากล้ว แล้วก็ไม่น่าอยู่ใกล้อ่ะ
เสี่ยงตายได้เลยนะนั่น
“ที่จริงพี่ไม่ควรต้องเสียเงินซื้อนะ ถ้าพี่ไม่ทำตัวไร้เหตุผล เวลาโมโหก็จ้องทำลายข้าวของ”
ผมพูดเบาๆ แต่ฟังแล้วแอบจิกเล็กๆ ก็ไม่กล้าพูดเยอะ เพราะเดี๋ยวที่จะแหลกคราวต่อไปอาจจะเป็นหัวผมเนี่ย ก็พี่แม่งบ้าพลังฉิบหาย
“เออ รู้น่า เอาไป” พี่เขาพูดเหมือนรำคาญ
ผมมองเฉยๆ แต่ไม่รับไว้
“แล้ว... พี่มาได้ไง”
ถามไปแบบสงสัย ไม่คิดว่าพี่เพลิงจะรู้จักห้อง แล้วอีกอย่างที่นี่ก็ไม่ได้ให้ใครต่อใครเข้ามามั่วซั่วด้วยนะ
“เพื่อนกูอยู่ชั้นบน เผื่อมึงสงสัย” เขาสะกิดมือผมเบาๆ “เอาไปดิ ซื้อมาแล้ว ถ้าไม่อยากใช้ก็เอาไปขายต่อก็ได้ รับไป”
ผมมองดูถุงนั้นอยู่อึดใจใหญ่ก่อนรับมาอย่างเสียไม่ได้ ท่าทางพี่เขาก็ดูสำนึกผิดอยู่เหมือนกัน เมื่อเปิดดูก็พบกับกล่องไอโฟนรุ่นใหม่ที่ดูยังไงก็ไฉไลกว่าเดิมอยู่ในนั้น
“ซื้อรุ่นใหม่มาทำไม โคตรเปลืองเงิน ที่จริงเอารุ่นเก่ามาก็ได้”
“ก็ซื้อมาแล้ว ใช้ๆ ไปเหอะ สีดำไม่มีกูเลยซื้อสีขาวมา”
“เออ... ขอบคุณครับ”
เราทั้งคู่ยืนนิ่งเงียบ ไม่มีใครพูดก่อนจนเวลาผ่านไปร่วมนาที
ความว้าวุ่นใจกำลังกัดกินผม
ก็นะ ยังไงดี?
พี่เพลิงที่ผมรักยังคงเป็นที่หนึ่งในใจเสมอ ผมไม่ได้โกรธแบบจริงจังหรอก แป๊บๆ ก็หายล่ะ แต่ก็เผลอถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ซึ่งคนตรงหน้าก็คงได้ยินมันเหมือนกัน
“เออ กูผิด กูขอโทษ ก็มันโมโหนี่หว่า”
“ครับ ช่างมันเถอะ” ผมยอมรับคำขอโทษแบบง่ายๆ เพราะดูแล้วพี่เขาก็สำนึกอยู่ไม่น้อย
“ไอ้กันต์ แต่ตอนนี้กูก็ยังโมโหอยู่นะ เรื่องที่มึงทำทุเรศๆ กับกูอ่ะ”
แต่เพียงสามวินาที ไอ้เสียงสำนึกผิดเมื่อครู่แม่งเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงเหวี่ยงวีนไปได้ว่ะ
“พี่โมโหผมอยู่ แต่ก็ยังซื้อโทรศัพท์มาให้ผมเหรอ”
“เออ มันคนละส่วน ไอ้ซื้อใช้ให้มันก็ต้องรับผิดชอบ ส่วนเรื่องโมโหมันก็อีกเรื่อง”
“…”
รับผิดชอบ... รวมถึงเรื่องคืนนั้นด้วยหรือเปล่า
อย่างนั้นใช่ไหม?
พี่เขาถึงรู้สึกผิดทำนองนั้นหรือเปล่า ผมคิดอย่างสับสน
แต่จะให้คิดเป็นอย่างอื่นได้ไงในเมื่อก่อนหน้านี้พี่เขาจงเกลียดจงชังผมจะตาย แต่ตอนนี้เหรอมาหาผมทุกเช้าทุกเย็น แต่เป็นผมที่วิ่งหนีแทน มันสลับกันอย่างสิ้นเชิง
“ไม่มีใครกล้าทำอย่างมึงมาก่อน อวดดี! บังอาจบล๊อคกู ” พี่เพลิงเอานิ้วจ้ิมหน้าผากผมเบาๆ “แต่ช่างแม่งเหอะ พูดไปอารมณ์กูก็ขึ้นอีก ดีไม่ดีทุบมึงเข้าให้ เด็กห่าอะไรกวนโมโหฉิบหาย ไปๆ เข้าห้อง แล้วมึงเอาซิมใส่เครื่องเลยนะ เลิกบล๊อกกูด้วยอ่านไลน์เสร็จก็ตอบกู ทีหลังอ่ะ ครั้งนี้กูจะพังห้องมึงแทน เข้าใจมั้ย”
ประโยคยาวเหยียดออกจากปากคนตรงหน้า คำสั่งที่ดูท่าแล้วต้องทำตามอย่างเลี่ยงไม่ได้
“พี่เพลิง พี่อย่าทำอย่างนี้ได้หรือเปล่า”
“พังข้าวของอ่ะนะ”
“ปั่นหัวผมต่างหาก ผมกำลังตัดใจนะ พี่มาทำดีแบบนี้มันก็ยิ่งยาก”
“ยากก็ไม่ต้องทำดิ ฟาย”
“พี่เพลิง ผมไม่ได้พูดเล่นนะ ถ้าเรื่องที่เกิดวันนั้นมันทำให้พี่รู้สึกผิด ก็ไม่ต้องหรอก ผู้ชายไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว”
“ได้กูแล้วชิ่งเหรอมึง”
พี่เพลิงยื่นหน้ามาใกล้พร้อมกับผลักหัวผมเบาๆ แต่สีหน้าอ่านไม่ออก
“จะบอกให้นะ กูแม่งไม่ได้รู้สึกผิดสักกะติ๊ดว่ะ”
“แล้วพี่มาวุ่นวายกับผมทำไม”
“ก็กูพอใจ จะพูดว่าหลงเสน่ห์ลีลามึงก็ได้มั้ง” สีหน้าพี่แม่งกวนตีนว่ะ
แล้วพูดบ้าอะไรออกมาว่ะ กูงี้อับอาย พอพูดขึ้นมาภาพวันนั้นก็ฉายชัดขึ้นมาในหัวเสียฉิบ
“ไม่ตลกนะ”
“กูก็ไม่ได้ให้มึงตลก ทำไมวะ ไม่เชื่อในท่วงท่าตัวเองหรือไง เซล์ฟหน่อยมึง”
พี่มันยกมือขึ้นมาเขี่ยแก้มผมเบาๆ จากนั้นก็ไล้ลงมาถึงปลายคาง แต่ถึงจะเบายังไงก็ทำให้ผมขนลุกซุ่
สัมผัสจากปลายนิ้วนั้นมีผลกระทบส่งต่อความรู้สึกของผมหนักกว่าที่ควร ใจผมสั่น แถมยังเต้นแรงกว่าปกติ นี่ก็ปาเข้าไปห้าริกเตอร์แล้วมั้ง โอ๊ยยยย
“นี่พี่ล้อผมแรงไปแล้วนะ”
“ไม่อ่ะมึง ถ้าอยากเจอแบบแรงๆ เดี๋ยวจัดให้ นี่เบสิก” ใบหน้าหล่อระดับพระการฬก้มลงมาจนเกือบชิด แถมมือไม้ก็คว้าหมับเข้าให้จนผมต้องผงะหนี
“พี่เพลิง” ผมปัดมือพี่เขาออกเมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะรั้งต้นคอของผมเข้ามาใกล้ และทำท่าจะทำมากกว่านั้น “ก็ไหนบอกว่าไม่ชอบผู้ชายไง”
“อืม... แต่กับมึงมันก็ไม่ได้แย่นี่หว่า จากที่กูลอง ก็โอนะ ฟินใช้ได้”
“เฮ้ย! พี่พูดบ้าอะไรวะ”
“เรื่องจริง หรือมึงไม่ฟิน”
“ไม่โว้ยยยย”
“ตอแหล” ผมโดนด่า พร้อมกับสีหน้าที่ไม่เชื่อถือของอีกฝ่าย
“ผมขอจบว่ะพี่ เรื่องของเราแม่งไม่ควรเลยเถิดเลยด้วยซ้ำ พี่เองก็ไม่ต้องจำมันหรอก”
“เลยเถิดแล้วไงวะ” เสียงพี่เขาดูหงุดหงิดอีกระรอก “กูไม่เถียงกับมึงล่ะ เอาเป็นว่ามึงเคยเกาะติดกูยังไง จากนี้ไปบอกเลยว่าอย่างกูแม่งเกาะหนึบเกาะแน่นกว่าเอาให้ตุ๊กแกเรียกพ่ออีกย สลัดกูไม่ง่ายนะ น้ำหน้าอย่างมึงชาตินี้ก็ไม่มีปัญญาหรอก รู้เอาไว้ด้วย ไอ้เด็กเหี้ย”