ตอนที่ 14 : รัก (จอมทัพ&ซอล)
-ซอล-
ผมลอบมองใบหน้าด้านข้างของคนขับ เมื่อวานก็มารับผมไปซื้อเสื้อผ้า วันนี้ก็ยังมาส่งบ้านอีก ไหนจะก่อนหน้านี้ ที่ไม่ว่าเมื่อไหร่ที่ผมต้องการความช่วยเหลือจะเป็นพี่จอมทัพเสมอที่ยื่นมือเข้ามาช่วย มันทำให้หัวใจของผมเต้นผิดจังหวะและสายตาที่มองร่างสูงเปลี่ยนไป
“ชอบไหม”
“ครับ!” ผมตกใจจนออกอาการ คนถามหันมามอง หัวเราะขำผม
“เป็นอะไรของเรา พี่ถามว่าชอบร้านที่ร้องเพลงไหม”
“ชะ..ชอบครับ” ผมรีบตอบจนตะกุกตะกัก
“คิดอะไรอยู่ เหมือนเราเหม่อเลย”
“เปล่าครับ” ผมรีบปฏิเสธ ใบหน้าเห่อร้อน ถ้าคนโตกว่ารู้ความคิดของผมคงได้ขายหน้าตาย
“ไม่เนียนสักนิด” มือใหญ่ละจากพวงมาลัยยกขึ้นจับศีรษะของผมโยกไปมาเบาๆ ก่อนลดลง “มีอะไรคุยกับพี่ได้นะ”
ปกติผมไม่ชอบโกหก แต่เรื่องนี้จะให้บอกได้ยังไงกัน “ผม..ผมกังวลเรื่องร้องเพลงครับ ร้านมันดูหรูหราเกินไป ผมไม่รู้ว่าผมจะทำได้ดีหรือเปล่า จะเหมาะกับที่นั่นไหม” เพราะไม่อยากโกหก ผมจึงเลือกพูดบางเรื่องที่อยู่ในใจออกไป เรื่องที่ผมไม่ได้บอกให้ใครรู้ เพราะกลัวทำคนอื่นกังวล
“อย่ากังวลไปเลย ซอลร้องเพลงดีมาก พี่เชื่อว่าลูกค้าที่ร้านต้องชอบ”
“แต่เห็นว่าลูกค้ามีชาวต่างชาติด้วยผมเลยกังวล กลัวว่าภาษาจะไม่ดีพอ”
“เรื่องนี้พี่ค้าน ภาษาของซอลดีมาก ร้องเพลงสากลได้สบายๆ อย่าเครียด ต้องเชื่อมั่นสิว่าเราทำได้อยู่แล้ว”
“ครับ” ผมถอนใจโล่งอกที่เบี่ยงเบนประเด็นได้ แต่เหมือนพี่จอมทัพจะสังเกตอาการของผมอยู่แล้วเข้าใจผิดไปคนละทาง
“วันนี้ซอลมีธุระต่อไหม ต้องทำอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีครับ”
“อืม พี่ฝากโทรหาเบอร์คีรีให้หน่อย” พี่จอมทัพส่งโทรศัพท์ให้ผม ผมรับมาเลื่อนหาเบอร์ก่อนกดโทรออกให้
“เปิดสปีกเกอร์ให้พี่ด้วย”
“ได้ครับ” ผมกดเปิดลำโพงให้ตามที่ขอ สัญญาณดังอยู่สามสี่ครั้งก่อนปลายสายจะรับ
“ไงมึง ส่งซอลเสร็จแล้วเหรอวะ”
“เปล่า กูยังอยู่บนรถกับซอล เปิดสปีกเกอร์คุย”
“โอเค”
“มึงอยู่ไหน”
“เพิ่งถึงโรงแรม”
“ดีเลย กูฝากมึงเจองโต๊ะที่บาร์ให้กูด้วยสองที่ ขอมุมวิวดีหน่อยแต่ให้เห็นเวทีชัดๆ”
“ได้ ว่าแต่มึงจะพาใครมาวะ”
“ซอล กูจะให้ไปลองสังเกตการณ์ดู เพิ่งคิดได้เมื่อกี้”
“เข้าท่า เสียดายกูนัดกินข้าวกับพ่อแล้ว ทุ่มครึ่งนะดนตรีสดเล่นพอดี”
“ตามนั้น ขอบใจว่ะ”
“ไม่มีปัญหา”
พี่จอมทัพพยักหน้าให้ผมกดตัดสาย ผมจัดการปิดหน้าจอให้แล้วถึงส่งโทรศัพท์คืน
“เมื่อกี้ที่พี่จอมทัพคุยหมายถึงจะพาผมไปนั่งที่ร้านเหรอครับ” ผมถามอย่างเกรงใจ แต่เพราะมีชื่อผมอยู่จึงคิดว่าน่าจะถามได้
“พี่เห็นเราไม่มั่นใจเลยคิดว่าควรพาไปดูวงที่เขาเล่นอยู่ จะได้ศึกษาไว้เป็นแนวทาง ได้เห็นทั้งบรรยากาศและลูกค้าที่มาที่ร้าน”
ผมได้แต่มองเสี้ยวหน้าด้านข้างของพี่จอมทัพ อดคิดไม่ได้ว่าใครกันนะจะได้เป็นแฟนกับผู้ชายคนนี้ คนที่ใส่ใจคนอื่นเสมอ ผู้หญิงคนนั้นต้องโชคดีมากๆ
“ขอบคุณครับ” ผมพูดมันออกมาจากใจ
“ร้องเพลงเพราะๆ ให้พี่ฟังก็พอ”
“ครับ” ผมพยักหน้า สัญญากับตัวเองว่าผมจะหาเพลงที่ดีที่สุดร้องให้พี่จอมทัพฟัง
“อีกเกือบสองชั่วโมง” ผมรอฟังว่าพี่จอมทัพจะพูดอะไรต่อ เรากลับมาถึงโรงแรมตั้งแต่ยังไม่หกโมงเย็น
“ซอลรอพี่อยู่ตรงนี้ เดี๋ยวพี่มา”
“ครับ” ผมนั่งลงตรงล็อบบี้ของโรงแรม เห็นพี่จอมทัพหยิบโทรศัพท์ออกมาโทร เดินตรงไปยังเคาน์เตอร์เช็กอิน ผมละสายตามามองรอบๆ ด้วยความสนใจ โรงแรมของพ่อพี่คีรีตกแต่งได้สวยงามและทันสมัยมาก ราคาค่าเข้าพักต้องแพงมากแน่ๆ
“มาเถอะ”
“ครับ” ผมลุกขึ้นยืนเมื่อพี่จอมทัพเรียก ไม่รู้หรอกว่าจะไปไหน ผมได้แต่เดินตามไป
“นี่มัน” ผมชะงักเท้าไม่ยอมก้าวต่อ เมื่อเดินออกจากลิฟท์แล้วพบว่ามันคือชั้นของห้องพัก
“เดินมาเร็ว” คนที่เดินนำหันกลับมาเรียก
“เราจะไปไหนครับ” ผมรู้ว่าจะไปไหนแต่ขอถามเพื่อความชัวร์ เท้าเตรียมจะก้าวถอยหลัง
“หึๆ “ คนตัวสูงหัวเราะ เดินย้อนกลับมาหาผม
“คิดอะไรของเรา พี่เห็นมันเหลืออีกหลายชั่วโมงเลยอยากให้เราพัก ถึงจะบอกว่าอาการดีขึ้นแล้วแต่ก็ควรดูแลตัวเอง” ผมยิ้มอายเมื่อถูกจับได้ว่าคิดอะไร บ้าเอ๊ยซอล คิดไปได้ยังไงว่าเขาจะสนใจตัวเอง แถมถูกจับได้อีก พี่จอมทัพคงขำผมแย่ จะหาว่าไม่เจียมหรือเปล่านะ ผมหน้าจ๋อยเดินตามไป
ห้องพักอยู่บนชั้นยี่สิบสี่ มองเห็นวิวกว้าง ผมเดินไปเกาะกระจกดูวิวข้างนอกด้วยความตื่นเต้น
“สวยมากเลยครับ”
“ดื่มน่ำก่อน” แก้วน้ำเปล่าเย็นเฉียบถูกส่งมาให้ ผมรับมาดื่มก่อนวางลงบนโต๊ะ
“พี่จอมทัพไม่น่าต้องเสียเงินเลยครับ” ถึงผมไม่เคยพักแต่ก็เดาได้ไม่ยากว่าห้องนี้ราคาต้องแพงมากแน่ๆ
“ไม่ต้องห่วงพี่ไม่ได้จ่าย คีรีจัดการให้ พี่แค่โทรหา”
“อ๋อครับ” ผมก็ลืมไปว่าพี่คีรีเป็นลูกชายเจ้าของโรงแรม
“ง่วงไหม”
“นิดหน่อยครับ” ยาที่หมอให้ผมมามีตัวที่ออกฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อ จึงมีผลข้างเคียงทำให้ง่วง
พี่จอมทัพดึงชายเสื้อเชิ้ตออกจากกางเกง ปลดกระดุมเสื้อออกสองเม็ด มองเห็นแผงอกกว้าง ผมรีบเบือนหน้าหนี พี่จอมทัพเป็นผู้ชายที่หุ่นดีมาก จนผู้ชายด้วยกันอย่างผมยังอิจฉา
พี่จอมทัพทิ้งตัวลงนอนพิงหมอนบนเตียง มองตรงมาที่ผม “ยืนอยู่ทำไม มานี่เร็ว” มือใหญ่ตบลงข้างตัว ผมกลืนน้ำลายลงคอ หัวใจเต้นตึกตัก
“ซอล”
“ครับ” ผมเดินไปที่เตียง เก้อเขินเล็กน้อยแต่ก็ยอมก้าวขึ้นไปนอนข้างร่างสูง ผมพยายามนอนชิดขอบเตียง สะดุ้งน้อยๆ เมื่อคนที่นอนอยู่ก่อนพลิกตัวมานอนตะแคง ใช้มือเท้าศีรษะมองหน้าผม
“กลัวพี่เหรอ”
“เปล่าครับ” ผมไม่ได้กลัวจริงๆ ผมเชื่อใจพี่จอมทัพ แต่ผม..ผมเขินต่างหาก ใจมันเอาแต่เต้นแรง
“ไม่กลัวแล้วเราจะเกร็งทำไม”
“ผมไม่ได้เกร็ง” ผมพูดเสียงอ่อย ไม่กล้าสู้สายตาที่มองมา
“งั้นก็นอนเถอะ พักสักหน่อย คืนนี้กว่าจะกลับคงดึก พี่ไม่อยากให้เราไม่สบาย”
“ครับ” ผมตอบรับแต่ก็ยังลืมตา มือใหญ่จึงเอื้อมมาปิดทับบนตาผม
“หลับซะ” เสียงทุ้มทำให้ใจผมแกว่ง เมื่ออีกฝ่ายแน่ใจว่าผมหลับตาลงแล้วจึงดึงมือออก แอร์ในห้องเย็นฉ่ำแต่ผมกลับรู้สึกร้อน เพียงไม่นานเสียงหายใจของคนข้างๆ ก็สม่ำเสมอ ผมลืมตาขึ้นช้าๆ
ผมพลิกตัวนอนตะแคง หันหน้าไปทางร่างสูง ขยับศีรษะเข้าไปใกล้อีกนิด ยื่นมือไปหาใบหน้าคมสัน แต่ไม่กล้าแตะลงไป ผมรู้สึกยังไงกับผู้ชายคนนี้กันแน่ ชื่นชม นับถือ เห็นเป็นพี่ชายที่แสนดี หรือ...
ผมสะดุ้งรีบหดมือกลับเมื่อร่างสูงพลิกตัวนอนตะแคง ใบหน้าของเราใกล้กันมากจนผมต้องกลั้นหายใจ ไม่กล้าขยับตัว
ผมรออยู่ครู่ใหญ่เมื่อมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ตื่นผมจึงลืมตาขึ้นมอง ความใกล้ทำให้ผมตาพร่า ดวงตาเรียวยาว จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากได้รูป หัวใจของผมกำลังทำงานอย่างหนัก ผู้ชายคนนี้อ่อนโยน ใส่ใจ ผมรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเสมอเมื่ออยู่กับพี่จอมทัพ
ผมได้คำตอบให้กับตัวเองแล้ว ผมคิดว่า..ผมรักผู้ชายคนนี้ แม้รู้ดีว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ก็ตาม ผมหลับตาลง หัวใจที่เต้นแรงเปลี่ยนเป็นจังหวะเหนื่อยอ่อน อยู่ใกล้กันแค่นี้แต่ทำไมผมถึงรู้สึกไกลนัก
ผมตื่นขึ้นมาเมื่อมีเสียงเรียกพร้อมมือที่เขย่าอยู่บนต้นแขน รอยยิ้มอบอุ่นเป็นสิ่งแรกที่ผมเห็น พี่จอมทัพจัดเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ผมด้านหน้าเปียกชื้น ผมเดาว่าคงเข้าไปล้างหน้ามา
“จะล้างหน้าก่อนไหม”
“ครับ” ผมลุกขึ้นยืน เดินตรงไปยังห้องน้ำ ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหน
เรามาถึงที่บาร์ตอนหนึ่งทุ่มสามสิบนาทีพอดี วงดนตรีขึ้นเวทีแล้ว โต๊ะที่พี่คีรีจองให้อยู่ติดกระจกแต่ใกล้กับเวทีจึงมองเห็นได้ชัดเจน รวมทั้งสามารถมองไปรอบๆ ห้องเพื่อดูแขกที่เข้ามารับประทานอาหารได้ด้วย
ผมสลัดความคิดที่ติดค้างในหัวออก ตั้งใจศึกษา วิธีพูด วิธีคุย โชคดีที่นักร้องไม่ต้องปฏิสัมพันธ์กับแขกมากนัก มีเพียงการพูดเข้าเพลง หรือพูดถึงโน้ตที่มีการเขียนขึ้นมาขอเพลงนิดหน่อย ทำให้ผมโล่งใจไปได้มาก
พี่จอมทัพสั่งอาหารและเครื่องดื่มมาให้ ผมกินไปด้วยฟังเพลงไปด้วย เราคุยกันบ้างแต่นานๆ ครั้ง ดูเหมือนอีกฝ่ายจะปล่อยให้ผมมีเวลาในการเรียนรู้เต็มที่
“ซอล”
“ครับ” พี่จอมทัพเพิ่งเดินไปเข้าห้องน้ำ พอนั่งลงก็เรียกชื่อผมขึ้นมา
“พี่คุยกับผู้จัดการแล้ว เดี๋ยวจะให้ซอลขึ้นไปร้องในฐานะแขกรับเชิญเพลงหนึ่ง ถือว่าเป็นทดลองไปในตัว”
“แต่ผมไม่ได้เตรียมตัวมา” ผมตื่นตระหนก มือไม้เย็นไปหมด
“อย่าซีเรียส จะเงอะงะ ร้องผิดร้องถูก หรือแม้แต่ลืมเนื้อก็ไม่เป็นไร คนในห้องนี้นึกว่าซอลเป็นแขกที่ขึ้นไปร้องเพลง ไม่ได้มีผลอะไร”
“จะดีหรือครับ”
“ดีสิ วันจริงซอลจะได้ไม่ตื่นเวที ไม่ตื่นตระหนก”
“ครับ” ผมเห็นด้วยว่ามันดีกว่าแต่ก็ยังลังเล
“ซอลจะร้องเพลงอะไร เอาเพลงที่ร้องแล้วมั่นใจ เดี๋ยวพี่ให้คนไปบอกนักดนตรีไว้เขาจะได้เตรียมตัว”
ผมใช้เวลาคิดอยู่ครู่ใหญ่ “เพลงไทยได้ไหมครับ”
“ได้ ที่นี่ร้องเพลงไทยสลับกับเพลงสากลอยู่แล้ว”
“งั้นก็เพลงนี้ครับ ผมน่าจะร้องได้ดีที่สุด” ผมบอกชื่อเพลงไป พี่จอมทัพเรียกพนักงานมาที่โต๊ะเพื่อส่งข่าวให้นักดนตรี
นักร้องร้องต่ออีกสองเพลง จึงประกาศเชิญผมขึ้นไปบนเวที ผมลงนั่งบนเก้าอี้ทรงสูง พยายามส่งยิ้มไปรอบๆ ก่อนสูดลมหายใจเข้าลึกๆ เมื่อเสียงดนตรีเริ่มบรรเลง
เหมือนฝนตกตอนหน้าแล้ง
เหมือนเห็นสายรุ้งขึ้นกลางแจ้ง
เหมือนลมหนาวเดือนเมษา
เหมือนว่าใจอ่อนล้ากลับแข็งแกร่ง
เหมือนคนกำลังมีรัก
เหมือนคนหลงทางพบคนรู้จัก
เหมือนเจอของสำคัญที่หล่นหาย
เหมือนร้ายนั้นกลายเป็นดีมาก
เหมือนที่ฉันนั้นได้มาพบกับเธอ
ชีวิตฉันจึงได้เจอ
แต่ไม่รู้จะขอบคุณ ไม่รู้ทำอย่างไร
ไม่รู้ว่าสิ่งไหนจะยิ่งใหญ่ควรค่าพอ
ที่ฉันได้จากเธอ ได้รักโดยไม่ต้องขอ
ได้รู้โดยไม่ต้องรอ ว่ารักคืออะไรเสียงตบมือดังเบาๆ ในขณะที่ผมก้าวลงจากเวที ผู้ชายร่างสูงที่นั่งรออยู่ส่งยิ้มกว้างให้กับผม ผมมองสายตาคู่นั้น
เหมือนคนหลงทางพบคนรู้จัก เหมือนเจอของสำคัญที่หล่นหาย ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ
“ตื่นเต้นไหม”
“มากเลยครับ มือเย็นไปหมด” ผมยกมือขึ้นให้ดูว่ามันยังสั่นน้อยๆ
“ไหน” มือใหญ่รวบมือผมเข้าไปกุม ก่อนบีบให้เบาๆ “ดีขึ้นหรือยัง”
“ครับ” นั่นคือคำโกหกคำโตของผม ใจผม มือผม มันสั่นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก
“เมื่อกี้ตอนซอลร้องพี่มองไปรอบๆ คนชอบกันมากนะ” พี่จอมทัพคุยไปด้วยมือก็ยังนวดมือผมให้ไปด้วย
“แค่มองจะรู้ได้ไงครับ”
“รู้สิ เพราะบางคนถึงกับหยุดกินข้าว มองตรงไปที่เวทีอย่างเดียว ซอลเข้าใจเลือกเพลง เสียงซอลเพราะมาก มันทั้งหวานทั้งเศร้า บีบหัวใจน่าดู” พี่จอมทัพหยุดพูด สบตาผมด้วยรอยยิ้ม ก่อนยกมือขึ้นวางลงบนศีรษะของผม
“ซอลของพี่เก่งมาก” รอยยิ้มที่ส่งมาให้อ่อนโยน ผมพยักหน้าน้อยๆ หัวใจพองโตแต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเศร้าสร้อยไปด้วย
“ขอบคุณครับ” ผมยิ้มบาง คนที่นั่งอยู่คงไม่รู้ว่าเพลงนี้คือเพลงที่ผมตั้งใจร้องให้คนเพียงคนเดียวฟัง คนที่ผมมองลงมาหา คนที่ส่งยิ้มให้กำลังใจผมทุกครั้งที่เราสบตากัน คนที่ดีกับผมอย่างที่ผมไม่เคยคิดว่าจะมี และเป็นคนที่ทำให้ผมกลายเป็นคนแอบรัก
“ดื่มน้ำก่อน” แก้วน้ำถูกเลื่อนมาข้างหน้าผม
“ครับ” ผมยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม เพื่อปิดบังบางอย่างในดวงตา ผมรักพี่ครับพี่จอมทัพ คำพูดเหล่านั้นได้แต่ดังอยู่ในใจ
✪✣✤✥✦TBC✤✥✦✧✪
** ขอขอบคุณเพลง “รัก” โดย คุณปุ๊ อัญชลี จงคดีกิจ
.
Darin ♥ FANPAGE Twitter :
primdarin