34 – เหนือผิวน้ำ
เป็นไทจำได้ว่าครั้งสุดท้ายที่ถูกขังในห้องน้ำ เขากลั้นหายใจ พาศีรษะตนเองจุ่มลงไปในน้ำ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำลงไปทำไม เขาอาจแค่อยากดำดิ่งหนีหายลงไปเสียในความมืดมิด ในความกลัวแห่งมืดมนอนธการ หรือบางที อาจแค่อยากหาคุณค่าของตนเองว่าอยู่ที่แห่งใดกันแน่
แต่เป็นไทก็ไม่ได้พบมัน
สิ่งที่พบมีเพียงความเงียบงัน ว่างเปล่า มืดดำ และน่าประหลาดที่เขากลับจำไม่ได้แล้วว่าตนเองเงยหน้าขึ้นมาเมื่อไหร่ เหมือนเขาค้างอยู่ในอิริยาบถนั้นแสนนานทั้งที่กลัวความมืด หรือบางที เขาอาจยังไม่เคยหลุดพ้นจากผืนน้ำคับแคบนั่นเลย ทั้งยิ่งจมลงไป คับแคบยิ่งกลับกลายขยับขยายจากน้ำตาเขาเอง
ดังนั้น – ดังนั้น การถูกฉุดดึงขึ้นใกล้ผิวน้ำ ฉุดจากลุ่มลึกของทะเลน้ำตาและถ้อยคำที่อึดอัดคับข้อง ได้เห็นแสงสว่างรำไรส่องผ่านลงมา หัวใจของเขาเหมือนพบที่ให้ไป และเขาก็ยินดีจะแหวกว่ายขึ้นพบอากาศ สูดเอามันเข้าไปให้เต็มปอด และพร่ำพูดสิ่งในใจออกมา ร้องไห้ออกมา โดยไม่ต้องกังวลอีกแล้วว่าหยาดน้ำตาจะถูกกลืนหายในทะเลและไม่มีใครรับรู้ถึงความเศร้าของเขาเลย
เพราะใจเย็นนั่นเอง ใจเย็นเป็นคนรับรู้และแบกรับมันเอาไว้ เหมือนกับที่เขาคอยประคับประคองตัวตนของอีกฝ่ายตลอดมา
เป็นไทจำไม่ได้ว่าในวันนั้นเขาพูดอะไรออกไปบ้าง แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ รู้ว่าใจเย็นรับฟังเขาอยู่อย่างเต็มใจ แค่นั้นพอแล้ว ไม่ขออะไรอีก และหลายครั้งนับจากนั้นที่คำว่า ‘ช่างมัน’ จะผุดพรายขึ้นในความคิดของเป็นไท ช่างมัน – ช่างมันไม่ว่าความสัมพันธ์นี้จะคืออะไร ช่างมันต่อให้ค้นหาความหมายของตนเองกันไม่พบ ช่างมันไม่ว่าท้ายที่สุดแล้วจุดจบจะคืออะไร
ช่างมัน ช่างมันทุกอย่างเลย
อาจเพราะแบบนั้นเป็นไทจึงสบายใจกว่าที่เคยเป็น อยู่กับปัจจุบัน ประคับประคองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่ต้องกังวลอะไรทั้งนั้น และอาจเพราะเขาผ่านพ้นทะเลถ้อยคำมาได้ สิ่งที่ทำจึงเป็นการพูด พูด และพูด พูดอย่างที่เก็บกดมาตลอด เล่าให้ใจเย็นฟังในสิ่งที่คิด สิ่งที่เจอ สิ่งที่รู้สึก และใจเย็นก็รับฟัง รับฟัง และรับฟัง
ขณะเดียวกัน เขาก็รับฟังใจเย็นเช่นกัน ยินดีรับฟัง เต็มความหมาย ไม่มีเรื่องใดเลยที่คิดปฏิเสธไม่รับเอาไว้
“ผมตัดสินใจได้แล้วนะครับว่าจะอยู่กับแม่”
กับเรื่องนี้ก็เช่นกัน ใจเย็นพูดขึ้นมาระหว่างมื้ออาหารในร้านแห่งหนึ่ง เป็นไทเงยมองคนตรงหน้า ทั้งแปลกใจและไม่แปลกใจในเวลาเดียวกัน
“อืม งั้นก็ดีแล้ว”
“เป็นไทว่าดีที่ตัดสินใจได้ หรือดีที่ผมเลือกอยู่กับแม่”
“ทั้งสองอย่าง”
“งั้นเหรอ”
“เออ กูว่ามึงอยู่กับแม่น่ะดีแล้ว” เขาพูดอย่างที่คิด ซึ่งก็ได้เห็นใจเย็นยิ้มขึ้นมา บางเบา
“ผมก็กะอยู่ว่าเป็นไทต้องคิดแบบนี้”
“ทำไมวะ”
“เป็นไทต้องไม่อยากให้ผมทิ้งแม่อยู่คนเดียวแน่”
เหมือนเป็นอีกครั้งที่ถูกคาดเดาได้ว่าเขาจะคิดอะไร ยิ่งสบตาก็ยิ่งยืนยัน แววตาของใจเย็นที่มองเขายังคงเหมือนเดิม เหมือนทะลุทะลวงเขามาในสิ่งที่คิด เหมือนปรารถนาบางอย่างที่เขาไม่อาจบอกได้ว่าสิ่งใดบ้าง แต่สุดท้ายเขาก็ตัดบท เอ่ยถามกลับไปท่ามกลางเสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้คนในร้านอาหาร
“แล้วที่มึงตัดสินใจอยู่กับแม่นี่เพราะอะไร”
“ก็เหมือนที่เป็นไทคิด” ได้ฟัง เขาขมวดคิ้วปมเล็ก พลันอีกฝ่ายก็เหมือนรู้ว่าเขาคิดอะไร “แต่ไม่ได้ตัดสินใจเพราะคิดตามแบบเป็นไทหรอกครับ เรื่องนี้ผมเลือกเอง”
“เออ...ดีแล้ว”
“ความจริงมันเลือกยากมากนะครับ ถ้าคิดในมุมของทั้งพ่อและแม่ก็ยิ่งเลือกยาก”
“อืม ยังไง”
“ก็ที่แน่ๆ คือแม่มีผมคนเดียว ส่วนพ่อ ถึงจะมีทั้งน้องพิชญ์กับน้องพริม แต่ผมไม่ค่อยเชื่อหรอกว่าจะเหมือนกัน”
เป็นไทนิ่งคิดกับสิ่งที่ได้ฟังไปชั่วครู่ ก่อนกลั่นกรองออกมา “ที่มึงพูดคือจะบอกว่าพ่อแม่รักลูกไม่เท่ากันใช่ไหม”
“เปล่าครับ ที่จริงผมไม่เข้าใจเรื่องนี้หรอก เพราะงั้นคงพูดได้ไม่เต็มปาก แต่ที่แน่ๆ ผมว่าลูกแต่ละคนก็ได้รับความรักคนละแบบ” ใจเย็นพยายามอธิบาย “อย่างน้องพริม พ่อก็จะห่วงแบบเด็กผู้หญิง น้องพิชญ์ก็เรียบร้อยเลยดูไม่น่าห่วงอะไรมาก ส่วนผม ผมรู้ว่าพ่อคาดหวังมากกว่าคนอื่นๆ ผมบอกไม่ได้หรอกว่าพ่อรักผมมากกว่าน้องอีกสองคน แต่ยังไงพ่อก็คาดหวังกับผมมาก”
เป็นไทรับฟังทั้งหมด แม้เขาไม่อาจออกความเห็นได้ว่าพ่อของใจเย็นเป็นคนอย่างไร แต่เขาชอบที่ใจเย็นมองเรื่องราวอย่างเป็นกลาง ผ่านมุมคิดละเอียดลออที่ไม่ใคร่จะเหมือนใครนัก
“งั้นแปลว่าน้ำหนักในการตัดสินใจแทบจะเท่ากัน”
“ครับ แต่สุดท้ายผมก็เลือกแม่ ตามเหตุผลที่บอก”
“ก็ดีแล้ว อยู่กับแม่ก็ใช่ว่าจะทำให้พ่อภูมิใจไม่ได้ไม่ใช่หรือไง”
พูดจบ เขาก้มกลับลงไปสนใจจานอาหารตรงหน้า แต่รู้สึกถึงสายตาจับจ้องจึงเหลือบขึ้นไปมอง แล้วก็เห็นใจเย็นยิ้มเล็กๆ
“ยิ้มอะไร”
“ชอบ”
“อะไรของมึง”
“ชอบที่เป็นไทพูด”
เขานึกคำตอบโต้ไม่ออกไปชั่วขณะ สุดท้ายสิ่งที่ทำจึงเป็นการจิ้มมะเขือเทศที่เป็นผักเคียงในจานข้าวไปใส่จานของใจเย็น และก็บังคับให้กินด้วยความหมั่นไส้เพราะรู้ว่าใจเย็นไม่ชอบ ทักท้วง ถกเถียงกันอยู่สักพักจนใจเย็นยอม และตอนเคี้ยวก็สีหน้าไม่ดีนักให้เขาหัวเราะ
“ถ้าเป็นไทหัวเราะกับเรื่องนี้ ให้ผมกินอีกก็ได้นะ”
แต่สุดท้าย สุดท้ายเขาพลิกกลับเป็นฝ่ายแพ้เพราะคำพูดหน้าตายแบบนั้น ก่อนจะกลายเป็นคำพูดจริงจังว่าถึงเขาจะพูดหลายสิ่งหลายอย่างในใจออกมา เขาก็ยังไม่ค่อยยิ้มนัก ให้รู้สึกตัวขึ้นมาว่าจริงตามนั้น
“เรื่องที่บ้านผม ผมรู้สึกว่ากำลังจะผ่านมันไปได้แล้ว”
ประโยคนี้เองก็ดูใกล้เคียงความจริงเช่นกัน
“เป็นไทก็ต้องผ่านมันไปให้ได้นะครับ”
ถึงถ้อยคำนี้ ความจริงจังสิ้นสุดลง กลับกลายเป็นเรื่องคุยเล่นเหมือนเดิมในประโยคถัดมา ราวกับเป็นคำพูดผ่านๆ แต่เป็นไทรู้ว่ามันไม่ได้แค่ผ่านไป ใจเย็นหมายความตามนั้น เขาเองก็อยากให้เป็นดังคำ และเพราะอะไรหลายๆ อย่าง – ไม่สิ – อาจเพราะใจเย็น แค่ใจเย็นคนเดียวเท่านั้น เขารู้สึกว่าแค่มีคนคนนี้อยู่ ไม่ว่าอะไรเขาก็จะผ่านมันไปได้
แต่ก็ไม่เป็นอย่างที่คิด
เมื่อเดือนพฤษภาคมร่นโรยเข้ามา เรื่องเรียนใกล้สิ้นสุดกังวล เป็นไทกำลังจะจบปีสี่ เหลือแค่บางเรื่องเท่านั้นที่รอสะสางในชีวิตมหาวิทยาลัย เป็นไทจึงรู้สึกว่าเขาคงจัดการชีวิตตัวเองได้ดีกว่านี้ ฉะนั้นในวันที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง เมฆขาวสะอาด อากาศดี ดีมากพอจนทำให้เขาคิดว่าจะไม่เป็นไร เป็นไทตอบรับนัดพบที่เขาปฏิเสธมาตลอด นัดพบที่บอกผ่านแม่ของเขาเสมอมา
เป็นไทตอบรับนัดพบของพ่อ
สถานที่คือร้านอาหารแห่งหนึ่ง ไม่ใช่ในห้างสรรพสินค้า แต่เป็นร้านอาหารในย่านสุขุมวิท ใจกลางเมือง เวลาเย็น ผู้คนพลุกพล่าน แม้เป็นไทไม่ชอบใจเท่าไหร่นักเพราะเขาเกลียดการเดินทางกลางเมืองเวลานี้ แต่เพราะเขาไม่ยอมสื่อสารกับพ่อด้วยตนเองจึงต้องจำใจรับ หลังลงจากรถไฟฟ้าและมาต่อรถแท็กซี่ที่ติดค้างอยู่บนถนน ความคิดก็กลายเป็นฝ่ายโลดแล่นแทนรถยนต์ เขาสงสัยหลายเรื่องเกี่ยวกับชายที่ตัวเขาเองแทบไม่อยากเรียกว่าพ่อ ว่าทำไม – ทำไมถึงกลับมา ทำไมถึงอยากพบ ทำไม ทำไม และทำไม จนอาจเรียกได้ว่าความสงสัยทั้งชีวิต เขาตั้งใจจะสะสางมันให้หมดวันนี้
ที่สำคัญ มีคำถามหนึ่งที่เขาอยากจะถามให้ได้
ทำไมถึงทำกับเขาแบบนั้น
พลันไหวสะท้านขึ้นมาแค่คิดจะถาม กลัว น่าจะใช่ เป็นไทรู้สึกกลัวขึ้นมา ใจหนึ่งเขาอยากรู้ แต่อีกใจก็ไม่อยากรู้ เขากลัวคำตอบ กระนั้นก็พยายามสูดหายใจเข้าปอด ช้า ลึก ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนออกมา ตั้งสติ ทบทวนซ้ำเช่นนั้น จนในที่สุดเมื่อรถแท็กซี่มาจอดหน้าร้านอาหารซึ่งเป็นจุดนัดพบ เขาพยายามไม่คิดอะไร หยิบธนบัตรขึ้นมาจ่ายเงินและลงมาจากรถด้วยความรู้สึกว่างเปล่า
ร้านที่เขามาถึงเป็นร้านอาหารญี่ปุ่นแห่งหนึ่ง หน้าร้านตกแต่งเรียบง่าย สบายตาด้วยสีน้ำตาลอ่อนของไม้เป็นโทนหลัก แต่อย่างไรก็ตามเมื่อมองเข้าไป ผ่านกระจกใสที่กรุแทนกำแพงอย่างที่ร้านอาหารทั่วไปมักจะทำ เป็นไทก็รู้สึกไม่สบายใจนัก
เขาเห็นชายคนนั้นแล้ว จากข้างหน้าร้าน เขาเห็นด้วยสายตาที่สื่อสารกับสมองไม่ผิดเพี้ยน ชายคนนั้นอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตลายทางสีดำ นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ติดริมกระจก หันข้าง พลันรู้สึกดีขึ้นมาที่ยังไม่ถูกเห็น ไม่รู้ทำไมเขาถึงต้องคิดแบบนั้น ทั้งที่ตั้งใจแล้วว่าจะมาพบ ตั้งใจแล้วว่าจะมาสะสางสิ่งที่ติดค้างใจมานาน ตั้งใจว่าจะก้าวข้ามอคติและอดีตของตัวเอง เขาอยากรู้ว่าปัจจุบันเป็นอย่างไร ใช่ เขาอยากรู้
แต่ความกลัวมีมากกว่าหลายเท่า
พลันเจ็บร้าวขึ้นมา แน่นหน้าอกจนหายใจติดขัด ก่อนที่อาการบกพร่องจะเริ่มลามเลยไปทั่วร่าง สั่นสะท้านปกคลุมอย่างไม่อาจต้าน และเหมือนหัวใจถูกดึงให้หล่นวูบเมื่อเห็นว่าชายคนนั้นกำลังหันมาทางเขา กำลังจะเห็นเขา ด้วยแววตาอันว่างเปล่าคู่นั้น ให้เหมือนถูกปกคลุมด้วยความมืดและผืนน้ำที่เย็นเยียบ
แล้วเป็นไทก็รู้ตัวในเวลานั้นเอง ว่าแท้จริงเขาไม่เคยโผล่พ้นเหนือผิวน้ำเลย
ได้สติอีกที เขาพาตัวเองหนีออกมาจากตรงนั้น ผิดนัดอย่างไม่มีข้อกังขา สุดท้ายแล้วเขายังคงขี้ขลาด เขาทำไม่ได้ เขาทำไม่ได้ เขาทำไม่ได้ คำนั้นย้ำซ้ำไปซ้ำมาในหัวสมองที่ขาวโพลน เขาได้แต่ก้าวยาวๆ หนีออกมา ไปให้ไวที่สุด แม้กระนั้นก็ยังกลัวว่าจะถูกตามมา ตามมาเหมือนอดีตที่หลอกหลอนเขามาทั้งชีวิต
และเพราะสติรวนเร ทั้งที่เขาไม่อยากกลับบ้าน ไม่อยากพบแม่ แต่เส้นทางที่เลือกกลับก็ดันเป็นทางเดียวกับที่มา จึงต้องเสียเวลาย้อน หากเมื่อคิดอีกที เขาก็ไม่อยากไปที่คอนโด โทรศัพท์มือถือจึงถูกหยิบขึ้นมาและกดโทรหาคนคนเดียวที่เขาไว้ใจที่สุด ตั้งใจว่าจะไปหา ตั้งใจว่าจะพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ระบายมันออกมา และเขาก็คงจะดีขึ้น
“ว่าไงครับ”กระนั้น เมื่อได้ยินเสียงของอีกฝ่าย เป็นไทกลับรู้สึกว่าตัวเองยิ่งจมลึกลงไปกว่าเดิม
“กู...เพิ่งไปเจอพ่อมา”
“ไปเจอมาเหรอครับ”“อือ”
“เป็นไงบ้าง”จมลึกลงไป
“กู...ทำไม่ได้”
ลึกลงไป
“กูผ่านมันไปไม่ได้”
อย่างคนเพิ่งรู้สึกตัว ว่ายิ่งแสดงให้เห็นว่าตนเองแหลกสลายเท่าไหร่ ใจเย็นก็ยิ่งแหลกสลายตามไปด้วยเท่านั้น และจะแหลกกระทั่งกลายเป็นฝุ่นผง ปลิดปลิวอย่างไร้ค่าไปตามลมอย่างที่อีกฝ่ายเคยพูด เขาเชื่อว่าถ้อยคำนั้นสัตย์จริง เพราะไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่จะต้องโกหกเพื่อเขาขนาดนั้น
“แค่นี้นะ”
เป็นไทกดตัดสายไปดื้อๆ อีกแล้วที่รู้สึกเหมือนจะร้องไห้ เขาพยายามเก็บกลืนมันลงคอ กลืนมันลงไปในร่างและหัวใจของตัวเอง เขาเลือกกดโทรหาเพื่อนสนิทในคณะ ต่อให้ไม่ใช่คนที่ไว้ใจที่สุด เขาก็อยากจะให้ออกมาอยู่เป็นเพื่อนในเวลานี้ ต้องการแค่นั้น แต่คนแล้วคนเล่าก็ติดธุระที่เขาไม่อยากรบกวน ทั้งยังรู้สึกว่าเหตุผลของตนเองนั้นไร้สาระขึ้นมาทันที
ภายใต้ท้องฟ้า ความมืดเริ่มห่อคลุม สุดท้าย เขาก็ไม่มีที่ไป ได้แค่เลือกนั่งรถเมล์กลับไปที่คอนโด ท่ามกลางผู้คนที่แออัด ถนนที่รถติด นาทียาวนานเหมือนปี แต่บางทีมันคงดีถ้าความน่าหงุดหงิดเหล่านี้จะช่วยให้ลืมสิ่งที่กำลังรู้สึกอยู่ได้ กระทั่งมีสายเรียกเข้าจากใจเย็นอีกครั้งเมื่อเดินมาถึงล็อบบี้ของคอนโด อะไรหลายๆ อย่างก็ตีกลับมาใหม่อีกครั้ง
เขาอยากจะช่างมันแล้วกดรับสาย ช่างมันไม่ว่าความสัมพันธ์นี้จะคืออะไร ช่างมันต่อให้ค้นหาความหมายของตนเองกันไม่พบ ช่างมันไม่ว่าท้ายที่สุดแล้วจุดจบจะคืออะไร ช่างมัน ช่างมันทุกอย่างแบบที่เคยทำได้ แต่ว่า – แต่ว่าเขาไม่เอาแล้วในเมื่อรู้ดีว่าจะจบลงอย่างไร
แตกสลาย
ไม่ต้องการให้ใจเย็นเป็นแบบนั้นเพราะเขาเลยสักนิด
ทว่า เป็นไทก็ไม่รู้จะทำอย่างไรกับสายเรียกเข้าที่ดังไม่หยุดในตอนนี้ เขาไม่อยากรับ ขณะเดียวกันก็ไม่กล้ากดตัดสาย ได้แค่นั่งลงอย่างเหนื่อยล้าตรงโซฟาของล็อบบี้ มองหน้าจอที่ยังคงขึ้นชื่อเดิมอยู่อีกเป็นนาที จนเมื่อมันมืดดับลง เขารู้สึกเหมือนจมลึกลงไปในผืนน้ำอีกครั้ง ผืนน้ำที่เงียบงันท่ามกลางผู้คน และมืดมิดทั้งที่แสงไฟส่องไสว
พลันถูกกระชากขึ้นมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
ดอกไม้กลีบกลมหยักสีม่วงสวยถูกยื่นมาตรงหน้า มันบรรจุในแจกันใสที่คุ้นตา และเขาก็จำได้ว่าดอกไม้นี้คือดอกสวีทพี...ดอกสวีทพีในเดือนพฤษภาคมของทุกปีที่บ้านของใจเย็น เงยขึ้นมองก็ได้สบตากับแววตาคู่เดิม แววตาที่เขาทั้งชอบทั้งชัง แววตาที่เหมือนจะทะลวงล้วงความลับและปรารถนาอะไรบางอย่างในตัวเขา แววตา...ที่ตรงข้ามกับแววตาว่างเปล่าของพ่อในวันนั้น
“รับไว้นะครับ” และนั่นคือประโยคที่ใจเย็นพูดระหว่างที่เขาได้แต่เงียบงัน ก่อนจะย่อตัวลงนั่งยองตรงหน้าเขา จับมือทั้งสองข้างให้ถือแจกันแก้วนั้นเอาไว้ “แม่ผมไม่เชื่อว่าคนที่เด็ดดอกไม้มาใส่แจกันจะไม่รักดอกไม้ จะเด็ดเอามาไว้ในแจกัน หรือจะปล่อยไว้ข้างทางก็รักเหมือนกัน แม่ผมบอกแบบนั้น”
เขาอยากจะด่า ด่าออกไปว่าอยู่ๆ มาพร่ำพูดอะไรไร้สาระในตอนนี้ แต่เขาก็พูดไม่ออก อาจเพราะไม่ว่าใจเย็นจะพูดอะไร ต่อให้ไม่เข้าใจเลยสักนิด เขาก็รับฟัง รับฟังเหมือนกับที่มือเขาถือแจกันแก้วใสนั้นไว้ตามที่อีกฝ่ายบอก ถือเอาไว้แม้ว่ามือจะสั่นเทาอย่างไม่เข้าใจ
“แต่สำหรับผม ถ้าเป็นไทเป็นดอกไม้ ผมจะไม่เด็ดไม่ดึง แต่ก็ไม่ปล่อยไว้ข้างทาง”
ไม่เข้าใจ แม้แต่สิ่งที่ใจเย็นกำลังพูดในตอนนี้
“ผมจะขุดขึ้นมา ทั้งรากทั้งโคน ตักขึ้นมากระทั่งดิน เพื่อเอามาปลูกไว้ในสวน และดูแลดอกไม้นั้นด้วยตัวเอง”
ไม่รู้ทำไม มือของเขายิ่งสั่นเทา บางที อาจเพราะเขาแค่อยากจะทะนุถนอมมันไว้ ไม่อยากประหม่าจนกะน้ำหนักมือไม่ถูก และบีบมันจนแตกร้าว
“นั่นคือความหมายของรักเดียวใจเดียวของผม”แต่ทั้งที่อยากทะนุถนอม หยาดน้ำตาก็ร่วงหล่นบนกลีบดอกสีม่วงของสวีทพีจนได้
“ตอนนี้...ผมบอกเป็นไทได้แล้วใช่ไหม”
“บอกอะไร...”
ใจเย็นไม่ได้ตอบ แต่ขยับตัวเข้ามาใกล้เขา เอื้อมมือเข้ามาปาดน้ำตาบนพวงแก้มของเขา น้ำตาที่ไม่คาดคิดเลยว่าจะไหลรินลงมา
“อย่าร้องไห้เลยนะ”
พลันได้ฟังคำนั้น เขาเหมือนถูกพาโผล่พ้นจากทะเลน้ำตาทั้งที่กำลังร้องไห้
และเหนือผิวน้ำไม่ได้มีกลิ่นไอเกลือของทะเล
แต่เป็นกลิ่นหอมนวลของดอกไม้ ดอกไม้ที่ใจเย็นมอบให้เขา...เพียงผู้เดียว****************************************************************************
TL ตอนนี้ รวบตั้งแต่ตอนของเกษรากับพิทักษ์เลยค่ะ ถ้าจำได้ ปลายตอนที่แล้วใจเย็นขอแจกันมาจากที่บ้าน 55