ต่อ
“ประทานโทษนะครับ เมื่อวานผมได้ยินมาว่าคุณหมดสติไปในห้องน้ำที่งานเลี้ยง ไม่ทราบว่ามีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นรึเปล่าครับ”มาลิศเลขาหนุ่มของปิญญ์ชานนท์เอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงเจ้านาย หลังจากที่เจ้านายเข้ามาในห้องทำงานของตัวเองด้วยสภาพเหนื่อยอ่อน
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่เหนื่อยนิดหน่อย”ปิญญ์ชานนท์บอกปัด
ทั้งที่ตอนนี้เขาแทบจะไม่ไหวกับสภาพเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อที่ยังไม่คืนสภาพดีด้วยซ้ำ
“ถ้ายังไงคุณลองไปตรวจที่โรงพยาบาลดูก่อนไหมครับ ผมคิดว่ามันอาจจะเกิดจากการโหมงานของคุณในช่วงนี้”
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันยังไหว ไม่เป็นอะไรมาก”
แค่กล้ามเนื้อมันยังคงชาและอ่อนแรงอยู่เท่านั้น
มันไม่เท่ากับความเป็นจริงที่เขาได้รับรู้มาเลยสักนิด เหมือนกับถูกฟ้าผ่าท่ามกลางพายุที่กำลังโหมกระหน่ำอยู่แล้ว เขาไม่เข้าใจว่าเรื่องราวที่ไม่น่าจะเป็นไปได้มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือความแค้นที่มันเพิ่มขึ้นมาในใจเป็นทวีคูณ หากขนมผิงเป็นลูกชายของคุณพิศณุอยู่ก่อนแล้วแสดงว่าลำดวนก็เป็นภรรยาของพิศณุ เช่นนั้นการที่ลำดวนเข้ามาแทรกซึมอยู่ในอนันตไพลินมันก็คือการจงใจตั้งแต่แรกสินะ
แล้วขนมผิงล่ะ?
ความผิดของขนมผิงคือการหลอกลวง…ล่อลวงเขาให้ตายใจกับเรื่องราวที่ปิดบังเอาไว้ทั้งหมด เล่ห์เหลี่ยมและมารยาที่เขาไม่อาจจะตามทันมันยิ่งทำให้เขาเจ็บใจ และที่สำคัญยังบังอาจใช้ที่ช็อตไฟฟ้าช็อตเขาจนสลบ
ความสามารถของขนมผิงที่มีอยู่ในตอนนี้มันไม่น้อยเลย มันกำลังทำให้เขาสั่นคลอนกับสิ่งที่ขนมผิงจงใจที่จะทำ
“แล้วนายมีอะไรรึเปล่า”เขาถามคนสนิทพลางใช้ปลายนิ้วกดเข้าที่ขมับตัวเองเบาเบาไปมาเพื่อปลุกความคิดของตัวเองให้จดจ่อกับสิ่งที่ควรจะทำมากที่สุด
“คิดว่าคุณคงจะทราบดีแล้วจากคืนที่ผ่านมาว่าคุณขนมผิงเป็นลูกชายของคุณพิศณุ ผมเองก็ยังแปลกใจ”
“อืมฉันรู้แล้ว เรื่องทั้งหมดเป็นเพราะขนมผิง”เขาบอกปัด พยายามที่จะไล่ชื่อนี้ออกไปจากหัวและตั้งสมาธิอยู่กับงาน
“ครับ งั้นนี่เป็นรายงานสรุปเมมโมของผู้ถือหุ้นรายย่อยเกี่ยวกับความต้องการที่จะขายหุ้นในราคาทุนที่พวกเขาเคยซื้อ”
“ทำไมพวกนั้นจะต้องเสนอขายหุ้นคืนทั้งที่จะขายต่อให้ใครก็ได้”
“ตอนนี้ แนวโน้มความต้องการครองหุ้นของอนันตไพลินมีน้อยมากครับ เนื่องจากความเสี่ยงที่เกิดขึ้นมันค่อนข้างสูงราคาในตลาดจึงตกลงไป พวกเขาจึงต้องการเสนอขายหุ้นคืนในราคาทุนน่ะครับ”
“ไว้ฉันจะดูให้อีกที นายไปทำงานของนายต่อเถอะ”
หลังจากที่เลขาหนุ่มออกไป ห้องทำงานในชั้นสูงที่สุดของตึกระฟ้าก็ตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง แฟ้มรายงานแสดงถึงรายชื่อและจำนวนของหุ้นที่ผู้ถือหุ้นรายย่อยหลายรายต้องการที่จะขายหุ้นคืนบริษัทมันทำให้เขาค่อนข้างที่จะคิดหนักกับสถานการที่เกิดขึ้น
เป็นเรื่องที่ต้องใช้สมาธิในการไตร่ตรองเป็นอย่างมาก แต่ในความเป็นจริงขณะนี้สมองของเขามันกำลังเหนื่อยล้าเต็มทน อีกทั้งยังไม่สามารถสลัดเอาคนคนนั้นออกไปจากความคิดได้เลย
เขามีทางเลือกอยู่สองทางก็คือปล่อยให้ผู้ถือหุ้นรายย่อยขายหุ้นเข้าตลาดไปในราคาถูกแล้วทำให้ผู้ถือหุ้นที่มีหุ้นอยู่มากกว่าตื่นตระหนกกับสถานการณ์ หรือไม่ก็เป็นเขาเองที่ซื้อหุ้นนั้นมาอยู่ในกำมือแทนที่จะทำให้สถานการณ์มันย่ำแย่ลง ชายหนุ่มพยายามครุ่นนคิดในขณะทีร่างกายเริ่มอ่อนล้าเต็มทนจนแทบจะรับสภาพที่เกิดขึ้นไม่ไหว
ปิญญ์ชานนท์ฟุบหน้าลงกับโต๊ะทำงานเพื่อที่จะพักสายตาจากเอกสารมากมายเบื้องหน้า เขาไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปตอนไหนและหลับไปนานแค่ไหน รู้ตัวอีกทีนาฬิกาบนผนังก็บอกเวลาบ่าย ได้ยินเสียงเคาะประตูห้องทำงานทำให้ต้องผงกหัวขึ้นมาดูทั้งที่รู้สึกว่าอุณหภูมิของร่างกายขึ้นสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็น
มาลิศถือวิสาสะแตะไหล่ของเจ้านายเมื่อท่าทีที่แสดงออกมาทั้งดูน่าเป็นกังวล ใบหน้าคมคายแดงก่ำ ตาคู่คมกริบมีแววอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด
“คุณปิญญ์ครับ ได้เวลาที่นัดเอาไว้กับคุณเชตุพลแล้วนะครับ”
“อืม นี่กี่โมงแล้ว ฉันเผลอหลับไปนานแค่ไหน”ปิญญ์ชานนท์ฝืนเปลือกตาที่หนักอึ้ง เมื่อนับเวลาดูแล้วเขาเผลอหลับไปหลายชั่วโมงซะได้
“ตอนนี้บ่ายโมงแล้วครับ คุณเชตุพละกำลังจะมาถึงภายในอีกสิบนาที คุณจะรับกาแฟสักแก้วไหมครับ”
“อืม ก็ดี ขอกาแฟฉันสักแก้ว”
“ครับ อีกสักครู่ผมจะนำมาให้”
“มาลิศ”ปิญญ์ชานนท์เรียกเลขาหนุ่มเอาไว้ก่อนที่จะก้าวออกไปจากห้อง
“ครับ?”
“แจ้งไปยังผู้ถือหุ้นที่ต้องการขายหุ้นคืน บอกพวกเขาว่าฉันต้องการที่จะซื้อหุ้นทั้งหมดคืนด้วยราคาทุน”
“ครับ ผมจะแจ้งพวกเขาภายในวันนี้ครับ”เลขาหนุ่มตอบก่อนจะเดินออกไปอีกครั้ง
ปิญญ์ชานนท์ปิดแฟ้มรายชื่อผู้ถือหุ้นรายย่อยลง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจทำสิ่งที่ตรงข้ามกับความคิดลงไป ใจหนึ่งเขาต้องการที่จะปล่อยให้คนพวกนั้นที่ไม่เห็นค่าของสิ่งที่มีขายหุ้นให้อยู่ในมือของคนอื่นในราคาถูก แต่ถ้าเขาทำเช่นนั้นผู้ที่ถือหุ้นรายใหญ่กว่าจะเกิดการตื่นตระหนกและวิตกกับสถานการณ์ และถ้าเป็นอย่างนั้นคนที่จะสะใจที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นขนมผิง
ชื่อของขนมผิงวนเวียนเข้ามาในความคิดของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า อีกครั้งและอีกครั้ง มันทำให้เขาแทบบ้าเมื่อคิดถึงสิ่งที่อีกฝ่ายทำเอาไว้ในครั้งล่าสุดที่เจอกัน แต่เขาคนนี้จะแพ้คนอย่างขนมผิงไม่ได้เด็ดขาด คนไร้ค่าพวกนั้นจะไม่มีวันชนะเขาได้
แม้ว่าส่วนลึกในใจของเขากำลังต้องการที่จะได้ตัวของขนมผิงและเด็กๆมาอยู่ในครอบครอง พอคิดเช่นนั้นเขาก็นึกขึ้นอะไรบางอย่างได้ ซองเอกสารสีน้ำตาลถูกหยิบขึ้นมาจากลิ้นชักของโต๊ะทำงาน…ผลตรวจดีเอ็นเอที่เขายังคงติดใจอยู่ไม่หาย หากเด็กพวกนั้นเป็นลูกของเขาอย่างที่ขนมผิงเคยบอก เขาควรจะทำอย่างไรในเมื่อเขาผลักไสคนพวกนั้นออกไปจากชีวิต แล้วถ้าไม่ใช่…เขาจะรู้สึกอย่างไรเมื่อขนมผิงไม่ได้เป็นของเขาเพียงแค่คนเดียว
ซองเอกสารถูกเปิดออกอย่างเบามือพร้อมกับหัวใจอันด้านชากำลังเต้นกระหน่ำราวกับผืนกลองถูกระดมตี ตอนนี้ปิญญ์ชานนท์ไม่มีคำตอบให้กับตัวเอง ใจของเขากำลังจดจ่ออยู่กับซองจดหมายโดยไม่ได้สนใจเสียงเคาะประตูห้อง หรือแม้กระทั่งเลขาที่ก้าวเข้ามาพร้อมกับแก้วกาแฟ
“กาแฟครับ คุณปิญญ์”เสียงเรียกทำให้ปิญญ์ชานนท์ชะงักมือแล้วเงยหน้ามองแก้วกาแฟ
“ชอบใจ”เขาพยักหน้า
“คุณเชตุพลมาถึงแล้วนะครับ จะให้เชิญเขาเข้ามาเลยไหมครับ”
“เชิญเข้ามาเลย”
“ครับ”
หลังจากเลขาหนุ่มออกไปจากห้อง ปิญญ์ชานนท์ก็เก็บซองเอกสารที่ยังเขาไม่พร้อมที่จะดูลงไปแน่นิ่งอยู่ในลิ้นชักอีกครั้ง ยังไงซะเขาเองก็ยังไม่ต้องการที่จะเปิดมันออกมาในเมื่อเขายังไม่มีคำตอบให้กับตัวเอง
“ไม่เจอกันตั้งนานดูคุณจะซูบลงไปเยอะนะ คุณปิญญ์”
“ครับ ไม่เจอกันตั้งนาน แล้วอะไรที่พาคุณมาหาผมถึงที่นี่ล่ะ”เขาตอบรับหนึ่งในผู้ถือหุ้นรายใหญ่และเป็นอีกหนึ่งในตัวเลือกที่จะเป็นว่าที่พ่อของภรรยาในอนาคตของเขา
“จะมีอะไรได้นอกจากสถานการณ์ของรายได้ที่มันอยู่ในมือของผมน่ะสิ ดูเหมือนว่าคุณกำลังประมาทกับหนูตัวเล็กๆเกินไปสินะ ถึงได้เกิดเรื่องพรรค์นี้ขึ้นมา”
“นั่นมันก็แล้วแต่คุณจะคิด ผมว่าคุณเข้าประเด็นมาเลยดีกว่าครับคุณเชตุพล ผมค่อนข้างไม่ค่อยมีเวลาซะด้วยสิช่วงนี้”ปิญญ์ชานนท์ตอบพลางวางท่าทีตามที่เคย
“หึ ผมก็แค่เห็นว่าพวกผู้ถือรายย่อยเริ่มจะวิตกกัน ไอ้รายใหญ่อย่างผมเลยไม่ค่อยจะแน่ใจกับรายได้ที่เริ่มจะลดลงสักเท่าไร”
“เรื่องนี้ผมกำลังหาทางแก้ปัญหา แต่ถ้าคุณไม่พอใจยังไงผมยินดีจะซื้อหุ้นของคุณในราคาต้นทุนเหมือนกับพวกเขา คุณจะว่ายังไงล่ะ”
“สถานการณ์มันย่ำแย่ขนาดนั้นเลยรึไงกัน ผมไม่คิดว่ามันจะถึงขนาดที่จะต้องทิ้งรายได้พวกนี้ไปหรอกนะ”
“ผมกำลังจะต่อสัญญากับทางสิงคโปร์ คิดว่าความน่าเชื่อถือของเราจะกลับคืนมาเป็นปกติ”
“แล้วเรื่องคนงานล่ะ”
“ผมกำลังรับสมัครเพิ่มเติมอยู่”
“แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการที่จู่ๆคุณจะเพิ่มฐานเงินเดือนของพนักงานฝ่ายผลิตทั้งหมด มันทำให้กำไรของบริษัทลดน้อยลง แล้วยิ่งกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอีก คุณแน่ใจได้ยังไงว่ามันจะกลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม”
“ผมมั่นใจในสิ่งที่ผมคิดและทำ ถ้าคุณไม่มั่นใจผมก็จะยืนยันข้อเสนอเดิมกับคุณ นี่มันก็แค่เกมเล็กๆของคนที่กำลังมีไฟสร้างขึ้นมา และผมก็ไม่คิดว่าผมจะแพ้ให้กับเกมๆนี้”
“ผมไม่สนว่ามันจะเป็นเกมหรือไม่ใช่ ผมสนแค่รายได้ที่เข้ากระเปา คุณจะทำยังไงก็ได้ให้รายได้ของผมมันไม่น้อยลงไปกว่านี้ ผมสนแค่นี้เท่านั้น”
“งั้นก็ดี วันนี้คุณคงหมดเรื่องที่จะคุยกับผมแล้วสินะ งั้นก็เชิญครับ ผมต้องการสมาธิในการทำงาน”ปิญญานนท์จ้องมองแขกที่กำลังเผชิญหน้าด้วยสายตาราวกับสุนัขล่าเนื้อ
ไม่มีใครล่วงรู้เลยว่าสุนัขล่าเนื้อตัวนี้กำลังอ่อนแรงแค่ไหนจากการต่อสู้ที่แพ้ราบคาบในครั้งล่าสุด เพราะเขาไม่แม้แต่จะแสดงมันออกมาต่อหน้าอีกฝ่าย
“หวังว่าคุณจะจัดการกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ล่ะ ไม่อย่างนั้นผมคงจะต้องตอบรับข้อเสนอที่คุณยื่นมา”เชตุพลคาดโทษ “อ้อ อีกอย่าง วันนี้ผมจะเข้าไปคุยกับพ่อของคุณเกี่ยวกับเรื่องของเดหลี เลยมาบอกไว้ก่อน คุณจะได้มีเวลาเตรียมการ”พูดจบร่างท้วมของผู้ถือหุ้นรายใหญ่ก็เดินออกไป
มันทำให้เขายิ่งเหนื่อยใจกับการแผนการจับคู่ที่เขาไม่เต็มใจเลยสักนิด ผู้หญิงที่เขาไม่ได้เลือกกำลังจะก้าวเข้ามาในชีวิตของเขา ผู้หญิงที่ไม่ใช่คนที่ทำให้เขานึกถึงตลอดเวลา
และเมื่อเชตุพลกลับไปไม่นานเลขาหนุ่มก็กลับเขามาอีกครั้งพร้อมกับคำถามที่เต็มไปด้วยความห่วงใย
“เป็นอย่างไรบ้างครับ เขาพอใจกับข้อเสนอของคุณรึเปล่า”
“ไม่ค่อยจะพอใจสักเท่าไร จับตาดูเขาให้ดี ฉันคิดว่าคนอย่างเขาจะต้องอาศัยสถานการณ์นี้ทำอะไรสักอย่าง”ปิญญ์ชานนท์กำชับพร้อมกับบีบขมับที่เริ่มจะปวดหนึบขึ้นมาอีกครั้ง
ยังไงซะเชตุพลก็คือผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่รองลงมาจากเขาที่เป็นเจ้าของ เขาจะประมาทอีกฝ่ายไม่ได้
“ครับ ผมจะให้คนคอยจับตาดู”
“ถ้าไม่มีอะไรแล้วนาย…”
“ผมคิดว่าคุณน่าจะหยุดเรื่องงานของวันนี้เอาไว้แค่นี้แล้วไปโรงพยาบาลดีกว่านะครับ คิดว่าคุณคงจะรู้สึกไม่ค่อยดี”เลขาหนุ่มแทรกก่อนที่เขาจะพูดจบ
“สภาพของฉันมันย่ำแย่จนถึงขนาดนั้นเลยรึไง”ปิญญ์ชานนท์ปรายตามองอีกฝ่าย
“ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับ แต่ผมคิดว่ามันคงจะดีกว่าหากคุณไปหาหมอเพื่อให้เขาตรวจเช็คดูอาการ”
มันก็จริงอย่างที่เลขาของเขาเตือน เขาเองก็เองก็เริ่มที่จะไม่ไหวกับความเหนื่อยล้าของร่างกาย ทั้งหมดต้องโทษขนมผิงคนเดียวที่ทำให้เขาต้องเผชิญกับเรื่องพวกนี้โดยที่ไม่ทันได้ตั้งตัว
ยังไงซะเขาจะต้องสั่งสอนคนอย่างขนมผิงให้วิ่งกลับมาหาเขาอย่างผู้แพ้เหมือนเมื่อสี่ปีก่อน โทษที่บังอาจมาต่อกรกับคนอย่างเขา
-----------------------------------------------------------------