-15-
นับแต่วันที่จือหยินมาขอความช่วยเหลือเวลาก็ผ่านไปถึงหนึ่งสัปดาห์แล้ว หลี่จวี๋เหม่ยยังคงมาเยี่ยมในตอนเช้าเพื่อสนทนาเล็กน้อย นำขนมมาให้และเดินทางกลับเช่นเดิม หญิงสาวไม่ได้มีท่าทีว่าต้องการเรียกร้องอะไรจากเซินเฟยเลยแม้แต่น้อย ทำให้การมาเยือนของเธอเป็นที่ต้อนรับของคนในบ้านใหญ่มากขึ้น และเซินเฟยก็ไม่ต้องรู้สึกปวดหัวกับเรื่องพ่อแม่ของตัวเองด้วย
หลี่จวี๋เหม่ยเดินทางกลับไปราว ๆ 10 โมงเช้า ซึ่งเป็นเวลาก่อนมื้อเที่ยงเนื่องจากเธอต้องรีบกลับไปเตรียมมื้อเที่ยงให้สามี เซินเฟยจึงไม่มีโอกาสเชิญเธอให้อยู่กินมื้อเที่ยงด้วยกัน
การปรากฏตัวของหลี่จวี๋เหม่ยนำความเปลี่ยนแปลงมายังตัวของเซินเฟยเล็กน้อยโดยที่เขาไม่รู้ตัว จากเดิมที่ไม่เคยรู้สึกต้อนรับครอบครัวของตนเอง ตอนนี้เขากลับยอมรับหญิงสาวที่เป็นแม่ให้เข้ามาในชีวิตอีกครั้ง
“คุณหลี่เองก็ดูไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไรนะครับ” หวางซิงออกความเห็นพลางวางแก้วขาให้เจ้านาย “แต่ผมยังไม่ไว้ใจทางคุณเซินหยู่ เขาอาจจะคิดอะไรอยู่ก็ได้”
“เรื่องนั้นผมเองก็ยังสงสัย” เซินเฟยเห็นด้วย ถึงใจของเขาจะยอมรับหลี่จวี๋เหม่ยได้เกือบเท่ากับสมัยเด็ก แต่สำหรับเซินหยู่นั้นเป็นอีกกรณีหนึ่ง ผู้ชายคนนั้นเป็นคนที่สามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อสิ่งที่ต้องการ เซินเฟยรู้จักพ่อตัวเองดีเกินกว่าจะกล้าวางใจ
“แต่ว่า...ทำไมคุณถึงได้ดูมีความสุขนักล่ะครับคุณฉู่?” เลขาหนุ่มหันไปมองฉู่เหวินจือที่นั่งยิ้มอยู่ที่เก้าอี้อีกตัวหนึ่ง เวลาที่หวางซิงอยู่ด้วย ฉู่เหวินจือแทบไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้เซินเฟย กระนั้นเจ้าตัวก็ดูจะไม่ได้ทุกข์ร้อนสักเท่าไหร่เพราะในเวลาที่ลับหลังหวางซิง เขาก็ตักตวงกำไรอย่างเต็มที่หมือนกัน
“ผมหรือ? ทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้น” ฉู่เหวินจือถามกลับ
“ก็คุณนั่งยิ้มแบบนั้นทีไร ผมก็ต้องสังหรณ์ว่าคุณกำลังคิดเรื่องไม่ดีทุกที” หวางซิงตอบก่อนจะถอนหายใจ
“ผมน่ะหรือคิดเรื่องไม่ดี เปล่าเลย ผมกำลังคิดเรื่องที่ดีมาก ๆ เลยล่ะ” ฉู่เหวินจือกล่าวแล้วหันไปหาเซินเฟยด้วยดวงตาเป็นประกาย “ผมกำลังคิดว่าเมื่อคืนนี้คุณเซินตอบรับผมดีแค่ไหน รู้สึกว่านับวันคุณก็ยิ่งพัฒน.....หวา!”
ยังไม่ทันที่ฉู่เหวินจือจะพูดจบ เซินเฟยก็ยกน้ำชาทั้งกาสาดใส่จนชุ่ม โชคดีที่น้ำชากานั่นแค่อุ่น ๆ ไม่ได้ร้อนมากนัก ฉู่เหวินจือจึงเพียงร้องออกมาแล้วกระโดดหนีไปเล็กน้อย เขาแย้มยิ้มเมื่อเห็นเซินเฟยกำลังหน้าแดงด้วยความอับอายทั้งยังกัดฟันกรอด ถ้าให้เดา เซินเฟยคงกำลังคิดหาวิธีลงโทษเขาอยู่ในหัวแน่ ๆ ดังนั้น ก่อนที่เซินเฟยจะคิดเสร็จเขาก็ต้องฉวยโอกาสก่อน
ฉู่เหวินจือถลันเข้าไปคว้าตัวเซินเฟยมาจูบแนบแน่นก่อนรีบเผ่นออกไปทางประตูเมื่อทั้งเซินเฟยและหวางซิงกำลังตกตะลึงตาค้าง
“ผมขอตัวไปอาบน้ำก่อนนะครับ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็สาวเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว
“ฉู่เหวินจือ!” แม้เซินเฟยจะตะคอกสวนกลับไปก็ไม่ทันเสียแล้ว
“คุณเซิน ยิ่งวันฉู่เหวินจือก็ยิ่งเอาแต่ใจมากขึ้นแล้วนะครับ” หวางซิงเตือนด้วยความหวังดี ระยะนี้เห็นได้ชัดว่าฉู่เหวินจือไม่ได้เกรงกลัวเซินเฟยเลย ทั้งยังคิดจะทำอะไรก็ทำตามอารมณ์จนเขายังตามไม่ทัน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยจะทำตัวดีอยู่แล้ว ตอนนี้กลับอาการหนักยิ่งกว่าเก่า
เซินเฟยทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาตัวยาวด้วยความหงุดหงิดใจ ผู้ชายคนนั้นช่างขยันทำให้เขาโมโหเสียจริง กลัวว่าความดันของเขาจะต่ำเกินไปหรือยังไงกันนะ
“เอ่อ....ขอโทษครับ” คนรับใช้คนหนึ่งย่องเข้ามาด้วยความหวั่นวิตกเพราะได้ยินเสียงตะคอก ซ้ำบรรยากาศในห้องยังดูเคร่งเครียด
“มีอะไร?” เซินเฟยเอ่ยถามเสียงนิ่งราวกับเมื่อครู่นี้ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น
“หมอจือมาขอพบครับ”
จือหยิน?
เซินเฟยมุ่นคิ้วพลางมองหน้าหวางซิง อาทิตย์ก่อนนี้อีกฝ่ายมาขอยืมเงินของเขาไปจำนวนหนึ่งเพื่อรักษาคนรักที่ประสบอุบัติเหตุ ซึ่งเซินเฟยก็จับกระแสเสียงของความผิดปกติได้ ทว่าเขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะมาหาเขาอีกครั้งรวดเร็วถึงขนาดนี้ เอาเงินมาคืนหรือ? ไม่น่าเป็นไปได้ หมอธรรมดาอย่างจือหยินจะหาเงินจำนวนมากมายแบบนั้นมาในเวลา 1 อาทิตย์ได้อย่างไร?
“พาไปที่ห้องรับแขก” เซินเฟยหันไปสั่งคนรับใช้ “แล้วก็ให้คนมาทำความสะอาดพรมกับโซฟาในห้องนี้ให้ด้วย ฉู่เหวินจือพลั้งมือทำชาหกลงไปทั้งกาเลยเปียกไปหมด”
“ครับ” คนรับใช้รีบรับคำแล้วไปทำตามคำสั่งทันที
เซินเฟยทำสีหน้าครุ่นคิด เขายังไม่อาจไขข้อสงสัยได้ว่าจือหยินโกหกเขาเรื่องอะไรและทำไม กระนั้นอีกฝ่ายอุตส่าห์มาถึงที่นี่อีก หรือจะมาเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจกันนะ?
ตอนที่เซินเฟยและหวางซิงไปถึงห้องรับแขก จือหยินก็ถูกเชิญเข้ามานั่งรอเรียบร้อยแล้ว ทั้งน้ำชาและขนมก็ยังถูกนำมาวางไว้พร้อม หวางซือไม่เคยละเลยหน้าที่เลยจริง ๆ
“คุณเซิน ขอโทษที่มารบกวนในวันหยุดอีกนะครับ” จือหยินรีบลุกขึ้นแล้วยิ้มกว้างทำให้เซินเฟยสะดุดไปเล็กน้อยเพราะเขาไม่เคยได้รับรอยยิ้มเช่นนั้นจากอีกฝ่ายเลย แต่วินาทีต่อมาเขาก็ตั้งสติได้จึงรีบเดินไปที่ก้าอี้รับแขกอีกตัวหนึ่งแล้วผายมือเชิญที่จือหยินนั่งลง
“ที่ผมให้ไปไม่พอหรือ?”
“ไม่ใช่ครับ! นั่นเกินพอเสียด้วยซ้ำ ผมยังอดสำนึกในความกรุณาของคุณเซินไม่ได้” จือหยินรีบตอบแล้วก้มหน้าลง หวางซิงอดรู้สึกประหลาดไม่ได้ ใบหน้าของจือหยินดูมีความสุขและวิตกกังวลไปในเวลาเดียวกัน คนที่ทำสีหน้าขัดแย้งในตัวเองแบบนี้ได้จะอยู่ในอารมณ์แบบไหนนั้นเขาก็สุดจะคาดเดา
“ถ้าอย่างนั้นหมอจือมีธุระอะไรให้ช่วยอีกหรือเปล่า?” เซินเฟยถามไปก็อดกลั้นหายใจไม่ได้ เสี้ยวเล็ก ๆ ในใจของเขาคาดหวังว่าอีกฝ่ายจะมาที่นี่เพื่อพบปะกับเขาโดยไม่ต้องมีเหตุผลหรือธุระมารองรับบ้าง แต่เซินเฟยก็รู้ดีว่ามันเป็นไปได้เพียงแค่ความคาดหวังเท่านั้น บางครั้งเซินเฟยก็สงสัยตัวเอง รู้ทั้งรู้ว่าจือหยินไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของเขาทั้งยังมีคนรักเป็นตัวเป็นตนแล้ว ทำไมเขาถึงยังอยากจะหวังอยู่อีกนะ....
“คือ....คนรักของผมผ่านการผ่าตัดไปได้ด้วยดี ตอนนี้กำลังกายภาพบำบัดอยู่ ต้องรออีกเดือนจึงสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ แต่ว่า....เธออยากจะขอบคุณคุณเซินด้วยตัวเองไว ๆ ผมก็เลย....”
บางครั้งจือหยินก็ชอบพูดจาอ้อมค้อมด้วยความเกรงอกเกรงใจ
“ผมเข้าใจความรู้สึกของหมอจือกับคนรักของหมอนะครับ แต่ว่าวันนี้คุณเซิน.....”
“ผมกำลังว่างพอดี” ไม่ทันที่หวางซิงจะปฏิเสธให้อย่างเคย เซินเฟยที่นั่งทำท่าครุ่นคิดจนถึงเมื่อครู่ก็ตอบรับออกมาเสียก่อน สร้างความประหลาดใจให้แก่หวางซิงและจือหยินเป็นอย่างมาก “อาซิง ให้คนเตรียมรถ และไปเรียกฉู่เหวินจือให้ผมด้วย”
“.....ครับ” ใช้เวลานานพอสมควรกว่าที่หวางซิงจะตอบรับออกมาแล้วเดินออกไปจากห้อง
“จะไม่เป็นการรบกวนเกินไปหรือครับ ความจริงรออีกสักเดือนเธอก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว ตอนนั้นผมค่อย...”
“หมอจืออุตส่าห์มาหาผมถึงที่นี่เพราะคาดหวังให้ผมตอบรับไม่ใช่หรือ?” คำกล่าวของเซินเฟยทำให้จือหยินชะงัก เขายิ้มออกมาน้อย ๆ ซึ่งก็พาเซินเฟยรู้สึกถึงความสุขเล็ก ๆ ในใจตามไปด้วย ทำไมเขาถึงได้หวั่นไหวกับรอยยิ้มของผู้ชายคนนี้นักนะ....
-------------->
คนขับรถเทียบให้ผู้โดยสารลงที่หน้าอาคารก่อนจะขับจากไปเพื่อนำรถไปจอด ตอนนี้หน้าอาคารจึงมีเซินเฟย หวางซิง จือหยิน และฉู่เหวินจือที่โดนพามาเป็นตัวแถม ทั้งสี่พากันเดินเข้าไปในอาคารท่ามกลางสายตาสงสัยของนางพยาบาลและหมอคนอื่น ๆ เนื่องจากสามในสี่คนสวมชุดสูทราวกับนักธุรกิจใหญ่ แม้โรงพยาบาลนี้จะเป็นโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงและมีคนใหญ่คนมารักษาบ่อย ๆ แต่ก็หาได้ยากที่จะได้พบแขกลักษณะนี้มาเยี่ยมผู้ป่วย โดยส่วนใหญ่จะเป็นญาติ ๆ ที่แต่งตัวธรรมดา ๆ เสียมากกว่า
ระหว่างที่เดินไป จือหยินก็อธิบายว่าคนรักของตนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ทำให้กระดูกท่อนขาด้านบนจนถึงสะโพกแตกต้องผ่าตัดเพื่อใส่กระดูกเทียมแทน ตอนนี้ถึงจะผ่าตัดไปแล้วแต่ก็ต้องฝึกกายภาพอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ร่างกายชินกับการเดินด้วยสิ่งที่เป็นของเทียม
แผนกออโธปิดิกส์อยู่ชั้น 6 ของอาคาร เซินเฟยไม่ค่อยได้เข้าออกโรงพยาบาลนี้บ่อยนักจึงต้องให้จือหยินนำทาง ตัวเซินเฟยเองเคยมาเพียง 2 ครั้งเท่านั้นคือตอนที่ฉู่เหวินจือโดนยิง และอีกครั้งคือตอนที่ตนเองโดนยิงเสียเอง
จือหยินมองนาฬิกาเล็กน้อยเมื่อขึ้นมาถึง
“น่าจะกายภาพเสร็จแล้ว ผมจะพาไปที่ห้องเลยก็แล้วกันนะครับ” จือหยินสรุปเช่นนั้นก่อนจะเดินนำทั้งสามไปยังห้องหนึ่งซึ่งชื่อหน้าห้องติดชื่อเอาไว้ว่า…
‘หลิงหลิง’
ตั้งชื่อได้แปลกจริง....
เซินเฟยคิดเพราะเขาไม่ค่อยได้เจอคนที่ชื่อและแซ่ออกเสียงเหมือนกันมากนัก และเขาก็เชื่อว่าหวางซิงกับฉู่เหวินจือก็คิดเหมือนเขาเพราะทั้งสองจ้องป้ายชื่อด้วยความประหลาดใจเล็ก ๆ แต่ฉู่เหวินจือกลับมีรอยยิ้มผุดขึ้นมาที่มุมปาก เซินเฟยมุ่นคิ้วทันที หวังว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้คิดมิดีมิร้ายกระทั่งผู้หญิงที่มีเจ้าของแล้วหรอกนะ
จือหยินเปิดประตูเข้าไปในห้อง ภาพที่เซินเฟยเห็นไม่ต่างจากภาพที่เคยเห็นตอนมาเยี่ยมฉู่เหวินจือมากนักเพราะห้องพักผื้นในโรงพยาบาลไม่ว่าแผนกไหนก็ดูจะเหมือน ๆ กันไปหมด แต่ว่าเธอคนนี้ได้อยู่ห้องเดี่ยวพิเศษเชียวหรือ? อาจเป็นเพราะเงินของเขาที่เกินจำนวนไปช่วยให้จือหยินจัดห้องนี้ให้คนรักได้ก็เป็นได้
เมื่อประตูเปิดออกจนสุด เซินเฟยจึงได้เห็นร่างบอบบางของหญิงสาวคนหนึ่งกำลังนั่งห้อยขาหันหลังให้พวกเขาและหันหน้าไปทางหน้าต่างทำให้เซินเฟยไม่รู้ว่าหน้าตาอีกฝ่ายเป็นเช่นไร แต่เธอคนนี้มีสีผมสีน้ำตาลเช่นเดียวกับซากุระทั้งยังม้วนเป็นลอนนิด ๆ เหมือนกัน เพียงแต่ไว้ยาวจนถึงเอวในขณะที่ซากุระไว้ถึงแค่บ่าเท่านั้น กระนั้นเมื่อมองดี ๆ เขาก็พบสีผมนั้นเป็นสีย้อมหาใช่สีธรรมชาติ ข้างเตียงมีวอล์คเกอร์สำหรับคนที่ไม่สามารถเดินได้ด้วยตัวเองวางอยู่อีกตัวหนึ่ง และรถเข็นอีกตัววางอยู่ตรงมุมห้อง
เซินเฟยนึกย้อนไปถึงภาพถ่ายของฉู่เหวินจือ เขามองเพียงครู่เดียวและโฟกัสไปที่จือหยินเป็นส่วนใหญ่จึงไม่ทันสังเกตฝ่ายหญิงแม้แต่น้อย
แต่ว่า....ทำไมถึงมีผู้หญิงที่เพิ่งผ่านการผ่าตัดอยู่จริง ๆ นะ....หรือว่าทั้งเขาและฉู่เหวินจือจะคิดมากไปเองเรื่องที่จือหยินโกหกเพื่อยืมเงิน
“เสี่ยวหลิง” จือหยินเรียกหญิงสาวอย่างสนิทสนมทำให้เซินเฟยรู้สึกแปลบในอกขึ้นมา
“จือหยิน” อีกฝ่ายตอบกลับแล้วหันกลับมา
เซินเฟยเห็นใบหน้านั้นแล้วจึงจำได้ว่าใบหน้าในรูปถ่ายเป็นเช่นไร หลิงหลิงเป็นผู้หญิงที่ไม่ได้ดูสวยสะดุดตาอะไรเลย แต่ในทางกลับกัน เธอกลับดูน่ารักน่าเอ็นดู เห็นครั้งแรกอาจไม่ได้รู้สึกประทับใจ แต่เมื่อมองนาน ๆ ก็จะยิ่งรู้สึกว่าน่ารักน่ามอง เป็นผู้หญิงคนละแบบกับอาสะใภ้ของเขาที่เพียงมองครั้งแรกก็แทบถอนหายตาไม่ได้ แม้ตอนนี้อายุใกล้ 30 แล้วแต่ก็ยังมีชายหนุ่มมาติดพันอยู่บ่อย ๆ
เซินเฟยรีบสลัดความคิดนั้นออกไปจากสมอง เขารู้ว่าเป็นการเสียมารยาทเมื่อนำผู้หญิงสองคนมาเปรียบเทียบกัน แต่ว่าเขาก็อดนึกถึงอาสะใภ้ของตนเองไม่ได้เมื่อเห็นคนที่ดูคล้ายคลึงกัน
“เสี่ยวหลิง นี่คือคุณเซินที่ช่วยออกเงินให้เราไง” จือหยินเข้าไปพยุงคนรักให้เปลี่ยนจุดนั่งจะได้หันมาคุยกันได้สะดวก
“คุณเองหรือคะคือคุณเซิน” หลิงหลิงเอ่ยด้วยความประหลาดใจแล้วมองไปทางฉู่เหวินจือก่อนกระซิบกับจือหยิน “คุณบอกฉันว่าเขาเป็นเด็กอายุ 18 นี่นา”
“ไม่ใช่ผมหรอก ทางนี้ต่างหาก” ฉู่เหวินจือรีบปฏิเสธพร้อมหัวเราะเบา ๆ ก่อนผายมือไปทางเซินเฟย
“ตายจริง คุณเองหรือคะ ขอโทษด้วยค่ะ” หลิงหลิงรีบเอ่ยขอโทษพลางหน้าแดงด้วยความสะเทิ้นอาย
“ไม่เป็นไร” เซินเฟยตอบเสียงเรียบ “เห็นคุณสบายดีอย่างนี้หมอจือคงดีใจนะครับ”
“เรื่องนั้น.....” หญิงสาวหันไปมองคนรักของตนเองแล้วยิ้มเขิน ๆ “จือหยินน่ะบางครั้งก็ตกใจจนเว่อร์ไปหน่อยน่ะค่ะ ทั้งที่ฉันแค่กระดูกแตกแท้ ๆ”
“เรื่องนี้ไม่ใช่แค่นะเสี่ยวหลิง!” จือหยินค้านด้วยท่าทางเป็นจริงเป็นจัง
“ค่ะ ๆ ทราบแล้วค่ะคุณหมอ” หลิงหลิงหัวเราะคิก
ท่าทางที่ดูมีความสุขของคนทั้งสองราวกับอยู่ในโลกส่วนตัวทำให้เซินเฟยรู้สึกสะท้านจนเยือก เด็กหนุ่มกัดริมฝีปากแล้วหลบตาด้วยไม่อยากจะทรมานใจตนเอง เขารู้ดีว่าควรจะตัดใจได้แล้ว แต่ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่เขาจะทำใจตัดคนที่อยู่ในใจตนเองออกไปในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน ก่อนหน้านี้ซากุระก็เพิ่งจะจากเขาไป เขาเพิ่งจะเริ่มรู้สึกทำใจได้ ครั้นจะให้ตัดจือหยินออกไปโดยทันทีจึงเป็นไปได้ยากยิ่ง
“คุณเซินสีหน้าไม่ดีเลยนะครับ” อยู่ ๆ ฉู่เหวินจือก็ทำลายบรรยากาศหวาน ๆ ระหว่างจือหยินและหลิงหลิงลง
“คุณเซินเป็นอะไรไปหรือครับ?” จือหยินหันกลับมาถาม ด้วยความเป็นหมอประจำตัวทำให้เขาต้องคอยสังเกตอาการอีกฝ่ายเสมอ แต่ว่าก่อนจะออกมาจากบ้านก็ยังไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ “หรือว่าไม่ชินกับกลิ่นในโรงพยาบาล? ถ้าอย่างนั้นผม....”
“เดี๋ยวผมพาคุณเซินออกไปสูดอากาศหน่อยแล้วกันนะครับ” ฉู่เหวินจือแทรกโดยไม่ปล่อยให้จือหยินเสนอตัว
“.....ก็ดี.....” เซินเฟยไม่ได้ปฏิเสธ เขาหมุนตัวเดินออกไป “อาซิง รออยู่ที่นี่ก่อนก็แล้วกัน เดี๋ยวผมกลับมา”
“ทราบแล้วครับ” หวางซิงรับคำ เขาไม่ได้กีดกันฉู่เหวินจือด้วยรู้ว่าตอนนี้เซินเฟยต้องการความเป็นส่วนตัว ในขณะเดียวกันก็อยากจะให้มีใครสักคนอยู่ข้าง ๆ เหมือนกับตอนที่เสียซากุระไปเขาก็พลาดไปครั้งหนึ่งแล้ว ดังนั้นสำหรับเรื่องนี้จึงต้องปล่อยให้ฉู่เหวินจือจัดการ และอีกอย่างหนึ่ง ที่นี่เป็นโรงพยาบาล ฉู่เหวืนจือคงไม่กล้าทำอะไรรุ่มร่ามเกินเหตุเกินควร
เซินเฟยและฉู่เหวินจือเดินออกมาด้วยกัน เมื่อประตูปิดตามหลัง อ้อมแขนข้างหนึ่งก็โอบเข้ากับเอวของเด็กหนุ่ม เซินเฟยรีบผละออกทันทีด้วยเกรงจะมีคนเห็น
“ฉันเดินเองได้”
“ผมรู้ แต่คุณอยากให้ผมกอดไม่ใช่หรือครับ?” ฉู่เหวินจือยิ้มกว้าง “หมายถึงกอดปลอบน่ะครับ ไม่ใช่กอดแบบนั้น คุณนี่ลามกจริง ๆ” ชายหนุ่มเสริมเมื่อเห็นเซินเฟยตวัดสายตามองเป็นประกายวาบวับอย่างโกรธเคือง เมื่อพบว่าตนเองพลาดท่า เซินเฟยจึงทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วหันหน้ากลับไปมองทาง
เมื่อออกมาจากห้องนั้นแล้ว เซินเฟยก็สีหน้าดีขึ้นเล็กน้อย เขารู้สึกหายใจสะดวกขึ้นมาก
“ผมสงสัยมานานแล้ว ทำไมคุณถึงไม่ใช้อำนาจของคุณล่ะ?”
“นายพูดถึงอะไร?” เซินเฟยมุ่นคิ้ว
“ผมพูดถึงหมอจือน่ะสิ ทำไมคุณถึงไม่ใช้อำนาจของคุณเอาตัวเขามา คุณชอบเขามากไม่ใช่หรือ?” ฉู่เหวินจือถามกึ่งเสนอแนะ
เซินเฟยนิ่งไป...
จริงอยู่ว่าหากใช้อำนาจของเขา ทุกสิ่งที่ต้องการก็จะได้มาอยู่ในกำมือ ทว่า....จะได้ประโยชน์อะไรในการกระทำเช่นนั้น?
การได้จือหยินมาอยู่ข้างกายอาจทำให้เขาอบอุ่นได้ ทำให้คลายจากความเปลี่ยวเหงา ทว่า....ความสุขเล่าจะได้มาอย่างไร? เช่นนั้นแล้วจือหยินก็คงจะมีสถานะไม่ต่างจากฉู่เหวินจือ เป็นเพียงสุนัขรับใช้ที่เคล้าแข้งขาเขาตามหน้าที่เท่านั้น
ฉู่เหวินจือเห็นคู่สนทนาเงียบไปก็คาดเดาความคิดได้ไม่ยาก แม้ภายนอกเซินเฟยจะดูเข้มแข็งเด็ดขาด ทว่าก็ยังไม่อาจทำใจให้โหดเหี้ยมได้กระทั่งคนใกล้ชิด ระหว่างที่คิดนั้นเขาก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง ฉู่เหวินจือยิ้มออกมา