ระบบอุปถัมภ์
By: Dezair
…………………..
ตอนที่ 20
วันนี้เป็นวันนัดพบของจิดาภาและจิณณะ
ทุกอย่างดูเหมือนทุกๆวัน แต่จะมีใครรู้ว่าในใจของคนในบ้านรู้สึกต่างกันไปคนละอย่าง ทศพรถึงกับยอมเลื่อนวันประชุมไปวันพรุ่งนี้เพื่อจะได้หยุดอยู่บ้าน โดยอ้างกับภรรยาว่าองค์ประชุมไม่ครบ ส่วนทิวากรถึงขั้นแลกเวรกับเพื่อนเพื่อจะได้กลับมาสังเกตการณ์ที่บ้าน เรื่องนี้ก็ทำเป็นเรื่องบังเอิญเช่นกัน โดยบอกกับแม่เลี้ยงว่าเพื่อนติดนัดสัปดาห์หน้าเลยขอแลกเวรกับเขา
เป็นอันว่าทั้งสามีและลูกเลี้ยงคนเล็กต่างอยู่บ้านกันทั้งคู่
จิดาภาไม่ได้สงสัยอะไร เพราะตัวหล่อนเองก็ยุ่งมากพออยู่แล้ว
หล่อนตื่นแต่เช้ามาเข้าครัว วันนี้แม่ครัวใหญ่ของบ้านไม่ได้ลาพักผ่อน แต่ถูกจิดาภาแย่งงาน เลยต้องลดตำแหน่งกลายเป็นลูกมือไปโดยปริยาย
“แม่ภาท่าทางจะเอาจริง” ทิวากรเดินมาคุยกับบิดาที่แม้จะหยุดอยู่บ้านแต่จะให้อยู่เฉยก็เกรงว่าจะยิ่งตื่นเต้น เลยหาเรื่องตัดแต่งกิ่งต้นไม้ แต่ตามองประตูบ้านแทบจะทุกๆห้านาที
บอกแล้วว่าใครๆในบ้านวันนี้ก็ไม่ปกติเหมือนทุกวัน
“แกอย่าพูดให้พ่อกลัวสิ”
ทศพรอยู่กินกับจิดาภามายี่สิบปีแล้ว หล่อนดูเรียบร้อยสุภาพใจดี เนื้อแท้ก็เป็นเช่นนั้น แต่เรื่องความจริงเอาจังของหล่อนนั้น แม้แต่เขาที่เป็นผู้ชายก็ยังต้องยกให้ จิดาภาใจเด็ดแค่ไหน ดูได้จากก่อนหน้านี้หล่อนยืนขวางระหว่างจิณณะและพิทักษ์ จนพวกเขากระเจิดกระเจิงกันไปคนละทาง หากไม่ได้คุณกอบกุลเตือนสติ ป่านนี้คนทั้งคู่อาจจะแยกย้ายกันไปแน่นอนแล้ว
วันนี้ แม้ว่าหล่อนจะยอมให้พวกเขากลับมาเดินบนเส้นทางเดียวกัน แต่ไม่มีใครรู้ว่าในใจยอมรับความสัมพันธ์ของพวกเขามากน้อยแค่ไหน
แม้จะเป็นคู่ชีวิต แต่กับเรื่องนี้ ทศพรก็เดาใจหล่อนไม่ออกจริงๆ
“แต่ทางนั้นก็หลาน แม่ภาคงไม่ใจร้ายหรอกมั้ง” ทิวากรพูดพลางเหลือบมองบิดาที่ยังดูเป็นกังวล เขาเองก็กังวลไม่ต่างกัน เพียงแต่มีอีกเรื่องที่กังวลไม่น้อยไปกว่า
“แล้วพ่อล่ะ” ลูกชายคนเล็กย้อนถาม ทำเอาทศพรหันมอง
“...คิดยังไงกับการที่พี่ทิศมีแฟน...เป็นผู้ชาย” คำถามนี้ทำเอาคนถูกถามนิ่งไป
หากลูกจะมีคนรัก มีครอบครัว คนเป็นพ่อเป็นแม่ย่อมยินดี การได้มีชีวิตอยู่เห็นบุตรหลานมีครอบครัวอบอุ่นเต็มไปด้วยความรัก เป็นความปรารถนาสูงสุดของทศพร เพียงแต่...ในกรณีของพิทักษ์ การสร้างครอบครัวของเขาไม่เหมือนกับลูกชายคนอื่นๆ
พิทักษ์เป็นผู้ชาย และคนรักของเขาก็เป็นผู้ชาย
ครอบครัวที่เขาสร้างขึ้นมามีแต่ผู้ชาย
ชายอาวุโสถอนหายใจยาว
“ก็ไม่ใช่ว่าทำใจง่ายหรอก...” อันที่จริง ทศพรคิดไม่ถึงด้วยซ้ำว่าบุตรชายคนโตที่มุ่งมั่นทำงาน ถึงจะเป็นคนเงียบขรึมพูดน้อย แต่เขาก็เคยมีคนรัก ซึ่งล้วนเป็นผู้หญิงทั้งสิ้น แต่จู่ๆ...วันหนึ่งเขาก็เอาตัวเองไปรับกระสุนแทนผู้ชายคนหนึ่ง
เหตุการณ์สำคัญขนาดนั้น สละชีวิตตัวเองเพื่อใครสักคนถึงเพียงนั้น ทศพรไม่อาจมองข้ามแล้วทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่ทำความเข้าใจได้หรอก เพราะตระหนักว่าผู้ชายคนนั้นคือคนสำคัญของลูกชาย พิทักษ์สู้อุตส่าห์เอาชีวิตตัวเองปกป้องจากคนนอก แล้วจะให้ความรู้สึกของพิทักษ์มาถูกทำลายเพราะคนในครอบครัวอย่างนั้นหรือ
ต่อให้จะเป็นเรื่องทำใจยากสักเพียงใด ต่อให้สังคมจะต่อต้านแค่ไหน หรือต่อให้ทศพรจะไม่อาจทนทานต่อกระแสเชี่ยวกรากของค่านิยมและวัฒนธรรมคนหมู่มาก แต่เขาก็ไม่อาจทอดทิ้งเลือดเนื้อเชื้อไขของตนเองเช่นกัน
ยิ่งมองเห็นคุณกอบกุลเชิดหน้ายโสโอหังไม่หือไม่อือกับเสียงติฉินนินทาเรื่องที่หลานชายมาคบหาลูกชายของเขา จริงอยู่ว่าหล่อนอาจจะมีผลประโยชน์แอบแฝงตามเสียงลือ แต่ให้อย่างไรปัจจัยหลักที่ทำให้โบกปัดเสียงนินทาก็เพราะจิณณะเป็นหลานของหล่อน
ไม่ใช่เพราะเป็นลูกชายหรือลูกสาว ไม่ใช่เพราะเป็นหลานชายหรือหลานสาว แต่เพราะเป็นลูก เพราะเป็นหลาน
ทศพรสูดลมหายใจลึก มองต้นไม้เบื้องหน้าที่กำลังตัดแต่งกิ่ง ทว่าสายตาของเขาราวกับหยั่งลึกไปถึงแก่นของต้น
“สมัยก่อน มีต้นไม้อยู่ต้นหนึ่ง...แม่...เป็นคนปลูก ลงเมล็ดเองกับมือเลยนะ” คำว่า ‘แม่’ เพียงคำเดียวย่อมไม่ได้หมายถึงสตรีคู่ชีวิตนับยี่สิบปีที่ยังวุ่นอยู่ในครัว แต่หมายถึงสตรีอีกคนที่เคยเป็นคู่ชีวิตของเขาเช่นกัน และมีสถานะเป็นแม่แท้ๆของพิทักษ์และทิวากร
‘แม่’ คนนั้นตายจากไปเมื่อตอนสองพี่น้องยังเด็ก ไม่กี่ปีต่อมาทศพรพบรักครั้งใหม่กับจิดาภาและแต่งงานกัน
“แม่ภาก็รู้ และเขาก็รู้ว่าพ่อรักต้นไม้ต้นนั้นที่สุด...” ทศพรพูดพลางยิ้มจางแล้วหันมามองหน้าลูกชายคนเล็ก
“แต่เขาไม่เคยว่าเลย พ่อรู้ว่าบางทีแม่ภาก็ทำใจไม่ได้ ที่ดูเหมือนพ่อจะยังไม่ลืมแม่ แต่ของแบบนี้มันลืมกันได้ซะที่ไหน แม่เป็นเมียของพ่อ เป็นรักแรก เป็นแม่แท้ๆของพวกแกสองคน”
“...ช่วงแรกๆ ถ้ารู้ว่าพ่อลงมาตัดกิ่ง รดน้ำ เขาจะเงียบ ไม่มองหน้า แล้วจ้างคนงานคนสวนมาทำเพิ่ม เพื่อไม่ให้พ่อลงมาเอง แต่มีอยู่วันหนึ่งพายุเข้า พัดต้นไม้ล้มระเนระนาด พ่อวิ่งออกจากบ้านทั้งๆที่เขาห้ามเพื่อมามัดต้นไม้ต้นนั้น แต่สุดท้าย...มันก็ตาย วันนั้นยิ่งกว่าระเบิดลง แม่ภาทั้งร้องไห้ทั้งโกรธ พ่อได้แต่ขอโทษเขา บอกเขาว่าพ่อทิ้งไม่ได้ มันเป็นต้นไม้ของผู้หญิงคนหนึ่งที่พ่อก็รัก เป็นต้นไม้ของแม่แท้ๆของทิศกับทิว เป็นความทรงจำครั้งหนึ่ง เหมือนที่วันนี้พ่อเองก็มีความทรงจำอีกชุดที่เป็นพ่อและแม่ภา”
“แล้วแม่ภาก็เข้าใจ?” ทิวากรเดา
ทว่าทศพรส่ายหน้า ทำเอาคนเป็นลูกแทบวืด
“อ้าว!”
“มันเข้าใจง่ายเรอะ”
“มันไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจง่ายหรอกทิว ไม่มีเรื่องของใครเข้าใจง่ายทั้งนั้น มนุษย์เป็นสิ่งที่ซับซ้อน และสิ่งที่ซับซ้อนที่สุดของมนุษย์ก็คือความรู้สึก คนเรา ต่อให้เป็นครอบครัวเดียวกันก็ไม่เข้าใจกันทุกอย่างหรอก แต่ถ้าเรารักจะอยู่ด้วยกัน เราจะเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง เรื่องไหนช่างมันได้ก็ช่างมันบ้าง เรื่องไหนมองข้ามได้ก็มองข้ามบ้าง พ่อเองก็มีเรื่องที่ไม่เข้าใจแม่ภาเขาเหมือนกัน แต่พอคิดว่า ‘อ้าว นี่อยู่กันมาจนวันนี้ ยังมีเรื่องไม่เข้าใจอีกเหรอ ยังมีเรื่องนี้ที่ไม่รู้อีกเหรอ’ ก็ทำให้รู้สึกท้าทายเหมือนกันนะ” บิดาพูดแล้วหัวเราะ ทว่าสายตาอบอุ่นลึกซึ้ง ไม่ว่าจะยามพูดถึงภรรยาเก่าที่จากไป หรือภรรยาใหม่ที่เคียงข้างกันมากว่ายี่สิบปี
“พ่อเรานี่ก็สองใจเหมือนกันแหะ”
“ไม่ได้สองใจ แต่มีความทรงจำสองชุด”
“สรุปว่าพ่อปล่อยวางเรื่องพี่ทิศ?”
“แล้วถ้าไม่ปล่อยจะให้ทำยังไง คนของเรารักเขาขนาดนั้น ขวางไปก็ไม่ต่างจากทำร้ายลูกตัวเอง แถมทางนั้นก็หลานคุณกอบ ดีไม่ดีคุณกอบเล่นกลับ เจ็บซ้ำหนักกว่าเดิมอีก” สถานะ ‘หลานคุณกอบ’ นั้นอย่างกับโลโก้ แค่พูดถึง หน้าของหญิงชราผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยบารมีก็ผุดวาบขึ้นในสมอง
พอคิดถึงคุณกอบกุลแล้ว ทศพรก็นึกไปถึงทายาทคนอื่นๆของวงศ์กีรติ รุ่นหลานของตระกูล นอกจากจิณณะแล้วก็มีหลานชายอีกสามและหลานสาวอีกหนึ่ง หลานชายคนโตซึ่งเกิดจากไกรสร ลูกชายคนโตของคุณกอบกุลเห็นว่ามีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว เหลือหลานอีกสามที่ยังไม่มีวี่แวว หลานคนหนึ่งเรียนดอกเตอร์อยู่อังกฤษคงไม่กลับมาในเร็วๆนี้ คราวนี้เลยเหลืออีกสอง เป็นหญิงหนึ่ง ชายหนึ่ง และชายหนึ่งที่ว่าก็คือจารีต น้องชายแท้ๆของจิณณะ
วาดแผนผังตระกูลวงศ์กีรติในหัวเสร็จ ชายผู้เป็นบิดาก็เหล่มองลูกชายคนเล็ก
“ไอ้ทิว แล้วแกล่ะ มีแฟนรึยัง”
“อะไรพ่อ อยู่ดีๆมาถามผม”
“อยากรู้”
“ไม่เห็นจะน่ารู้”
“แกไม่อยากบอกเพราะแกมีหรือเพราะแกไม่มี”
“พ่อนี่ว้าวุ่นกับพี่ทิศแล้วมาลงผม” ทิวากรโวย
“ไม่ได้ลงแก แต่เตือนไว้ก่อน มีแฟนเป็นใครก็ได้ แต่เว้นนามสกุลวงศ์กีรติไว้ตระกูลหนึ่ง”
รักใครก็ได้แต่ไม่เอาคนในตระกูลนี้แล้ว ชอบใครก็ได้แต่เว้นคนในตระกูลนี้ไว้สักตระกูล
“พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่อง นู่น...รถพี่ทิศมาแล้ว” แล้วลูกชายคนเล็กก็หาทางชิ่ง ชี้โบ้ชี้เบ้ไปที่หน้าประตูอัลลอย ทศพรหันมองตามเห็นรถหรูของลูกชายคนโตจอดอยู่ ก่อนที่ประตูบานเลื่อนจะถูกเลื่อนเปิดด้วยระบบอัตโนมัติ
พิทักษ์มาถึงแล้ว...เขามาพร้อมกับ ‘จิณณะ วงศ์กีรติ’
………………………….
บ้านของครอบครัวของพิทักษ์เป็นคฤหาสน์หลังย่อม มีอาณาเขตกว้างขวาง ด้านหน้าเป็นสนามหญ้าและต้นไม้แผ่กิ่งก้าน ในตัวบ้านขนาดสองชั้นแบ่งเป็นสองปีกซ้ายขวาอย่างสมมาตร
ยามยังเล็ก จิณณะเคยติดตามมารดามาเยี่ยมเยียนน้าสาว มีโอกาสวิ่งเล่นเข้านอกออกในบ้านหลังนี้แทบปรุตามประสาเด็กซุนซน แต่การมาคราวนี้ของเขาไม่เหมือนครั้งไหนๆ ฐานะหลานชายสตรีเจ้าของบ้านยังติดตัวเขา แต่อีกสถานะหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
...คนรักของลูกชายเจ้าของบ้าน...
อ้อ...ระดับจิณณะ วงศ์กีรติเพิ่มอีกสถานะคือคนกลับกลอกไม่ทำตามที่รับปากด้วย
...เยี่ยมจริงๆ ถ้าแม่ผัวไม่รักจะไม่แปลกใจเลย...
พอคิดถึงคำว่า ‘แม่ผัว’ จิณณะก็ชักร้อนๆหนาวๆ หลังจากกระจ่างแจ้งในความสัมพันธ์ระหว่างตนเองและพิทักษ์ ซึ่งไม่ใช่แค่ครั้งเดียว หนำซ้ำที่บอกว่าให้สลับกันบ้าง เอาเข้าจริงแล้วนับตั้งแต่ครั้งแรกก็เหมือนบทบาทนั้นตายตัว พิทักษ์เป็นฝ่ายย้ำความสัมพันธ์ของพวกเขาด้วยตัวเองซ้ำๆ ครั้งหลังสุดคือเมื่อคืนนี้ ตอนก่อนจะหลับยังมาพูดข้างหูให้เจ็บใจเล่นว่า
‘จำไว้นะจิณ แม่ภาเป็นแม่สามี’
จำจนตาย จิณณะก็ไม่ลืม วันนี้ที่ต้องมาพบ ‘แม่สามี’ เลยต้องทำตัวเป็นลูกสะใภ้ผู้อ่อนน้อมถ่อมตน หิ้วกระเช้ารังนกมาด้วย
“บอกแล้วว่าไม่ต้องซื้ออะไรมา” พิทักษ์บ่น อันที่จริงอยากจะบ่นตั้งแต่เมื่อวาน ตอนที่เห็นกระเช้ารังนกวางอยู่ในบ้าน ถามไปถามมาถึงได้ความว่าจิณณะไม่รู้จะซื้ออะไรติดไม้ติดมือมาฝากเนื้อฝากตัวกับจิดาภาในฐานะ...เอ่อ...คนรักของพิทักษ์ ก็เลยซื้อรังนก ฝ่ายลูกชายของจิดาภาทั้งขำทั้งฉุน ขำคนรักที่ซื้อกระเช้ารังนกอย่างกับจะมาสวัสดีปีใหม่ แต่ที่ฉุนคือตอนเจ้าตัวอึกอักราวกับยังไม่รู้สถานะว่าตนเองอยู่ในฐานะอะไร ก่อนจะได้บ่นอย่างที่อยาก พิทักษ์ก็เลยต้องระบุสถานะของพวกเขาอีกรอบ ตอนตัวแสบหมดแรงจะหลับแล่ไม่หลับแหล่ เขาย้ำด้วยคำพูดว่าจิดาภาเป็นแม่ของเขาก็เท่ากับเป็นแม่สามี และถ้าจิณณะยังไม่จำ จำไม่ได้ หรืออึกอักอีกล่ะก็ เขาจะ ‘ซ้ำ’ จนกว่าจะจำฝังใจทีเดียว
“ผมจะมามือเปล่าได้ไงล่ะ...” จิณณะเถียง สินสอดทองหมั้นก็ไม่มี ผู้ใหญ่ก็ไม่มี มาแต่ตัวล้วนๆ อย่างน้อยถือกระเช้ามาด้วยก็ยังดี
ลูกชายเจ้าของบ้านได้แต่ส่ายหน้า พอดีกับที่ทศพรและทิวากรเดินมาต้อนรับ พิทักษ์เลิกคิ้วเล็กน้อยที่เห็นน้องชายอยู่บ้านในวันนี้ แต่เป็นฝ่ายสองพ่อลูกมากกว่าที่พากันนิ่งงันเมื่อพบว่าจิณณะไม่ได้มาตัวเปล่า แต่หิ้วกระเช้ารังนกอยู่ในมือ
ทิวากรมองกระเช้ารังนกแล้วก็เหลือบขึ้นมองคนถือ จิณณะในเวลานี้ไม่เหมือน 2-3 ครั้งแรกที่เขาพบเลยสักนิด ครั้งแรกสุดที่หน้าห้องฉุกเฉิน เจ้าตัวเลอะเทอะไปด้วยเลือดของพิทักษ์ หน้าตาซีดขาวดวงตาเลื่อนลอย คราวต่อมาพบที่บ้านของคุณเทียมก็ดูนิ่งขรึมไร้อารมณ์อย่างกับหุ่นยนต์ แต่คราวนี้สิ สีหน้ามุ่งมั่น อกผายไหล่ผึ่งอย่างกับจะไปรบ
เป็นคนที่...คาดเดาไม่ได้จริงๆนั่นแหละ
เดาไม่ได้ตั้งแต่ที่เจ้าตัวหิ้วกระเช้ารังนกมาพบหน้าจิดาภาในวันนี้แล้ว
คุณหมอหนุ่มหัวเราะในคอ เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมพี่ชายของเขาถึงไปไหนไม่รอด
“ทิว...” คนเป็นพ่อหันมาปราม พอจะรู้ว่าลูกชายหัวเราะอะไร ในเมื่อเขาเองก็แอบกลั้นหัวเราะอยู่เหมือนกัน ก็ดูสีหน้ามั่นอกมั่นใจแต่ติดประหม่าเล็กๆของคนหิ้วกระเช้ารังนกมาด้วยเสียก่อน ถ้ามองข้ามทัศนคติชายต้องคู่กับหญิงแล้ว จิณณะก็นับว่า...น่าเอ็นดู...ทีเดียว
ชายอาวุโสที่สุดหันมาทางจิณณะ อดไม่ได้ที่จะเหลือบตาลงมองกระเช้ารังนกในมือเจ้าตัว ดูท่าหนักไม่น้อย แต่จิณณะก็นับว่าเป็นชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ ดูแข็งแรงสุขภาพดี แถมหน้าตามาดมั่นกับสิ่งที่ทำอยู่เป็นอย่างยิ่ง
“ภาอยู่ในบ้าน กำลังทำกับข้าว”
“น้าภาทำกับข้าวหรือครับ” จิณณะกะพริบตาปริบๆ
ระหว่างทางที่นั่งรถมา ความคิดของเขามีร้อยแปดพันเก้า สร้างภาพสถานการณ์ในหัวไปแปดล้านรูปแบบ จิดาภาอาจจะนั่งเชิดอย่างเจ้ายศเจ้าอย่างอยู่บนโซฟาตัวใหญ่ให้เขาต้องคลานเข่าเข้าไปหา จิดาภาอาจจะไม่มองหน้า ยามเขายกมือไหว้ก็แค่ยกมือรับไหว้อย่างขอไปที หรือจิดาภาอาจจะตีบทเศร้าน้ำตานอง ร่ำร้องขอให้เขาออกจากชีวิตพิทักษ์ไปอีกครั้ง และร้ายที่สุด จิดาภาอาจจะหนีหน้าไม่ยอมอยู่พบด้วยซ้ำ
ทว่า...พอมาได้ยินจากทศพรว่าน้าสาวของเขากำลังทำกับข้าว ก็ทำเอาคนที่สูดลมหายใจลึกเรียกความกล้าทำหน้าตามุ่งมั่นอยู่เป็นนานเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้ตัวเองถึงกับแทบเซ
“ใช่ เข้าครัวแต่เช้าแล้ว”
หรือ...นี่อาจจะเป็นกลยุทธ์อีกรูปแบบหนึ่ง ทำเหมือนทุกอย่างเป็นปกติ ซึ่งนั่นหมายถึงการเพิกเฉย มองข้าม ทำเป็นไม่รับรู้การมาเยือนของจิณณะ และอย่างร้ายที่สุดคือแอบวางยาตอนทำอาหาร
พอคิดมาถึงตรงนี้ จิณณะก็รีบส่ายศีรษะ รู้สึกว่าช่วงที่ผ่านมาเขาจะคลุกคลีกับคุณกอบกุลมากเกินไป ถึงได้มีแต่เรื่องร้ายๆในหัวเยอะแยะไปหมด จารีตเคยเตือนสติเขาครั้งหนึ่งว่าเรื่องของเขาและพิทักษ์มีแต่คนรู้จักของเขารายล้อมทั้งสิ้น การพบกันอย่างซึ่งหน้า พูดคุยอย่างตรงไปตรงมา แสดงความจริงใจอย่างเปิดเผย เป็นสามวิธีที่ได้ผลที่สุด เพราะหันซ้ายก็ญาติ หันขวาก็คนรู้จัก และทั้งหมดรับรู้ว่าความรู้สึกของเขาและพิทักษ์แข็งแกร่งเพียงใด
“ถ้าอย่างนั้น ผมขอไปพบน้าภาในครัวได้ไหมครับ” เขาหันมาขออนุญาตเจ้าของบ้าน ทศพรพยักหน้า จิณณะสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะก้าวเท้าอย่างมุ่งมั่นเข้าไปในบ้านที่เขาเคยวิ่งเล่นทุกซอกทุกมุม
ครั้งหนึ่งเขามาที่นี่ในฐานะหลานชาย
ครั้งนี้ ถึงจะมีสถานะอื่นเพิ่มเข้ามา และหล่อนอาจจะโกรธเกลียดเขาที่หลอกใช้ ปิดบัง ซ่อนเร้น แต่อย่างไรเสียเขาก็เป็นหลาน ตัวเขาและจิดาภาต่อให้ไม่ใช่สายเลือดโดยตรงแต่พวกเขาก็มีเลือดส่วนหนึ่งเหมือนกัน...สายเลือดย่อมตัดกันไม่ขาด
ขอเพียงแค่พบกันอย่างซึ่งหน้า พูดกันอย่างตรงไปตรงมา และแสดงความจริงใจอย่างเปิดเผย
เขาเชื่อว่าจะสามารถกอบกู้ความสัมพันธ์กลับมาได้ ไม่เพียงแค่สายสัมพันธ์ของน้าหลาน แต่รวมไปถึงความสัมพันธ์ในฐานะแม่ของคนรักและคนรักของลูกชายก็ด้วย
…………………
จิดาภากำลังสั่งให้แม่ครัวเทอาหารในหม้อลงบนชาม หล่อนได้ยินเสียงรถยนต์แล้ว และเดาได้ว่าลูกชายคนโตคงกลับมาถึงแล้ว การที่พิทักษ์ไม่ได้มาที่นี่เพียงลำพังแต่พาใครอีกคนมาด้วยนั้น เป็นเรื่องที่หล่อนตระหนักดี และเพราะตระหนักในเรื่องนี้ ถึงได้ลงครัวแต่เช้าเพื่อเตรียมอาหารเอาไว้ต้อนรับ
แกงส้มชะอมกุ้งนั่นของโปรดพิทักษ์ มีผัดเปรี้ยวหวานที่ทิวากรบ่นว่าอยากทาน กับข้าวอย่างง่ายอีก 2-3 อย่าง และหมูสับทอดใส่ตะไคร้ที่หล่อนจำได้ว่ามีใครบางคนชอบทาน
.
.
.
.
.
‘ตะไคร้เป็นผัก! จิณไม่กินผัก!’ เด็กชายจิณณะทำหน้ามุ่ย กอดอกอย่างเอาแต่ใจ เรื่องเลือกกินกับเด็กๆนั้นเป็นของคู่กัน
‘ผักทุกอย่างไม่ได้รสชาติเหมือนกันสักหน่อย’
‘เหมือนสิ! มันเป็นผัก!’
‘จิณก็เป็นเด็ก จิณคิดว่าเด็กทุกคนเหมือนกันหรือ’
‘ไม่เหมือน! จิณหล่อว่านิวยอร์ก!’ นิวยอร์กที่ว่าคือเพื่อนร่วมห้องร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์อาศัยความตัวใหญ่เลยกลายเป็นหัวโจก แต่จิณณะก็อาศัยความไม่ยอมคนเป็นหัวโจกของอีกฝั่งเช่นกัน สองฝั่งแข่งกันทุกเรื่องตั้งแต่ความหล่อ การศึกษา กีฬา รวมไปถึงฐานะทางบ้าน ซึ่งบางอย่างจิณณะชนะเฉียดฉิว บางอย่างก็ชนะหวุดหวิด แต่เรื่องฐานะทางบ้านนี้ชนะโด่ง อ้อ...แต่บางเรื่องที่หลานชายของจิดาภาสู้ไม่ได้ เจ้าตัวก็ไม่ยกมาแข่ง เช่นการเลือกกิน ฝั่งนิวยอร์กนั้นเพราะกินได้ทุกอย่างเลยตัวใหญ่หุ่นหนานุ่ม ผิดกับฝั่งจิณณะที่ติดเล่นมากกว่ากิน แถมเวลากินยังเลือกกินเฉพาะที่ชอบ ถึงแม้จะไม่แคระแกร็น แต่ขนาดตัวก็เล็กกว่านิวยอร์กเยอะ
‘ผักทุกชนิดก็ไม่เหมือนกัน’ น้าสาวย้ำด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
‘แต่มันขมเหมือนกัน!’
‘จิณไปกินผักอะไร ที่ว่าขม’
‘อะไรไม่รู้ เป็นปุ่มๆในแกงจืด หมูสับก็ขม น้ำซุปก็ขม!’
‘มะระหรือ’ เด็กชายจิณณะทำหน้าตาซื่อ เพราะไม่รู้ว่าสิ่งนั้นเรียกมะระหรือไม่ แต่แค่นั้นก็ทำเอาจิดาภาถอนหายใจแล้ว
‘ใครให้กิน’
‘คุณย่า คุณย่าบอกว่าถ้าไม่กิน จาต้องกินแทน’ คนฟังได้แต่อ่อนใจ คุณกอบกุลเป็นจอมบงการ แต่มาบังคับเอากับหลานๆอายุยังน้อยพวกนี้ก็เกินเหตุไปหน่อย
‘เอาล่ะ จิณเชื่อน้าภาสักครั้งได้ไหม ว่าคราวนี้หมูทอดตะไคร้ของน้าภาไม่ขม’
เด็กชายจิณณะมองหน้าน้าสาวอย่างไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี ใจหนึ่งก็กลัวว่าต้องเจอผักขมๆแบบตอนที่ถูกคุณกอบกุลบังคับ แต่อีกใจก็...หมูทอดนี่หอมจริงๆ!
‘น้าภาทำเองกับมือ จิณเชื่อใจน้าภาไหม’
หลานชายเม้มปาก แต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้า ลองตัดหมูสับปั้นก้อนที่ทอดสุกแล้วออกเป็นชิ้นเล็กๆ ดวงตาของเด็กชายสอดส่องว่ามีผักสักเสี้ยวหรือไม่ พอเห็นตะไคร้สับเป็นเส้นเล็กๆที่แทรกอยู่ตามเนื้อหมูสับ ก็พาเอาต้องกลั้นหายใจ
....แต่จิณณะเป็นผู้ชาย! และคุณครูบอกว่าผู้ชายต้องกล้าหาญ!...
เด็กชายตัวน้อยตัดใจยัดช้อนเข้าปากแล้วหลับตาปี๋รอรับความขมที่จะมาถึง ทว่า...พอเคี้ยวไปได้ไม่กี่ครั้งจากที่หลับตากลั้นใจก็กลายเป็นลืมตาพรึ่บ เต็มไปด้วยประกายระยิบ
‘อร่อย!!’
สีหน้าของคนชมไม่สู้การตักเข้าปากเป็นคำที่สอง สาม สี่ ตบท้ายด้วยการขอเติมข้าวอีก อีกทั้งยังยกให้เป็นเมนูโปรดไปเรียบร้อย
หลังจากนั้น ไม่ว่าจิดาภาจะทำอะไรให้ทาน เจ้าตัวก็เต็มใจทานทุกอย่างไม่มีเกี่ยงงอน จากเด็กชายที่ทานผักได้แค่ไม่กี่อย่างและเลือกกินเป็นกิจวัตร กลายเป็นชายหนุ่มกินง่าย อยู่ง่าย ก็เพราะส่วนหนึ่งจากฝีมือทำอาหารของน้าสาว
.
.
.
.
.
“หมูทอดตะไคร้” เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นเบื้องหลัง ทำเอาจิดาภาที่กำลังตกอยู่ในห้วงภวังค์ความหลังรู้สึกตัวหันมอง วินาทีแรกที่สบตากับคนที่ยืนอยู่ที่หน้าประตูครัว ทำให้หล่อนชะงักไปเล็กน้อย ความสัมพันธ์น้าหลานแม้จะยังอยู่ดี แต่สิ่งที่คั่นกลางคือเงื่อนไขที่หล่อนสร้างขึ้นมาเอง วันนี้การที่จิณณะหยุดยืนอยู่ที่หน้าประตูไม่ก้าวเข้ามาก็เพราะสิ่งที่หล่อนทำเอาไว้
จิดาภาใจหาย ตาตกลงพื้นแล้วก็พลันชะงักเมื่อเห็นบางอย่างในมือของหลานชาย
“เอ่อ...ผม...ซื้อรังนกมาฝาก”
“ซื้อรังนกมาฝาก?” จากที่ไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดคุยกันอย่างไรดี ก็กลายเป็นร้องถามอย่างไม่ทันคิดด้วยซ้ำ
“ก็...ผมไม่รู้ว่าจะซื้ออะไรมาดี”
“ไม่เห็นต้องซื้ออะไรมาเลย”
“ไม่ได้หรอก ผม...เอ่อ...” มันเป็นช่วงเวลาที่พูดยาก ไม่ใช่เพราะไม่กล้าพูดขอโทษ แต่เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นพูดด้วยเรื่องไหนดี อย่างแรกคือขอโทษ อย่างที่สองคือเรื่องความสัมพันธ์ของเขาและพิทักษ์
จริงอยู่ว่าจิดาภารับทราบว่าพวกเขามีความรู้สึกต่อกันเช่นไร แต่การทราบแล้วยอมรับ กับการทราบแล้ววางเฉย ย่อมให้ความรู้สึกแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ระหว่างสองน้าหลานเงียบกันไป ฝั่งหนึ่งคือหลานชายตัวแสบที่หิ้วรังนกมากระเช้าโตและไม่รู้จะเริ่มต้นพูดอย่างไรดี อีกฝั่งคือน้าสาวผู้มีชนักปักหลัง เพราะเป็นฝ่ายออกปากกีดกันหลานชายกับลูกเลี้ยงเอง
“น้าภา/จิณ...” แล้วจู่ๆ คนที่ไม่รู้จะคุยอะไรกันดีก็เอ่ยปากขึ้นมาพร้อมกัน แล้วพอเรียกชื่อกันและกันออกมา ก็พาเอาชะงักไปทั้งคู่ และคราวนี้เป็นฝ่ายจิณณะที่ตัดสินใจเอ่ยขึ้นมาก่อน
“ผมเข้าไปได้ไหม” เป็นการขออนุญาตที่มีความนัย จิดาภาเองก็รู้ดีว่าคำถามนี้ไม่ใช่แค่การขอเข้ามายืนในครัวกับหล่อน แต่เขาขอ...เพื่อกลับเข้ามาเป็นหลานชายที่หล่อนเอ็นดูอีกครั้ง
ต่อให้จะโกรธสักเท่าไร ต่อให้จะเจ็บปวดสักเท่าไร แต่คนตรงหน้าก็เป็นหลาน เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขคนหนึ่งที่เห็นมาตั้งแต่แรกเกิด แม้จะไม่มีโอกาสได้เลี้ยงดูจิณณะเหมือนที่เลี้ยงดูพิทักษ์และทิวากร แต่หล่อนก็เห็นพัฒนาการของเขาตลอดมา
จากเด็กชายตัวน้อยจอมซุกซน เติบโตเป็นเด็กหนุ่มวัยรุ่นแสนทโมน และเวลานี้เขาคือชายหนุ่มเต็มตัวที่...อาจจะยังแสบสัน แต่...เขาก็ยังเป็นหลานชายที่หล่อนรักและเอ็นดู
สายเลือดตัดกันไม่ขาด จิดาภาเข้าใจคำนี้เป็นอย่างดี