ตอนที่ 5 # ความลับสุดยอด ผมค่อยๆลืมตาตื่นครับ ปวดตัว เหนียวตัว เมื่อยขบไปหมด ปวดหัวด้วย พยายามจะพลิกตัว แต่ทำไม่ได้ มองหาสาเหตุก็เห็นท่อนแขนกักตัวผมเอาไว้... หน้าผมร้อนฉ่า สมองกำลังประมวลผลถึงเรื่องเมื่อคืน พอไล่เรียงลำดับเหตุการณ์ได้แล้วก็ก่นด่าตัวเองในใจ พลางจะพลิกตัวหันไปมองคนที่นอนกอดก่ายผมอยู่ด้านหลังว่าเป็นยังไงบ้าง...
เฮือก... มันจ้องผมอยู่ครับ! ผมรีบหันหน้ากลับมาอยู่ตำแหน่งเดิมอย่างว่องไว มันเห็นว่าผมตื่นแล้วเลยยกหัวขึ้นมามอง อ้อมกอดก็กระชับแน่นกว่าเดิม ต่างคนต่างไม่พูดอะไร ผมทำสายตาหลุกหลิกพร้อมกับกระชับผ้าห่มแน่นขึ้น สถานการณ์มันน่าอึดอัดมากๆ ต้องพูดอะไรบางอย่าง...พูดอะไรดี พูดอะไรก็ได้ให้มันดูดี... มึงนี่ก็เลิกจ้องซะทีได้ไหมกูเขิน! พูดอะไรดีอ่าครับ คำพูดเจ๋งๆอย่างเช่น
‘อรุณสวัสดิ์ที่รัก’ เป็นไง…
“ดะ...ดีตอนเช้าครับ”
ไม่! ทำไมพูดออกไปแบบนั้น!
“เที่ยงแล้วครับ” เสียงทุ้มๆตอบกลับมาขำๆ เกยคางกับหัวไหล่ของผมพร้อมกับช้อนตามอง
“งะ...งั้น กะ...กู๊ดอาฟเตอร์นูนครับ...แฮ่ๆ”
ตายๆ อยากจะเอาหัวโหม่งโลกให้มันรู้แล้วรู้รอด แต่คนที่ผละจากหัวไหล่มาชะโงกหน้าอยู่เหนือหัวผม ดันเอาหัวของมันโหม่งผมก่อน...มันเอาหน้าผากของมันแตะหน้าผากผมค้างไว้ ผมหลบสายตาที่มองมา ลอบมองต่ำ ดันไปเห็นอะไรๆที่ไม่ควรเห็น
‘ผงาด’ อยู่...อืม แกล้งตายดีกว่าไหมกู
“ทะ...ทำอะไรครับ” ผมถามเมื่อไม่เห็นวี่แววว่ามันจะเอาหน้าผากที่ชนกันออกสักที
“วัดไข้...ตัวร้อนนะครับคุณนิด” มันบอก เอาหน้าผากออก พร้อมกับยกมือทาบที่หน้าผากผมเหมือนจะเช็คดูอีกที
“อาบน้ำหรือเช็ดตัวดี” มันถามชิดริมฝีปากผม... ตัวผมโดนมันทับไว้อยู่ครับ
“อะ...อาบ...ดีกว่า” ผมตอบเสียงแผ่ว หน้าผมตอนนี้คงแดงเถือก
มันลุกขึ้นจากตัวผมครับ ผมมองตาม เห็นรอยเล็บหลายรอยเป็นแนวบนหน้าออกมัน...หน้าร้อนอีกแล้ว.. นี่ถ้าตัวกูเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าคงจะระเบิดไปละ
“เจ็บไหม...” ผมกระซิบถามมันเบาๆตอนที่มันช้อนตัวอุ้มผมไปยังห้องน้ำ มือผมลูบตามรอยเล็บที่ว่า มีรอยเลือดที่แข็งตัวแล้วติดอยู่ประปราย
“เหมือนแมวข่วน” มันว่าพลางส่งยิ้มกวน ผมก้มหน้างุดกับอกมัน แล้วกระซิบอย่างเขินๆว่า...
“คราวหลังจะตัดเล็บนะ...” มันยิ้มออกมาหลังจากที่ผมพูดจบก่อนจะกระชับตัวผมแน่นขึ้นกว่าเดิม
“ผมตัดให้แล้วครับ...” มันกระซิบข้างหูพร้อมกับหอมแก้มผมแรงๆ...ผมก็อายไปตามระเบียบ
.
.
.
“นั่งถนัดไหมครับ” มันถามผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้เตี้ยๆในห้องน้ำ
‘เจ็บตูดครับ...ถ้าลุกขึ้นยืนตูดกูคงมีรอยสานเป็นริ้วๆจากลายพิมพ์บนเก้าอี้พลาสติกแน่ๆเลยครับ’ ผมคิด แต่ไม่ได้พูดออกไป ยังไม่อยากตลกคาเฟ่ตอนนี้อ่านะ
ด้วยความที่ผมยืนไม่ไหว มันเลยอาสาอาบน้ำอาบท่าให้ ผมเหลือบตามองกระจกที่มีเงาสะท้อนของคนด้านหลัง กำลังถือสายฝักบัว ค่อยๆบรรจงรดน้ำลงบนหัวของผม ก่อนจะหันไปหยิบแชมพู เทลงบนฝ่ามือตัวเองพร้อมกับขยี้เบาๆ แล้วสัมผัสลงบนเส้นผมของผม…
ผมหลับตาพริ้มเมื่อมือหนานวดหนังศีรษะให้เบาๆ ตั้งแต่เกิดมา ไม่เคยมีใครทำแบบนี้ให้ผมเลยสักครั้ง ผมยิ้มตามกับภาพที่เห็น มัวแต่มองจนลืมหลับตาตอนที่มันรดน้ำล้างฟองแชมพูให้
“แสบๆ...” ผมเอามือขยี้ตา มันปัดมือผมออก
“อย่าเอามือขยี้ครับ เดี๋ยวจะยิ่งไปกันใหญ่” มันว่า บอกให้ผมหลับตา รดน้ำล้างฟองบนหน้าผมแล้วเอาผ้ามาซับให้แผ่วเบา แต่พอลืมตาขึ้นมานี่ผมน้ำตาไหลพรากเลยครับ
“ซึ้งเหรอ” มันถามแล้วยักคิ้วกวนๆ ผมฟาดมือลงกับต้นแขนของมันแก้เขิน ได้ยินเสียงมันหัวเราะกลับเบาๆ
“เคืองตารึเปล่า” ถามแล้วก็เอานิ้วใหญ่ๆมาเกลี่ยน้ำที่เกาะอยู่บริเวณรอบดวงตาของผมออก
“นิดหน่อย แต่ไม่เป็นไรครับ” ผมตอบ ยิ้มให้มัน มันก็ยิ้มตอบก่อนที่จะละมือที่เกลี่ยน้ำอยู่มาบีบนมผม...อีกแล้วนะ คิดว่าตัวเองทำได้คนเดียวใช่ไหม ผมเลยตัดสินใจบีบคืน... ฮ่าๆๆ
.
.
.
ตอนนี้ผมอยู่ที่ออฟฟิศครับ ไม่มีอารมณ์จะพิมพ์งาน พอจะพิมพ์ทีไรก็ต้องยกมือตัวเองขึ้นมามองเล็บที่ถูกตัดซะเรียบร้อย นึกถึงเรื่องเมื่อวานแล้วนั่งยิ้มเป็นบ้าอยู่คนเดียวอีกแล้ว
‘ตัดให้ผมตอนไหนเนี่ย’ ผมชูมือขึ้นมอง พลางถามคนที่เอาพัดลมมาตั้งตรงหน้า แล้วใช้ผ้าเช็ดตัวค่อยๆเช็ดผมให้
‘ก็...ตอนเช้าไงครับ คุณนิดยังนอนอยู่เลย’ มันตอบ ยิ้มบางๆแล้วเช็ดผมให้ไปเรื่อย ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มีตอนนี้เรียกว่าอะไร รู้แค่ว่ามีความสุขมากขึ้นทุกวันๆ…ถ้าหากต้องแยกจากมันขึ้นมาจะเป็นยังไงนะ...ผมคงเป็นพนักงานออฟฟิศที่บ้าโอที แล้วแอบนอนใต้โต๊ะบริษัทเหมือนเดิมละมั้ง คิดแล้วอนาถจริงกู
ก่อนที่จะคิดอะไรไร้สาระจนเสียการเสียงานไปมากกว่านี้ ผอ. ก็มาเรียกผมเข้าไปพบเป็นการส่วนตัวครับ...
“คุณนิธาน... โปรเจคนี้ต้องปิดเป็นความลับนะ จะให้ใครรู้ไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นคนในแผนกก็ตาม” ผอ.พูดพร้อมกับยื่นแฟ้มให้ผม ผมรับมาพิจารณาสักครู่ อ่านรายละเอียดแล้วทำหน้าเครียด
“ต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอครับ” ผมถาม สายตายังจ้องรายละเอียดของแฟ้มในมือ
“คุณไม่ต้องคิดอะไรมาก ทำตามคำสั่งของผมให้ลุล่วงก็พอ... ผมเชื่อมั่นในตัวคุณนะ” ผอ.สั่ง
“ครับ” ผมรับคำ ถือแฟ้มที่ว่าแล้วลุกขึ้นยืน
“อย่าบอกใครล่ะ” ผอ.กำชับอีกรอบ ผมพยักหน้าแล้วเปิดประตูออกจากห้องไป
.
.
.
“เฮ้ย ไอ้นิด งานเลี้ยงคราวที่แล้วมึงกลับยังไงวะ จำได้ว่าเมาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ” ไอ้จิตตรงรี่เข้ามาถามเมื่อเห็นผมเดินเข้ามาในแผนก
“อ้าว ก็กลับกับคุณยามไงครับ คุณจิตจำไม่ได้เหรอ คนที่แบกคุณจิตขึ้นแท็กซี่อ่าครับ” ผมตอบ มันทำหน้านึก
“ชื่ออะไรนะ” มันถาม
“นิดครับ” จู่ๆก็ความจำเสื่อมแล้วเพื่อนกู... ผมคิด
“หราาา...มึงเป็นยามเหรอ กูหมายถึงชื่อยาม ไม่ใช่ชื่อมึง” มันพูดเสียงลอดไรฟัน เสร็จแล้วก็ตบกะโหลกผมพอเป็นพิธี... ไม่น่าไปกวนตีนมันเลยกู
“เขาชื่อฉกาจครับ...” ผมตอบ เอามือคลำหัวตัวเองป้อยๆ
หูย เจ็บอ่ะ
“อ๋อ ยามหน้าตาโง่ๆที่มึงเคยถามถึงอ่านะ” ดูมันพูดสิครับ
“คุณจิตไปว่าเขาแบบนั้นได้ยังไงครับ เขาอุตส่าห์มีน้ำใจนะ” ผมว่าออกไป
“ไม่รู้เว้ย! มีเพื่อนใหม่แล้วทิ้งกูนะไอ้นิด” มันโวยวายแล้วเดินหนีไปเฉยๆ...
โว้ย เบื่อไอ้จิตครับผม วันนี้ไม่อยู่ทำโอทีละ หอบงานกลับไปทำที่ห้องดีกว่ากู จะได้ดูรายงานย้อนหลังจากแฟ้มที่ห้องด้วย
.
.
.
“ทำอะไรอยู่ครับคุณนิด” ฉกาจที่ยังไม่ได้ไปเข้าเวรถามผมที่นั่งทำหน้าเครียดอยู่บนโต๊ะทำงาน ผมปล่อยให้คำถามนั้นลอยผ่านหูไป มันคงเข้าใจว่าผมเครียดอ่านะ เลยไม่ถามเซ้าซี้
ผมสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมือใหญ่แตะลงที่ไหล่แล้วบีบนวด เลยเงยหน้ายิ้มหวานให้คนที่ยืนอยู่ข้างหลัง พลางหลับตาลง...พักสายตาสักนิดดีกว่า ผมคิด
“โกงแบบนี้ บริษัทที่ร่วมหุ้นด้วยนี่แย่เลยน้า...คุณนิด นิสัยไม่ดี...”
ห้ะ... ผมลืมตาขึ้นทันควัน มือปิดแฟ้มที่อยู่ตรงหน้าโดยอัตโนมัติ
“เมื่อกี้คุณพูดกับผมเหรอครับ” ผมถามพลางขมวดคิ้ว
“ครับ... ผมบอกว่าคุณทำงานหนักไม่ห่วงสุขภาพแบบนี้ นิสัยไม่ดีเลยนะครับ” มันพูดเสียงขรึม
เมื่อกี้มันพูดแบบนี้เหรอวะ...แต่ก่อนที่จะคิดอะไรไปมากกว่านั้น เสียงโทรศัพท์ของมันก็ดังขึ้น มันละมือจากไหล่ผม เดินตรงไปยังระเบียงแล้วปิดประตูลงก่อนที่จะกดรับสาย ผมได้แต่มองลอดหน้าต่างออกไป ไม่ได้ยินว่าคุยอะไรกันเนื่องจากมันคุยเสียงเบามาก
ครึ่งชั่วโมงผ่านไปมันถึงเดินกลับเข้ามาในห้องครับ
“คุยอะไรนานจังครับ...หน้าเครียดเลย” ผมถามมันบ้าง ผมเครียดคนเดียวพอแล้ว ไม่อยากให้คุณยามเขาเครียดตามไปอีกคน
“ปัญหาทางบ้านนิดหน่อยนะครับ... ยามหน้าโง่อย่างผมก็ต้องดิ้นรนแบบนี้แหล่ะ” มันตอบเสียงนิ่ง ประโยคหลังของมันทำให้ผมชะงัก
“หะ...แหม คุณยามของผมไม่ได้โง่สักหน่อย” ผมพูด รีบลุกจากโต๊ะทำงานเดินไปคลอเคลีย..วันนี้ฉกาจแอบมาได้ยินตอนที่ผมคุยกับกับไอ้จิตรึเปล่าวะ ทำไมบรรยากาศมันอึมครึมชอบกล แต่มันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้วที่จะมาได้ยิน เพราะฉกาจมันทำงานกะดึกนี่นะ… ผมคิด ในขณะที่มันหัวเราะในลำคอ
“คุณนิดนี่พูดดีจัง...แต่ใจตรงนี้จะดีเหมือนที่พูดรึเปล่าน้า...” มันพูดเนิบๆ พร้อมกับเอานิ้วมาจิ้มๆที่หน้าอกข้างซ้ายของผม ผมงงกับคำพูดของมัน กำลังจะเอ่ยปากถาม แต่มันดันบีบนมผมซะนี่...เห็นมันยิ้มออกมาน้อยๆ ผมก็เลยไม่ได้ว่าอะไร ถ้าการบีบนมของผมจะทำให้มันหายเครียด...กูยอมครับ
“ปัญหาที่บ้านมีอะไรเหรอ ผมพอจะช่วยได้ไหมครับ” ผมถาม ซบหัวลงกับอกมันตอนที่มันดึงผมไปกอด
“
หึ... ไม่ต้องห่วงครับ...คุณนิดช่วยผมได้เยอะเลยล่ะตอนนี้...” ได้ยินแบบนั้นผมเลยเงยหน้าแล้วยิ้มให้ ก่อนจะจูบมันอย่างเอาใจ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจคำพูดมันก็เถอะ...
............................................................................
ตอนนี้สั้นอะ ชดเชยตอนหน้านะ
ตอนต่อไป ‘หน้าหนึ่งไทยรุจ หัวหน้าแผนกโดนยามวิตถาร
ซั่ม กลางออฟฟิศ’ โปรดติดตามอ่านต่อหน้า x
(สำหรับคนที่ไม่หื่น ตอนหน้าป็นเรทตอนสุดท้ายของเรื่องแล้ว...(มั้ง) ก็...ทำใจอ่านๆไปก่อนนะฮ้า 555)
ถึงคุณ MCMAXXIM บังเอิญว่า ชื่อ ฉกาจ เป็นชื่อที่สิ้นคิดจริงๆด้วย 555 เพราะเราได้ชื่อนี้มาจากการตรวจการบ้านรุ่นน้อง เห็นว่าชื่อมันแปลกดี คนไรวะชื่อฉกาจ ไม่เคยได้ยิน สรุป ในเรื่องไม่ว่ามันจะเป็นยามหรือเป็นใคร มันก็ชื่อ ฉกาจ 555 อาจจะทำให้ผิดหวัง แต่ชื่อก็เป็นแค่ชื่อนะ อย่าคิดมาก ส่วนเรื่องการแสดงความคิดเห็น เต็มที่ได้เลย ติ ชม สงสัยไร ได้หมด เราชอบความคิดเห็นของคุณ MCMAXXIM เสียอีก เพราะฉะนั้นอย่ากังวลไปน้า
มีหลายคนเป็นห่วงเกี่ยวกับสถานะยามกับหัวหน้าแผนก ถ้าอ่านไปเรื่อยๆ อาจจะอยากให้มันกลับมาเป็นยามฉกาจเหมือนเดิมก็ได้นะ
ขอบคุณทุกความคิดเห็นของคนอื่นๆด้วยนะคะ คือเราอ่านของทุกคนแล้วแบบ นั่งบ้าอ่านแล้วอ่านอีกไม่ได้หลับไม่ได้นอน...นี่วันที่ 3 ละ สังเกตได้ว่าออนแทบตลอดเวลา แต่ลงตอนนี้เสร็จเราคงจะไปนอนบ้างละนะ 555 จูจุ๊บ...