Heartbreaker : 11
คงไม่มีใครอยากถูกควบคุมให้ไร้ซึ่งอิสระ และคงไม่มีใครอยากถูกตีกรอบให้ทำตามคำสั่ง ทั้งที่เราไม่เต็มใจ ไม่ยินดีกับสิ่งเหล่านั้น ผมก็เช่นเดียวกัน
แต่เพราะมีสิ่งสำคัญสำหรับผม สิ่งที่เป็นเหมือนหัวใจที่ผมต้องรักษาไว้ และเพราะสิ่งนี้อยู่ในกำมือของพวกเขา ผมถึงต้องยอมทน ยอมฝืนใจ ให้พวกเขาบงการชีวิต
ความหวังของผมคือการได้อยู่กับพี่ชาย และได้กลับมาอยู่บ้านของพวกเราเหมือนเมื่อก่อน ผมคิดมาตลอดว่าต้องมีสักวันที่ความหวังของผมจะกลายเป็นจริง แต่ระยะเวลาที่ผ่านมา เหมือนตอกย้ำให้ผมยอมรับความจริง ว่าสิ่งที่ผมหวัง ไม่มีวันเป็นจริงได้เลย
ผมเข้าใจว่าพวกเขากลัวว่าพี่เนสจะพาผมหนีไปอีก แต่ไม่เกินไปหน่อยเหรอ ที่พวกเขาจับผมกับพี่แยกกันแบบนี้ แล้วยังตั้งกฎเกณฑ์บ้าบอในการพบกันระหว่างผมกับพี่ พวกเขาคงไม่เข้าใจคำว่าครอบครัว ไม่เข้าใจสายสัมพันธ์ของพี่น้อง และคงไม่เข้าใจความรักของผมกับพี่ ความรักระหว่างพี่น้องที่ต้องดูแล ประคับประคองกันมาตั้งแต่วันที่เราสองคนขาดหัวหน้าครอบครัวไป ผมขาดพ่อ ขาดแม่ ช่วงเวลานั้น ผมร้องไห้ เสียใจ เจ็บปวด งอแง แต่พอผ่านช่วงเวลานั้นมา พอผมทำใจยอมรับได้ และคิดได้ว่าผมยังมีพี่ พี่ชายเพียงคนเดียวที่ให้สัญญากับผมว่าเขาจะไม่ทิ้งผมไปไหน เขาสัญญาว่าจะรักและดูแลผมตลอดไป แทนความอบอุ่นของพ่อกับแม่ ผมเชื่อมั่น เชื่อในคำสัญญาของพี่ชาย และเขาก็ไม่เคยทำให้ผมผิดหวัง เขาดูแลผมอย่างดี เป็นทั้งพ่อทั้งแม่ให้กับผม เราสองพี่น้องมีความสุขได้แม้จะขาดพ่อแม่ ผมกับพี่ไม่เคยคิดถึงอนาคต เราต่างคิดว่าจะทำทุกวันให้มีความสุข แต่ไม่นึกเลย ว่าความสุขของผมกับพี่ จะถูกทำลายด้วยฝีมือของคนที่เราไว้ใจ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังปลุกให้ผมสะดุ้งตื่นจากภวังค์ความคิด ผมถอนหายใจ พวกเขาคงมาเร่งให้ผมกลับคอนโดฯ ผมลงจากเตียงเดินไปหยิบกระเป๋าเป้สะพานบ่า เดินตรงไปเปิดประตู ร่างท้วมของคุณป้ายืนอยู่ตรงหน้า ท่านส่งยิ้มอบอุ่นอ่อนโยนให้ผม ผมยิ้มตอบ โล่งอกที่เป็นท่าน ไม่ใช่พวกเขา
“ป้าขึ้นมาตามคุณหนูลงไปทานข้าวค่ะ คุณควินกับคุณแซทนั่งรอที่ห้องอาหารแล้ว”
“ครับ”
ผมตอบรับ จับมือท่าน เดินลงบันไดไปด้วยกัน ผมวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะในห้องรับแขก ก่อนเดินไปที่ห้องอาหาร พอมาถึง คุณป้าท่านก็แยกไปจัดการตักข้าวใส่จาน ผมนั่งลงข้างๆพี่ควิน เขานั่งเงียบไม่ได้หันมามองผม ผมมองไปที่ฝั่งตรงข้าม พี่แซทมองผมอยู่ ผมยิ้มให้ หวังให้เขาคลายความโกรธลงไปได้บ้างกับเรื่องที่ผมหนีกลับบ้านมา แต่เขากลับเมิน หันไปสนใจจานข้าวตัวเองแทน ผมยู่ปาก เหลือบมองคนข้างตัว เขายังคงเงียบ ผมเลยเลิกสนใจ ลงมือทานข้าวบ้าง
“ทานเยอะๆนะค่ะคุณหนู เดี๋ยวป้าไปจัดขนมใส่กล่องให้คุณหนูเอาไปทานที่หอ”
“ขอบคุณครับ”
ผมทานต่อไปเงียบๆ ไม่ได้มองใครทั้งนั้น ในเมื่อพวกเขาไม่สนใจผม ผมก็ไม่จำเป็นต้องสนใจพวกเขา ดีเหมือนกัน ผมจะได้มีอิสระบ้าง ทานจนข้าวพร่องไปเกือบครึ่ง ผมก็เริ่มแกว่งขาไปมาใต้โต๊ะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนที่ผมเริ่มอยู่ไม่สุขแบบนี้ คุณพ่อคุณแม่จะหันมาดุผมทันที ส่วนพี่เนสก็จะหันมาหยิกผม เพราะกลัวว่าผมจะเล่นจนได้เรื่อง และบ่อยครั้งที่ผมเจ็บตัวเพราะการเล่นไม่คิด ผมยิ้มเมื่อคิดถึงเรื่องที่มีความสุขในอดีต
“โอ้ย!”
“เป็นอะไร”
เสียงเข้มดังมาจากคนฝั่งตรงข้าม ผมเงยหน้ามองก็เห็นว่าเขาลุกขึ้นมองผมเขม็ง ผมยิ้มเจื่อนก้มลงลูบขาตัวเองตรงบริเวณที่แกว่งไปโดนขาเก้าอี้อย่างจังก่อนขยับนั่งตัวตรงทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ไม่ได้เป็นอะไรฮะ”
ผมยิ้มตอบพี่แซท แต่คนข้างตัวผมหันมามองตาเขียวปั๊ด เขาจับเก้าอี้ผมเลื่อนออก ดันให้หันหน้าเข้าหาเขา ผมได้แต่นั่งนิ่งกระพริบตาปริบๆดูว่าเขาจะทำอะไรกันแน่
“โอ้ย!”
จู่ๆเขาก็ก้มหน้าลงยื่นมือมาจับขาข้างที่ได้รับบาดเจ็บ เขาจับถูกจุดจนผมร้องเสียงหลง ความจริงมันก็ไม่ได้เจ็บอะไรมาก แค่รู้สึกปวดนิดน้อย นวดยาสักพักก็คงหาย
“บอกสิ ว่าไม่ได้เป็นอะไร”
น้ำเสียงเหยียบเย็นเอ่ยขึ้นจนผมต้องรีบหลบสายตาดุคมของเขา
“กินข้าวให้หมด”
คำสั่งมาพร้อมกับที่เก้าอี้เลื่อนกลับเข้าที่เดิม พี่ควินตักกับข้าวใส่จานให้ ผมผงกศีรษะขอบคุณเขา ลงมือทานต่อ รับรู้ถึงรังสีอันตรายแผ่ออกมาจากคนข้างตัวและคนฝั่งตรงข้าม
นี่ผมหาเรื่องใส่ตัวอีกแล้วใช่ไหม?
“อิ่มแล้วเหรอค่ะคุณหนู”
คุณป้าเดินเข้ามาพอดีกับที่ผมยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
“ครับ ข้าวหมดเกลี้ยงจานเลย”
ผมตอบท่านหลังจากวางแก้วน้ำ ชี้ให้ท่านดูจานข้าวที่หมดเกลี้ยงไม่เหลือข้าวเลยสักเม็ด ยิ้มกว้างอวดท่าน
“ดีค่ะ เห็นคุณหนูทานข้าวหมดจานป้าก็ดีใจ”
ท่านเดินเข้ามาลูบแก้มผมเบาๆ ผมเอนตัวไปกอดท่านไว้ ได้กลิ่นขนมอบจากตัวท่าน อยู่อย่างนี้แล้ว ผมไม่อยากกลับเลย อยากอยู่บ้านตัวเองนานๆ อยู่ตลอดไปได้ยิ่งดี
“พวกผมขอตัวกลับก่อนนะครับ ต้าร์ ปล่อยคุณป้าได้แล้ว”
พี่แซทบอกข้ามโต๊ะ เหมือนเขาต้องการเร่งผมทางอ้อม ผมผละออกมองหน้าคุณป้าตาละห้อย
“ไม่น่ารีบกลับเลยนะคะ วันนี้วันเสาร์ คุณหนูมีเรียนเหรอคะ”
“ใกล้จะสอบแล้ว ต้าร์ต้องไปติวหนังสือกับเพื่อนๆน่ะครับ”
ติวอะไรกัน ไม่มีทั้งนั้นแหละ พวกเขาโกหก ผมก้มหน้างุด อยากฟ้องคุณป้าใจจะขาด ท่านจะได้รู้ความจริงสักที ว่าพวกเขาหน้าไหว้หลังหลอกขนาดไหน
“เหรอค่ะ งั้นคุณหนูก็รีบกลับเถอะค่ะ เดี๋ยวจะไปสาย”
คุณป้าดึงให้ผมลุกขึ้น ท่านจูงมือผมเดินออกจากห้องอาหาร พี่ควินกับพี่แซทเดินตามหลังมา ถึงห้องรับแขก ผมหยิบกระเป๋าขึ้นสะพาน คุณป้าหันไปหยิบถุงขนม
“ถุงนี่ของคุณหนู ส่วนสองถุงนี่ของคุณควินกับคุณแซทค่ะ”
คุณป้าบอกพลางยื่นถุงขนมส่งให้
“ขอบคุณครับ”
พวกเขารับถุงขนมไป โปรยยิ้มขอบคุณท่าน เสแสร้งชัดๆ ผมลอบถอนหายใจ อยากงอแงอยู่บ้านต่อ วันนี้วันหยุด พรุ่งนี้ก็หยุดอีกวัน ผมไม่อยากกลับไปอุดอู้อยู่ที่คอนโดฯ แต่ถ้าผมอ้อนขออยู่ต่อ พวกเขาคงไม่ยอมแน่ เพราะผมยังมีความผิดติดตัวอยู่
“ลานะครับคุณป้า สวัสดีครับ”
พวกเขาเร่งผมอีกแล้ว ผมโผเข้ากอดคุณป้าอีกครั้ง ยกมือสวัสดีกับอกท่าน
“โชคดีกับการสอบนะคะคุณหนู ว่างเมื่อไหร่ก็กลับมาค้างที่บ้าน คุณควินคุณแซทด้วยนะคะ”
“ขอบคุณครับ ผมรักคุณป้านะ”
ผมกระชับอ้อมกอดก่อนผละห่างออกมา คุณป้ายิ้มให้ ท่านจับมือผมจูงให้เดินออกไปหน้าบ้าน พอท่านปล่อยมือ พี่แซทก็เดินเข้ามาประกบผม ถึงเวลาต้องไปแล้วจริงๆ ผมมองหน้าคุณป้า ยิ้มให้ท่านก่อนถูกคนข้างตัวดันให้เดินไป พี่ควินเดินนำเราไปก่อน สปอร์ตคาร์สองคันจอดอยู่ในโรงรถ
“ขับรถดีดีนะคะ”
เสียงคุณป้าร้องบอกไล่หลังมา ผมยิ้ม จะหันไปมองก็ถูกคนข้างตัวดุนหลังให้เดินเร็วๆ มาถึงรถ พี่แซทก็เปิดประตูดันให้ผมเข้าไป พอนั่งเรียบร้อยเขาก็ปิดประตูให้เดินอ้อมหน้ารถ เปิดประตูเข้ามานั่งในตำแหน่งคนขับ ผมมองไปที่รถอีกคัน พี่ควินขับออกไปก่อน ผมระบายลมหายใจยาวเอนหลังพิงเบาะหันหน้าเข้าหากระจก ต้องกลับมาสู่สภาพเดิมอีกแล้ว อยู่กับวังวนเดิมๆ อยู่แต่ในกรอบที่พวกเขาขีดไว้ ควบคุมผม เป็นเจ้าชีวิต ผมอยากหนีไปให้ไกลจากสภาพนี้ แต่ผมทำไม่ได้ เพราะคนสำคัญของผม อยู่ในกำมือของพวกเขา ผมจะไม่หนีเอาตัวรอดคนเดียว แล้วทิ้งพี่เนสไว้ ผมไม่มีทางทำแบบนั้น ผมได้แต่หวังว่าสักวัน พวกเขาจะปล่อยผมกับพี่ไป
สักวันนึง…ถ้าพวกเขาคิดได้
ความเงียบตลอดการเดินทางคือสิ่งที่ผมคุ้นเคยและชินชา ทันทีที่รถจอดเมื่อถึงที่หมาย ผมก็เปิดประตูลงจากรถ ผลักประตูปิด เดินไปโดยไม่รอเจ้าของรถ พี่ควินเดินหายเข้าไปในตึกแล้ว ผมเดินตามเขาไป ลิฟต์เปิดรอคอยท่าเพราะคนในลิฟต์กดรออยู่ ผมเดินเข้าไป พี่แซทตามเข้ามา ประตูลิฟต์เลื่อนปิด ไม่มีใครพูดอะไร ซึ่งผมก็ปรารถนาให้เป็นเช่นนั้น ลิฟต์เคลื่อนตัวขึ้นมาถึงชั้นที่พัก ผมเดินออกไปก่อน หยุดรอพวกเขาหน้าห้อง พี่ควินเป็นคนเสียบคีย์การ์ดเปิดประตู ผมเดินตามเขาเข้าไป กำลังจะเลี้ยวเข้าห้องตัวเองแต่ถูกคนข้างหลังจับแขนไว้ ผมหันไปมองเขา
“มีอะไรเหรอฮะ”
“ทำไม กูจะแตะต้องตัวมึงไม่ได้รึไง”
เขากำลังหาเรื่องผม ผมไม่ตอบ ยืนนิ่งมองเขา อยากจะหาเรื่องผมนัก ผมก็จะยืนเผชิญหน้ากับเขาไม่หนีไปไหน พี่แซทเงียบไป ผมเดาอารมณ์เขาไม่ถูก รู้สึกหงุดหงิดที่ยังยืนมองหน้ากันอยู่แบบนี้
“มึง”
ผมรอว่าเขาจะพูดอะไรต่อ แต่เขาก็เงียบอีก ผมเม้มปากแน่นพยายามสะกดกลั้นอารมณ์ไว้ จนเขาปล่อยแขนผมหันหน้าไปอีกทางเหมือนไม่มีเรื่องจะพูดต่อแล้ว
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวนะฮะ”
ผมบอก หันกลับ เดินไปห้องตัวเอง กำลังจะเปิดประตู เสียงเข้มก็ดังตามมา
“มีสักวันไหม ที่มึงมีความสุข เวลาอยู่กับพวกกู”
ผมยืนนิ่งราวกับถูกสาป คำพูดเมื่อครู่นี้ดังก้องอยู่ในหัว
ถามว่ามีสักวันไหม ที่ผมมีความสุข เวลาอยู่กับพวกเขา นี่พวกเขาแกล้งโง่ หรือว่าโง่จริงๆกันแน่ ที่ไม่รู้ว่าผมทนอยู่กับพวกเขาเพราะอะไร
ถามว่าผมมีความสุขไหมงั้นเหรอ แล้วทำไมไม่ถามต่อหน้าผม ผมจะได้ตอบเขาไปดังๆ ว่าเวลาที่ได้อยู่กับพวกเขา
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังตกนรกทั้งที่ยังหายใจ!
-------------------------------------------------------------------------------------------
เอาไปแค่นี้ก่อนนะ
ส่วนที่เหลือจะตามมาทีหลัง เมื่อแต่งเสร็จ
เห็นมีคนเข้ามาส่อง เลยเอามาลงให้อ่านก่อน
ใจร่มๆคอยกันอีกนิดเน้อ
(คนอ่านบอก : ตรูรอมานานแล้ว!
)
คนแต่งกำลัง(เร่ง)ปั่นอยู่ ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และการติดตามค่ะ
*คลานออกจากเล้า*