ฮิ้ว มาเเล้วค่า ทุกคน นั่งอ่านคอมเม้นท์เเล้ว ยิมไม่หุบเลย พล๊อต ของเเต่ละคน เเซ่บๆ ทั้งนั้น จะขอเเอบเอาบางส่วนมาใช้นะคะ
บทที่ 5 ระวังตัว
“ไม่เอาแล้วฉันจะกลับ” กรรณิกาโวยวายจะกลับท่าเดียว พวกเพื่อนจึงต้องช่วยกันปลอบใจใหญ่ด้วยความเกรงใจต่อแขกคนอื่นๆ ที่ตอนนี้พากันชะโงกผ่านประตูห้องมาดูเหตุแห่งเสียงดังในครั้งนี้
“ไม่เอาน่า ณิ เกรงใจคนอื่นหน่อย” วรวิทย์ออกแรงกึ่งเชิญชวนกึ่งบังคับ ลากหญิงสาวเข้าห้องของตนไป ทิ้งหน้าที่ให้ วสัน ภคดลและการุณกล่าวขอโทษ แขกผู้มาใช้บริการคนอื่นๆว่าเป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด
“มันเรื่องอะไรกันจ๊ะ” สาวิตรีถามขึ้นหลังจากที่คนอื่นๆทยอยกันเข้าห้องหับเป็นที่เรียบร้อย เธอเองดูจะตกใจไม่น้อย ดูได้จากสีหน้าที่ซีดขาวและมือไม้ที่สั่นไม่หยุดถึงแม้ สรรพวุติ จะกุมมือนั้นไว้ตลอดก็ตาม
“ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ดูเหมือนณิจะได้ยินเสียงเคาะประตูตอนกลางคืน พอเปิดออกมาก็เจอไอ้นี่” ภคดล ชูเศษผ้าสีขาวที่มีรอยไหม้ให้ชายหญิงดู สาวิตรดูหวั่นกลัวเธอถอยไปก้าวหนึ่ง
“คงเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด ใช่ไหมครับ คุณ ภคดล” เสียงแหบๆ ดังขึ้นดึงความสนใจของ ภคดลที่ถือผ้าขาวให้หันไปสบตากับ รัฐกรณ์ ภคดลกำผ้านั้นแน่น อักษรที่ปักบนเสื้อกาวน์นี้ยังคงติดตรึงในความทรงจำของพวกเขาทั้ง 3 คน
“มันต้องแบบนั้นอยู่แล้ว” ภคดล ทิ้งผ้าขาวนั้นลงพื้น เขาเดินเข้าไปยังห้องที่ วรวิทย์และกรรณิกา
ประตูห้องปิดลง เหลือเพียง รัฐกรณ์ ที่ยังคงจ้องมองไปทางประตูนั้นไม่วางตา สองสามีภรรยาที่ยังคงจับมือกันแน่น วสันที่เดินเข้าห้องตนเองไป และที่ขาดไม่ได้ นายการุณที่รู้สึกว่าตนโชคดีที่ไม่ได้เป็นคนได้ยินเสียงเคาะประตูในคืนนี้
“ฉันจะกลับ” กรรณิกายังยืนยันคำเดิม เธอร้องไห้จนตาทั้งสองบวมช้ำ กองกระดาษทิชชู่ขนาดย่อมกองอยู่ตรงหน้าเธอ วรวิทย์พยายามกล่อมเธอ “ไม่เอาน่า ณิ เรื่องไม่เป็นเรื่อง”
“แกไม่เห็น ชื่อที่ปักอยู่นั่นหรือไง” เธอตะคอกใส่เพื่อน
“แล้วจะกลับยังไง” เมื่อเห็นว่าห้ามไม่ได้วริวิทย์จึงเลี่ยงไปใช้วิธีอื่น
“ยังไงฉันก็จะกลับ”
เสียงปิดประตูดังขัดจังหวะทั้งสอง ภคดลคิ้วขมวดเดินเข้ามา เขาไม่พูดไม่จาเข้ามานั่งตรงเตียง มือทั้งสองข้างประสานกันใช้คางเกยไว้ เขาจ้องไปยังทีวีที่ว่างเปล่า พลางใช้ความคิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“แกคิดว่าไง” วรวิทย์เปิดฉากทำงายความเงียบ เขาเองก็ร้อนใจไม่น้อย ที่เห็นอักษรสีเขียวนั้น ทั้งเรื่องคนที่ลงชื่อมาเที่ยวด้วยที่ชื่ออาญา นั่นอีก มันยิ่งชวนให้คิถึงเรื่องในสมัยก่อนเหลือเกิน
“มีคนแกล้งพวกเรา” ภคดลพูดขึ้นมาโดยยังคงนั่งนิ่งอยู่ท่าเดิม เส้นเลือดที่ขมับ ปูดออกมาเป็นสาย เต้นตามจังหวะหัวใจ เขาคิดว่าเขาเห็นแววตาท้าทายในตาของเจ้าคนตัวขาวนั้น รัฐกรณ์ ยิ่งมันเรียนอยู่คณะแพทย์อีก คงไม่ต้องเดาอะไรให้มากมาย
“แล้วแกจะรู้สึก….รัฐกรณ์”
“คุณ กรรณิกา โอเคนะครับ” รุ่งเช้า วสันรีบเข้าไปดูแลกรรณิกา โชดดีที่เธอเองดูสงบลงแล้ว และไม่มีท่าทีที่จะขอตัวกลับแต่อย่างไร นั่นทำให้วสันสบายใจที่ไม่ต้องเสียลูกทัวร์ไป
“ผมต้องขอโทษจริงๆนะครับ ที่ดูแลได้ไม่ดี” วสันกล่าวขอโทษ กรรณิกาเองก็ไม่ได้ต่อว่าอะไร เพียงเพราะเธอคาดตัวต้นเหตุไว้แล้วเช่นกัน เธอจ้องชายตัวซีดที่กำลังตักข้าวต้มเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยไม่วางตา
“งั้นเดี๋ยวอีกสักพักเราออกเดินทางกันต่อเลยนะครับ” วสันแจกแจงกำหนดเวลาแล้วจากไปขนของขึ้นรถตู้เพื่อการเดินทางในเช้าวันนี้
“คุณ ณิ ไม่เป็นอะไรนะครับ” ทันทีที่กรรณิกานั่งลง รัฐกรณ์ก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่ไม่เป็นมิตรที่จ้องเขา ถึงกระนั้นเขาก็ยังทักทายกลับไปอย่างเป็นห่วง
“หึ สบายดีค่ะ เสียใจด้วยนะคะที่ ณิ ไม่ได้กลัวจนกลับไปก่อน” เธออดที่จะประชดคนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ วรวิทย์ที่อยู่ข้างๆต้องปราม กรรณิกาเอาไว้ก่อน ถึงยังไงพวกเขาก็ยังไม่มีหลักฐานไปให้ร้าย รัฐกรณ์ ภคดลก็เช่นกัน เขาได้แต่นั่งเงียบสังเกตุพฤติกรรมของ รัฐกรณ์อยู่เงียบๆ และยิ่งอารมณ์เสียมากขึ้นเมื่อเห็นการุณที่นั่งข้างๆรัฐกรณ์เจ้ากี้เจ้าการเสริฟน้ำและของหวานให้อย่างเต็มใจ
“ไม่ชอบ” รัฐกรณ์ เลื่อนจานขนมหวานออกไปด้านข้าง เขาเองไม่ค่อยชอบพวกของหวานเท่าไรนัก
“อร่อยนะครับ ลองสักคำนะ” การุณใช้ส้อมจิ้มขนมสีสวยมาหนึ่งชิ้น โบกไปมาตรงหน้ารัฐกรณ์ หมายจะเป็นการป้อนให้ไปในตัว
“อร่อยจริงด้วย” น่าเสียดายแทนการุณที่ภคดล คว้าเอาขนมชิ้นนั้นไปกินเสียเรียบร้อย
“เราไปกันเถอะครับ” รัฐกรณ์หาได้สนใจ เขาชวนคู่สามีภรรยาที่จัดการอาหารเช้าเป็นที่เรียบร้อยแล้วเดินเอาของไปเก็บที่รถ ทิ้งให้นักศึกษาทั้ง 4 มองตามพวกเขาด้วยความคิดที่แตกต่างกัน
“เช้าวันนี้เราจะเดินทางเข้าสู่จุดกำเนิดของตำนานหมู่บ้านนี้กันนะครับ” วสันถอยรถออกจากที่จอด เขาขับได้อย่างชำนานจากประสบการณ์ที่สะสมมานับ 5 ปี ทำให้เขาคุ้นเคยทั้งการขับรถและการนำเที่ยว เนื่องด้วยทางบริษัทไม่ยอมใช้เงินเปลืองในการจ้างคนขับรถเพิ่ม
เส้นทางที่ตรงไปเริ่มแคบลงทีละน้อย จากที่เคยเห็นบ้านคนเกาะกลุ่มกัน ตอนนี้เหลือเพียงภูเขาสูงและต้นไม้สีเขียวสดอยู่เต็มสองข้างทาง อากาศเย็นสดชื่น จนทุกคนเอ่ยปากขอเปิดหน้าต่างเพื่อรับลมตามธรรมชาติ กรรณิกาเองมีปัญหาเล็กน้อยกับเรื่องของผมที่ปลิวไปมาจนน่ารำคาญ
“นี่จ๊ะ” สาวิตรีทนเห็นแบบนั้นไม่ไหวเธอยื่นที่มัดผมให้ กรรณกากล่าวขอบใจ หญิงวัยกลางคน เธอบรรจงมัดรวบผมของเธอไว้ด้านหลังด้วยที่มัดสีชมพูสดลายดอกไม้ นั่นทำให้รู้สึกดีขึ้นเมื่อไม่มีผมมาปรกหน้าตา
ธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ สองข้างทางทำให้ทุกคนลืมเรื่องที่ผิดใจกันไปชั่วครู่ ทั้งภคดล วรวิทย์และกรรณิกาต่างพากัน ชมหมู่แมกไม้ที่สูงใหญ่ ปล่อยให้สายลมเย็นกระทบใบหน้า รู้สึกสดชื่นอย่างที่อากาศในเมืองไม่เคยจะทำได้
ไม่นานนัก วสันก็จอดรถลงที่ข้างทางอีกครั้ง ทุกคนค่อยๆทยอยลง ผู้นำทางอธิบายเส้นทางการเดินป่าเข้าสู่น้ำตก ขนาดเล็ก แต่เต็มไปด้วยความสวยงามแห่งนี้ แต่คงต้องให้ทุกคนระวังตัวในการเดินทาง เนื่องจากทางเดินค่อนข้างแคบและลื่น เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย
ได้ยินดังนั้น การุณก็ทำหน้าที่ของตนเช่นเคย คอยประกบรัฐกรณ์เสียไม่ปล่อยให้คลาดสายตา ทำเอารัฐกรณ์เอง ไม่พอใจ เดินหนีไปข้างหน้าแทน
“กาน ช่วยหน่อย” แล้วก็เป็นเหมือนเคย ภคดลแกล้งทำเป็นลื่น จนเซ เป็นภาระให้การุณของเราต้องเข้าไปช่วยเสียจนได้
ภาพน้ำตกขนาดย่อมที่แบ่งชั้นเป็นหลายชั้น ก้อนหินสลับชั้นน้อยใหญ่ไล่ดูมีมิติ แบ่งแยกสายน้ำให้ไหลเป็นหลายสาย เสียงสายธารไหลกระทบลงกับก้อนหินดังซ่าฟังสดชื่น ละอองน้ำปลิวไปทั่วบริเวณ ทุกคนต่างพากันควักกล้องถ่ายรูปออกมาบันทักภาพกันอย่างสนุกสนาน
“รัฐ มาถ่ายรูปด้วยกันสิ” การุณขออนุญาตดึงตัวคนตัวซีดที่ยืนถ่ายรูปให้กับคู่สามีภรรยา
“น่า เดี๋ยวนายไม่มีรูป” การุณไม่ยอมปล่อยเมื่อเห็นว่ารัฐกรณ์อิดออด ไม่ยอมถ่ายรูปด้วย
“ดล ถ่ายให้หน่อย” ทันทีที่เห็นว่าเพื่อนของตนว่าง การุณจึงตะโกนบอกขอความช่วยเหลือ แน่นอนว่าภคดลทำเป็นไม่ได้ยินและหันไปถ่ายรูปให้กับ กรรณิกาที่โพสท่าเป็นนางแบบอยู่ข้างๆหินก้อนใหญ่
“ปล่อย” รัฐกรณืสะบัดข้อมือ จนหลุดออก แม้การุณจะตามยังไงเขาก็หาได้สนใจ ปล่อยให้คนตัวใหญ่ งอแงแบบนั้นต่อไป
“ไม่ถ่ายกับเพื่อนสักหน่อยล่ะ” สาวิตรีเห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ ที่เห็นเด็กหนุ่มการุณ ใช้ความพยายามอย่างมากในการขอให้รัฐกรณ์ถ่ายรูปคู่ตน รัฐกรณ์เองส่ายหัว แบะปากให้ จนสาวิตรีอดหัวเราะไม่ได้
“แล้วน้ำตกนี้ไม่มีตำนานหรือไง” สรรพวุติ อดสงสัยไม่ได้จึงหันไปซักถาม วสันที่มีท่าทีลังเล
“เอ่อ” ที่จริงแล้ววสันเองไม่อยากจะเล่าตำนานของที่นี่เท่าไรนัก เนื่องจากเกรงว่า กรรณิกาจะเตลิดไปอีกครั้ง
“เล่าให้แค่พวกเราก็ได้ครับ” รัฐกรณ์เข้าใจความรู้สึกของ วสัน จึงเสนอทางออก เมื่อเห็นกลุ่มของกรรณิกา ยังคงสนุกกับการถ่ายรูปอยู่กับภคดล ตอนนี้จึงมีเพียง วรวิทย์ การุณ รัฐกรณ์ และสองสามีภรรยา เท่านั้น
เมื่อเป็นแบบนี้ วสันจึงพานที่เหลือมานั่งยังก้อนหินใหญ่ริมน้ำตกชั้นที่2 ก่ออนจะเล่าเรื่องตำนานอันขึ้นชื่อของน้ำตกสายธาราแห่งนี้
“ครั้งก่อนเมื่อ 60 ปีที่แล้ว เมื่อครั้งที่บริเวณนี้ยังคงเต็มไปด้วยชาวบ้าน ที่แห่งนี้ถือได้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจ เด็กหนุ่ม หญิงสาวต่างพากันมาเล่นน้ำกันอย่างสนุก ทั้งที่ควรจะเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันสวยงามลือชื่อ กลับต้องปิดฉากลงเพราะหญิงสาวเพียงคนเดียว”
“หญิงสาวที่เจ็บช้ำมาจากความรัก เธอนั่งร้องห่มร้องไห้ทุกเย็น ชาวบ้านต่างพากันเป็นห่วง คอยพาหญิงสาวกลับบ้านอยู่เสมอเมื่อพบเจอ…..นั่นเป็นเรื่องประจำที่คุ้นเคยไปเสียแล้วสำหรับชาวบ้าน”
“จนกระทั่ง เย็นวันหนึ่ง พรานป่าได้เข้าไปหาของป่ามาหลายวันกำลังออกจากป่ามา กว่าจะกลับมาได้ก็ค่ำแล้ว เมื่อเขาเดินทางมาถึงบริเวณน้ำตกก็ได้ยินเสียงครวญของหญิงสาว เขาค่อยๆเยื้องย่างเข้าไปอย่างระวัง ไม่นานก็พบหญิงสาวคนเดิม นั่งร้องไห้อยู่บนก้อนหินริมน้ำตก น่าแปลกที่วันนี้เธอยังคงอยู่ ซึ่งปกติแล้วเมื่อตะวันใกล้ลับฟ้า ชาวบ้านจะนำเธอกลับไปบ้าน นายพรานจึงตัดสินใจอาสาพาหญิงสาวกลับบ้าน ทันทีที่เขาเข้าใกล้หญิงสาวหยุดร้องไห้ทันที มีเพียงเสียงดังของสายน้ำกระทบหิน”
“แม้ว่าพรานหนุ่มจะกล่าวอะไรแต่เหมือนหญิงสาวจะไม่สนใจ เธอยังคงนั่งนิ่งหันหน้าไปทางสายน้ำ จนสุดท้ายเขาทนไม่ไหวต้องคว้าแขนเล็กของหญิงสาวเพื่อที่จะบังคับ แต่นั่นก็ทำให้เขารู้สึกถึงความเย็น ร่างกายของหญิงสาวเย็นและชุ่มไปด้วยน้ำ เสียงหัวเราะแหลมดังขึ้น ก่อนสาวเจ้าจะกรีดร้องและหัวหน้ามาประจันกับชายหนุ่ม
‘มาอยู่กับฉัน’
ดวงตาสีแดงก่ำเบิกโพลง เนื้อตัวขาวซีดของหญิงสาวเปียกชุ่มไปด้วยน้ำ ชายหนุ่มตกใจจนทำอะไรไม่ถูก รู้ตัวอีกทีก็เมื่อตนเองตกลงไปยังผืนน้ำ เขาสำลักน้ำเล็กน้อยด้วยเพราะไม่ทันระวังตัว แต่พอเขาขึ้นมาหายใจได้เพียงครู่เดียว ตัวของเขาก็ถูกดึงลงไปข้างล่าง”
“เส้นผมขนาดยาวของหญิงสาวเกี่ยวกระหวัดเข้ากับช่วงล่างของพรานหนุ่ม เขาทั้งดิ้นทั้งถีบ แต่ก็เหมือนจะทำให้เส้นผมนั้นรัดเขาแน่นขึ้น ทุครั้งที่มองลงไป ใบหน้าของหญิงสาวจะฉีกยิ้มให้เขา เสียงกระซิบที่ดังก้องอยู่ในหู ‘มาอยู่กับฉัน’ ฟองอากาศหลุดออกมาจากปากของพรานหนุ่ม นั่นเป็นเฮือกสุกท้าย เขาดิ้นรนทรมารกับการขาดอากาศ ก่อนจะสายไป เขาคว้าเข้ากับมีดที่เหน็บไว้ตรงเอว ก่อนจะฟาดฟันคมมีดลงไป”
“ชายหนุ่มรอดมาได้อย่างหวุดหวิด ก่อนจะไปพบกับความจริงที่ว่า หญิงสาวคนนั้นได้เสียไปตั้งแต่สองวันก่อน วันที่เขาได้เดินทางเข้าป่าไป และนั่นก็เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ที่ทำให้น้ำตกนี้ ไม่มีคนเข้ามาย่างกรายอีกเลย” วสันจบเรื่องเพียงเท่านี้ นั่นทำให้การุณอยากจะขอบคุณเขาเหลือเกินที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังก่อนที่การุณเองจะลงไปเล่นน้ำอย่างที่คิดไว้ในตอนแรก
เวลาเหลืออีกเพียง 10 นาที ในการให้ทุกคนชื่นชมบรรยากาศ รัฐกรณ์ขอตัวปลีกออกไปยืนมองสายน้ำเพียงลำพัง เขารีบเดินแยกตัวออกมาเมื่อเห็นว่า ภคดลเรียกตัว การุณไปถ่ายรูปด้วย ในที่สุดรัฐกรณ์เองก็ได้อยู่อย่างสงบเสียที
เรื่องราวของหญิงสาวที่เสียคนรักไป รัฐกรณ์คำนึงถึงตำนานอันนี้อีกครั้ง ในใจนึกสงสารการจากไปของความรักแทนหญิงสาว เขาเองเข้าใจดี ว่ามันเจ็บปวดเพียงไหน เขาเหม่อมองสายน้ำที่ไหลริน ใบไม้สีเขียวร่วงลงจากต้นไหลลงตามกระแสน้ำไป จนหายไปลิบตา ไม่มีวันย้อนกลับมา เหมือนเขาคนนั้น
จู่ๆ รัฐกรณ์รู้สึกถึงแรงผลักเข้าที่หลังของตนจนเขาเสียหลัก ตัวของเขาเซไปข้างหน้าที่ลึกลงไปมีแต่สายน้ำ รัฐกรณ์พยายามฝืนตัวแต่สายไปเสียแล้ว ตัวของเขาเอนลงไปมากกว่าที่เขาจะกลับมายืนได้
“ระวังหน่อยสิครับ”
รัฐกรณ์ลืมตาขึ้นเมื่อพบว่าตนเองยังไม่ได้ตกลงไป เขาถูกคนๆหนึ่งรั้งไว้จากข้างหลัง
“ตกลงไปเดี๋ยวจะถูก ผี สาวเอาตัวไปนะ” วรวิทย์ยิ้มเหยียด เขาดึงรัฐกรณ์ให้มายืนบนหินได้อย่างง่ายดาย รัฐกรณ์กล่าวขอบคุณ แต่สายตายังคงจ้องคนตัวอ้วนข้างหน้าอย่างพิเคราะห์
มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะถูกคนอื่นผลักและ นายวรวิทย์เข้ามาสวมรอยช่วยได้ทัน
“ยังไงก็ขอบคุณครับ ถ้าไม่มีนาย ก็คงแย่”
“หึหึหึ ระวังตัวดีๆแล้วกัน คุณหมอ” วรวิทย์หัวเราะทิ้งท้าย ปล่อยให้รัฐกรณ์ ยืนกำหมัดแน่นเพียงลำพัง